ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 592 รีบไปชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระตถาคตเร็ว
บทที่ 592 รีบไปชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระตถาคตเร็ว
หลังแยกทางกับฉู่ไฉ่เวย สวี่ชีอันก็ไม่สนใจท่านโหราจารย์ที่อยู่ตรงนั้น จับมืออันอ่อนนุ่มของราชครูและพูดอย่างรักใคร่
“ราชครู ท่านวิ่งวุ่นพาพวกเรากลับมายังเมืองหลวงคงจะเหนื่อยมาก ท่านกลับไปรอข้าที่อารามรัตนะก่อนเถิด”
เขารู้ว่าบุคลิกนี้คือ ‘ความรัก’ และพยายามใช้ความรักโน้มน้าวราชครู
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เช่นนั้นเจ้าอย่าลืมพูดกับหญิงสาวเหล่านั้นให้ชัดเจนด้วยล่ะว่า ข้า ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ไม่อนุญาตให้เจ้าสองจิตสองใจ”
ได้ผลจริงหรือนี่ สวี่ชีอันพยักหน้า “ภายในใจของข้ามีเพียงราชครูผู้เดียวเท่านั้น”
อย่างไรเสียผ่านวันนี้ไป เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าแล้ว
ลั่วอวี้เหิงควบคุมแสงสีทองและหายวับไปทางเขตพระราชฐาน
สวี่ชีอันมองส่งราชครูจนลับตาไปแล้วก็รู้สึกโล่งอก ฉลามยักษ์ไปแล้ว เหล่าปลาน้อยของเขาก็ปลอดภัย
เขากล่าวลาท่านโหราจารย์ เดินผ่านบันไดไม้ ด้วยการนำทางของฉู่ไฉ่เวย เขาได้พบกับหลินอันและฮว๋ายชิ่งที่ไม่ได้พบกันนานในห้องน้ำชาบนชั้นแปด
สาวน้อยชุดขาวกับสาวน้อยชุดแดงที่ฝันเห็นอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อสาวน้อยชุดแดงเห็นเขา นัยน์ตาดอกท้ออันทรงเสน่ห์ก็มีน้ำเอ่อทันที ใบหน้ารูปไข่ฉายแววโหยหาและขุ่นเคืองใจออกมา
สาวน้อยชุดขาวยังคงดูสง่าและเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย นางผงกหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย
แต่ทันทีที่เห็นสวี่ชีอัน ใบหน้าของสาวน้อยชุดขาวก็อ่อนโยนขึ้น
นอกจากฮว๋ายชิ่งกับหลินอันแล้ว ภายในห้องน้ำชาอันกว้างใหญ่ยังมีฉู่หยวนเจิ่น เหิงหย่วน หลี่เมี่ยวเจินและจงหลีด้วย
“คารวะฝ่าบาททั้งสอง ศิษย์พี่หญิงจง ได้เห็นท่านปลอดภัยดี ข้าก็สบายใจ”
สวี่ชีอันยิ้มพลางกล่าวทักทายพวกนาง
“เจ้าสุนัขรับใช้!”
