ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 585 การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ
บทที่ 585 การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ
สวี่ชีอันประเมินผู้ถูกปราณมังกรอาศัยผู้นี้ เขาอายุยี่สิบกว่าๆ ไล่เลี่ยกับเขา ผิวพรรณหยาบกร้านและดูคล้ำเล็กน้อย ดูแล้วหมือนจอมยุทธ์พเนจรที่เร่ร่อนไปทั่วทั้งปีทั้งชาติ
หน้าตาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่โดดเด่น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาซึ่งส่องประกายแวววาว
ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันเคยสังเกตอีกฝ่ายตอนอยู่ในงานชุมนุมพิเศษแห่งหนึ่ง ผ่านสายตาของนกกระจอก ความประทับใจที่มีต่อชายผู้นี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ‘ผู้ชายที่รักการไปหอนางโลม ล้วนแต่เคยเป็นภูตสวรรค์ปีกหักในชาติที่แล้ว’
อันที่จริงในตอนที่หญิงโสเภณีผู้นั้นเข้ามาติดร่างแหด้วย สิ่งที่เหมียวโหย่วฟางผู้นี้คำนึงถึงไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นความปลอดภัยของสาวเจ้า
นี่เป็นคุณสมบัติที่หายากในหมู่คนพเนจรในยุทธภพ
ในส่วนของการจัดการกับผู้ถูกปราณมังกรอาศัย สวี่ชีอันไม่เพียงแต่สกัดปราณมังกรออกมา แต่ยังต้องศึกษานิสัยใจคอของอีกฝ่ายด้วย
หากเป็นคนที่จิตใจดี เขาก็เลือกที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายตามตรง
หากเป็นพวกชั่วช้าสามานย์ ก็ฆ่าทิ้งเสียไม่มีเลี้ยง
เหมียวโหย่วฟางเองก็ประเมินสวี่ชีอันเช่นกันด้วยความหวาดระแวงเล็กน้อย เพราะภาพการต่อสู้เมื่อวานยังคงติดตาเขาอยู่ คนผู้นี้คือสวี่ชีอันในตำนาน
“ชื่อแซ่ เพศ อายุ”
สวี่ชีอันนำคำถามสามข้อแรกในหนังสือคำร้องในชาติที่แล้วมาใช้
เหมียวโหย่วฟางผงะไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่คุ้นชินกับการเริ่มบทสนทนาเช่นนี้ หลังจากนึกภาพความชั่วร้ายในเมื่อวานของชายผู้นี้ เขาก็ตอบตามความเป็นจริง
“เหมียวโหย่วฟาง ชาย ปีนี้อายุยี่สิบสามปี”
ก่อนจะตอบควรจะขานว่า ‘ครับท่าน’ ก่อนสิ สวี่ชีอันนึกสนุกอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ย “เป็นคนจากที่ใด”
“หมู่บ้านเหมียวเจีย เมืองเฮยหยาง ชิงโจว”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
‘เพราะว่าข้าเป็นอัจฉริยะอย่างไรเล่า…’ เหมียวโหย่วฟางกล่าวอย่างภาคภูมิ “ข้าเดินทางท่องยุทธภพหลายปีดีดัก สังหารอันธพาลที่ครองเมือง สังหารทรราชผู้โฉดชั่ว และยังเคยสังหารข้าแผ่นดินกังฉินที่โกงกินข้าบ้านตาดำๆ มามาก ศัตรูเยอะเกินไป”
