ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 591 องค์หญิง (2)
บทที่ 591 องค์หญิง (2)
สวี่ผิงเฟิงสามารถขโมยโชคชะตาได้ สิ่งที่เขาพึ่งพิงคือพลัง ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่ กล่าวคือสวี่ผิงเฟิงยังมีปรมาจารย์กู่ขั้นสูงอยู่ข้างกาย หรือมีอาวุธเวทชั้นสูงที่มีพลังประสานรับกัน
สวี่ชีอันเข้าใจในฉับพลัน
ท่านโหราจารย์กล่าวต่อ
“แต่โหรมีข้อบกพร่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิต พอสูญเสียดินแดน พลังก็จะเสื่อมถอย ไร้คู่ต่อสู้ที่กล่าวถึงนั้นไม่ได้หมายความว่าไร้คู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิง ต่อให้อยู่ในอาณาเขตของต้าฟ่ง ข้าเองก็ไม่อาจโจมตีคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้พร้อมกัน และสังหารขั้นหนึ่งได้มากกว่าหนึ่งคนได้ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็ทำไม่ได้
“ด้วยเหตุนี้ การช่วยเหลือของพระโพธิสัตว์สำนักพุทธในปีนั้นคือตรึงรุ่นแรกเอาไว้ พวกเราถึงตีเข้าถึงเมืองหลวงได้”
สถานการณ์ของต้าฟ่งในตอนนี้เกือบจะเหมือนในปีนั้น…สวี่ชีอันเข้าใจอย่างฉับพลัน
“ดังนั้นสวี่ผิงเฟิงคิดจะเลียนแบบวิธีการของจักรพรรดิอู่จงในตอนนั้น”
อีกทั้งยังสำเร็จแล้วด้วย สำนักพุทธรับบทเป็นเครื่องมือมนุษย์อีกครั้ง
โหรคือระบบที่ถูกโชคชะตาสาปแช่ง…สวี่ชีอันคิดปลงอยู่ในใจ
ตอนที่พ่อลูกแบไพ่ในมือในตอนนั้น เขารู้จากปาก ‘คนไม่เอาไหน’ ว่าสาเหตุที่โหรรับศิษย์นั้นก็เพื่อไม่ให้ระบบถูกตัดขาด
แต่การแสวงหาทิศทัศน์ที่สูงยิ่งขึ้นคือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต นี่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์แทงข้างหลังอาจารย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า วนซ้ำเช่นนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน
แม้ทหารจะหยาบคาย แต่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ความจริงทหารเป็นสุขและอิสระที่สุด
ไม่พูดถึงลัทธิเต๋ากับโหร หากอยากเข้าระบบสำนักพุทธก็ต้องรักษาศีลเป็นเวลาสามปีก่อน ข้อบังคับผูกมัดคนมากเกินไป
พลังของเผ่าพันธุ์กู่มาจากเทพเจ้ากู่ ไม่ใช่ระบบที่ตกทอดกันมา
ตอนนี้ดูแล้วปรมาจารย์พ่อมดเหมือนจะไม่มีข้อบกพร่องมากนัก
“หากสวี่ผิงเฟิงอยู่อวิ๋นโจวละก็ นับว่าไร้คู่ต่อสู้หรือ”
สวี่ชีอันดึงหัวข้อสนทนากลับมา
ท่านโหราจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แค่ส่งนักรบขั้นสองสองคนขึ้นไปตรึงเขาไว้ แล้วค่อยส่งกำลังทหารไปโจมตีเพื่อชิงอวิ๋นโจวกลับมา ก็สามารถทำลาย ‘ระดับไร้คู่ต่อสู้’ ของเขาได้แล้ว”
ดังนั้นเขาเลยต้องการสร้างพันธมิตรกับสำนักพุทธ…สวี่ชีอันพยักหน้า ที่จริงแล้วคำพูดของท่านโหราจารย์ในครั้งนี้ กำลังบอกวิธีเอาชนะโหรอยู่
หลังจากคุยเรื่องหลักเสร็จ สวี่ชีอันก็พูดขึ้นมา
