ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 584 พบพานสหายเก่า
บทที่ 584 พบพานสหายเก่า
สวี่ชีอันเป็นคนที่มั่นคงเสมอมา เมื่อมีความคิดใดแล่นเข้ามาในหัว ปากก็ทำหน้าที่ของมันทันทีโดยไม่มีการรั้งรอ
“ท่านราชครู ท่านรักข้าหรือ”
ลั่วอวี้เหิงปิดปากหัวเราะ และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนแฝงด้วยความรักใคร่
“สวี่หลาง เราสองบำเพ็ญคู่ร่วมกันมาหลายวัน เป็นดั่งคู่บำเพ็ญธรรมของกันและกันแล้ว หากข้าไม่รักเจ้า มีหรือจะบำเพ็ญคู่ร่วมกับเจ้า”
ราชครูตกตายทางสังคมอย่างร้ายแรงอีกครั้ง…หัวใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง เขาแสดงความเสน่หาผ่านสีหน้าและกล่าว
“ฉู่หยวนเจิ่นและไต้ซือเหิงหย่วนมาแล้ว พวกเขาเป็นสหายของข้า ข้าต้องออกไปต้อนรับหน่อย”
ลั่วอวี้เหิงกล่าว “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
พูดจบ ก็เลิกผ้าห่มออก แสงวสันต์สาดส่องจากปทุมถัน
“ไม่ได้ หากท่านออกไป พวกเขาจะทำตัวปกติได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วอวี้เหิงก็ไม่ได้ขัดขืน เพียงยิ้มน้อยๆ ให้กับเขา และไม่เอ่ยอะไรอีก
สวี่ชีอันรู้สึกผิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เขารีบร้อนแต่งตัวให้เรียบร้อย ออกไปจากห้องพัก มายังโถงรับรองของโรงเตี๊ยม
ยามนี้ล่วงเลยยามเหม่าไปแล้ว ฟ้าเริ่มเป็นสีเทาหม่นๆ โถงรับรองของโรงเตี๊ยมสว่างไสวด้วยแสงเทียน ลานด้านหลังโรงเตี๊ยมควันลอยโขมง คนครัวกำลังเตรียมอาหารเช้า
‘ก๊อก ก๊อก!’
สวี่ชีอันเคาะโต๊ะคิดเงิน ปลุกให้เด็กรับใช้ที่ฟุบหลับบนโต๊ะตื่นขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้น
“เปิดห้องพักให้อีกห้องหนึ่งซิ”
เด็กรับใช้ถามอย่างสงสัย “เปิดไปเพื่อการใดหรือขอรับ”
เขามีความจำที่ดีเลิศ จำได้ว่าแขกในเสื้อคลุมสีฟ้าท่านนี้เพิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมเมื่อตอนใกล้พลบค่ำวันนี้เอง
คนคนเดียวเหตุใดจึงเปิดห้องพักถึงสองห้อง เงินเหลือมากหรืออย่างไร
สวี่ชีอันสีหน้าเย็นชา “เลิกพูดมากความเสียที”
เด็กรับใช้เห็นท่าทีแล้วจึงปิดปาก รับเงินลงทะเบียนและส่งกุญแจห้องพักให้กับสวี่ชีอัน
เมื่อรับกุญแจมาแล้ว สวี่ชีอันจึงตอบกลับหลี่เมี่ยวเจิน
หมายเลขสาม ‘ข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมถงฝู เมื่อเข้าเมืองแล้วจงเดินทางมาตามทางสายหลักหนึ่งลี้ แล้วจะเห็นเอง’
เขาเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลงในอกเสื้อ แล้วออกมานั่งรอในจุดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด โดยหันหน้าไปทางประตูโรงเตี๊ยม
หลังจากรออยู่ครึ่งเค่อ หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนก็ปรากฏตัวขึ้นสามคน ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในโรงเตี๊ยม
“พี่ฉู่ ไต้ซือเหิงหย่วน ไม่พบกันนานเลย สบายดีหรือไม่” เขากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
เขาหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินเป็นคนสุดท้าย ในมองพลันนึกถึงอารัมภบทของหลี่หลิงซู่ ‘ไม่เจอกันนานวัน คิดถึงเหลือเกิน แม้ยอดดวงใจจะลาไกล แต่ใจข้ายังอยู่ที่เจ้าเสมอ’
“จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ซูซูอนุของข้าอยู่ที่ใดเสียแล้ว ดูแลนางแทนข้าดีหรือไม่หนอ”
เมื่อถึงคราวต้องเอ่ยปาก บทโหมโรงตามฉบับของสวี่ชีอันก็หวนกลับมาดังเดิม
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็กลอกตาใส่อย่างเป็นธรรมชาติ “ได้ คืนนี้ข้าจะให้คนกระดาษนอนกับเจ้า”
แม้ว่าซูซูจะมีเมล็ดบัว แต่ก็ไม่ยอมคืนร่างเดิมสักที สวี่ชีอันพอจะเข้าใจเหตุผล แสงอาทิตย์ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อผีสาวทรงเสน่ห์คืนร่างกลับเป็นมนุษย์แล้ว วิชาหรือวรยุทธ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนางจะไม่หวนคืนมาด้วย
นี่เป็นราคาที่ต้องชดใช้ในการกลับคืนร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง
ดังนั้น ผีสาวจึงไม่ยอมตัดสินใจเสียที
ทั้งสี่คนหัวเราะร่วมกัน สวี่ชีอันลุกขึ้นเมื่อถึงแก่เวลา พาทั้งสามคนขึ้นไปยังห้องพักที่เขาเพิ่งเปิดใหม่
เขาหยิบกุญแจออกมาไขประตู จุดเทียน หยิบไหสุราสองไหและถ้วยใบใหญ่สี่ใบออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“นี่เป็นเหล้าที่ข้าเก็บรักษาไว้ระหว่างการเดินทาง ลองชิมดู”
“เหล้ารสดี!”
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นพวกคอทองแดง จิบเพียงอึกเดียวเขาก็ตาสว่างขึ้นมา “หากอุ่นขึ้นรสจะดีกว่านี้”
“ผู้เชี่ยวชาญแท้ๆ”
สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ
ดังนั้นเขาจึงขอให้เด็กรับใช้ไปเอาเตาถ่านขนาดเล็กมาสุมไฟจุดถ่าน อุ่นสุราพลางพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน
สวี่ชีอันเล่าเรื่องราวการออกจากเมืองหลวงมาท่องยุทธภพของเขาให้ทั้งสามฟังโดยละเอียด ตั้งแต่ยงโจวไปเหลยโจว จากเหลยโจวกลับมายงโจว
เขาเล่าเรื่องราวน้อยใหญ่ตลอดการเดินทางตามแต่ใจคิด
“ประสบการณ์ของเจ้ายังคงเฟื่องฟูน่าสนใจเหมือนเคย”
ฉู่หยวนเจิ่นยกถ้วยขึ้นกระดกสุราเข้าไปอึกใหญ่ แล้วกล่าวพลางหัวเราะร่วน “เช่นนี้ตอนนี้พระมเหสีคงจะเป็นคนสนิทรู้ใจของเจ้าแล้วสินะ”
ดวงตาคู่งามของหลี่เมี่ยวเจินหรี่ลงทันใด
เจ้านี่นะ พูดเรื่องอะไรไม่ควรพูดเสียแล้ว…สวี่ชีอันก้มหน้าจิบสุรา
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวยิ้มๆ
“จะว่าไปแล้ว ข้าไม่เคยเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของพระมเหสีเลย รู้แต่ว่าแม้แต่รูปลักษณ์ของท่านราชครูก็ยังด้อยกว่านาง เมืองหลวงหญิงงามนับหมื่น แต่ผู้ที่งามจนสะกดใจคนได้ เห็นจะมีแต่พระชายาในอ๋องสยบแดนเหนือ ราชครู องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง สามคนเท่านั้น”
“เจ้าคว้ามาเชยชมได้คนหนึ่ง ก็นับว่าเป็นโชคของเจ้าแล้ว”
คนเราแต่ละคนมีมาตรฐานความงามไม่เท่ากัน ฉู่หยวนเจิ่นเป็นจอมยุทธ์พเนจร ปัญญาชน และมือกระบี่ มาตรฐานความงามจึงตรงกับ รูปลักษณ์ สติปัญญา และกระบี่ ตามลำดับ!