ในฐานะผู้ที่อยากเป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัย ลงทัณฑ์คนชั่วที่เที่ยวปล้าฆ่าข่มขืนผู้คน เขาเห็นความอยุติธรรมมาแล้วมากมาย และลงดาบสังหารผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“แต่ข้าไม่คิดว่าเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้…”
เหมียวโหย่วฟางเบ้ปาก “ข้ายังรู้ตัวดี”
การกระทำของเขาเป็นสิ่งไร้สาระน่ารำคาญในสายตาของผู้แข็งแกร่งทั้งหลาย ไม่อาจนำมาซึ่งการต่อสู้อันน่าตกใจอย่างเมื่อวานได้
“ผู้อาวุโส ท่านบอกข้ามาตามตรงได้หรือไม่ ข้าจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ หาไม่แล้ว ท่านจงรีบลงมือเถิด แม้ข้าจะเคยสังหารผู้คนมามากมาย แต่ข้าก็ไม่เคยทรมานใคร”
“หากเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้เล่า” สวี่ชีอันถามกลับ
เหมียวโหย่วฟางเผยสีหน้าจริงใจและเคร่งขรึม “ท่านก็เป็นบิดาของข้า”
…น่าสนใจ! แต่ไม่ได้ เจ้าอัปลักษณ์เกินกว่าจะเป็นลูกชายของข้าได้
สวี่ชีอันกุมไหล่ของเขา “จะมีชีวิตต่อไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้าต่อจากนี้”
เขากระโจนขึ้น ท่ามกลางสายตางุนงงของเหมียวโหย่วฟาง
ทั้งสองหายวับไปจากชั้นแรกของเจดีย์พุทธะ ไปโผล่ที่ชั้นสามทันที
เหมียวโหย่วฟางมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ไม่เท่ากับชั้นแรก
ด้านทิศเหนือและใต้มีรูปหล่อทองคำฝั่งละรูป ทิศตะวันตกมีท่อนมือขาด ทิศตะวันออกมีตั่งเล็กหลังหนึ่ง ด้านบนมีภิกษุเฒ่าหนึ่งรูป และหญิงสาวหนึ่งคนกำลังนั่งสมาธิอยู่
หญิงสาวผู้นั้นหน้าตาธรรมดา มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งนอนอยู่บนตัก เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา หญิงสาวผู้นั้นก็ยกมือขึ้นประนม ด้วยท่าทีเคร่งครัด
“ไต้ซือ ช่วยกรุณาสั่งสอนธรรมะให้กับเขาด้วยนะขอรับ”
สวี่ชีอันหันไปประนมมือให้กับภิกษุเฒ่า เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับ เขาจึงหันมาหาเหมียวโหย่วฟาง และเอ่ยถาม
“เคยฆ่าคนตามอำเภอใจหรือไม่”
“อะไรคือการฆ่าคนตามอำเภอใจหรือขอรับ”
“ก็สังหารคนที่ไม่ได้ทำความผิดสาหัสสมควรแก่ความตายอย่างไรเล่า”
“คนที่ข้าสังหารล้วนสมควรตายทั้งสิ้น”
“เคยข่มขืนหรือปล้นชิงผู้ใดหรือไม่”
“ข้ารังเกียจสิ่งเหล่านั้น”
เพื่อเพิ่มระดับการโน้มน้าวใจ เหมียวโหย่วฟางเชิดคางขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิ
“ในหอนางโลมมีสาวงามไม่ใช่หรือ อีกทั้งพวกนางยังรู้จักปรนนิบัติพัดวี ไม่จำเป็นต้องข่มขืนปล้นฆ่าใคร ข้าก็สามารถหาเงินไปใช้ในหอนางโลมได้มากมาย”
เป็นพวกที่ชื่นชอบงานอดิเรกเหมือนกันนี่เอง…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วหันหน้าไปมองภิกษุเฒ่าด้านข้าง
ฝ่ายหลังพยักหน้า
เหอะ ในที่สุดก็ได้พบกับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยดีๆ สักที ที่ผ่านมาเจอแต่อะไรก็ไม่รู้!
