ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 59 เด็กคนนี้เป็นปัญหาเกินไป ข้าไม่อาจสอนได้
กองคาราวานหยุดที่ตีนเขาชิงหยุนอย่างช้าๆ ในรถม้าหรูหรา องค์หญิงใหญ่ก้าวบันไดเล็กๆ ลงมา และปีนเขาท่ามกลางการคุ้มกันของทหาร
ลมภูเขาพัดมาช้าๆ ลูบไล้กระโปรงกับผมสลวยของนาง องค์หญิงใหญ่ผู้สง่างามและสูงศักดิ์ปะทะกับลมจนต้องหรี่ตาอันสดใสของนางลง
นางเห็นชายชราผมหงอกคนหนึ่งในศาลาที่ปลายภูเขา ชายชรานั่งอยู่หน้าโต๊ะ ตรงข้ามเขาคือเด็กน้อยคนหนึ่ง
ข้างๆ เด็กน้อยคือสาวน้อยหน้าตาสะสวยที่ก้มหน้าทำงานเย็บปักถักร้อย
ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าจับพู่กันหมึกให้ถูกต้อง”
เด็กน้อยพูดว่า “ข้าทราบเจ้าค่ะท่านอาจารย์”
ชายชราพูดต่อ “เช่นนั้นเจ้าก็เปลี่ยนกลับไปซะ”
เด็กน้อยถามว่า “เปลี่ยนอะไรหรือเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ วันนี้ไม่เขียนตัวอักษรแล้ว เจ้ามาท่องคัมภีร์ตรีอักษรตามข้าเถอะ” ชายชราถอนหายใจ จากนั้นก็กระแอมในลำคอ
“คนแรกเกิด จิตใจดี”
เด็กน้อยถามว่า “คนแรกเกิด จิตใจอะไรนะเจ้าคะ”
ชายชราพูดอีกครั้ง “คนแรกเกิด จิตใจดี”
เด็กน้อยพูดว่า “คน…จิตใจดี”
ชายชราถามว่า “ตรงกลางเจ้าละอะไร”
เด็กน้อยตอบว่า “ข้าลืมไปแล้ว”
ชายชราพูดว่า “มาอีกครั้ง คนแรกเกิด จิตใจดี”
เด็กน้อยถามว่า “คนแรกเกิด จิตใจอะไรนะเจ้าคะ”
ชายชราแทบคลั่ง
ด้านนอกศาลา องค์หญิงใหญ่อดหัวเราะไม่ได้ ดวงตาที่ใสราวกับกระจกฉายแววขบขัน ราวกับหยกงามที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ชายชรารู้จักองค์หญิงใหญ่ จึงลุกขึ้นทันที และโค้งคำนับด้วยความเคารพ “คารวะองค์หญิงใหญ่”
องค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์ สุขุมและสง่างามพยักหน้าเล็กน้อย และพูดด้วยเสียงอันเฉียบคมราวกับก้อนน้ำแข็งชนกัน “สำนักศึกษาอวิ๋นลู่มีเด็กน้อยตั้งแต่เมื่อใด”
ชายชราหันไปส่งสัญญาณให้สองพี่น้องมาทำความเคารพ หลังจากลุกขึ้นสวี่หลิงเยวี่ยก็โค้งคำนับ แต่สวี่หลิงอินกลับมองผู้หญิงที่หน้าอกไม่ต่างกับมารดาของนาง และรูปร่างหน้าตาดีกว่าคนนี้อย่างโง่เขลา
ชายชราพูดอย่างเขินอาย “เด็กน้อยช่างไร้มารยาทยิ่งนัก องค์หญิงใหญ่โปรดอย่าถือโทษเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ได้วิตกกังวลมากนัก แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะเยือกเย็นและสูงศักดิ์ ทำให้คนไม่กล้าล่วงเกิน แต่นางก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง หัวใจนางไม่แพ้ชายหนุ่มเลย
ชายชราพูดต่อ “ทั้งสองคนเป็นสมาชิกในตระกูลของนักเรียนในสำนัก เพราะครอบครัวมีปัญหา จึงให้ญาติผู้หญิงมาอยู่ในสำนักชั่วคราว”
‘หลบภัยหรือ…’ องค์หญิงใหญ่ที่ฉลาดหลักแหลมวิเคราะห์ความหมายแฝงในคำพูดนี้ทันที นางพินิจหญิงสาวที่หน้าตาไม่ธรรมดากับเด็กน้อยที่ไม่ค่อยฉลาด และหัวเราะ “นักเรียนคนไหนหรือ”
นางถือว่าเป็นนักเรียนของสำนักครึ่งหนึ่งเช่นกัน และรู้กฎของสำนักดี หากไม่มีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าตอบรับ ญาติผู้หญิงของนักเรียนก็ไม่อาจอยู่ที่ภูเขาชิงหยุนได้
