ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 588 บริจาค
บทที่ 588 บริจาค
หัวข้อหารือในการประชุมศาลเล็กครั้งนี้ก็คือ ‘ภัยพิบัติหิมะ’ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิก็ลดฮวบอย่างรวดเร็ว
ครอบครัวที่พอจะฝืนรัดเข็มขัดและมีชีวิตอยู่ได้ก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นความหนาวเย็น จนต้องใช้เงินซื้อฟืน ชุดกันหนาว และสิ่งของต่างๆ มาเพิ่มมากขึ้น
แต่สำหรับชาวนายากจนแล้ว เงินที่ได้ในแต่ละปีมีน้อยนัก ล้วนแต่ต้องคำนวณเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่มอย่างรัดกุมอย่างยิ่ง
หากนำเงินไปซื้อฟืนและชุดกันหนาว นั้นก็หมายความว่าจะไม่มีเงินซื้อข้าวสาร
ประชาชนคนยากจนมากมายไม่อาจอยู่รอดผ่านฤดูหนาวไปได้ และผู้ที่ต้องทนทรมานกับความอดอยากและความหนาวเย็นก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน
ราชสำนักได้รับรายงานจากที่ว่าการท้องถิ่นแต่ละแห่งติดต่อกัน ซึ่งต่างก็ใช้คำว่า ‘สิบหมู่บ้านไม่เหลือแม้แต่ครัวเรือนเดียว’ มาอธิบายความน่ากลัวของภัยพิบัติครั้งนี้
เลขาธิการศาลต้าหลี่ออกมาโค้งคำนับและเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท โปรดให้กรมการคลังระดมเงินและเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากประชาชนขาดเสื้อผ้าอาหาร ก็มิอาจมีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวไปได้ เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนพเนจรจนเกิดเป็นภัยพิบัติต่อเมืองแต่ละเมือง ประชาชนที่ถูกคนพเนจรปล้นก็จะกลายเป็นคนพเนจรไปด้วย หากไม่อาจระงับภัยพิบัติโดยเร็ว เกรงว่าจะเสียหายหนักมาก”
จักรพรรดิหย่งซิ่งยังไม่ทันเอ่ยอะไร เจ้ากรมการคลังก็รีบออกมาคำนับเอ่ยเสียงดัง
“ฝ่าบาท คลังหลวงว่างเปล่าแล้ว ไม่มีเงินและเสบียงเหลือพอจะนำมาช่วยภัยพิบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาทโปรดพิจารณา”
ในช่วงภัยพิบัติแต่ละปี สำหรับเจ้ากรมการคลังอย่างเขาแล้ว ล้วนแต่เป็นพายุใหญ่ที่ชวนเขย่าหมวกขุนนางของเขายิ่งนัก
อย่างที่คิดไว้ ขุนนางใกล้ชิดในกรมการคลังรีบเดินออกมาเอ่ยเสริมทันที
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอเอาผิดเจ้ากรมการคลังที่ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทุจริตตัวบทกฎหมาย และสมคบคิดกันกัดกินไขกระดูกของราชสำนัก จนทำให้คลังหลวงว่างเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมการคลังคุกเข่าลงแล้วกล่าวเสียงดัง “กระหม่อมถูกใส่ร้าย”
มุมปากของจักรพรรดิหย่งซิ่งกระตุกขึ้น มองพินิจขุนนางทั้งหลายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
การต่อสู้ในราชสำนัก!
มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีแต่การต่อสู้ในราชสำนัก!
‘เป็นเพราะกลุ่มปัญญาชนที่รู้จักแต่ต่อสู้กันในรั้วในวังนั่นแหละที่ร่วมมือกับจักรพรรดิองค์ก่อน แล้วไม่สนใจไยดีประชาชนผู้ได้รับภัยของต้าฟ่ง…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งกำหมัดแน่น จากนั้นก็หัวเราะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“เมื่อวานข้าได้กล่าวไว้แล้ว ภัยพิบัตินั้นร้ายแรง ขุนนางทั้งท้องพระโรงจะต้องร่วมใจกันหารือกลยุทธ์ให้ดี ขุนนางรักทั้งหลายโปรดใจเย็นๆ เถิด”
พวกเจ้ากรมการคลังพากันวางธงรบทันที
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “คลังในแต่ละท้องถิ่นเป็นอย่างไร”
เจ้ากรมการคลังเอ่ย “ได้เปิดคลังทั้งหมดเพื่อบรรเทาภัยพิบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ เพียงแต่ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ราชสำนักและสำนักพ่อมดมีการต่อสู้กัน จึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เสบียงอาหารในวันนั้นล้วนรวบรวมมาจากท้องถิ่นทุกที่ ดังนั้นคลังเสบียงของแต่ละท้องถิ่นจึงมีไม่พอแล้ว”
จักรพรรดิหย่งซิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นคลังราชการเล่า?”