บังเอิญว่าหญิงพวกนี้…
เอ่อ ขอโทษทีเถอะ พวกนางล้วนแต่เป็นปลาในบ่อของข้าทั้งสิ้น…สวี่ชีอันรู้ดีแก่ใจว่าท่านราชครูก็อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย จึงไม่กล้าขุดลึกลงไปในหัวข้อสนทนานี้
“ข้าด่วนสรุปไปหน่อย ไม่แน่ว่าองค์หญิงฮว๋ายชิ่งของพวกเราเองก็อาจจะตกลงปลงใจกับฆ้องเงินสวี่ลับๆ แล้วก็ได้”
แล้วจู่ๆ หลี่เมี่ยวเจินก็ตะหวาดแหวขึ้นมาอย่างโกรธเคือง นางไม่อยากพูดถึงหัวข้อเรื่องฮว๋ายชิ่ง เพราะในสายตาของเทพธิดา ฮว๋ายชิ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เย็นชา จะมาตกหลุมรักสวี่ชีอันที่เจ้าชู้ตัณหากลับได้อย่างไร
ต่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ก็คงหยุดไว้แค่ความรู้สึกเท่านั้น
“คนอื่นๆ อยู่ที่ใด ทำอะไรกับพวกเขาบ้างหรือ” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยถาม
“ข้าเอาตัวคนอื่นๆ ใส่ไว้ในเจดีย์พุทธะ และรีบหนีมาที่นี่เมื่อวานนี้ ข้ากับท่านราชครูกำลังดูแลรักษากันอยู่”
บำเพ็ญคู่ก็เป็นการรักษาวิธีหนึ่ง…เขากล่าวเสริมในใจ
“หลี่หลิงซู่ก็อยู่ข้างในเจดีย์หรือ” หลี่เมี่ยวเจินถาม
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนมองไป พวกเขารู้อยู่แล้วว่าหมายเลขเจ็ดคือหลี่หลิงซู่ ผู้ที่ถูก ‘ศัตรู’ ไล่ล่า และหายสาบสูญไปนานกว่าหนึ่งปีผู้นั้น
สวี่ชีอันพยักหน้าเป็นการยืนยัน คิดทบทวนแล้วพูดว่า
“เพื่อปกปิดตัวตนของข้า เวลาที่อยู่กับเขา ข้าต้องเรียกตัวเองว่าสวีเชียน ไม่ใช่สวี่ชีอัน ภาพลักษณ์ของข้าคือยอดฝีมือเหนือมนุษย์ผู้มีอายุมานานกว่าหลายร้อยปี เป็นบุคคลน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเอาชนะท่านโหราจารย์ได้อย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสที่ลึกลับสุดจะหยั่งถึง
“เขาเชื่อสนิทไม่คิดสงสัย ทั้งยังเคารพยำเกรงข้า กล้าใส่ร้ายข้าแต่เพียงในใจเท่านั้น”
ทีแรกฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน และเหิงหย่วนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ สวี่ชีอันที่เดินทางท่องยุทธภพก็เป็นคนที่ลึกลับมากพออยู่แล้ว แต่พอฟังไปๆ เจ้าของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งสามก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองหน้ากันไปมา
‘ใต้เท้าสวี่สันดานเก่ากำเริบอีกแล้ว…’
‘สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก…’
‘ฮ่าๆๆ ถ้าหลี่หลิงซู่รู้ความจริงเข้า เขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ…’
พูดจบ สวี่ชีอันก็ตรงเข้าประเด็นทันที
“ขึ้นชื่อว่ากระดาษย่อมไม่อาจห่อไฟได้ สักวันเทพบุตรก็ต้องได้รู้ถึงตัวตนของข้า เรื่องนี้ข้าอับจนหนทางไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี พวกเจ้ามีคำแนะนำหรือไม่”
หลี่เมี่ยวเจินรีบยกมือขึ้นกล่าวแนะนำ
“ทำไมต้องให้เขารู้ด้วยเล่า แทนที่รู้แล้วจะอึดอัดใจกันเอง สู้ปิดเอาไว้ต่อไปเรื่อยๆ ปิดได้นานเท่าไรก็เท่านั้น”
ฉู่หยวนเจิ่นนึกถึงตอนที่ตนใช้เท้าขุดพื้นดินจนกว้างเท่าบ้านสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกอยู่ข้างกองไฟ กลางทุ่งร้างตอนเหนือ ก็วางมาดขรึมแล้วพูดขึ้น
“คำพูดของเมี่ยวเจินจริงแท้อย่างยิ่ง”
แค่นี้เทพบุตรยังอับอายไม่พอ พวกเจ้ายังวางแผนจะเป็นสักขีพยานการตกตายทางสังคมของเขาร่วมกันอีกหรือ พวกเจ้านี่มันชั่วช้าสามานย์จริงๆ… สวี่ชีอันส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ได้ แบบนั้นไม่ยุติธรรมกับเทพบุตร เขาอาจจะคิดว่าทุกคนในใต้หล้ากลั่นแกล้งรังแกเขา”