สวี่ชีอันกล่าว “เจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงไล่ล่าเจ้าไม่ยอมปล่อย แล้วไหนจะข้าที่จับเจ้ามาขังไว้ในเจดีย์นี่อีก”
เหมียวโหย่วฟางที่สงสัยมานาน พยักหน้าอย่างแรง
“อันที่จริง ความสามารถของเจ้าไม่ดีเลิศเลออันใดหรอก” สวี่ชีอันพูดอธิบาย
แต่แล้วก็ต้องถูกเหมียวโหย่วฟางขัดจังหวะทันที เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างโอหัง
“แม้ว่าท่านจะเป็นผู้อาวุโส และข้าก็ไม่ควรปฏิเสธสิ่งที่ท่านกล่าว ด้วยหวังจะเอาชีวิตรอด แต่จะว่าข้าอย่างไรข้าไม่สน แต่มาบอกว่าข้าไร้ความสามารถ เรื่องนี้มันเกินจะรับไหว ผู้อาวุโส ข้าเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านนะขอรับ”
เช่นนั้นเจ้าไม่พูดออกมาด้วยเลยล่ะว่าเจ้าเป็นชายหนุ่มที่รูปงามที่สุด ดูเหมือนว่าเขาจะลำพองในความสามารถของตนมากทีเดียวนะนี่…สวี่ชีอันสะกดไม่ใช้มุมปากกระตุก แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น
“ตอนนี้ความสามารถส่วนใหญ่ของเจ้า มีที่มาจากสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกร”
เหมียวโหย่วฟางไม่เชื่อ แต่ก็ตั้งใจฟังอย่างหูผึ่งในขณะเดียวกัน
“ในตอนที่ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่งบั่นคอจักรพรรดิทรราชลง เป็นเพราะปัจจัยไม่คาดคิดทั้งหลาย ทำให้ชีพจรมังกรแตกสลายกลายเป็นโชคชะตาชนิดหนึ่ง อืม ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่งผู้นั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากพรสวรรค์ ทั้งยังเป็นอัจฉริยบุคคลหายากที่จะโผล่มาในหลายร้อยปี เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดซ้ำซากอีก ผู้ที่ได้รับปราณมังกรจะได้เดินทางผจญภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เงินทองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เส้นสาย ระดับความคืบหน้าในการฝึกตนใดๆ ล้วนแล้วจะรุ่งโรจน์ไปได้ด้วยดี
“สถานการณ์ของเจ้า เจ้ารู้ดีที่สุด เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนเป็นต้นมา โชคชะตาของเจ้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไปที่ใดก็ได้พบปะมิตรสหาย ได้รับของกำนัลจากหลายฝ่าย
“ด้านการบำเพ็ญก็ก้าวหน้าทุกวันทุกคน ไม่ว่าจะพบอุปสรรคเช่นไร ก็มีคนช่วยจัดการให้เสมอ
“อีกอย่าง ไปพนันขันแข่งสิบครั้งก็ชนะกลับมาเก้าครั้ง เงินทองเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน”
เหมียวโหย่วฟางยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเงียบขรึม เขาไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน
สิ่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้พูดมาถูกต้องทุกประการ ที่เขาใช้ผู้อาวุโสท่านนี้ ก็เป็นเพราะเขาเห็นแล้วว่าฆ้องเงินสวี่ไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยตัวตนออกไป
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขากลับมาถึงบ้านจากการเดินทางท่องแดนต่างถิ่น จู่ๆ หญิงสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้านก็หันมาชื่นชอบในตัวเขา อาจารย์ที่สอนวิชาหมัดมวยให้กับเขา จู่ๆ ก็เอาตำราเคล็ดวิชาลับมาให้เขา บอกว่าตนคงจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน จึงไม่อยากให้เคล็ดวิชาหายสาบสูญไป…
เขาออกมาจากหมู่บ้านเพื่อท่องโลกกว้างอีกครั้ง ได้พบเจอกับการผจญภัยต่างๆ นานา นอกจากที่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นไล่ฆ่า ก็ดูเหมือนจะไม่เจออันตรายอย่างอื่นอีกแล้ว
ตบะก็ก้าวหน้าลืมวันลืมคืน
เหมียวโหย่วฟางลองเป็นการลองเชิง “เช่นนั้นแล้ว..”