เมื่อเอ่ยจบ ขุนนางในท้องพระโรงต่างก็มองหน้ากัน รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงเดินออกมากล่าวว่า
“ทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากต้องการทำให้สถานการณ์ในแต่ละท้องถิ่นสงบลง ก็ต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาและขุนนางปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ จะเคลื่อนย้ายคลังราชการมิได้เด็ดขาด”
ยุ้งฉางสำหรับช่วยเหลือภัยพิบัตินั้นจะนำเปิดใช้ในยามยาก
ส่วนคลังราชการเป็นส่วนที่จะกระจายเงินเดือนให้กับขุนนาง
เมื่อแตะต้องคลังราชการ หากราชสำนักไม่อาจจ่ายเงินเดือนได้ นั่นแหละที่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่ของจริง
จักรพรรดิหย่งซิ่งสีหน้านิ่งขรึม “เช่นนั้นขุนนางหลิวมีแผนการดีๆ หรือไม่”
หลิวหงเอ่ยวิเคราะห์ “ชนเผ่าปีศาจและอารยชนทางเหนือยังติดหนี้ราชสำนักเป็นขนสัตว์ เกลือ และแร่เงินอีกนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทสามารถส่งทูตไปบอกกล่าวที่ชายแดนเหนือได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งดวงตาสว่างวาบ ขุนนางใต้บัญชาก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้จนเสียงเซ็งแซ่ แต่สมุหราชเลขาธิการหวางกลับเดินออกมาคำนับแล้วกล่าวว่า
“เรื่องนี้ทำมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขุนนางทั้งหลายรีบเอ่ยค้าน
“เหตุใดจึงทำไม่ได้?”
“ข้าคิดว่าแผนการของใต้เท้าหลิวยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ชนเผ่าอนารยชนมีวัวและแกะเป็นฝูง มีขนสัตว์มากมายนับไม่ถ้วน สามารถป้องกันความหนาวและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของราชสำนักได้พอดี”
สมุหราชเลขาธิการหวางรอให้ขุนนางทั้งหลายพูดให้จบแล้วจึงเอ่ยพูดต่อ
“ในวันนั้นได้มีการร่างหนังสือสาบานลงนามเป็นสวี่ซินเหนียนแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ซึ่งกระหม่อมเป็นผู้ตรวจสอบดูแลด้วยตนเอง กระดาษขาวอักษรดำล้วนเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าขนสัตว์และสัตว์ทั้งหลายของชนเผ่าอนารยชน จะนำมามอบให้ต้าฟ่งในอีกสามปีให้หลัง ตอนนี้สงครามเพิ่งจะสงบลงได้ไม่ถึงสองเดือน ชนเผ่าอนารยชนกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู จึงขาดแคลนเสบียงสิ่งของอย่างหนัก หากตอนนี้บังคับให้พวกเขาทำตามสัญญาละก็…”
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้เอ่ยต่อ แต่ขุนนางทั้งหลายล้วนเข้าใจดี
นั่นจะเป็นการบีบให้ต้าฟ่งต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจ
จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้สึกหงุดหงิดนัก จึงเอ่ยถาม “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมีแผนดีๆ หรือไม่”