ฉู่หยวนเจิ่นสีหน้าจริงจัง “หนิงเยี่ยน นี่เป็นความคิดของเจ้าเพียงด้านเดียว อย่างแรกเจ้าต้องปกปิดตัวตนเพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง อย่างที่สอง เทพบุตรเป็นคนใจกว้าง ไม่มีทางคิดว่าพวกเรากลั่นแกล้งเขาด้วยเหตุนี้หรอก”
เจ้าไม่รู้จักเขานี่หว่า…
สวี่ชีอันยืนกรานว่าไม่ได้ แบบนี้ไร้คุณธรรม
หลี่เมี่ยวเจินบอกว่าได้สิ แบบนี้ดีที่สุดแล้ว
สวี่ชีอันบอกว่าตนไม่ใช่คนนิสัยแย่เช่นนั้น
ฉู่หยวนเจิ่นบอกเราทั้งหมดก็ไม่ใช่คนเช่นนั้นเช่นกัน
สุดท้ายสวี่ชีอันต้องจำใจยอมรับคำแนะนำจากสหายทั้งสองอย่างไม่เต็มใจ
“เอาอย่างนั้นก็ได้! ขอให้พวกเจ้าร่วมมือกับข้า อย่าเปิดเผยตัวตนของข้าเชียว”
ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าอย่างเต็มใจ
“อมิตตาพุทธ!”
ไต้ซือเหิงหย่วนผู้เป็นสักขีพยานทั้งหมด รู้สึกว่าตนเองก็คนจิตใจสูงส่งจึงไม่ร่วมมือกับพวกเขา
“จริงสิ แล้วท่านราชครูมาอยู่ที่ยงโจวได้อย่างไร”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ
อา เรื่องนี้…สวี่ชีอันหัวใจดิ่งวูบทันที จู่ๆ เขาก็เพิ่งตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ขึ้นมาได้
การฝึกบำเพ็ญตนของนิกายมนุษย์มีผลข้างเคียงจากไฟแห่งกรรมอยู่ หลี่เมี่ยวเจินผู้เป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ และฉู่หยวนเจิ่นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายมนุษย์ย่อมทราบดีแก่ใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งคิดหาวิธีที่จะได้บำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง เพราะโชคชะตาสามารถดับไฟแห่งกรรมได้
ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือตอนนี้ผู้ครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีรู้แล้วว่าในกายของเขามีโชคชะตานั้นอยู่
สวี่ชีอันยกถ้วยขึ้นกระดกเหล้าหนึ่งอึก อาศัยจังหวะตอนก้มหัวลงใช้หางตาชำเลืองมองฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินอย่างรวดเร็ว
ฉู่หยวนเจิ่นกำลังเอียงถ้วยเหล้าในมือเล่นให้สุราไหลไปไหลมา ด้วยท่าทางสบายๆ แต่หากเขามองไม่ผิด จะสังเกตเห็นว่าฉู่หยวนเจิ่นแอบยืดหลังตรงเงียบๆ
หลี่เมี่ยวเจินโน้มตัวไปข้างหน้าจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่ลุกโชน
พวกเขาสงสัยจริงดังคาด…
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังคิดหาคำแก้ตัวอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องพักขึ้นมาสองครั้ง ดัง ‘ก๊อก ก๊อก’
“ข้าไปเปิดเอง!”
สวี่ชีอันอาศัยโอกาสลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องพัก และเปิดประตูออก
ไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมาย เบื้องหน้าประตูคือใต้เท้าราชครูผู้งดงามด้วยรอยยิ้มดั่งบุปผา ผู้ซึ่งเพิ่งร่วมราตรีกับเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา
นางมาทำอะไร อย่าพูดว่า ‘สวี่หลาง’ ขึ้นมาเชียวนะ สวี่ชีอันหลีกทางให้ด้วยความรู้สึกศีรษะชาวาบ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ
“ท่านราชครู เชิญเข้ามาก่อนขอรับ”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าน้อยๆ และก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง
“ท่านราชครู!”
พวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามคนลุกพรวดและแสดงความเคารพอย่างรวดเร็ว
ลั่วอวี้เหิงส่งยิ้มละมุนละไม พลางพยักหน้าน้อยๆ และเหลือบมองฉู่หยวนเจิ่นแวบหนึ่ง “ไม่เลว ตบะเพิ่มพูนขึ้นอีกแล้ว หลังจากผ่านขั้นสี่ไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป คิดเอาไว้บ้างหรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น
นางหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินตรงๆ “มาถึงขั้นสี่ระยะกลางแล้ว ภายในหนึ่งปีก็สามารถไปถึงขั้นสี่ระยะสูงสุด ก้าวหน้าไปไกลกว่าหลี่หลิงซู่ ศิษย์พี่ของเจ้าแล้วสินะ”
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่างรู้สึกว่าวันนี้ท่านราชครูแปลกไปจากปกติ ไม่มีท่าทีเย็นชาดังเคย
ลั่วอวี้เหิงมองไปทางสวี่ชีอันแล้วกล่าวแกมหัวเราะ
“ข้ามาเยือนยงโจวครั้งนี้ ก็เพื่อไปสำรวจวังใต้ดินนอกเมืองยงโจว ได้ยินมาจากฆ้องเงินสวี่ว่า เจ้าของวังใต้ดินนั้นเป็นอดีตปรมาจารย์นิกายมนุษย์ในยุคโบราณ”
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…’ ฉู่หยวนเจิ่นที่เคยมีประสบการณ์สำรวจวังใต้ดินด้วยตนเอง จู่ๆ ก็ถึงบางอ้อ
เขาอดนึกถึงภยันตรายที่จะเจอในระหว่างทางขึ้นมาไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“อันที่จริง ตอนแรกหนิงหากเยี่ยนไม่พาแม่นางจงเข้าไปในสุสานด้วย ระหว่างที่พวกเรารออยู่ข้างนอก คงจะพาลี่น่าออกมาด้วยไม่ได้หรอก”
หลี่เมี่ยวเจินไม่เคยเข้าไปในสุสานด้วยกัน แต่ก็คุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี จึงพยักหน้า “พบอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
นางสนใจเรื่องเกี่ยวกับลัทธิเต๋าอย่างยิ่ง
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ยังไม่มีเวลาไปเลย”
สวี่ชีอันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกแปลกใจในความใจดีของราชครู ในใจแอบคิดว่านี่เป็นอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่ ที่ว่าเวลาผู้หญิงรักเรา มักจะคิดถึงเราในทุกๆ เรื่อง
“เหตุใดถึงได้ปกปิดความสัมพันธ์ของเราสองไว้เล่า”
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงกระแสจิตลอยมาจากลั่วอวี้เหิง
…เขาจ้องมองราชครูโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ฝ่ายหลังยกยิ้มที่มุมปาก จ้องมองเขาด้วยสายตาแฝงความนัยลึกซึ้ง
เพราะเจ้าเป็นปลาฉลาม ข้าเลยข้าปอดแหกกลัวว่าเจ้าจะเข้ากันกับสาวๆ คนอื่นเป็นปี่เป็นขลุ่ยไง…สวี่ชีอันไม่รู้จะตอบถามนี้อย่างไรดี
“เจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่กลับกัน เจ้าก็ไม่ควรทำให้ข้าลำบากใจด้วย ถูกต้องหรือไม่”
“ท่านราชครูพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“สวี่หลาง ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน ตัดความสัมพันธ์กับมู่หนานจือและหลี่เมี่ยวเจินเสีย วันรุ่งขึ้นกลับเมืองหลวง ไปตัดสัมพันธ์กับหญิงสาวคนอื่นด้วย หากเจ้ายังทำตัวมีลับลมคมในกับหญิงอื่นอีก ข้าคงจะทุกข์ใจยิ่งนัก”
“นะ นี่มัน…”
“อืม ข้าเข้าใจความทุกข์ใจของสวี่หลางดี”
กระแสจิตของลั่วอวี้เหิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เสน่หา
“หากเจ้าไม่สะดวกใจ ข้าจะเป็นคนตัดสัมพันธ์แทนเจ้าเอง มู่หนานจือต่อไปก็ให้ไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่สำนักสังคีตแล้วกัน”