“ข้าคิดว่าภารกิจปลดผนึกเสินซูยากเกินไป ไม่อาจสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน”
เขาสอบถามอย่างอ้อมค้อม “มีวิธีไหนสามารถปลดตะปูผนึกวิญญาณที่เหลือได้โดยเร็วบ้าง”
ท่านโหราจารย์ตอบไม่ตรงในสิ่งที่ถาม “รวบรวมปราณมังกรคือภารกิจสำคัญของเจ้าในตอนนี้ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องไปสนใจ”
สวี่ชีอันพยักหน้ากล่าวเสียงต่ำ
“ยังมีอีกเรื่อง ศพโบราณที่อยู่ในวังใต้ดินนอกเมืองยงโจวศพนั้น ถูกคนทำลายเมื่อไม่นานมานี้”
ท่านโหราจารย์ตอบรับ “อืม” แล้วก็ทอดสายตามองออกไปไกลๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
สวี่ชีอันชินกับการปฏิบัติต่อกันของโหรนานแล้ว จึงไม่ได้ซักถามต่อ แค่พูดถึงก็พอแล้ว
“ได้ยินว่าไฉ่เวยจะสอนศิษย์แล้วหรือ”
เขาไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็หาอะไรมาถามจนได้
โหราจารย์ไม่ตอบ
“ศิษย์พี่ซุนกลับมาหรือยัง หลังศึกนอกเมืองยงโจวก็ไม่เห็นเงาของเขาเลย”
ท่านโหราจารย์ตอบอย่างไม่พอใจ
“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปเถอะ”
เอาแต่พูดหัวข้อสนทนาที่ทำให้คนรู้สึกไม่เบิกบานอยู่ใจอยู่ได้
“ท่านโหราจารย์ ข้าใช้ปราณมังกรมาอุ่นเลี้ยงดาบไท่ผิง นานแค่ไหนถึงบรรลุระดับเทียบเท่าดาบสยบดินแดน” สวี่ชีอันยังมีคำถามที่อยากจะถาม จึงไม่ยอมไป
“ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจเป็นไปได้ แต่พอที่จะทำให้มันเปลี่ยนแปลงในขั้นต้น และกลายเป็นกึ่งอาวุธเวทได้” ท่านโหราจารย์ตอบ
สวี่ชีอันถามอีกสองสามคำถาม ล้วนได้รับคำตอบจากโหราจารย์อย่างละเอียด
ลั่วอวี้เหิงมองดูสีท้องฟ้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มสวยงาม
“สวี่หลาง ตามข้ากลับไปบำเพ็ญคู่ที่อารามรัตนะเถิด”
…สวี่ชีอันตอบรับ “อืม” ไปหนึ่งที
ขณะนี้ฉู่ไฉ่เวยโผล่ออกมาจากหัวบันได นางกระโดดโลดเต้นในชุดกระโปรงเหลือง สาวน้อยตาโตน่ารักยังคงร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา
“เจ้ากลับมาแล้ว!”
นางมองไปที่สวี่ชีอันด้วยรอยยิ้มและพูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ
“หลินอันกับฮว๋ายชิ่งมาสำนักโหราจารย์ อยากจะพบเจ้า”
ลั่วอวี้เหิงหรี่ดวงตาคู่งาม
สวี่ชีอันมองท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่แวบหนึ่ง ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ฟู่!”
โหราจารย์หัวเราะเบาๆ ‘ให้เจ้าไปเจ้าดันไม่ยอมไป ถึงตายก็ไม่สาสมแก่บาป’
…
ใต้หอดูดาว
หลี่หลิงซู่พูดอย่างเหลือเชื่อ
“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หยางมีอดีตที่น่าเวทนาเช่นนี้ สวี่ชีอันฉกฉวยโอกาสของท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย”
“เพื่อช่วยเหลือเขา ท่านโหราจารย์ถึงกับละทิ้งศิษย์สืบทอดของตัวเองอย่างกับรองเท้า คับแค้นใจยิ่งนัก!”