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจ ถึงจะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง ก็รู้สึกได้ถึงสายตาแผดเผาหลายคู่ที่ส่งมาจากข้างหลัง
ในฐานะที่เป็นสมุหราชเลขาธิการ มีบางเรื่องเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“แม้ว่าคลังหลวงจะว่างเปล่า แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงไปจนถึงทุกแห่งในภาคกลางกลับยังมีเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ฝ่าบาทสามารถเรียกร้องให้ผู้ชื่นชอบสะสมความดีทั้งหลายบริจาคได้”
‘มาแล้ว…’ ขุนนางทั้งหลายใจตกไปที่ตาตุ่ม
ความจริงเมื่อหลายวันก่อนก็มีข่าวลือแพร่ในเมืองหลวงว่าฝ่าบาทจะเรียกร้องเงินบริจาคเพื่อเติมคลังหลวงที่ว่างเปล่า เสมือนกรีดเลือดเฉือนเนื้อของพวกเขาไป
จักรพรรดิหย่งซิ่งกำลังรอคอยเวลานี้อยู่ เขาจึงยิ้มออกมา
“แผนการนี้ยอดเยี่ยมนัก ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการคิดว่าควรจะเรียกร้องอย่างไรดี”
สมุหราชเลขาธิการหวางเอ่ย “ให้ขุนนางทั้งหลายเป็นผู้นำในการบริจาค ส่วนกระหม่อมยินดีบริจาคทรัพย์สินของตระกูลครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยภัยพิบัติและบรรเทาทุกข์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา ขุนนางทั่วทั้งท้องพระโรงก็พากันตกตะลึง
พรรคหวางและอดีตสมาชิกพรรคเว่ยมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที พวกเขาแสดงออกด้วยท่าทีแบบเดียวกับสมุหราชเลขาธิการหวาง ต่างก็บอกว่าจะบริจาคทรัพย์สินของตระกูลครึ่งหนึ่งเพื่อเติมเต็มคลังหลวง
แต่ขุนนางใหญ่หลายคนก็มีท่าทีต่อต้าน
“ฝ่าบาท เช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเราล้วนเป็นขุนนางมือสะอาดที่พอจะอาศัยเงินเดือนประทังชีวิตอยู่ได้ แล้วจะเอาทรัพย์สินตระกูลมาจากที่ใดกัน”
“พ่อค้าล้วนแสวงหาผลกำไร การให้พวกเราบริจาคก็เปรียบดังการเฉือนเลือดขูดเนื้อ จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นแน่นอน”
“เรื่องที่คลังหลวงว่างเปล่ามิควรป่าวประกาศออกไปให้พวกสำนักพ่อมดรู้ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะมีภัยพิบัติสงครามขึ้นอีกได้ ส่วนภายใน หากให้ประชาชนรู้ว่าราชสำนักแข็งนอกแต่กลวงข้างใน เช่นนั้นก็จะมีคนพเนจรที่กลายเป็นโจรร้ายมากมาย จนทำให้เกิดภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด”
พอได้ยินว่าจักรพรรดิจะเรียกร้องให้บริจาคและสมุหราชเลขาธิการหวางก็เป็นผู้นำบริจาคทรัพย์สินตระกูลครึ่งหนึ่ง พวกขุนนางก็มีท่าทีตอบสนองอย่างรุนแรง ต่างก็มายืนอยู่ข้างเดียวกันอย่างรู้ใจ
แม้ว่าปกติพวกเขาจะขัดแย้งกันเหมือนน้ำกับไฟก็ตาม
จักรพรรดิหย่งซิ่งยกมือขึ้นเพื่อสงบการโต้เถียงของเหล่าขุนนาง
ที่นี่คือห้องทรงพระอักษรไม่ใช่ตำหนักกระดิ่งทอง จึงไม่มีขันทีใช้แส้ห้ามทัพ
หลังจากขุนนางทั้งหลายสงบลงแล้ว เขาก็มองไปที่เลขาธิการศาลต้าหลี่แล้วเอ่ย
“ใต้เท้าเลขาธิการศาล มีความเห็นอย่างไร?”