หลินอันตะโกน ‘ชื่อเล่น’ ของเขาออกมาด้วยความเคยชิน ฝ่ามือยันโต๊ะลุกขึ้นและเดินมาตรงหน้าเขา
นัยน์ตาดอกท้อจ้องมองเขาราวกับยากจะเอื้อนเอ่ย
“ตบะของเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาก” จงหลีเอ่ยเสียงเบา
“ใต้เท้าสวี่ท่องไปทั่วหล้าอยู่หลายวัน รวบรวมปราณมังกรมาได้เท่าไหร่หรือ” ฮว๋ายชิ่งถาม
เนื่องจากทุกคนอยู่ที่นี่ พวกนางจึงค่อนข้างยับยั้งชั่งใจ…สวี่ชีอันเดินไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มเล่าประสบการณ์การท่องยุทธภพของตัวเอง
ยายตัวร้ายเท้าคางมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฮว๋ายชิ่งถือถ้วยชา จิบเป็นครั้งคราวและตั้งใจฟัง
จงหลีนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟังและไม่ขยับเขยื้อนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ฉู่ไฉ่เวยนั่งลงข้างๆ เขาและกินไหล่หมูพลางฟังไปด้วย
สวี่ชีอันรู้จักบุคลิกของหญิงสาวเหล่านี้เป็นอย่างดี เขาเล่าเรื่องตลกๆ ระหว่างการเดินทางให้หลินอันฟัง เล่าเรื่องอาหารรสเลิศให้ฉู่ไฉ่เวยฟัง เล่าเรื่องการรวบรวมปราณมังกรให้ฮว๋ายชิ่งฟัง
จากยงโจวไปเล่ยโจว จากเล่ยโจวไปยงโจว จนกระทั่งกลับมาที่เมืองหลวง
เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปถึงเล่าจบ
แน่นอนว่าสิ่งที่ควรมองข้ามก็จะมองข้าม เช่น เรื่องที่ติดต่อกับมู่หนานจือ
“น่าสนใจจริงๆ ในอนาคตพวกเราก็ไปท่องยุทธภพด้วยกันเถอะ” ยายตัวร้ายเอ่ยเสียงหวาน
“รอข้าจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จและฟื้นฟูตบะ ข้าจะพาเจ้าไปท่องที่ราบกลาง” สวี่ชีอันกล่าวอย่างอ่อนโยน
หวังว่าจะไม่ใช่สัญญาปากเปล่านะ…เขาเสริมในใจ
“สำนักพุทธก็เข้าร่วมการรวบรวมปราณมังกรเช่นกัน ความทะเยอทะยานที่ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในที่ราบกลางเปิดเผยชัดเจน เราควรป้องกันการสมรู้ร่วมคิดระหว่างดินแดนประจิมทิศกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว”
ประสาทดมกลิ่นของฮว๋ายชิ่งเฉียบแหลมเหมือนเคย
“สุสานโบราณที่ตระกูลไฉปกป้องอยู่ตรงไหนของเซียงโจว เจ้ามีแผนที่หรือไม่”
จงหลีรู้สึกสนใจสุสานโบราณมากยิ่งขึ้น
เฮ้อ ข้าเป็นโรคเครียดเกี่ยวกับสุสานโบราณ…สวี่ชีอันส่ายหน้า
“แผนที่ครึ่งหนึ่งอยู่ที่เผ่าพันธุ์กู่ หากในอนาคตต้องการสำรวจสุสานโบราณ ก็สามารถขอให้ลี่น่าช่วยยืมแผนที่ให้ได้”
หลังจากตอบคำถามของพวกนางเสร็จ สวี่ชีอันก็กล่าวว่า
“ฝ่าบาททั้งสองมาที่สำนักโหราจารย์เวลานี้มีธุระอันใดหรือ”
หากยายตัวร้ายมาเพียงคนเดียว สวี่ชีอันก็เข้าใจได้
แต่เห็นได้ชัดว่าฮว๋ายชิ่งคงไม่ฝ่าฝืนกฎห้ามออกนอกวังเพื่อมาพบเขาแน่ มันดูไม่สอดคล้องกับบุคลิกของพระราชธิดาองค์โต
เสียงของฮว๋ายชิ่งไพเราะน่าฟัง ราวกับก้อนน้ำแข็งชนกัน นางพูดจาอย่างฉะฉาน
“ปราณมังกรเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองและล่มสลายของราชสำนัก ข้าจึงสนใจเรื่องนี้โดยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเร็วๆ นี้ราชสำนักเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจึงต้องการให้ใต้เท้าสวี่ช่วย ข้ากังวลว่าเจ้าจะรีบมารีบไปและออกจากเมืองหลวงไม่พรุ่งนี้ก็ชั่วข้ามคืน จึงตั้งใจมาที่นี่”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” สวี่ชีอันจับจุดสำคัญ
ยายตัวร้ายชิงตอบก่อน “หนิงเยี่ยน…ทุกหนแห่งเกิดภัยพิบัติร้ายแรง คลังหลวงว่างเปล่า เสด็จพี่จักรพรรดิจึงอยากให้ขุนนางในราชสำนักบริจาคเงินเพื่อฟื้นฟูความเสื่อมโทรม แล้วยังเรียกร้องให้เศรษฐีระดมเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่านขุนนางเพื่อช่วยเหลือเหยื่อ”
นางเรียกเขาว่าสุนัขรับใช้จนเคยตัว พอจู่ๆ เรียก ‘หนิงเยี่ยน’ นางจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“แต่เสด็จพี่จักรพรรดิเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ปีกยังไม่แข็งแรง สู้คนเจ้าเล่ห์พวกนั้นไม่ได้หรอก” นางเม้มริมฝีปาก จับมือของสวี่ชีอันไว้และอ้อนวอนเสียงเบา
“เจ้าช่วยเสด็จพี่จักรพรรดิได้หรือไม่”
แสงเทียนสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาดอกท้อของนาง เปล่งประกาย ฉายแววกังวลและอ้อนวอนออกมา
“ได้สิ!”