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงเบา “พี่ชายของข้าชื่อสวี่ซินเหนียนเพคะ”
นางไม่ได้พูดเอ่ยถึงสวี่ชีอัน เพราะพี่ใหญ่ไม่ใช่นักเรียนของสำนัก
‘สวี่ซินเหนียน…’ ดวงตาขององค์หญิงใหญ่เปล่งประกายเล็กน้อย นางที่เคยตรวจสอบภูมิหลังของสวี่ชีอันหวนนึกถึงความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างทั้งสองคน
‘คนที่ยุยงอยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีคือรองเจ้ากรมโจว และประมาณสิบวันก่อน สวี่ชีอันเกิดทะเลาะวิวาทกับลูกชายของรองเจ้ากรมโจวที่ย่านใจกลางเมือง…’ องค์หญิงใหญ่มองสาวน้อยที่มีเสน่ห์และงดงาม และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใด”
“เกือบสิบวันแล้วเจ้าค่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยตอบ
‘เขารู้จักกับไฉ่เวย และไฉ่เวยก็รู้ว่ารองเจ้ากรมโจวมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเงินภาษี นอกจากนี้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ธรรมดาสามัญคนนั้นก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน…เมื่อรู้ว่าทำให้รองเจ้ากรมโจวขุ่นเคือง การส่งญาติผู้หญิงในบ้านมาที่สำนักก็ถือเป็นมาตรการตอบโต้เช่นกัน เพียงแต่หนีจากเมืองหลวงทั้งครอบครัวจะไม่ดีกว่าหรือ ส่งญาติผู้หญิงมาที่สำนัก แต่ผู้ชายในบ้านกลับยังคงอยู่ที่เมืองหลวง เช่นนั้น…นี่วางแผนอะไรไว้หรือเปล่า’
หลังจากนึกถึงชนวนที่รองเจ้ากรมโจวถูกไล่ออกจากตำแหน่ง องค์หญิงใหญ่ก็หรี่ตาคู่งามของนางลง นางพยักหน้าเล็กน้อย และนำองครักษ์ปีนเขาต่อ
…
‘จริงสิ!’
องค์หญิงใหญ่มองพินิจจ้าวโส่ว และพูดอย่างประหลาดใจ “ไม่เจอกันสิบวัน เจ้าสำนักดูแตกต่างไปจากเดิมมาก”
เมื่อก่อนเจ้าสำนักแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ผมหงอกยาวห้อยลงมา ระหว่างคิ้วดูมัวหมอง
ทว่าเขาในตอนนี้ ดวงตาดูสดใสมีจิตวิญญาณ เต็มเปี่ยไปด้วยพลัง และกระฉับกระเฉง
จ้าวโส่วไม่ได้ตอบตรงๆ แต่หัวเราะเสียงดัง “นักปราชญ์กล่าวว่า การเรียนไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นอาจารย์ได้”
การเรียนไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นอาจารย์ได้…ความหมายของเขาคือ บางคนเป็นอาจารย์ของเขาได้ แต่อายุกลับไม่มาก…เกี่ยวข้องกับปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าที่ตำหนักรองปราชญ์เอกในวันนั้นหรือไม่
นางสนใจปรากฏการณ์ที่ตำหนักรองปราชญ์เอกมาก ความปรารถนาในการเรียนรู้ลุกโชน เพราะนี่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางระบบความคิดลัทธิเต๋าของลัทธิขงจื๊อ และเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของราชสำนักในอนาคต
‘สรุปวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
ตำหนักรองปราชญ์เอกถูกปิดกั้น ทุกคนห้ามเข้าไป หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็อับจนหนทางกับเรื่องนี้เช่นกัน
องค์หญิงใหญ่ยับยั้งความคิด นางมองป่าไผ่สีเขียวชอุ่มนอกหน้าต่าง และถอนหายใจ “เจ้าสำนักรู้เรื่องที่รองเจ้ากรมโจวถูกไล่ออกจากตำแหน่งหรือไม่”