ขุนนางในที่นั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญของพรรคใหญ่ๆ หากจัดการพวกเขาได้ ก็จะสามารถจัดการคนส่วนใหญ่ของพรรคได้
และตอนนี้เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็เป็นผู้นำของพรรคฉี ผู้นำเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากเขาพยักหน้า พรรคฉีก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าจัดการได้ไปกว่าครึ่ง
“ฝ่าบาท!” เลขาธิการศาลต้าหลี่เดินออกมาโอดครวญ
“กระหม่อมเป็นขุนนางมายี่สิบปี ทำงานหนักแสนลำเค็ญ ใสซื่อมือสะอาด ยามร้อนไม่มีน้ำเย็น ยามหนาวเย็นไม่มีถ่านไฟ แค่พอจะฝืนมีชีวิตต่อไปได้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าพลางก็สะบัดแขนเสื้อจนร่นลงมา และเผยให้เห็นมือที่ถูกน้ำแข็งกัดคู่หนึ่ง
“กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อราชสำนักจวบจนสิ้นลมหายใจ แต่กระหม่อมยังสงสารภรรยาและลูก ไม่อยากให้พวกเขานอนหนาวตายอยู่ข้างถนน หากฝ่าบาทยืนกรานจะทำเช่นนี้ กระหม่อมก็คงต้องเฉือนกระดูกให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
‘จิ้งจอกเฒ่า…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งปวดหัวตุบๆ จากนั้นก็โบกมือติดๆ กัน
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น…”
หากต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่บีบคั้นให้ขุนนางบริจาค จนทำให้กลายเป็นจักรพรรดิผู้ละโมบที่ทำให้ขุนนางลาออกมากมาย ทีนี้ชื่อเสียงก็จะเสื่อมเสีย และคงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
‘ไม่ต่างอะไรจากอดีตจักรพรรดิ’
จักรพรรดิหย่งซิ่งเชื่อว่าปัญญาชนพวกนั้นจะต้องเขียนแบบนี้แน่ๆ
เพราะผู้ที่ถูกบังคับให้บริจาคคือพวกเขา
จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยถามขุนนางใหญ่คนอื่นๆ อีก ปรากฏว่าต่างก็กระทบเข้ากับตะปูตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
หากมิได้ร่ำร้องว่ายากจน ก็บอกว่าจะเฉือนเนื้อตัดกระดูกตนเอง
สีหน้าของจักรพรรดิหนุ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อขี่เสือแล้วลงยาก สุดท้ายก็ตบโต๊ะ
“นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ราชสำนักเลี้ยงพวกเจ้าเอาไว้ทำอะไร ภายในสามวัน ข้าต้องการแผนการที่ครอบคลุมรอบด้าน หากไม่มีมาให้ ก็ไสหัวไปให้หมดเสีย!”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!”
ขุนนางทั้งหลายพากันคุกเข่า
…
การประชุมเล็กจึงจบลงล่วงหน้าเพราะความโกรธของจักรพรรดิหย่งซิ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางปรับหมวกขุนนางให้ดีแล้วกุมมือทั้งสองข้างไว้ใต้ชายแขนเสื้อ ก่อนจะเดินเคียงข้างรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวา และหัวหน้าหลิวหงแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลซึ่งเป็นผู้สืบทอดของเว่ยเยวียน พวกเขาเดินไปบนถนนที่ปูด้วยอิฐเขียวอันกว้างใหญ่
ด้านหน้าก็คือประตูอู่
มีทหารรักษาพระองค์เฝ้าอยู่ไกลๆ ส่วนทหารรักษาวังกำลังเดินลาดตระเวน สายตาสมุหราชเลขาธิการหวางไล่มองตามทหารรักษาวังที่เดินผ่านไปอย่างเหนื่อยหน่าย ผ่านไปพักหนึ่งก็ถอนสายตากลับมาแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า
“ฝ่าบาทเปิดเผยจุดอ่อนที่รักชื่อเสียงของตนออกมาชัดเกินไป แล้วจะสู้กับจิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนี้อย่างไรได้”
“ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์เกินไป”
“มีใจจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักร แต่จนใจที่ความสามารถยังไม่มากพอ” หลิวหงมิอาจปกปิดความดูแคลนของตน
สมุหราชเลขาธิการหวางสูดอากาศเยือกเย็นจนจมูกแดงก่ำ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“วิธีการยังไม่ประสา จิตใจยังไม่ล้ำลึกมากพอ เรื่องเล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ หากเป็นองค์ชายสี่คงไม่ดีไปกว่าเขานักหรอก”
หลิวหงเอ่ยออกมาอย่างไม่คิด “น่าเสียดายที่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเป็นสตรี”
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มเย็น “สาส์นแนะนำจากเอ้อร์หลางที่บอกให้ราชสำนักเรียกเงินบริจาคนั้น ก็มาจากความคิดขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งมิใช่หรือ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร”
หลิวหงเอ่ยใจเย็น “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการช่างเฉลียวฉลาดดวงตาเฉียบคมนัก”
“มิได้ให้คหบดีบริจาคเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังให้ฝ่าบาทระดมขุนนางทุกคนเพื่อบริจาค องค์หญิงช่างมองการณ์ไกลนัก”
สมุหราชเลขาธิการแค่นเสียง สีหน้าเยือกเย็นลง
“เจ้าไปบอกฮว๋ายชิ่งว่าต่อไปหากต้องการลองใช้วิธีของตัวเอง ก็อย่าได้เอาลูกเขยในอนาคตของข้ามาเป็นอาวุธ ฝ่าบาทอาจจะเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องทรงพิโรธไปถึงเอ้อร์หลางด้วย”
หลิวหงไม่ได้เอ่ยอะไร
ทั้งคู่เดินเคียงกันพักหนึ่ง จากนั้นสมุหราชเลขาธิการหวางก็ระงับโทสะแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“คลังหลวงของราชสำนักว่างเปล่า กรมการคลังยากจะไปต่อได้ สาเหตุที่ฝ่าบาทไม่แตะต้องเงินและเสบียงพวกนั้นก็เพื่อป้องกันกบฏอวิ๋นโจว”
หลิวหงเอ่ยเสียงต่ำ
“แต่ถ้าหากภัยพิบัติแผ่ขยาย จำนวนคนพเนจรก็จะเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทุกแห่ง เช่นนี้กองทัพกบฏก็เป็นสุขน่ะสิ หากใช้เสบียงกองทัพ มันก็จะตกไปอยู่ในมือของทัพกบฏพอดี ทว่าต่อให้ไม่ใช้ กองทัพกบฏก็ยังมีความสุขอยู่ดี”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักมักจี่กับสวี่ผิงเฟิงผู้นั้น แต่รู้ว่าพลังของคนผู้นี้สูงส่งจนน่าขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง”
หากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนกองทัพได้ ก็อาจทำให้เกิดการจลาจล
แต่ไม่ว่าภัยพิบัติจะเป็นอย่างไร หากไม่ควบคุมการเพิ่มจำนวนของคนพเนจรแล้วล่ะก็ สถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นและผลที่ตามมาจากไฟไหม้ในสวนหลังบ้านก็เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นเช่นกัน
“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็คิดแบบนั้นเช่นกัน” หลิวหงถอนหายใจ “ทีแรกคิดว่าหลังจากสิ้นอดีตจักรพรรดิแล้ว ราชสำนักจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่รุ่งเรือง แต่ใครเล่าจะรู้ว่ากลับเป็นความยุ่งเหยิง”
สายตาของสมุหราชเลขาธิการหวางทอดมองไปไกลราวกับซึ้งในอะไรบางอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยเสียงต่ำ