เมื่อเขาเอ่ยคำนี้ ความกังวลกับการอ้อนวอนก็กลายเป็นความปีติยินดี ความสุขใจ และความสบายใจ
กลยุทธ์นี้น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เอ้อร์หลางคิด แต่ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งไม่เห็นด้วยหรอกหรือ ดูเหมือนภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่จะร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มาก…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“อาศัยเพียงแค่การบริจาคไม่อาจแก้ไขปัญหาได้”
แน่นอนว่า เขาจะช่วยจักรพรรดิหย่งซิ่งทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เพราะนี่เป็นกลยุทธ์ที่สามารถช่วยชีวิตคนยากคนจนจำนวนมากได้
“อย่างน้อยก็สามารถจัดการเรื่องเร่งด่วนได้” ฮว๋ายชิ่งกล่าว
“ข้าต้องทำเช่นไร”
สวี่ชีอันถามอย่างครุ่นคิด
สำหรับเรื่องนี้ ฮว๋ายชิ่งมีแผนอยู่แล้ว
“เจ้าเพียงแค่ต้องแสดงตัวและทำหน้าที่ยับยั้ง ด้วยชื่อเสียงของเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้ว ปล่อยที่เหลือให้สวี่ฉือจิ้วจัดการ”
หลังจากพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็มองดูน้ำที่หยดลงมา และรู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว
ข้าต้องไปบำเพ็ญคู่กับราชครูที่อารามรัตนะ น่าตื่นเต้นชะมัดเลยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สาวงามเช่นราชครู หากได้แต่งงานกันจะไม่มีอาถรรพ์เจ็ดปีแน่นอน…เขาเล่นมุกในใจอย่างสนุกสนาน
“ฝ่าบาททั้งสองและทุกท่าน อีกเดี๋ยวข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ จึงขอตัวลาไปก่อน”
“เจ้ามีเรื่องอันใด!”
ยายตัวร้ายมุ่ยปาก “คืนนี้ข้าไม่กลับวัง ข้าจะค้างที่สำนักโหราจารย์ เจ้าอุตส่าห์กลับมาทั้งที อยู่พูดคุยกับข้าอีกหน่อยสิ”
หลังนางพูดประโยคนี้ออกมา สวี่ชีอันเห็นชัดว่าฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว หลี่เมี่ยวเจินแสดงสีหน้าไม่พอใจ ศีรษะของจงหลีเอียงมาทางเขาเล็กน้อย
รีบไปดีกว่า…สวี่ชีอันอยู่อีกไม่นานก็รีบออกไป ทันทีที่เปิดประตู เขาก็ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ราวกับรูปปั้นที่ผุพังไปตามกาลเวลา
ตรงประตูมีสาวงามในชุดเต๋ายืนอยู่ ใบหน้ามีเสน่ห์และมีรอยยิ้มที่มุมปาก
ลั่วอวี้เหิง! เจ้าจากไปแล้วไม่ใช่หรือ?!
