ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 590 กลับสู่ขั้นสามอีกครั้ง
บทที่ 590 กลับสู่ขั้นสามอีกครั้ง
นิ้วของพระอรหันต์ตู้ฉิงชี้ผ่านอากาศไปยังตะปูตอกวิญญาณสองตัวตรงแผ่นหลังสวี่ชีอันราวกับกระบี่
ปลายนิ้วดีดสายฟ้าสีทองออกมา และเชื่อมไปที่ตะปูตัวหนึ่งที่อยู่ตรงเส้นลมปราณตู
สวี่ชีอันเจ็บแผ่นหลังราวกับถูกคนเอากระบี่แทง
ความเจ็บปวดเช่นนี้เพิ่งจะเริ่มต้น
แขนผอมแห้งของพระอรหันต์ตู้ฉิงมีกล้ามเนื้อพองขึ้นมาฉับพลัน เอ็นสีเขียวปูดขึ้นบนหลังมือ ขณะที่เขาปล่อยพลังดึงนั้น ตะปูตอกวิญญาณก็ค่อยๆ นูนออกมา
สิ่งนี้ทำให้ปากแผลของสวี่ชีอันฉีกขาด ทำให้ตะปูตอกวิญญาณอีกหกตัวที่เหลือตอบสนองและต่อต้านไปด้วยกัน
“อูย…”
สวี่ชีอันทำเสียงอู้อี้ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มืดลงเป็นพักๆ ต่อมเหงื่อขับออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเจ็บปวดจนดูดุร้าย
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาดีกว่าครั้งก่อนมาก ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดลดลง แต่หลังจากจิตเดิมฟื้นฟูแล้ว ความอดทนต่อความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้น
แต่การสูญเสียของพระอรหันต์ตู้ฉิงไม่ได้ด้อยไปกว่าแขนขาดของเสินซูเลย
ร่างผอมแห้งของเขาพองจนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระดับเทพอารักษ์ท่านหนึ่งเลย แสงสีทองแต่ละลำพร่างพรายไปทั่วร่างของเขา สายฟ้าสีทองตรงปลายนิ้วเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับประกายไฟฟ้าที่ถูกเปิดถึงอัตรากำลังสูงสุด
นอกจากนี้แสงทรงกลดด้านหลังศีรษะของเขาก็ไม่นุ่มนวลอีกต่อไป มันเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าทรงพลัง
สว่างจ้าจนแสบตา!
ชั่วขณะนี้ ชั่วเวลานี้ หากมีคนบังเอิญมองมาทางหอดูดาว จะมองเห็นกลุ่มแสงที่ดูราวกับแสงแดดจ้าปรากฏบนหลังคา
ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานห้านาที ในที่สุดก็มีเสียง “ติ๊ง!” ดังขึ้นสองที ตามด้วยตะปูตอกวิญญาณสองตัวที่ร่วงลงพื้น
ขณะที่ตะปูตอกวิญญาณร่วงลงพื้น กลิ่นอายของพระอรหันต์ตู้ฉิงอ่อนลงฉับพลัน ร่างกายกลับมาผอมแห้งราวกับถูกดูดน้ำออก เขาหลับตาที่เหนื่อยล้าทั้งคู่ลงและพนมมือนิ่งเงียบ
หลังจากถอดตะปูตอกวิญญาณที่ผนึกอยู่ในเส้นลมปราณตูแล้ว พลังปราณในจุดตันเถียนก็ราวกับน้ำอัดลมที่ถูกเขย่าในขวดโค้กอย่างบ้าคลั่ง
พุ่งทลายอย่างกำเริบเสิบสาน พริบตาเดียวก็พุ่งทะลุเส้นลมปราณตู แล้วทะลักออกมา
“ฮึ่ม…”
สวี่ชีอันแผดเสียงแหงนหน้าขึ้นฟ้า ลำคอระเบิดเสียงสิงโตคำรามสำนักพุทธออกมา
พลังปราณทะลักออกจากลำคอ ดวงตา และจุดไป่ฮุ่ยของเขา พุ่งสูงทะลุเมฆาเหนือน่านฟ้าหอดูดาว เมฆขาวเป็นชั้นๆ พังทลายในพริบตา
หอขนาดใหญ่ของสำนักโหราจารย์สั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับแผ่นดินไหวระลอกหนึ่ง
อานุภาพของทหารขั้นสามน่าหวาดกลัวเช่นนี้เอง