“หากแผนการนี้ทำได้จริงก็สามารถแก้ปัญหาเร่งด่วนได้อย่างแน่นอน แต่นางละเลยจุดสำคัญอย่างหนึ่งไป ถ้าอยากจะให้จิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนี้และขุนนางทุกระดับชั้นยินดีควักกระเป๋าตัวเอง ก็ต้องหาคนที่สยบสถานการณ์ได้ พอมองดูทั้งราชสำนักแล้ว ท่านโหราจารย์ก็ถือเป็นคนหนึ่ง อดีตจักรพรรดิก็เช่นกัน ข้าและเว่ยเยวียนรวมกันก็นับด้วย รวมถึงสวี่ชีอัน
“ท่านโหราจารย์ไม่สนใจการเมืองและกิจการของราชสำนัก อดีตจักรพรรดิและเว่ยเยวียนล้วนเป็นผู้ล่วงลับ สวี่ชีอันก็ออกเดินทางท่องยุทธภพ ก่อนหน้านี้ข้าได้ถามเอ้อร์หลางแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวของเขา”
หลิวหงตกตะลึง ที่แท้สมุหราชเลขาธิการหวางก็มองออกถึงแผนการนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนที่ไม่มีใครสังเกต เขากลับแอบพินิจพิเคราะห์ดูเรียบร้อยแล้ว
…
ตำหนักจิ่งซิ่ว
จักรพรรดิหย่งซิ่งเคลื่อนขบวนมาถึงตำหนัก แล้วเข้าไปในตำหนักจิ่งซิ่วภายใต้การรายล้อมของเหล่าขันที
เขาหยุดฝีเท้าอยู่ในสวนแล้วสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็นวดหว่างคิ้ว ทำให้สีหน้าไม่เข้มงวดหนักอึ้งเหมือนก่อนหน้านี้
มุมปากของเขาแต้มยิ้มบางๆ เดินตัดสวนและผ่านธรณีประตูเข้าไป เห็นว่ามารดาพร้อมน้องสาวรออยู่นานแล้ว
เฉินกุ้ยเฟยเรียกให้นางกำนัลมาชงชา จากนั้นก็เอ่ยตำหนิ
“แม้ว่าฝ่าบาทจะอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต แต่ก็ต้องใส่ใจร่างกายโอรสมังกรด้วยนะเพคะ อย่าได้ทำงานหนักเกินไป”
“เสด็จแม่มิต้องกังวลไป อารามรัตนะมีโอสถเสริมสุขภาพและบำรุงร่างกายมากมายอยู่แล้ว” หลินอันโบกมือน้อยๆ แล้วแย้มยิ้มราวบุปผา
“เสด็จพี่จักรพรรดิ รีบมาเสวยเถิด”
จักรพรรดิหย่งซิ่งเผยรอยยิ้มออกมา ความหงุดหงิดจากท้องพระโรงล้วนหายไป เริ่มเสวยพระกระยาหารโดยมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติให้
เขาเสวยไปได้ไม่กี่คำก็เอ่ยสนทนากับมารดาและน้องสาว
“หลายวันก่อนได้ยินจื้อเอ๋อร์บอกว่าในสำนักศึกษามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาใหม่ นางมาจากจวนของสมุหราชเลขาธิการหวาง ฉางคังเผลอยั่วยุอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายก็ถูกตีกลับมา จื้อเอ๋อร์จึงไปแก้แค้นแทนญาติผู้น้อง แต่ก็ถูกตีกลับมาจนหัวเป็นลูกซาลาเปาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
‘จื้อเอ๋อร์’ ผู้นี้คือโอรสคนที่สามของจักรพรรดิหย่งซิ่ง ปีนี้อายุได้สิบขวบแล้ว
ส่วนฉางคังคือบุตรคนรองของพี่ชายคนที่หกของหลินอัน
เฉินกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินว่าหลานชายถูกตีก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คิ้วใบหลิวเลิกขึ้นแล้วเอ่ย “เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องนี้”
“หม่อมฉันปิดเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด?”
เฉินกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจวิธีการของบุตรชาย
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มขมขื่น “นั่นคือน้องสาวของสวี่ชีอันขอรับ โชคดีที่วันนั้นถูกส่งออกจากวังแล้ว หนังสือก็ยังไม่ได้เรียน”
เฉินกุ้ยเฟยนิ่งเงียบทันใด
ราชวงศ์พ้นเคราะห์ไปได้โดยไม่รู้ตัว
เสวยกันไปพักหนึ่ง เฉินกุ้ยเฟยก็เห็นว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งมีสีหน้าอมทุกข์ไม่เป็นสุข จึงเอ่ยเสียงอ่อน
“ฝ่าบาท ราชสำนักมีปัญหาหรือเพคะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งลังเลครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