วิญญาณดวงน้อยในร่างของสวี่ชีอันกำลังร้องคำราม เขาเป็นเจ้าของบ่อปลาที่โตเต็มวัยแล้ว จึงยังคงยิ้มโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
“ราชครู เหตุใดท่านถึงมาที่นี่หรือ”
ลั่วอวี้เหิงก้าวข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในห้อง มองทุกคนแล้วยิ้ม
“หายากนักที่ทุกท่านมาอยู่ที่นี่ เหตุใดเจ้าไม่พูดให้ชัดเจนเสียที่นี่เลยล่ะ เพื่อไม่ให้หญิงสาวคนใดทำให้ข้าไม่พอใจในอนาคต แล้วคนอื่นจะหาว่าข้าลงโทษโดยไม่สั่งสอน ใช่หรือไม่ สวี่หลาง!”
ภายในห้องเงียบสนิททันที
แต่ในสมองของทุกคนที่อยู่ตรงนี้ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาและระเบิดที่ข้างหู
แม้แต่ฉู่ไฉ่เวยยังตกตะลึงและปล่อยให้ไหล่หมูตกพื้นอย่างไม่แยแส
หญิงสาวในยุคนี้มักจะเรียกคนรักโดยเติมคำว่า ‘หลาง’ ต่อท้ายนามสกุล
การตะโกนออกมาว่าสวี่หลางก็เท่ากับเป็นการประกาศความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว
สีหน้าของฮว๋ายชิ่งบึ้งตึงทันที ท่าทางเย็นชายากจะใกล้ชิด
จงหลีก้มหน้าลง นางจะทำท่านี้ก็ต่อเมื่อรู้สึกหดหู่และไม่มีความสุขเท่านั้น
“เจ้า พวกเจ้า…”
หลี่เมี่ยวเจินเบิกตากว้าง รู้สึกไม่อยากเชื่อ จ้องมองพวกเขาอยู่นานด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ทั้งตกใจทั้งโกรธ
ยายตัวร้ายตะลึงงันไปพักใหญ่ นางมองไปทางราชครูและฝืนยิ้มออกมา
“ราชครูกำลังพูดเล่นอยู่ใช่หรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าชอบพูดเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ สวี่หลางเป็นคู่บำเพ็ญของข้า พวกเราบำเพ็ญคู่กันมานานแล้ว”
เมื่อพูดจบ นางก็เอียงศีรษะมองใบหน้าด้านข้างของสวี่ชีอันด้วยความหลงใหล
“สวี่หลาง เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ”
พูดอะไรล่ะ บ้าเอ๊ย ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว…ภายในใจของสวี่ชีอันปั่นป่วนราวกับพายุซัดโหมกระหน่ำ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแข็งกระด้าง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด พวกผู้หญิงจึงรู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง
ขอบตาของยายตัวร้ายแดงก่ำทันที
หลี่เมี่ยวเจินหน้าซีด นางกำด้ามดาบด้วยใบหน้าสั่นเทา นึกอยากฟันสวี่ชีอันเป็นชิ้นๆ
‘เป็น เป็นไปได้อย่างไร สวี่ชีอันเป็นคู่บำเพ็ญของราชครูหรือ ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ผู้สง่างามของข้าเป็นคู่บำเพ็ญของสวี่ชีอันหรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกตกใจอย่างมากและสงสัยความเป็นจริงของเรื่องนี้โดยสัญชาตญาณ แม้ว่าเขาจะได้เห็นท่าทีใกล้ชิดของราชครูที่มีต่อสวี่ชีอันแล้วก็ตาม
‘จริงสิ เขามีโชคชะตาติดตัว และการบำเพ็ญคู่ของราชครูก็ต้องการโชคชะตา’ ฉู่หยวนเจิ่นจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความสับสนอย่างยิ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับลั่วอวี้เหิง แต่ในฐานะนักดาบ เขาก็ชื่นชมผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์อยู่ในใจ
ดังนั้นจึงรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนิกายมนุษย์และลั่วอวี้เหิงก็เป็นผู้อาวุโสของนิกาย สวี่ชีอันเป็นเพื่อนรักและสหายของเขา