เจ้ามันเป็นปีศาจรึ…นี่มันนิสัยยันเดเระแล้วนะเฟ้ย…เหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผากของสวี่ชีอัน
คราวนี้ ลั่วอวี้เหิงเอ่ยว่า “ข้าจะกลับไปปรับลมปราณก่อน แล้วบ่ายวันนี้ เราไปวังใต้ดินแห่งเมืองยงโจวด้วยกัน”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ คารวะ “ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
เมื่อลั่วอวี้เหิงจากไปแล้ว หลี่เมี่ยวเจินก็เอ่ยขึ้น
“เอาเจดีย์พุทธะออกมา…สวี่ชีอัน สวี่ชีอัน? ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ”
สวี่ชีอันเรียกสติกลับคืนมาโดยฉับพลัน จากนั้นส่งเสียง ‘เอ่อ’ อย่างมึนงง
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไรไป ข้าอยากเจอหลี่หลิงซู่”
“อ้อๆ…”
จริงด้วย รีบเรียกตัวคนเจ้าชู้มาถามดีกว่า ว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี… สวี่ชีอันนำเจดีย์พุทธะออกมาอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นรีบร้อน
เจดีย์สีทองเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประตูเจดีย์เปิดออก แล้วดูดทุกคนในห้องเข้าไป
…
ภายในเจดีย์ ชั้นที่หนึ่ง
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ มองไปรอบๆ เบื้องหน้าคือองค์พระพุทธรูปสีทองอร่าม สูงประมาณสิบจั้ง สองฟากของพระพุทธรูป มีพระโพธิสัตว์เก้าองค์ที่มีใบหน้าเลือนราง ด้านหลังของพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์
รูปเคารพเหล่าสูงตระหง่าน เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาตัวเล็กจ้อยดังมดปลวก
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นล้วนแต่เป็นคนของสำนักพุทธ แต่กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
“อมิตตาพุทธ!”
เหิงหย่วนประนมมือขึ้น ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
บนทางเดินทอดยาวไปสู่องค์พระพุทธรูป มีคนสี่คนนั่งสมาธิอยู่ ได้แก่ฉานซือจิ้งซิน จิ้งหยวนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เหมียวโหย่วฟางผู้ถูกปราณมังกรอาศัย และยังมีหลี่หลิงซู่ที่ประนมมืออย่างเคร่งขรึม
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงเรียก ‘เฮ้ย’ แล้วเอ่ยขึ้น
“หลี่หลิงซู่ ศิษย์น้องหญิงอัศจรรย์ของเจ้า มาช่วยเจ้าแล้ว”
ทันทีที่เทพบุตรได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ใบหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อย
เขาลืมตาขึ้นทันที หันไปจ้องมองหลี่เมี่ยวเจิน แล้วเอ่ยด้วยความยินดี “ศิษย์น้องหญิง?”
หลี่เมี่ยวเจินมองสำรวจเขา และพูดติดตลกว่า “ไม่เจอกันหนึ่งปี เจ้ายังมีชีวิตชีวาถึงขนาดนั้นเชียว ข้านึกว่าเจ้าจะถูกผู้หญิงสูบเลือดสูบเนื้อจนผอมแห้งเสียแล้ว”
หลี่หลิงซู่แค่นเสียงกล่าว “ไม่เจอกันหนึ่งปี ศิษย์น้องหญิงไม่ก้าวหน้าขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังนุ่งน้อยห่มน้อยเสียเหลือเกินนะ”
สวี่ชีอันเข้าใจทันทีว่าตอนนั้นที่หลี่เมี่ยวเจินเห็นคนจะตายต่อหน้าก็ยังไม่ช่วย ที่แท้ก็มีความโกรธแค้นส่วนตัวซ่อนอยู่นี่เอง
หลี่หลิงซู่มองฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สหายเต๋าทั้งสองท่านมีนามว่ากระไรหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินชี้ไปที่มือกระบี่เสื้อเขียวแล้วเอ่ย “หมายเลขสี่!”
จากนั้นก็ชี้ไปที่เหิงหย่วน “หมายเลขหก!”
“อะแฮ่ม!”