“คลังหลวงไม่มีเงินแล้ว ทั้งยังเพิ่งจะเสร็จจากศึกสงคราม คลังเสบียงของแต่ละที่ล้วนมีไม่พอ จึงไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ อีกทั้งคนพเนจรยังมีเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นชุมโจร แผ่นดินของข้ากำลังยุ่งเหยิง”
เขายังเอ่ยถึงความพ่ายแพ้ที่เจอตอนเรียกให้ขุนนางบริจาคออกมาด้วย
จักรพรรดิหย่งซิ่งนวดหว่างคิ้ว “พอได้มานั่งที่ตำแหน่งนี้จึงรู้ว่ายากเย็นเพียงใด ทุกคนในท้องพระโรงล้วนแต่เป็นศัตรู”
แม้จะกล่าวว่าเพิ่งครองบัลลังก์ได้ไม่นาน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงอุปสรรคหนักหนาแล้ว รวมถึงความไร้อำนาจที่เหล่าขุนนางไม่ทำตามที่ตนสั่ง
นี่คือสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยตนเองเมื่อสมัยที่ยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่
บรรยากาศบนโต๊ะหนักอึ้งทันที
จักรพรรดิหย่งซิ่งรีบเอ่ยพูด “มิจำเป็นต้องคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ลูกขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
เมื่อดื่มสุราเสร็จ จักรพรรดิหย่งซิ่งก็เอ่ยพูดหัวข้อที่สบายกว่านี้เพื่อให้เฉินกุ้ยเฟยยิ้มออก ทำให้มื้ออาหารของครอบครัวสบายมากยิ่งขึ้น
หลินอันลอบมองพี่ชายแล้วก็รู้สึกผิด
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเสด็จพี่รัชทายาทสนใจแค่การขึ้นครองบัลลังก์ มีความคิดและแนวคิดมากมายของเขาที่ทำให้นางไม่สบายใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปและได้ประสบกับเรื่องราวหลายอย่าง นางก็เริ่มโตขึ้น
เสด็จพี่รัชทายาทลุ่มหลงในตำแหน่งจักรพรรดิอย่างล้ำลึก แต่นอกจากความปรารถนาส่วนตนที่มีต่อบัลลังก์แล้ว เหตุผลส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่พวกนางสองแม่ลูก
เสด็จแม่ถูกฮองเฮากดไว้ไม่ให้โงหัวขึ้นมา นางก็มักจะถูกฮว๋ายชิ่งรังแกอยู่บ่อยๆ อีกอย่าง องค์ชายสี่ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากเว่ยเยวียนในราชสำนักด้วย
เสด็จพี่รัชทายาทอยากมีสิทธิ์มีเสียงและทำให้เสด็จแม่ได้เชิดหน้าชูคออยู่ต่อหน้าฮองเฮา รวมถึงทำให้นางมีอำนาจหยิ่งผยองต่อหน้าฮว๋ายชิ่งได้
…
เมื่อมื้ออาหารกลางเสร็จสิ้นแล้ว หลินอันก็ไปที่สวนเต๋อซินเพื่อถือโอกาสเดินเล่นย่อยอาหาร
เพิ่งจะเข้ามาในอาณาเขตของฮว๋ายชิ่ง นางก็เห็นขุนนางหนุ่มรูปร่างองอาจหล่อเหลาเดินออกมาจากข้างใน
ดวงตาของเขาเปรียบเสมือนดวงดารา ริมฝีปากแดงฟันขาว แก้มกระชับทำให้ดูองอาจขึ้นเป็นอย่างมาก ดูมีความเป็นบุรุษเพิ่มมากขึ้น
“กระหม่อมคารวะองค์หญิง”
สวี่ซินเหนียนหยุดเดินแล้วกุมมือคารวะ
“ใต้เท้าสวี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ดวงตาดอกท้อมีเสน่ห์น่ารักของหลินอันมองพิจารณาจากบนลงล่าง
สวี่ซินเหนียนกล่าว “กระหม่อมมาขอคำปรึกษาจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เอ่ยถาม “จริงสิ ช่วงนี้พี่ใหญ่ของกระหม่อมได้เขียนจดหมายส่งให้พระองค์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลินอันได้ยินก็ขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง นางแค่นเสียงฮึออกมา
“พี่ใหญ่ของเจ้าคือใคร ข้าไม่รู้จัก อย่ามาขวางทางข้า”
ชายกระโปรงพลิ้วไสวผ่านตัวสวี่ซินเหนียนไป