‘สำนักโหราจารย์นี้ไม่อยู่ก็ได้…’ หยางเชียนฮ่วนถอนหายใจ
“สิ่งที่พี่หลี่พบเจอทำให้ผู้คนรู้สึกรันทดใจเช่นกัน ต่อไปอยู่ต่อหน้าเขาก็โงหัวไม่ขึ้นแล้ว”
“อย่า อย่าพูดอีกเลย…”
หลี่หลิงซู่ถูเท้าทั้งคู่กับพื้นอย่างแรง
ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “กรรมต้องตามสนองเขาแน่”
หลี่หลิงซู่ออกแรงพยักหน้า “ไม่เชื่อก็ลองแหงนหน้าดูสิว่าสวรรค์เคยละเว้นใครบ้าง”
ผ่านไปไม่กี่อึดใจเขาก็พูดอย่างโมโห “เขามีชายาอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคู่คิดรู้ใจก็ช่างเถอะ คาดไม่ถึงแม้แต่ท่านราชครูก็ต้องบำเพ็ญคู่กับเขา”
‘?’ เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ลอยผ่านสมองของหยางเชียนฮ่วนไป
“ลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญคู่กับสวี่ชีอันหรือ”
“เจ้าว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ” หลี่หลิงซู่พยักหน้า “พระมเสสีช่างงดงามเสียจริง ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเห็นสตรีที่มีความงามเทียบนางได้ ท่านราชครูก็เป็นสาวงามเลิศล้ำที่พบเจอได้น้อยในโลกมนุษย์”
หยางเชียนฮ่วนสับสนงงงวย เขาไม่รู้ความลับที่ว่าสวี่ชีอันมีชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่ง แต่เรื่องนี้ไม่อาจทำให้หยางเชียนฮ่วนเกิดความริษยาได้
ราชครูก็ดี พระมเหสีก็ดี ในมุมมองของศิษย์พี่หยางแล้ว ในเมืองหลวงนี้ไม่มีแม้แต่ประชาชนสักคนสองคนที่เรียก ‘วีรบุรุษฆ้องเงินสวี่’ ให้เขาริษยา
“ใช่สิ ข้าได้ยินว่าสวี่ชีอันยังมีคู่คิดรู้ใจอยู่จำนวนหนึ่ง พี่หยางรู้รายละเอียดหรือไม่”
หลี่หลิงซู่ถามด้วยความอยากรู้ เขาคิดว่าสตรีแปลกๆ อย่างราชครูกับพระมเหสีนั้นหาได้ยากในใต้หล้า
แต่เป็นไปไม่ได้ที่คู่คิดรู้ใจของสวี่ชีอันจะงดงามเช่นนี้ทุกคน
และสตรีในพรหมลิขิตแห่งรักของหลี่หลิงซู่ แต่ละคนล้วนรูปโฉมโนมพรรณงดงาม
หากตัดลั่วอวี้เหิงกับพระชายาออก คู่คิดรู้ใจของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าสวี่ชีอัน
หยางเชียนฮ่วนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“อันนี้ข้าไม่รู้ชัด ข้าไม่เคยใส่ใจเรื่องหยิมๆ เช่นนี้ แต่สวี่ชีอันค่อนข้างดึงดูดใจหญิงสาวจริงๆ”
หลี่หลิงซู่ซักถามต่อ “หญิงสาวเหล่านี้รูปโฉมโนมพรรณเป็นเช่นไร”
หยางเชียนฮ่วนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ก็แค่รู้จักแต่งหน้าทาปากเท่านั้น ข้าไม่เคยมองพวกนางตรงๆ”
เพราะว่าหันหลังให้ตลอด
ท่าทีเหยียดหยามเช่นนี้…หลี่หลิงซู่มีแผนในใจแล้ว
ขณะนี้ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ กลับมาแล้ว พาหญิงสาวสวมชุดคลุมผ้าป่านที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงออกมาด้วย
หลี่หลิงซู่คาดเดาว่าหญิงสาวที่ไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวผู้นี้คือ ‘จงหลี’ ที่ศิษย์น้องพูดถึง
หญิงสาวที่มอมแมมเช่นนี้ ย่อมไม่เข้าตาเทพบุตร เขาละสายตากลับมาอย่างสงบ สังเกตดูสีหน้าของสาวกพรรคฟ้าดิน
พอเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เยาะเย้ยและหยอกล้อ เทพบุตรถึงแอบโล่งใจเล็กน้อย
หลี่เมี่ยวเจินพูดแนะนำ
“นางคือจงหลี ศิษย์คนที่ห้าของท่านโหราจารย์ นางเป็นโหรขั้นห้า”
พอพิจารณาได้ว่าเคราะห์ร้ายรุมเร้าจิตใจเป็นเรื่องส่วนตัว นางจึงไม่ได้บอกศิษย์พี่ห่วยๆ ของนาง
หลี่หลิงซู่ตอบรับ “อืม” จากนั้นก็พาคนกลุ่มนี้ไปจากชั้นใต้ดิน
ขณะที่ขึ้นบันไดนั้น หลี่เมี่ยวเจินพูดเตือน “พวกเจ้าสองคนเดินชิดผนังจะดีที่สุด”
“เพราะเหตุใด”
“ทางเดินลื่น!”