หลี่หลิงซู่กระแอมไออย่างแรง ส่งสายตาให้กับศิษย์น้องหญิงไม่ให้เปิดเผยเรื่องของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกไป
ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งสายตาตกตะลึงไปให้ฉู่หยวนเจิ่นเหิงหย่วน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอกับผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีกสองคนที่นี่
‘นี่มันไม่ถูกต้อง ตอนแรกกลุ่มผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพียังมีความสัมพันธ์แบบช่วยเหลือกันไป ระแวงกันไปนี่นา’
‘เหตุใดผ่านมาแค่หนึ่งปี ผู้ครอบครองถึงกลายมาเป็นสหายกันได้’
‘ช่วงที่ข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่’
‘อืม แต่พูดถึงแค่หมายเลข อย่างไรสวีเชียนก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี’
หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ ขณะที่เอ่ยทักทายกับฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วน จากนั้นจึงเอ่ยแนะนำ
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสสวีเชียน เป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่ง น่าเคารพนับถือ ซ้ำยังเป็นวีรบุรุษผู้ไม่เคยสูญเสียความแน่วแน่ไป
“ที่ข้าได้มาพบกับทุกท่านตอนนี้ เป็นเพราะความช่วยเหลือของผู้อาวุโสสวีทั้งสิ้น…”
พูดจบ เขาก็พบว่าทั้งฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน และเหิงหย่วนต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาราวกับมองคนโง่
ไม่สิ มันดูซับซ้อนกว่าสายตาเหมือนมองเห็นคนโง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์น้องหญิงหลี่เมี่ยวเจินผู้ชั่วร้าย ใบหน้าของนางแดงก่ำ ลำคอระหงขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีแดง และเส้นเอ็นบริเวณลำคอของนางก็หดเกร็งด้วยเช่นกัน
“เจ้าขำอะไร” หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วถาม
“ข้าไม่ได้ขำ”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเรียบๆ
ฉู่หยวนเจิ่นอาศัยจังหวะเอ่ยแทรก ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พูดตามความสัตย์จริง ข้าและผู้อาวุโสสวีนั้นเป็นสหายเก่าแก่รู้จักกันมานาน ในเมืองหลวงมีน้อยคนนักที่จะล่วงรู้ถึงตัวตนของเขา”
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง สวีเชียนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ที่สามารถเล่นหมากล้อมกับท่านโหราจารย์ได้ ตัวตนลึกลับ แต่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงย่อมต้องรู้จักอย่างแน่นอน…’ หลี่หลิงซู่พยักหน้า ‘อย่างที่ข้าคาดไว้ ข้าพอจะเดาได้แต่แรกแล้วล่ะ’
“ท่านนักบวชทั้งหลาย แม้ว่าข้าจะรู้จักกับผู้อาวุโสสวีมานาน แต่ก็ยังไม่เคยทราบถึงภูมิหลังของเขาเลย”
หลี่หลิงซู่แอบส่งกระแสจิตไปหาศิษย์น้องหญิง และผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีกสองคนอย่างลับๆ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใครกันแน่”
ฉู่หยวนเจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งกระแสจิตตอบกลับ “สวีเชียนผู้นี้ มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ ส่วนตัวตนที่แท้จริงเป็นใครนั้น ข้าไม่อาจบอกได้”
‘มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์…’ หลี่หลิงซู่เผยสีหน้าตกตะลึง แล้วส่งกระแสจิตตอบ
“ฮ่า ข้าเดาไว้แล้วไม่มีผิด เขามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักโหราจารย์ และยังรับผิดชอบช่วยรวบรวมปราณมังกร และพระมเหสี…”
รูม่านตาของหลี่หลิงซู่สั่นสะท้าน เขาส่งกระแสจิตกล่าว
“หรือว่า หรือว่าเขาจะเป็นอ๋องสยบแดนเหนือ?! ไม่จริงน่า อ๋องสยบแดนเหนือสวรรคตในแดนเหนือตั้งนานแล้วนี่”
เขาถูกปิดกั้นจากข่าวสารต่างๆ แต่เขาก็ทราบถึงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของอ๋องสยบแดนเหนือ
กล้ามเนื้อแก้มของหลี่เมี่ยวเจินสั่นเกร็ง เม้มปากแน่น ดูเหมือนใกล้จะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว
“เจ้าขำอะไร” หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วถาม
“ข้าเปล่าขำ” หลี่เมี่ยวเจินปฏิเสธ
“เจ้าขำอยู่แท้ๆ ข้ารู้จักเจ้ามานานแล้วนะ” เขากล่าวอย่างกรุ่นโกรธ
ด้านนี้ส่งกระแสจิตพึมพำ อีกด้านหนึ่งสวี่ชีอันก็เดินมาหยุดเบื้องหน้าเหมียวโหย่วฟาง เพื่อสำรวจผู้ถูกปราณมังกรอาศัย