สวี่ชีอันตอบ “หากปราณมังกรกระจัดกระจายอยู่ข้างนอกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วราชวงศ์จะล่มสลาย หากถูกชาวต่างแดนช่วงชิงไป ผู้ครองแผ่นดินตอนกลางคงต้องถูกเปลี่ยนมือ ดังนั้นข้าจึงต้องเก็บรวบรวมปราณมังกร”
เมื่อเห็นสีหน้าขัดขืนของเหมียวโหย่วฟาง เขาก็เอ่ยด้วยความเยาะเย้ย
“เป็นอะไรไป ไม่พอใจงั้นหรือ เจ้าปรารถนาอยากเป็นวีรบุรุษ ย่อมรู้ดีถึงความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษที่ต้องรับใช้ประเทศชาติและราษฎร”
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบงัน ชายหนุ่มผิวคล้ำก้มหน้านิ่ง ใบหน้าดิ้นรนขัดแย้งฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปนาน เขาจึงถามต่อ “ข้าเป็นหมูในอวยของผู้อาวุโสแล้ว ท่านจะชิงเอาปราณมังกรไปอย่างไรก็ย่อมได้ เหตุใดต้องบอกอะไรกับข้ามากมายถึงเพียงนี้”
สวี่ชีอันกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าเป็นพวกสวะ ข้าก็คงไม่พูดมากให้เสียเวลาหรอก”
เหมียวโหย่วฟางจ้องมองสวี่ชีอันไม่กี่วินาที แล้วจึงก้มหน้าลง
เขาเงียบไปประมาณสิบกว่าวินาที ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ข้าก็เป็นวีรบุรุษ วีรบุรุษต้องรักษาภาพพจน์ของวีรบุรุษเอาไว้
“หากปราณมังกรสามารถช่วยเหลือราชสำนักได้จริงๆ หากว่ามันอยู่ในร่างของข้าจริง เช่นนั้น เช่นนั้นท่านก็เอาไปเถิด…”
สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาทันที หันกระจกไปทางเขา และสวดท่องคาถาเบาๆ
ทันใดนั้นดวงตาของเหมียวโหย่วฟางก็เป็นประกายสีทอง ราวกับมีร่างมังกรเคลื่อนผ่าน ร่างมังกรสีทองตัวเขื่องลอยขึ้นเหนือศีรษะของเขา และเข้าไปอยู่ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เหมียวโหย่วฟางรู้สึกว่างเปล่า สูญเสีย
เขาไม่เห็นปราณมังกร แต่เมื่อสักครู่กลับรู้สึกได้ว่าสิ่งสำคัญบางอย่างได้จากไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าข้ามีสิ่งที่สำคัญที่สุดสามสิ่งแล้ว เหลือปราณมังกรสุดท้ายอีกหกสาย แล้วข้าก็จะเสร็จสิ้นภารกิจ…สวี่ชีอันปลาบปลื้มใจอย่างมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เขารวบรวมปราณมังกรได้ถึงสามสาย
อีกทั้ง กระบวนการบ่มเพาะดาบไท่ผิงก็เร็วขึ้นเพราะปราณมังกรสายใหม่นี้ด้วย
เมื่อหางตาเหลือบเห็นสภาพร่อแร่ของเหมียวโหย่วฟาง สวี่ชีอันก็เอ่ยเตือนอย่างอารมณ์ดี
“ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง คือผู้ที่ไม่มีสิ่งใดมาทำลายจิตใจของเขาได้ เมื่อจิตใจไร้ซึ่งความกล้า ต่อให้พลังมากมายเพียงไร ก็ทำได้แค่รังแกคนอ่อนแอ และต้องตกตายในแบบเดียวกันเท่านั้น”
เหมียวโหย่วฟางเกาศีรษะแกรกๆ “ข้าควรจะพอใจแต่เพียงเท่านี้ หากไม่มีปราณมังกร บางทีชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คงไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างตอนนี้ อันที่จริงความสามารถของข้าไม่ดีจริงๆ อาจารย์สอนมวยในหมู่บ้านของข้าก็เคยพูดไว้