“สำหรับข้าราชการของต้าฟ่ง นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการเริ่มชิงดีชิงเด่นกัน” จ้าวโส่วยิ้มและส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไรมาก เขาสะบัดมือดึงกระดานหมากรุก และพูดว่า
“ตั้งแต่หลี่มู่ไป๋แพ้เว่ยเยวียนถึงสามครา เขาก็ไม่เล่นหมากรุกอีกเลย คนในสำนักที่ประมือกับข้าได้ก็มีไม่มาก ในเมื่อวันนี้องค์หญิงใหญ่มาแล้ว ก็อยู่เล่นกับข้าสักเกมเถิด”
องค์หญิงใหญ่ไม่มีทางเลือก “เล่นหมากรุกกับข้า เหตุใดเจ้าสำนักจึงทำให้ตัวเองขายหน้าเล่าเจ้าค่ะ”
…
อีกด้านหนึ่ง ในห้องใต้หลังคาที่สร้างติดกับหน้าผา
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามคนเพิ่งจะหารือกันเสร็จ เด็กรับใช้ก็มาส่งจดหมาย และแจ้งว่าองค์หญิงใหญ่แวะมาที่สำนัก จึงให้คนส่งมา
องค์หญิงใหญ่กล่าวบนจดหมายว่า เมื่อเร็วๆ นี้เมืองหลวงมีผลงานชิ้นเอกปรากฎขึ้น ปัญญาชนในเมืองหลวงหารือกันอย่างกระตือรือร้น ราชวิทยาลัยหลวงถือได้ว่าเป็นผู้นำด้านบทกวีมาร้อยกว่าปี และสยบบทกวีอำลาของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับบทกวีอำลา ‘ผู้นำด้านบทกวีแห่งศตวรรษที่ผ่านา’ บทนี้มาจากสำนักสังคีต หญิงสาวงดงามที่มีความสามารถ เรื่องราวมีความน่าสนใจ จึงแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง…
ส่วนสุดท้าย องค์หญิงใหญ่แนบบทกวีซึ่งกลายเป็นที่นิยมในวงสังคมปัญญาชนเมืองหลวงภายในไม่กี่วันบทนี้ไว้
‘ข้ามาเก็บตัวไม่กี่วัน เมืองหลวงก็ผลิตผลงานชิ้นเอกที่โลกต้องตะลึงออกมาแล้วหรือ’ จางเซิ่นจ้องบทกวีที่แนบมากับคำชม
‘หออิ่งเหมยมอบให้ฝูเซียง’
‘ดอกไม้หอมกรุ่นปลิวไปตามลม งดงามปกคลุมทิวทัศน์ของสวนเล็กๆ’
‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’
จางเซิ่นนิ่งงันราวกับรูปปั้น และเงียบไปนาน เขาค่อยๆ วางกระดาษในมือลง และมองไปทางหลี่มู่ไป๋กับเฉินไท่ที่ดื่มชาคุยเล้นกัน
“ฉุนจิ้ง โย้วผิง พวกเจ้าดูนี่” จางเซิ่นกล่าว
สีหน้าจริงจังที่เขาแสดงออกมากะทันหัน ทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองชะงัก หลี่มู่ไป๋รับกระดาษไป และกวาดตามองอย่างรวดเร็ว จากนั้นประกายตาก็อ่อนลง ท่าทางผ่อนคลายหายไป
“ขอข้าดูหน่อย” เมื่อเฉินไท่เห็นสีหน้าของทั้งสองคน เขาก็เอื้อมมือไปดึงกระดาษมา หลังจากอ่านจบรอบหนึ่ง เขาก็เพลิดเพลินเป็นเวลานาน
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินถอนหายใจยาว “เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น สองประโยคนี้เขียนอธิบายความงามของดอกบ๊วย ช่างหลักแหลมจริงๆ”
หลี่มู่ไป๋แสดงความคิดเห็นว่า “บทกวีของหนิงเยี่ยนใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า แม้จะทำให้ใจของคนเกิดความกล้า แต่ในแง่ของอารมณ์ทางศิลปะที่ลึกซึ้ง การใช้คำที่สละสลวย เสน่ห์ที่โดดเด่น…ห่างชั้นมากจริงๆ”