เจ้าสุนัขรับใช้ออกจากเมืองหลวงไปได้หลายเดือนแล้ว แม้แต่ข่าวคราวก็ยังไม่มี เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจนางเลยสักนิด
นางเดินมาถึงสวนด้านในและเข้ามายังโถงด้านในตามการนำทางของนางกำนัล เห็นฮว๋ายชิ่งกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ
“เมื่อครู่ข้าเจอกับสวี่ฉือจิ้วที่ด้านนอก เขามาทำอะไรที่นี่ “
หลินอันเอ่ยถาม
โดยปกติแล้ว ผู้ที่สามารถได้รับเชิญให้เข้ามาในตำหนักจากองค์หญิงนั้นล้วนเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
สตรีไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง แต่หากเป็นบุรุษ โดยรวมแล้วล้วนเป็นคนสนิทใจต่อกัน
แต่หลินอันรู้ว่าสวี่ซินเหนียนคือว่าที่บุตรเขยของตระกูลหวาง อีกทั้งสมุหราชเลขาธิการหวางคือคนของเสด็จพี่จักรพรรดิของนางด้วย
“มาขอคำแนะนำ”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยตอบอย่างขอไปทีแล้วถามกลับ “แล้วเจ้าล่ะมาทำอะไร”
นางไม่ค่อยอยากจะต้อนรับหลินอันเท่าไรนัก น้องสาวผู้นี้พูดจาเจื้อยจ้าวอย่างกับนกกระจอก หากไม่สนใจ นางก็จะบินมาจิกที่หน้าเข้าให้
ถึงแม้พลังต่อสู้จะยังอ่อนด้อยเช่นเคย แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรจักรพรรดิหย่งซิ่งก็ยังคงมีอำนาจ
ดีร้ายอย่างไรฮว๋ายชิ่งก็ยังต้องเกรงใจอยู่
แต่แม้ว่าหลินอันจะสู้แพ้และไม่ยินยอม แต่ก็ไม่เคยนำไปบอกกับจักรพรรดิหย่งซิ่ง
หลินอันมาที่โต๊ะแล้วยกกระโปรงลงนั่งก่อนเอ่ยว่า
“ฮว๋ายชิ่ง เจ้ามีความคิดมากมาย ขอข้าปรึกษาเรื่องหนึ่งสิ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าอย่างเย็นชา
หลินอันจึงเล่าเรื่องการบริจาคเงินให้ฟังพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้ามีวิธีใดที่จะทำให้จิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นยอมควักกระเป๋าตนเองบ้างหรือไม่”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “หากมีใครคิดจะชิงทรัพย์ของเจ้า เจ้าจะให้หรือไม่ให้ล่ะ”
หลินอันคิดดูแล้วก็เอ่ย “ก็ขึ้นอยู่กับว่านั่นเป็นใคร ถ้าเจ้าสุนัขรับใช้มาขอเงินข้า ข้าก็ให้”
ฮว๋ายชิ่งดื่มชา “ดังนั้น คนที่ไม่สนิทก็จะไม่ให้สินะ แล้วการที่เสด็จพี่จักรพรรดิของเจ้าแบมือจะขอเงิน แน่นอนว่าก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว”
หลินอันคิดว่ามีเหตุผล จึงลองเอ่ยถาม “ต้องข่มขู่หรือ?”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด และเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดเช่นกัน โง่เขลาตรงที่ว่าฝ่าบาทไม่อาจเป็นผู้กระทำเอง ไม่อย่างนั้นก็จะมีเสียงก่นด่าเต็มท้องพระโรง และต้องเจอกับกระสุนโต้กลับอย่างหนักหน่วง แต่มีบางคนที่สามารถทำได้ แต่ขุนนางก็ทำอะไรคนผู้นั้นไม่ได้ด้วย”
หลินอันดวงตาทอประกาย “ใครหรือ?”
ฮว๋ายชิ่งสิ้นหวังกับความฉลาดของน้องสาวผู้นี้แล้ว การต้องมาต่อกรกับนางเป็นเรื่องน่าเบื่อจริงๆ
“เจ้าคิดว่าท่านโหราจารย์เป็นอย่างไร?”
“ก็น่าจะได้นะ…”
“แล้วหากเป็นอ๋องสยบแดนเหนือผู้เป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งในคราวนั้นเล่า”
“กะ ก็คงได้กระมัง…”
“เช่นนั้นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฟ่งในตอนนี้คือผู้ใด”
ในที่สุดหลินอันก็เข้าใจแล้ว นางตกใจจนยกมือตบโต๊ะ
“เจ้าหมายถึงเจ้าสุนัขรับใช้สินะ!”
สีหน้าของนางห่อเหี่ยวทันที จากนั้นก็เอ่ยอย่างสิ้นหวัง “แต่เขาไม่อยู่ในเมืองหลวงนี่นา”