ตอนนี้ผู้อาวุโสกลายมาเป็นคู่บำเพ็ญของเพื่อนรัก
ลำดับอาวุโสวุ่นวายแล้ว
ลั่วอวี้เหิงเห็นว่าสวี่ชีอันปิดปากเงียบจึงเหลือบมองเขาเล็กน้อย จากนั้นก็กวาดตามองใบหน้าของหลินอัน ฮว๋ายชิ่ง จงหลี ฉู่ไฉ่เวย และหลี่เมี่ยวเจิน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ข้ารู้ว่าในบรรดาพวกเจ้า บางคนชอบสวี่หลาง บางคนมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขา บางคนแอบใจเต้นกับเขา แต่หลังจากคืนนี้ไป ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะหยุดความคิดที่ไม่ควรมีเสีย”
แม้ว่าลั่วอวี้เหิงจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เหล่าสาวงามที่อยู่ตรงนี้ต่างก็ร้อนตัวอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่านางกำลังพูดถึงตัวเอง
ฮว๋ายชิ่งเลิกคิ้วและเอ่ยอย่างเย็นชา
“ราชครูกลายเป็นคู่บำเพ็ญกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
หลี่เมี่ยวเจินรับช่วงต่อทันที
“ในฐานะผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ ราชครูเป็นผู้อาวุโสของข้า ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่ได้ชอบคนสกุลสวี่ แต่คำพูดของราชครูเมื่อสักครู่นี้เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสควรพูดกับผู้น้อยหรือ จะบอกผู้น้อยว่าอย่ายั่วยวนผู้ชายของตัวเองอย่างนั้นหรือ”
จงหลีเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเพียงแค่ใช้โชคชะตาของเขาระงับไฟแห่งกรรมเท่านั้น ชะตากรรมของเจ้าในตอนนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าไม่ได้ชอบเขาจริงๆ”
คำพูดของศิษย์พี่หญิงห้าแทงใจมาก
กระแทกกระทั้น…แต่หลินอันกลับยังไม่ได้ตอบโต้ ทั้งที่นางถนัดเรื่องทะเลาะวิวาทและยั่วยุ…สวี่ชีอันรู้สึกใจเสีย เขาจึงส่งกระแสจิตไปหาฉู่หยวนเจิ่น
“พี่ฉู่ ข้ารบกวนท่านเรื่องหนึ่งสิ”
ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตตอบอย่างเย็นชา
“ข้ารับมือไม่ได้!”
สวี่ชีอันรีบส่งกระแสจิตว่า “รบกวนพี่ฉู่ไปที่จวนสกุลสวี่และพาน้องสาวของข้ามา”
‘หือ’ ฉู่หยวนเจิ่นมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในใจ
เขาคิดในใจ ในสถานการณ์แบบนี้จะให้พาสวี่หลิงเยวี่ยมาทำไม
เขาส่งกระแสจิตถามราวกับยืนยันว่า “สวี่หลิงเยวี่ยหรือ”
“รีบไปเถอะ รบกวนด้วย! อย่าลืมบอกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับนาง”
“…”
…
ฉู่หยวนเจิ่นออกจากห้องไปอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจโดยไม่มีใครขวางเขา
หลังจากพลบค่ำ จำนวนโหรที่ทำกิจกรรมอยู่ข้างนอกจะลดลง เขารีบเดินไปตามทางเดิน ขณะกำลังจะกระโดดออกหน้าต่างขึ้นกระบี่บิน
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา เขาหันไปมอง เป็นเหมียวโหย่วฟาง หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา
“พี่ฉู่ เห็นว่าองค์หญิงแห่งต้าฟ่งมาที่นี่ ข้าได้ยินชื่อเสียงมานาน จึงอยากไปเข้าเฝ้า”
หลี่หลิงซู่ยิ้ม “พวกนางอยู่ที่นี่หรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“อยู่สุดทางเดิน ห้องที่สอง แต่ข้าแนะนำว่าอย่าไปดีที่สุด”
หลี่หลิงซู่ถามกลับ “ทำไมหรือ”
นักดาบชุดครามถอนหายใจ
“ราชครูเป็นคู่บำเพ็ญของสวี่ชีอัน บรรยากาศภายในห้องจึงตึงเครียดมาก”
“!”