ในเมืองหลวง สายตาแต่ละคู่พากันมองเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธ ข้าราชการ ทหารในยุทธภพ ขุนนางระดับสูง ยอดฝีมือนิกายมนุษย์ และอื่นๆ ผู้บำเพ็ญทั้งหมดต่างสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหอดูดาว
ตำหนักอันเสิน จักรพรรดิหย่งซิ่งเพิ่งเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ ได้ยินเสียงสิงโตคำรามราวกับฟ้าที่ร้องครั่นครืนระเบิดออกมาจากที่ไกลๆ เสียงดังมาถึงในวังผิดเพี้ยนไปจากของจริงเล็กน้อย
“เสียงมาจากที่ใด”
จักรพรรดิหย่งซิ่งที่รายล้อมไปด้วยขันทีในพระตำหนักตะบึงออกไปทางสำนักโหราจารย์ทันที
เขาเบิ่งตามองจากใต้ชายคาไปทางสำนักโหราจารย์ จะเห็นว่าตะวันในยามสายัณห์แดงราวกับโลหิต ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวไม่มีเมฆขาวเลยสักก้อน แต่บริเวณรอบๆ กลับมีชั้นเมฆเกาะตัวเป็นระลอกคลื่น
คล้ายกับถูกพลังบางอย่างพัดพาออกจากจุดศูนย์กลางในฉับพลัน และซ้อนกันเป็นชั้นๆ รอบด้าน
“อาจเป็นท่านโหราจารย์ที่บำเพ็ญบรรลุในฉับพลัน”
ขันทีหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ หากเกิดขึ้นในสถานที่อื่นจะต้องระมัดระวังและสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจัง แต่เกิดขึ้นในสำนักโหราจารย์ แค่มองดูความสนุกก็พอแล้ว
อย่างไรเสียก็ไม่มีคนก่อกวนสำนักโหราจารย์
จักรพรรดิหย่งซิ่งมีสีหน้าผ่อนคลายลง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักพลันขมวดคิ้ว และสั่งขันทีข้างกายว่า
“เจ้าไปเรียกผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่เข้าเวรมาหน่อย”
ในฐานะรัชทายาทของจักรพรรดิหยวนจิ่ง มีโอรส ‘แข็งแกร่ง’ ไม่กี่คนที่ทนทรมานผ่านระดับหลอมจิตมาได้ ตอนนี้เขามีตบะระดับหลอมปราณแล้ว
แม้จะถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ และหมั่นเพียรในข้อราชการจนสูญเสียตบะ
แต่เขาที่เป็นชาวยุทธ พลังปราณในระบบของตนเองยังคงสามารถแยกแยะได้
พลังปราณคือพลังเฉพาะของทหาร แม้จะบอกว่าระบบอื่นพอถึงระดับสูงก็พอที่จะฝืนหลอมปราณได้ แต่เป็นการเพิ่มวิธีเสริมบางอย่างมากกว่า
ช่วงเวลาสั้นๆ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังก็พาทหารรักษาการณ์เข้ามาอย่างรีบร้อน
จักรพรรดิหย่งซิ่งยืนอยู่ใต้ชายคา ก้มมองผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่อยู่ล่างบันได
“การเคลื่อนไหวของสำนักโหราจารย์ในเมื่อครู่ใช่คลื่นพลังปราณหรือไม่”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังกุมมือคารวะกล่าว
“เป็นคลื่นพลังปราณพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้า และถามราวกับคิดอะไรอยู่
“การเคลื่อนไหวไม่เบา คิดว่าระดับขั้นคงไม่ต่ำ”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
จักรพรรดิหย่งซิ่งจ้องมองเขา ก่อนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและสอบถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม “ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อาจประเมินคร่าวๆ ได้ คลื่นพลังปราณเมื่อครู่มากมายมหาศาล ไม่ใช่สิ่งที่ชาวยุทธ์ขั้นสี่สามารถเทียบได้”
ในสถานะผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่เป็นชาวยุทธ์ขั้นสี่ มีกำลังและอำนาจที่เหมาะสมในการวินิจฉัย
‘ไม่ใช่สิ่งที่ชาวยุทธขั้นสี่สามารถเทียบได้…’ ดวงตาจักรพรรดิหย่งซิ่งราวกับเปล่งประกายแสงแหลมคมบางอย่าง ทว่าเขาสามารถเก็บซ่อนได้ดี จากนั้นออกคำสั่ง
“รีบไปสอบถามสถานการณ์ที่สำนักโหราจารย์”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ไล่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังไปแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งก็หันหน้าไปทันที เขาไม่เก็บซ่อนความเร่งรีบและความตื่นเต้นไว้ในใจอีก รีบกล่าวเร่งรัด
“รีบไปตำหนักเส้าอิน เชิญหลินอันมาพบข้า”
ขันทีอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวเตือน “ฝ่าบาทต้องการย้ายไปห้องทรงพระอักษรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนี้เลยช่วงเวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ตามกฎของวังหลวง องค์หญิงไม่ควรมาตำหนักประทับของจักรพรรดิ
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้ากล่าว “ให้นางรีบมาที่ห้องทรงอักษร”
…
สวนเต๋อซิน
บนหลังคาที่มืดมิด ฮว๋ายชิ่งที่สวมกระโปรงยาวสีขาวยืนอยู่บนมุมชายคาที่งอนขึ้นไป นางมองไปทางหอดูดาว
“เขากลับมาแล้วหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพูดกับตัวเองเบาๆ ดวงตางดงามเปล่งประกายดีใจที่สังเกตได้ยาก
ประเดี๋ยวเดียวก็ร่อนลงจากหลังคาเบาๆ นางเรียกหัวหน้าองครักษ์ในสวนเต๋อซินมาและรับสั่งว่า
“ไปแจ้งผู้ตรวจและอ่านฎีกาจักรพรรดิหน่อย ข้าจะออกจากวัง”
…
‘ฟังดูแล้วช่วงนี้เจ้าฆ้องเงินสวี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง…’ หลี่หลิงซู่ฟังไปพักหนึ่งก็ไม่สนใจอะไรเป็นพิเศษ ฟังศิษย์น้องพูดคุยเล่นกับโหรอาภรณ์ขาวที่คุณธรรมสูงส่งผู้นี้อยู่
“ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไร ก็แค่เดินไปเรื่อยเปื่อย ดูนั่นดูนี่ ค่อนข้างน่าเบื่อ” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“อืม ไม่เลว!” ฉู่หยวนเจิ่นก็คล้อยตามไปด้วย
‘เหตุใดต้องหาเรื่องกลุ้มใจ ไยต้องทำเช่นนั้น!’
‘หากเจ้ารู้ว่าเขาก่อความวุ่นวายขนาดใหญ่ในวัดที่เหลยโจว ชิงเจดีย์พุทธะต่อหน้าเทพอารักษ์ไป หากเจ้ารู้ว่าเขาควบคุมยอดฝีมือขั้นสี่ในยงโจวกลุ่มหนึ่งและวางแผนจับพระอรหันต์กับท่านราชครู…ท่านจะยังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่’
หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่า เพื่อความแข็งแรงทั้งกายใจของหยางเชียนฮ่วน ปิดบังไว้ไม่บอกจะดีกว่า
“ใช่สิ เหตุใดศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักโหราจารย์ต่างพกกระดาษและพู่กันติดตัวด้วย”
หลี่เมี่ยวเจินเบนหัวข้อสนทนา
นางเองก็สงสัยปรากฏการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แต่ก่อนไม่เป็นเช่นนี้
หยางเชียนฮ่วนทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว “เพราะว่าเจ้าใบ้ซุนเสวียนจีกลับมาแล้ว”
‘ซุนเสวียนจี?’
หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นรวมทั้งเหิงหย่วนได้ยินแค่ชื่อเสียงเลื่องลือของซุนเสวียนจี รู้ว่าเขาเป็นศิษย์คนรองของท่านโหราจารย์
แต่ไม่เข้าใจว่าการพกกระดาษและพู่กันเกี่ยวอะไรกับศิษย์รองคนนี้ด้วย
หลี่หลิงซู่กลับเข้าใจในบัดดล เขาเข้าใจความหมายของหยางเชียนฮ่วนโดยฉับพลันและกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็สมควรพกกระดาษและพู่กัน อืม ข้าเองก็ต้องเตรียมไว้สักชุด”
พวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามต่างใช้สายตาเค้นถามมองไปยังเทพบุตร พวกเขาไม่เคยเจอซุนเสวียนจีมาก่อน แต่ดูแล้วหลี่หลิงซู่ไม่ได้แปลกหน้ากับศิษย์รองของท่านโหราจารย์ผู้นี้เลย
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“พูดเรื่องถูกผิดของผู้อื่นลับหลัง ไม่ใช่นิสัยของวิญญูชน อืม…ศิษย์พี่ซุนไม่ชอบพูด มีอุปสรรคด้านภาษาเล็กน้อย”
หลี่เมี่ยวเจินเข้าใจในบัดดล “ศิษย์พี่ซุนมีอุปสรรคด้านภาษารุนแรงมาก แม้กระทั่งกลายเป็นคนใบ้คนหนึ่ง”
หลี่หยวนเจิ่นกล่าวเสริม “พูดคุยกับศิษย์พี่ซุนเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดมาก”
เหิงหย่วน “อมิตตาพุทธ!”
หลี่หลิงซู่ไม่สามารถระงับอารมณ์ทางสีหน้าได้ เขามองดูทั้งสามด้วยความตะลึงและงงงวย “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร!”
หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและไต้ซือเหิงหย่วนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้สึกทอดถอนใจแบบ ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ‘สมกับเป็นสำนักโหราจารย์จริงๆ’
จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็แอบส่งสายตากับไต้ซือเหิงหย่วน
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะเยาะคนอื่นทั้งที่ตนเองก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน!
นี่เป็นห่วงโซ่ของการเหยียดหยามเส้นหนึ่งที่ทั้งชัดเจนและตรงมาก
ทันใดนั้น ฝูงชนรู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ฝุ่นร่วงลงบนศีรษะ
กลิ่นอายแข็งแกร่งและน่ากลัวทะลุสิ่งก่อสร้างหล่นลงบนร่างของฝูงชน ราวกับเทพมารบรรพกาลที่หลับใหลฟื้นชีพแล้ว
‘ระดับเหนือมนุษย์?’
นอกจากเหมียวโหย่วฟางแล้ว ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งและมีประสบการณ์โชกโชน คุ้นเคยกับกลิ่นอายระดับเหนือมนุษย์มาก
ไม่ว่าจะเป็นระบบไหน หลังจากข้ามขั้นสามไปแล้วระดับของชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ตกอยู่ในสถานะมนุษย์อีกต่อไป จะถือกำเนิดอานุภาพกดดันที่ประสานรับกัน
มนุษย์ธรรมดาเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ จะรับรู้ถึงแรงกดดันของร่างมีชีวิตระดับสูง
ร่างพยัคฆ์สั่นสะเทือน มนุษย์ธรรมดาก้มศีรษะคำนับ
ผนึกของสวี่ชีอันถูกปลดไปอีกขั้นแล้ว…พวกฉู่หยวนเจิ่นทั้งสามเผยสีหน้าดีใจออกมา
‘ใช่ผู้อาวุโสสวีไหมผู้อาวุโสสวีฟื้นฟูตบะแล้วใช่หรือไม่’
หลี่หลิงซู่ใจสั่นรัวและเผยสีหน้าดีใจออกมา ทันใดนั้นเขาได้ยินโหรอาภรณ์ขาวในห้องหินคำรามด้วยความโมโห
“สวี่ชีอันฟื้นฟูตบะแล้ว บัดซบ เหตุใดถึงเร็วเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้เข้าแทนที่ เขาก็ฟื้นฟูตบะแล้วหรือ! ไม่ ทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ไม่!”