หลี่หลิงซู่มองนางราวกับเป็นคนโง่ ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
คิดดูเขาเป็นถึงระดับรวมปราณขั้นสี่ ยังต้องกลัวลื่นด้วยหรือ
สุดท้ายเพิ่งเดินได้สองสามก้าว เทพบุตรพลันรู้สึกลื่นที่เท้า และกลิ้งลงไปตามบันได
เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน และพูดพึมพำ
“ลื่น ลื่นมากจริงๆ ด้วย”
ครั้งนี้เขาระมัดระวังใต้เท้าเป็นพิเศษ ก้มหน้าดูทางตลอดเวลาที่เดิน
หลังจากเดินขึ้นบันไดไปสามสิบขั้นด้วยความตกใจแต่ไม่ประสบกับอันตรายใดๆ แล้ว ก็เกิดอาการเท้าลื่นอีกครั้ง เทพบุตรกลิ้งลงไปจนถึงขั้นล่างสุด ล้มจนแม้แต่มารดาก็จำเขาไม่ได้แล้ว
“ก็บอกแล้วว่าให้เดินชิดผนัง” หลี่เมี่ยวเจินพูดด้วยรอยยิ้ม
เหิงหย่วนขยับปากและหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ด้านหลังทีหนึ่ง ในภาวะปกตินางสุภาพเรียบร้อยมาก
แต่หลังจากได้หวนกลับมาพบศิษย์พี่หลี่หลิงซู่อีกครั้ง นางก็ใจจืดใจดำขึ้นเยอะ
หลี่หลิงซู่แหงนหน้ามองเหมียวโหย่วฟางที่ไม่ได้เดินชิดผนัง
“เจ้ารู้สึกลื่นบ้างหรือไม่”
เหมียวโหย่วฟางตีลังกาบนบันไดไปหนึ่งรอบ “ไม่ลื่นนี่”
‘เจ้าหมอนี่แสดงเก่งจริงๆ…’ ฉู่หยวนเจิ่นมองเหมียวโหย่วฟางทีหนึ่ง
หลี่หลิงซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “ข้าไม่เดินแล้ว พวกเจ้าขึ้นไปก่อน”
เขามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง สงสัยว่าหลี่เมี่ยวเจินลอบทำร้ายเขา แต่เขาไม่มีหลักฐาน
“ศิษย์พี่ของข้าท่านนี้เจ้าชู้เป็นนิสัย เจ้าชู้ไม่เลือกหน้า บางครั้งต้องให้เขารู้ถึงความน่าหวาดกลัวและอันตรายของยุทธภพสักหน่อย”
หลี่เมี่ยวเจินถ่ายทอดเสียงบอกเหตุผลของนาง
เหิงหย่วนคิดๆ ดูแล้ว ก็เห็นด้วยกับคำพูดของนาง
หลี่หยวนเจิ่นคิดว่ามีบางส่วนไม่ถูกต้อง จึงถ่ายทอดเสียงกล่าว
“เจ้าไม่รู้สึกว่าสวี่ชีอันก็เจ้าชู้ประตูดินหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มีเช่นนี้ด้วยหรือ”
หลี่หยวนเจิ่น “…”
หลังจากใช้สายตาส่งทั้งสี่จากไปแล้ว หลี่หลิงซู่ถึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“จงหลีคือโหรขั้นห้า เรียกว่านักพยากรณ์ โหรระดับขั้นนี้จะถูกเคราะห์ร้ายรุมเร้าเชื่อมโยงถึงผู้คนรอบข้าง”
จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง
หลี่หลิงซู่หันไป มองเห็นแผ่นหลังคนคนหนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าพฤติกรรมหันหลังศีรษะให้นั้นค่อนข้างคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็เข้าใจในฉับพลัน
ประเดี๋ยวเดียวก็พูดด้วยความไม่พอใจ “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีแต่ข้าที่ล้มลงมา…”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดและแสดงสีหน้าราวกับกินหนูที่ตายแล้ว
…
ครั้งนี้หลี่หลิงซู่กลับสู่ผิวดินโดยไม่มีอันตรายใดๆ พริบตาที่ผลักประตูใหญ่เชื่อมผิวดินนั้น หยางเชียนฮ่วนก็ถูกส่งมาพร้อมกัน และปรากฏตัวอยู่ด้านหลัง ยังคงหันหลังให้เขาอยู่
“พวกเขาไปไหนแล้ว”
หลี่หลิงซู่ค้นพบว่าเหมียวโหย่วฟางรออยู่ตรงทางเข้าจึงถามขึ้นมา
เหมียวโหย่วฟางบอกว่า
“เมื่อครู่ได้ยินโหรในห้องโถงใหญ่กับนักบวชหลี่พูดว่า ดูเหมือนองค์หญิงทั้งสองจะมาแล้ว”
เขายักไหล่และกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าเป็นแค่สามัญชน ไม่กล้าพบบุคคลยิ่งใหญ่ระดับนั้น”