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายต่างหัวเราะเยาะในความสามารถของข้า ความสามารถธรรมดาแต่ริอ่านคิดอยากเป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัย ตอนอายุสิบหก ข้าออกจากหมู่บ้านไปท่องยุทธภพ จนกระทั่งอายุยี่สิบสามถึงมีเงินพอกลับมาขอให้ยอดฝีมือขั้นหลอมวิญญาณช่วยประสาทวิชาให้
“เพื่อที่จะเก็บเงินส่วนนี้ ข้าไม่เปลี่ยนรองเท้าเลยเป็นเวลาสองปี และเย็บปะเสื้อคลุมตลอดสามปี
“แต่เมื่อไม่นานมานี้ โชคชะตาของข้าก็พลิกผันไปทันตา ในที่สุดข้าก็ได้เป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัยที่ใครๆ ก็ชื่นชมได้สักที…เฮ้อ ในหนังสือเขาว่าอย่างไรหนอ อ้อ มองดอกไม้ในกระจก มองดวงจันทร์ในเงาน้ำ
“แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของข้า อย่างไรก็ไม่ใช่ของของข้าอยู่วันยังค่ำ”
เขาก้มศีรษะ ทำหน้าหงอยๆ เหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ที่ถูกดีดกลับไปยังร่างเดิม
“ข้ากำลังขาดคนติดตามข้างกายอยู่พอดี”
เหมียวโหย่วฟางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องมองสวี่ชีอันด้วยสายตาเย็นชา
สวี่ชีอันกล่าวพึมพำกับตัวเอง “เป็นผู้ติดตามของข้า เจ้าต้องขยันอดทน ทำงานเหมือนวัวเหมือนม้า ไม่มีค่าตอบแทน แต่บางครั้งบางทีข้าจะสอนกระบวนวิชาให้สักครึ่งท่าก็ได้”
เหมียวโหย่วฟางพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพ่อ”
…สวี่ชีอันมุมปากกระตุกทันที
…
หมู่บ้านซิ่วสุ่ย ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองยงโจว
หลิ่วหงเหมียนนั่งอยู่บนหลังคา มือหนึ่งกอดเข่า อีกมือหนึ่งเท้าคางไว้ ทอดสายตามองทิวทัศน์ไกลออกไปอย่างเบื่อหน่าย
สวี่ชีอันแข็งแกร่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นชายหนุ่มที่เก่งกาจที่สุดในตอนกลาง…
ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้ จีเสวียนจะสูญเสียจิตวิญญาณนักสู้ไปจนหมดสิ้น การตายของนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยส่งผลกระทบต่อเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ ทั้งที่เป็นแค่นักพรตผู้มีตบะตื้นเขินเท่านั้นเอง…
สมาชิกกลุ่มต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ข้าเองก็ควรจะหาทางออกใหม่เสียแล้ว…
เฮ้อ หากติดต่อกับฆ้องเงินสวี่ได้ก็ดีสิ ข้าจะกลับไปหอหมื่นบุปผาที่เจี้ยนโจว แล้วไล่เซียวเยว่หนูออกจากสำนักเสียเลย…
หลิ่วหงเหมียนความคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา
นางผละสายตากลับมา มองไปยังจีเสวียนที่อยู่ในลานบ้าน นายน้อยนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำ ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังนั่งอยู่ในลานบ้านทั้งคืน