โหรอาภรณ์ขาวกางแขนทั้งสองออก และแหงนหน้าแผดเสียงร้อง
‘เขาพูดว่าสวี่ชีอันฟื้นฟูตบะแล้วหรือ’
‘ก่อความเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ใช่ผู้อาวุโสสวี แต่เป็นสวี่ชีอันหรือ’
ประโยคนี้ดุจดั่งเป็นผลลัพธ์ของการกรอกสติปัญญาเข้าไปในสมอง พริบตาเดียวก็ทำให้หลี่หลิงซู่นำรายละเอียดของเศษชิ้นส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน
สวีเชียนมาจากเมืองหลวง สวี่ชีอันก็เป็นคนในเมืองหลวง
สวีเชียนคือยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ สวี่ชีอันก็เป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์
สวีเชียนรวบรวมปราณมังกร และปราณมังกรแตกสลายหลังจากจักรพรรดิต้าฟ่งสวรรคต
หลี่เมี่ยวเจินไม่มีจิตใจที่เคารพนับถือสวีเชียนเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีกสองท่านก็ไม่แสดงความเคารพในฐานะผู้เยาว์ต่อหน้าเขา
เมื่อครู่โหรอาภรณ์ขาวผู้นี้ก็เพิ่งจะบอกว่าคนที่ฟื้นฟูตบะคือสวี่ชีอัน!
…เกิดเสียงดัง “ตูม!” ในศีรษะของหลี่หลิงซู่ สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดเข้ามา ฟาดจนสีหน้าเขาแข็งทื่อเล็กน้อย รูม่านตาค่อยๆ ขยายใหญ่
ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆ หันไปมองผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งสามท่าน
“สวี สวีเชียนคือสวี่ชีอันหรือ”
เทพบุตรเขม็งตามองพวกเขา
หลี่เมี่ยวเจินยากจะปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้ “ดูท่าพวกเจ้าจะค้นพบแล้ว”
หนังหน้าหลี่หลิงซู่กระตุกอย่างรุนแรง “เหตุ เหตุใดถึงไม่บอกข้า”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างนอบน้อมและจริงใจ “เขาปิดบังชื่อแซ่เพื่อเลี่ยงศัตรู และรวบรวมปราณมังกร เจ้าท่องยุทธภพกับเขามานานเช่นนี้ น่าจะดูออกว่าศัตรูที่จ้องเขาตาเป็นมันนั้นมีไม่น้อย”
“เช่นสำนักพุทธ!” เทพบุตรพยักหน้า
ในใจเขาถอนหายใจดัง “ฟู่” ‘ยังดี ยังดี ไม่ว่าเป็นสวีเชียนคือสวี่ชีอัน หรือว่าสวี่ชีอันคือสวีเชียน โดยแก่นแท้แล้วก็เป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์
วางตัวเป็นผู้เยาว์ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ผู้หนึ่งไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าอาย ถึงผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ผู้นี้จะเป็นคนรุ่นเดียวกันก็ตาม
สวีเชียน ไม่สิ ที่สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นยอดฝีมืออาวุโสนั้น หลักๆ เกิดจากความต้องการของภารกิจและสถานการณ์บีบบังคับ
แต่ก่อนเขากับสวี่ชีอันไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เจ้าไม่รู้จักข้า ข้าไม่รู้จักเจ้า ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ขายหน้า
หากทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นสหายเก่า ฝ่ายหนึ่งถูกอีกฝ่ายล้อเล่นเช่นนี้ นั่นถึงเป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างแท้จริง
เทพบุตรใคร่ครวญอยู่ในใจครู่หนึ่ง คิดว่าก็ไม่ได้มีอะไรมาก ความรู้สึกเคอะเขินในใจค่อยๆ คลายลง