จางเซิ่นลูบเคราและถอนหายใจ “เมื่อบทกวีบทนี้ออกมา ก็ไม่อาจร้องบทเพลงชมดอกบ๊วยที่เหนือกว่าได้ หยางหลิงผู้นี้เป็นใคร มีพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฉินไท่อ่านจดหมายอีกรอบ และพูดว่า “ดูเหมือนจะเป็นซิ่วไฉของอำเภอฉางเล่อ เขียนบทกวีบทนี้ให้คณิกาฝูเซียงนางในสำนักสังคีต…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ห้องน้ำชาก็เงียบลง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามคนต่างไม่พูดอะไร
กลิ่นคนขี้อิจฉาก่อตัวและกระจายไปในอากาศ
จางเซิ่นไตร่ตรองอยู่นาน และพูดว่า “ข้ารู้สึกว่า ควรจะแจ้งเจ้าสำนักทันที รับซิ่วไฉคนนี้เข้ามาในสำนัก พรสวรรค์เช่นนี้ ไม่อาจละเลยได้”
เฉินไท่กับหลี่มู่ไป๋ตกลงด้วยความยินดี “มีเหตุผล”
…
การมารับอาสะใภ้กับเหล่าน้องสาวครั้งนี้ สวี่ฉือจิ้วกับสวี่หนิงเยี่ยนในฐานะนักเรียน อันดับแรกไปเยี่ยมอาจารย์ก่อน
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามสอนเสร็จพอดี และรู้ว่านักเรียนที่ ‘ให้ความสำคัญ’ มาเยี่ยม จึงรวมตัวกันดื่มชาในห้องโถง
จางเซิ่นชำเลืองมองศิษย์ที่กิริยาท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพูดอย่างพึงพอใจ “ฉือจิ้ว ดูเหมือนว่าการคัดคติพจน์ของยอดนักปราชญ์จะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมากนะ”
สวี่ฉือจิ้วหน้าชา และพยักหน้า
หลี่มู่ไป๋ถามอย่างแปลกใจ “การคัดคติพจน์ของยอดนักปราชญ์ช่วยให้ก้าวเข้าสู่ระดับบำเพ็ญตนได้หรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
สวี่เอ้อร์หลางอ้าปาก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
เขาสัมผัสได้ถึงธรณีประตูของระดับบำเพ็ญตน แต่นั่นเป็นตอนที่เห็นพี่ใหญ่เขียนสี่ประโยคบนแผ่นจารึก
นี่เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลอย่างลับๆ
แต่เรื่องนี้พูดออกมาในที่สาธารณะไม่ดี แม้ว่าทุกคนจะรู้แหล่งที่มาของสี่ประโยคนั้นก็ตาม
หลังจากคุยกันไม่กี่ประโยค เฉินไท่ก็กวาดตามองหลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่น และหัวเราะ “เจ้าสองคนอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง และเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อเร็วๆ นี้เมืองหลวงมีผลงานชิ้นเอกที่ไม่ซ้ำใครออกมา…เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก”
“หนิงเยี่ยน แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ด้านบทกวี แต่ก็อย่าภาคภูมิใจไป ต้องรู้ว่ายังมีปัญญาชนในใต้หล้าที่ปกปิดพรสวรรค์ไว้อยู่”
ชายชราคนนี้อิจฉาที่พวกเราได้รับนักเรียนดีๆ…แต่คำกล่าวของผู้ใหญ่มากประสบการณ์คนนี้ก็ไม่อาจหักล้างได้ จางเซิ่นจำต้องพูด “บทกวีบทนี้น่าอัศจรรย์จริงๆ หนิงเยี่ยนไม่ต้องจริงจังกับมัน บทเพลงชมดอกบ๊วยชั่วนิรันดร์ จริงจังไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลี่มู่ไป๋พยักหน้า “แม้ว่าปัญญาชนในปัจจุบันจะขาดจิตวิญญาณ แต่สุดท้ายก็มีตัวอย่างหายาก หยางหลิงผู้นั้นอาจจะแต่งบทกวีบทที่สองออกมาอีก และบทกวีของหนิงเยี่ยน ก็เป็นไปได้มากว่าในอนาคตจะมีบทที่สามกับบทที่สี่”
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองญาติผู้พี่ และพูดว่า “บทกวีบทนี้ก็เป็นบทกวีที่พี่ใหญ่ของข้าแต่งเช่นกันขอรับ”
…………………………………………