“แต่ว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเขาเสียทีเดียวก็ได้ มีชีวิตรอดผ่านความพ่ายแพ้ครั้งนี้มาได้ ต่อไปก็จะยิ่งไปได้ไกลขึ้น สูงขึ้น”
หลิ่วหงเหมียนส่งเสียงจิ๊ๆ สองคำ นางยังหวังพึ่งพาจีเสวียนเพื่อทวงหอหมื่นบุปผาและตำแหน่งผู้ดูแลหอกลับมา
…
เหมียวโหย่วฟางเลือกที่จะอยู่ข้างกายสวีเชียน เป็นผู้ติดตามไร้นาม
ผู้ติดตามไร้นาม เป็นสิ่งที่เขานิยามให้แก่ตนเอง ความจริงแล้วเจ้าเด็กนี่เป็นคนที่ช่างจ้อ และยังทำตัวเหมือนเป็นคนเก่าคนแก่อีกด้วย
“ท่านจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ข้าออกท่องยุทธภพมาหลายปี ท่านเป็นคนเดียวที่ข้านับถือเลยขอรับ ท่านจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ท่านพูดอะไรสักคำหน่อยสิขอรับ”
หลี่เมี่ยวเจินตอบไปตามมารยาทในตอนแรก แต่เมื่อพอว่าชายหนุ่มผู้นี้เอาแต่พูดไม่หยุด นางก็เลิกสนใจเขาไป
“พี่ฉู่ ข้าไม่ได้จะว่าร้ายท่านนะขอรับ แต่รับราชการอยู่ในราชสำนักอยู่ดีๆ เหตุใดถึงออกมาเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพเล่าขอรับ ปัญญาชนในหมู่บ้านข้านั้นมีอำนาจสูงส่งเชียวขอรับ”
ฉู่หยวนเจิ่นเองก็ไม่พิสมัยการพูดคุยกับเขาเช่นกัน เหตุผลเป็นเพราะเขาเอาแต่วิจารณ์นิสัยเอาแต่ใจของเขา ทั้งๆ ที่สอบได้เป็นถึงจอหงวน แต่สุดท้ายกลับลาออกจากราชการ เหตุใดถึงเอาแต่ใจเช่นนี้
“พี่หลี่ ต่อไปข้าจะดูแลเรื่องกาน้ำชาให้กับผู้อาวุโสสวีเอง ท่านซักเสื้อผ้า ทำกับข้าวกับปลาให้ผู้อาวุโสไปก็แล้วกัน”
“ข้าบอกไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าข้าไม่ใช่ผู้ติดตามของผู้อาวุโสสวี”
“ก็ได้ เช่นนั้นท่านรับหน้าที่ดูแลกาน้ำชาไป ส่วนข้าจะรับหน้าที่ซักผ้าทำอาหารเอง”
เมื่อเห็นว่าเหมียวโหย่วฟางกำลังทำความรู้จักกับทุกคนอยู่ สวี่ชีอันก็เรียกพวกเขาออกมาจากเจดีย์พุทธะ หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางไปยังยงโจวด้วยกระบี่บิน
ที่หมายคือสุสานใต้ดินนอกเมือง
ลั่วอวี้เหิงอยากมาสำรวจด้านนี้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่สวี่ชีอันออกมาจากสุสาน แล้วมาเล่าเรื่องราวให้ลั่วอวี้เหิงเมื่อกลับถึงเมืองหลวง
หลังจากสังเกตดูเครื่องแต่งกายของคนในยุคนั้นบนภาพเขียนฝาผนัง นางก็เปิดบันทึกประวัติศาสตร์ของนิกายมนุษย์ดู แต่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึงขนาดนั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งผู้อาวุโสในวังใต้ดิน อาจจะเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยที่เก่าแก่ก่อนที่นิกายมนุษย์จะปรากฏขึ้น
ลั่วอวี้เหิงจึงเอาแต่นึกถึงปรมาจารย์นิกายมนุษย์ท่านนั้น ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะคนผู้นี้ล้มเหลวในการหนีเคราะห์กรรม แต่ไม่สูญสลายไป
กลับกันเขาสลัดทิ้งร่างเก่า และตัดขาดจากอดีตไป