“ที่แท้สวีเชียนก็คือสวี่ชีอัน ดูท่าข้าไม่ต้องไปหาเขาเพื่อดื่มสุราแล้ว”
หลี่หลิงซู่ยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง เขาตั้งใจพูดออกมาเช่นนี้ แม้กระทั่งดูแขวะตนเองเล็กน้อย เพื่อแสดงว่าตนเองไม่รู้สึกเคอะเขินเลย
เขาคิดได้แม้กระทั่งวิธีการที่ดีกว่า เทพบุตรส่งเสียง “เฮ้อ” ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าไม่รู้ว่า สวี…สวี่ชีอันแสดงเป็นยอดฝีมือได้ค่อนข้างดี เขายังท่องกวีบทหนึ่งด้วยนะ อืม บรรลุมรรคมาแปดร้อยสารทฤดู ไม่เคยใช้กระบี่บินตัดหัวคน…อะไรสักอย่าง”
เขาท่องกวีบทนั้นไปหนึ่งรอบก่อนกล่าว “ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ข้ายังเคอะเขินแทนเขาเลย”
ไม่ผิด วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้สวี่ชีอันเป็นฝ่ายขายหน้าก่อน เปิดเผยท่าทีเสแสร้งของเขาออกมา
เช่นนี้พวกหลี่เมี่ยวเจินจะได้เลิกทำตัวราวกับเป็นหลานแล้วเรียกเขาว่า ‘ผู้อาวุโส’ เสียที
“หน้าไม่อาย!”
พลันมีเสียงตะคอกดังขึ้น หลี่หลิงซู่หันไปมองด้วยความประหลาดใจ จะเห็นว่าโหรอาภรณ์ขาวในห้องเหมือนถูกอะไรบางอย่างยั่วยุโดยท่องกลอนบทนี้ตลอดเวลา
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูทั้งฮึกเหิม ทั้งริษยา และไม่พอใจ
“ที่ข้าไม่สามารถแซงเขาได้ เพราะเขาเขียนบทกวีได้หรือ ข้าไม่ยอม…”
“เห็นชัดว่าเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน แต่เสแสร้งแกล้งทำขนาดนี้”
หลี่หลิงซู่กระตุกมุมมาก และยิ้มเออออห่อหมกไปด้วย
“ใช่ไหมล่ะ แต่เรื่องนี้ทุกท่านแค่ฟังก็พอแล้ว อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
เขากลัวสวี่ชีอันจะตอบโต้เขา
เทพบุตรดึงสายตากลับมา แสร้งทำเป็นมองพวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามอย่างผ่อนคลาย กลับพบว่าพวกเขามีสีหน้าแปลกๆ ราวกับกำลังพิจารณาดูคนโง่อย่างละเอียดอ่อน
“พวกเจ้า…”
เทพบุตรรู้สึกหนักอึ้งในใจ
หลี่เมี่ยวเจินค่อยๆ กล่าวขึ้นมา “ลืมบอกพวกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง”
ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจ “สวี่ชีอันก็เป็นผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีด้วย”
พริบตาที่หลี่หลิงซู่มีสีหน้าขาวเผือดนั้น ไต้ซือเหิงหย่วนก็เสริมไปอีกหนึ่งประโยค
“เขายังรู้ด้วยว่าเจ้าก็เป็นผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเช่นกัน พวกเราต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ของหมายเลขเจ็ดกับผู้นำหลี่ไม่ธรรมดา เหมือนจะอยู่สำนักเดียวกัน”
หลี่หลิงซู่โงนเงนราวกับทนรับการถูกโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ไม่ได้ เขาซวนเซร่นถอยไปด้านหลัง หลังพิงกำแพงและค่อยๆ ทรุดตัวลง
’เขารู้ว่าข้าก็เป็นสาวกของพรรคฟ้าดิน และตัวเขาเองก็เป็น แต่กลับไม่พูดให้ชัดเจนและมองดูผู้อาวุโสอย่างข้าปฏิบัติกับเขาอย่างนอบน้อม…’
หลี่หลิงซู่นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยของการรวมกลุ่มท่องยุทธภพของทั้งสอง…