หลี่หลิงซู่กับหยางเชียนฮ่วนหน้าแดงก่ำทันที
“กรรมตามสนองแล้ว พี่หยาง!”
“ใช่แล้ว พี่หลี่”
ทั้งสองคนกระปรี้กระเปร่าขึ้น ราวกับจะได้เห็นการแก้แค้นครั้งใหญ่และชะล้างความผิด
หลี่หลิงซู่ประสานมือคารวะและรีบเดินผ่านฉู่หยวนเจิ่นไปทางห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เขาก็กระซิบว่า
“เช่นนั้นองค์หญิงทั้งสองก็คงหน้าตาธรรมดา คาดว่าพวกนางคงถูกราชครูข่มเหงอย่างหนัก ข้าอยากเห็นว่าคนสกุลสวี่จะรับมืออย่างไร พี่หยางคงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ราชครูก็เจอเรื่องทำนองนี้ตอนอยู่ที่ยงโจว แต่เวลานั้น คู่ต่อสู้ของนางคือพระมเหสี…เฮ้อ พระมเหสีนั้นงดงามที่สุดในโลกจริงๆ”
ขณะที่พูดเขาก็เดินไปด้วยและมาถึงด้านหน้าห้องอย่างรวดเร็ว เขาจัดแจงเครื่องแต่งกายแล้วเคาะประตูห้อง
ประตูห้องเปิดออกโดยอัตโนมัติ สายตาเย็นชาจ้องมองมาทางแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่กล้ามาหาเหาใส่หัวในเวลาแบบนี้
ในเวลาแบบนี้หลี่หลิงซู่ก็ได้เห็นเหล่าหญิงสาวภายในห้องชัดๆ เช่นกัน
อันดับแรกคือสวี่ชีอันกับลั่วอวี้เหิงซึ่งยืนเคียงข้างกันโดยอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
ตรงโต๊ะกลมฝั่งตรงข้ามทั้งสอง จากซ้ายไปขวาคือ ศิษย์น้องหญิงหลี่เมี่ยวเจิน และนักพยากรณ์จงหลีผู้มีผมเผ้ายุ่งเหยิง
ข้างๆ จงหลีเป็นหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงสง่างามและสวมมงกุฎหงส์ไฟขนาดเล็ก
นางมีใบหน้ารูปไข่ที่กลมมนขาวใส นัยน์ตาดอกท้อทรงเสน่ห์ ขณะมองผู้อื่น ดวงตาจะเลื่อนลอย ราวกับแฝงไว้ด้วยเสน่หา
ชุดกระโปรงยาวหรูหราและงดงาม นอกจากมงกุฎหงส์ไฟขนาดเล็กที่สร้างจากทองคำแล้ว ยังมีเครื่องประดับศีรษะล้ำค่าด้วย
แต่งกายสวยเพริศพริ้ง
เทพบุตรมักจะไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวมากเกินควรเช่นนี้ คิดว่าเพราะพวกนางไม่มั่นใจในความงามของตัวเอง จึงใช้เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านี้มาเสริมเติมแต่ง
ทว่าความจริงแล้วมันแสดงให้เห็นถึงความจืดชืดของพวกนาง
อย่างไรเสียความงามและกิริยาท่าทางของหญิงสาวชุดแดงตรงหน้าก็คงอยู่ในเครื่องประดับศีรษะอันหรูหราได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถึงขนาดทำให้ผู้คนรู้สึกว่า นางต้องแต่งตัวเช่นนี้เท่านั้นถึงจะแสดงความงดงามออกมาได้
ข้างๆ หญิงสาวที่ดูหรูหราและมีบารมีผู้นี้คือหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงและม้วนผมเรียบง่าย
ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนก่อนหน้านี้ ชุดของนางดูหรูหราและเรียบง่าย แต่ชุดที่เรียบง่ายเช่นนี้เข้ากับกิริยาท่าทางอันเย็นชาและสูงส่งของนางมาก ราวกับเผยให้เห็นถึงความล้ำค่า
แววตาเย็นยะเยือก ริมฝีปากสีแดงสด
‘เป็นหญิงสาวที่งดงามโดยธรรมชาติ…’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ
ข้างๆ สาวงามผู้นี้ยังมีสาวงามตัวน้อยอีกหนึ่งคน นางสวมชุดสีเหลือง ดวงตากลมโตเข้ากับใบหน้ารูปไข่ของนาง บุคลิกสดใสร่าเริงพวยพุ่งออกมา