ลั่วอวี้เหิงไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้ชะตากรรมสวรรค์ จากอดีตถึงปัจจุบัน ผู้นำเต๋าขั้นสองแห่งนิกายมนุษย์หนีเคราะห์กรรม ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ และไม่มีใครมีชีวิตรอดภายใต้ชะตากรรมสวรรค์ได้
คนคนนี้ไม่ธรรมดา
เมื่อมาถึงที่หมาย ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่หน้าปากถ้ำ หันกลับมาเอ่ยว่า
“พวกเจ้ารอข้างนอก ข้าจะเข้าไปกับเขา”
สองศิษย์นิกายสวรรค์อย่างหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่ต่างไม่สบอารมณ์
แต่เพียงแค่ลั่วอวี้เหิงส่งสายตาให้กับทั้งสองเบาๆ พวกเขาก็เต็มใจทันที
ดังนั้น ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งสี่ รวมถึงเหมียวโหย่วฟาง เด็กรับใช้ที่สวี่ชีอันเพิ่งรับเข้ามาใหม่จึงต้องรอข้างนอกถ้ำ
เมื่อสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงเข้าไปในถ้ำแล้ว ข้างบนก็มีเสียงของเหมียวโหย่วฟางดังขึ้นไล่หลัง
“ท่านจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ท่านกลายเป็นวีรสตรีแห่งยุคสมัยอย่างรวดเร็วได้อย่างไรหรือขอรับ ข้าเที่ยวกำจัดเหล่าอธรรม เป็นวีรบุรุษ สะสมชื่อเสียงมาหลายปีเลยขอรับ…”
“เหอะ ชื่อเสียงของศิษย์น้องหญิงของข้า ครึ่งหนึ่งมาจากชื่อเสียงของนิกายสวรรค์ทั้งสิ้น เจ้าคิดว่านางได้มาด้วยตัวเองทั้งหมดจริงหรือ”
บทสนทนาหลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว เขาเดินนำหน้า พาลั่วอวี้เหิงตรงลึกเข้าไปในวังใต้ดิน
วังใต้ดินมืดสลัว ยิ่งเดินลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งมองไม่เห็นอะไรแม้แต่นิ้วมือของตนเอง
สวี่ชีอันจุดคบเพลิงที่เตรียมไว้ แล้วพูดขึ้น
“คราวก่อนที่มาที่นี่ พบว่าผนึกของเสินซูเริ่มคลายลงแล้ว หากไม่สนใจ อย่างมากหนึ่งปีมันก็จะหลุดพ้นออกจากผนึกได้
“ท่านราชครูช่วยเป็นธุระเสริมผนึกให้แข็งแรงขึ้นได้พอดี”
รัศมีของแสงไฟสาดกระทบดวงหน้างดงามอ่อนช้อยของลั่วอวี้เหิง นางส่งเสียง ‘อืม’ เพียงคำเดียว
หลังจากเดินผ่านวังใต้ดินที่ทรุดตัวลง ไม่นานก็มาถึงประตูหินขนาดใหญ่ยักษ์
“เอ๊ะ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ลั่วอวี้เหิงหันหน้าไปมอง
เขาอธิบาย “ครั้งก่อนที่ข้ามา ไม่เห็นจำได้ว่าปิดประตูเอาไว้”
สวี่ชีอันพูดขณะที่เดินเข้าไปในสุสานหลักโดยไม่ใส่ใจมากนัก คิดว่าคงเป็นฝีมือของศพโบราณที่ลุกขึ้นมาปิดเองก็ได้
‘ครืด ครืด…’
ประตูหินถูกเปิดออกอย่างช้าๆ
สวี่ชีอันถือคบเพลิงขึ้นส่องเข้าในสุสานหลัก
กองหินที่อยู่ในบริเวณนี้เหมือนกับเพิ่งถูกขุดขึ้นมา ทั้งๆ ที่มันหลงเหลือมาจากวันที่เสินซูต่อสู้กับศพโบราณวันนั้น
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นศพโบราณนั่งสมาธิ เมื่อเดินเข้าไปข้างในประมาณสิบกว่าก้าว ก็เห็นศพมนุษย์แตกหักกองอยู่บนพื้น
ศพโบราณ…ตายแล้วหรือ?!