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบิกบาน “อา พวกเรายังต้องไปพบจงหลีนะ ไปก่อนล่ะ”
‘ในที่สุดก็ไม่ใช่ข้าที่เก้อเขินที่สุด’ ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้ายิ้มก่อนกล่าว “ได้”
ทั้งสองเดินตามระเบียงสลัวจนออกไปไกล ไต้ซือเหิงหย่วนเห็นเทพบุตรมีท่าทีเหมือนมีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย จึงกล่าวด้วยความสงสารอย่างอดไม่ได้
“อมิตาพุทธ สหายหลี่…”
หลี่หลิงซู่ตัดบทด้วยแววตาที่ไร้วิญญาณ “ไต้ซือ ขอข้าอยู่เงียบๆ”
ไต้ซือเหิงหย่วนส่ายศีรษะอย่างไม่มีทางเลี่ยง จากนั้นก็เดินตามเงาหลังของสหายทั้งสองไป
เทพบุตรปิดกั้นตัวเองอยู่พักหนึ่ง พลันได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากในห้อง
“ดูท่าท่านจะถูกสวี่ชีอันทำลายไม่น้อย”
น้ำเสียงของหลี่หลิงซู่ไม่ยินดียินร้าย “น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา”
หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ท่านพูดความในใจข้าแล้ว”
แววตาหลี่หลิงซู่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย “สหายหมายความว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้พูดไปแล้วเรื่องมันยาว…”
…
แท่นแปดทิศ
ม่านราตรีคืบคลานเข้ามา ตะวันรอนจมลงสู่ขอบฟ้าอย่างสมบูรณ์
สวี่ชีอันสงบพลังปราณที่บ้าคลั่ง พิจารณาตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากเบิกบานใจที่ค้นพบว่าเส้นลมปราณตูทะลุปรุโปร่งแล้ว อัตราระดมพลังปราณของเขาก็บรรลุถึงแปดส่วน
ก่อนบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง พลังปราณแปดส่วนเท่ากับทหารขั้นสามที่อ่อนแอที่สุด
หลังจากบำเพ็ญคู่แล้ว พลังปราณแปดส่วนของเขาเท่ากับทหารขั้นสามในระยะเริ่มต้น
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ตบะของสวี่ชีอันในตอนนี้ผ่านระยะแรกของขั้นสามแล้ว และยังไม่ถึงระดับขั้นในระยะกลาง
แน่นอนว่าพลังกายเนื้อยังคงถูกผนึกอยู่ หากต่อสู้กับทหารขั้นสามในระยะประชิด เขาย่อมสู้ไม่ได้
“ตอนนี้ถ้าข้าเผชิญกับเทพอารักษ์ตู้หนานที่เป็นศัตรู ต่อให้เอาชนะไม่ได้ ก็ไม่จนมุมขนาดนั้น ทว่าเขาก็ไม่สามารถจับข้าหรือสังหารข้าได้เช่นกัน
“การท่องยุทธภพต่อจากนี้ ข้าไม่ต้องหลบซ่อนขนาดนั้นแล้ว”
…
พระราชวัง ห้องทรงพระอักษร
หลินอันพานางกำนัลหญิงคนสนิทสองคนมาถึงด้านนอกห้องทรงพระอักษร
บรรดานางกำนัลต่างยืนอยู่ใต้บันไดนอกประตูอย่างรู้งาน พวกนางมองดูองค์หญิงเดินขึ้นบันได ขันทีที่เฝ้าดูแลอยู่นอกห้องทรงพระอักษรพานางเข้าไปในห้อง
ภายในห้องทรงพระอักษรมีแสงเทียนสว่างไสวซึ่งตั้งวางอย่างหรูหรา จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งอ่านสาส์นอยู่หลังโต๊ะที่ปูด้วยไหมสีเหลือง
“เสด็จพี่จักรพรรดิ ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”
หลินอันกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
หย่งซิ่งรีบวางสาส์นลง และต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“น้องรัก ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานเจ้าสักเรื่อง”