สิบวินาทีต่อมา หลี่หลิงซู่ก็หมุนคอที่ราวกับขึ้นสนิม มองหยางเชียนฮ่วนที่อยู่ทางซ้ายตนและส่งกระแสจิต
“พวก พวกนางเป็นคนรู้ใจของสวี่ชีอันหมดเลยหรือ”
ในกลุ่มนั้นไม่รวมศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินของเขา
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยอย่างดูแคลน “หญิงไร้การอบรม”
‘ข้าเชื่อท่านแล้ว’ หลี่หลิงซู่ถอยหลังไปสองสามก้าว ท่าทางดูตกใจอย่างมาก
เวลานี้เอง ลั่วอวี้เหิงก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“มีธุระอันใด”
หลี่หลิงซู่อ้าปากและเอ่ยอย่างยากลำบาก “ไม่ ไม่มีอะไรแล้วขอรับ…”
จู่ๆ เขาก็หมดความสนใจที่จะดูละครไป เพราะการได้เห็นสาวงามมากมายเช่นนี้หึงหวงสวี่ชีอัน ในใจก็เกิดรู้สึกอึดอัดและไม่เต็มใจขึ้นมา
“ไม่มีธุระอันใดก็ไสหัวไป!”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความโกรธ
‘ปัง!’
ประตูห้องปิดลง
อย่า อย่าไป…มือขวาของสวี่ชีอันไขว่คว้าความว่างเปล่าสองสามครั้งอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลี่หลิงซู่ยันกำแพง เดินไปตามทางเดินช้าๆ และเอ่ยเสียงเบา
“ข้าแพ้แล้ว แพ้ราบคาบ…พี่หยาง ข้าเข้าใจความสิ้นหวังของท่านแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางแย้มยิ้ม “ให้ตายเถอะ สวยจริงๆ สวยกว่าคณิกาทุกคนที่ข้าเคยเห็นมา แถม แถมยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย”
หลี่หลิงซู่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสั่งสอนเขาว่า อะไรคือกิริยามารยาท อะไรคือเสน่ห์ อะไรคือหญิงงามที่ถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางชีวิตหรูหราสุขสบาย
เมื่อทั้งสามคนเดินไปถึงปากบันได พวกเขาก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างตรงบันไดและส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา
ประกายแสงของดาบส่องเข้ามาทางหน้าต่างและหยุดตรงหน้าพวกเขา
เป็นฉู่หยวนเจิ่นที่จากไปแล้วกลับมา
ข้างหลังเขามีเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงขนปุยสีครามและสวมเสื้อคลุมสีเดียวกันทับอยู่ ผมของนางปล่อยสยาย หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าดูมีมิติซึ่งไม่ค่อยเห็นในหญิงสาวที่ราบกลาง
ช่างเป็นดอกบัวขาวที่งดงามไร้ที่ติ…
นัยน์ตาอันมัวหมองและมืดมนของเทพบุตรเปล่งประกายทันที ฟื้นฟูความปราดเปรียวขึ้นเล็กน้อย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือ ดอกบัวขาวเพียงแค่กวาดตามองและเคลื่อนสายตาไปจากใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างไม่ลังเล
ก่อนจะก้าวเล็กๆ ตามฉู่หยวนเจิ่นไปยังห้องปลายสุดทางเดิน
“…”
ใบหน้าของหลี่หลิงซู่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยเสียงขรึมว่า
“พี่หยาง พวกเรามาสร้างพันธมิตรกันเถอะ”
“สร้างพันธมิตรหรือ”
“ต่อต้านสวี่ชีอัน!”
หยางเชียนฮ่วนเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นก็ยื่นมือไปข้างหลัง หลี่หลิงซู่ก็ยื่นมือมาเช่นกัน
ทั้งสองคนจับมือกัน
“เป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน!”