ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 593 น้องสาวจะคิดร้ายได้อย่างไรเล่า
บทที่ 593 น้องสาวจะคิดร้ายได้อย่างไรเล่า
พูดอย่างตรงไปตรงมา ตามภาพของสวี่ชีอันในขณะนี้ เขาพอมีการเตรียมใจอยู่บ้าง และใช่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย
อย่างแรก ฉากเปิดใจจะถึงในไม่ช้าก็เร็ว
ระบบของต้าฟ่งคือระบบผัวเดียวเมียเดียวหลายเมียน้อย ในฐานะผู้ชายที่คล้อยตามระเบียบ สวี่ชีอันจึงคิดว่าตนเองก็ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม
แต่เขารู้ว่า ระบบก็ส่วนระบบ คนก็ส่วนคน
หากระบบสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ ไฉนบ้านตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยจึงมีการแก่งแย่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ยิ่งกว่านั้น ปลาน้อยในบ่อน้ำไม่มีสักตัวที่มีหนวดงาม
อย่างที่สอง บุคลิก ‘รัก’ และอารมณ์ของลั่วอวี้เหิง เป็นไปได้มากว่าจะเกิดก่อนสนามรบทางความสัมพันธ์
ณ ยงโจว ขณะที่ราชครูขอให้เขาขีดเส้นให้ชัดเจนกับสตรีอื่น สวี่ชีอันก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว พร้อมด้วยวิเคราะห์ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบต่อตนเองสามสี่ข้อ
ข้อได้เปรียบของสวี่ชีอันคือ
หนึ่ง ความสัมพันธ์ของปลาน้อยแต่ละตัวกับเขาล้วนไม่ถึงขั้นพูดคุยเรื่องการสมรส ซึ่งนี่จะลดระดับความรุนแรงของสนามรบทางความสัมพันธ์ที่ทุกคนล้วนฉีกมันจนไม่อาจปะติดปะต่อ
สอง ภาพลักษณ์ของเขาดีมาก
ทุกคนล้วนรู้ว่าฆ้องเงินสวี่คือแขกประจำของสำนักสังคีต คณิกายี่สิบสี่คนของสำนักสังคีตเล่นผีผ้าห่มกับเขาไปแล้วมากกว่าครึ่ง
ความรู้สึกที่ส่งผ่านให้ผู้อื่นก็คือ เขาไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป
เพราะอย่างนั้น ทุกคนจึงยอมให้เขาในด้านความเจ้าชู้และความมักมากในกามารมณ์
ข้อเสียเปรียบของสวี่ชีอันคือ เป็นเพราะความสัมพันธ์ของปลาน้อยกับเขาล้วนไม่ถึงขั้นพูดคุยเรื่องการสมรส ดังนั้นเป็นไปได้มากที่พวกนางจะกระโดดออกจากบึงปลา
แต่หลังรู้จักตัวตนของเขาก็ยังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเขาได้ ความเป็นไปได้ที่จะกระโดดออกจากบึงปลาจึงน้อยลง
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือถ่ายโอนพลังความโกรธของลั่วอวี้เหิง
เพราะมีเพียงนาง ที่จะป่าวประกาศว่าตนเองเป็นผู้ชายของนาง และผลักไสสาวงามชวนหลงคนอื่นๆ อย่างไร้ราคา
ปลาน้อยตัวอื่นจะไม่ทำเรื่องที่ข่มบังคับกันอย่างนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ถึงขั้น
ในการคาดการณ์ของสวี่ชีอัน ไม่มีวิธีการที่จะยอมลำบากครั้งเดียวเพื่อให้สบายไปตลอด เวลาจึงเป็นตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่ดีที่สุด
สิ่งที่เขาต้องทำคือ ยุติเรื่องขัดแย้งโดยอาศัยการเดินเกมที่ลงตัวภายในความขัดแย้งและการวิวาทในทำนองเดียวกันคราแล้วคราเล่า
สิ่งที่ฆ้องเงินสวี่คิดได้สำหรับตอนนี้ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเรียกสวี่หลิงเยวี่ยมา
นางเหมาะเล่นบทเจือโคลนตม[1]มาก
น้องสาวจะไม่พูดจาก่อความเกลียดชัง แต่ตนเองที่เป็นคนมีมรสุมกลางใจพูดอะไรก็ผิดไปหมด
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่มีจิตสังหารซุ่มซ่อนอยู่ทั่วและความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยกำลังถาโถม
เฮ้อ…สวี่ชีอัน เขาเดินไปยังริมประตูด้วยความเด็ดขาด แล้วเปิดประตูห้อง
น้องสาวผู้งดงามต้องใจคนยืนอยู่หน้าประตู แต่ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้กลับมาด้วย เขาหลบจากมรสุมลูกนี้ด้วยความรู้เท่าทัน
“หลิงเยวี่ย เจ้ามาได้อย่างไรหรือ”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มของความเป็นพี่ชาย
สวี่หลิงเยวี่ยมองเขาแวบหนึ่งด้วยความสับสน แล้วกวาดมองโดยรอบด้วยดวงตาผ่องใสที่รินไหลดั่งคลื่นน้ำ
สิ่งที่สวี่หลิงเยวี่ยเห็นเป็นอย่างแรกคือภาพด้านหลังของลั่วอวี้เหิง นางสวมชุดขนนกและผูกแถบแพรไหมไว้ที่เอวอันเพรียวบาง
ราชครูไม่ได้หันกลับมา นางกำลังมองเหล่าสตรีริมโต๊ะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความเย็นชา เสมือนว่าหากใครกล้าแข็งข้อ นางจะลงมือปราบในทันที
สายตาของสวี่หลิงเยวี่ยแวบผ่านราชครูไปยังสตรีคนอื่นๆ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้เยือกเย็นราวน้ำค้างกำลังถือถ้วยชา สายตานางทอดต่ำ ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว ส่วนจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินผู้มีคุณธรรมทัดฟ้าเหล่มองข้าง นางมองไปยังอีกด้าน บางทีก็กัดฟัน ส่วนองค์หญิงหลินอันแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยตระการตา ดวงตาแดงก่ำ กำลังจ้องราชครูอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ส่วนฉู่ไฉ่เวยผู้สดใสร่าเริงขมวดคิ้วอย่างพบได้ไม่บ่อยนักและคงอยู่ในความสงบ
“ได้ยินว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว ท่านแม่รอแล้วรอเล่า แต่รออย่างไรท่านก็ไม่กลับบ้าน นางอดห่วงไม่ได้ ก็เลยให้ข้ามาดู” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวล
อาสะใภ้ก็ไหว้วานเจ้าเป็นมนุษย์เครื่องมือรึ…สวี่ชีอันกระแอมในทันทีทันใดแล้วเอ่ยว่า
“ดีเลย ข้าจากเมืองหลวงมาหลายวัน ควรจะกลับไปเยี่ยมสักหน่อยเสียแล้ว”
“เอ่อ เอ่อ…ทุกคน ข้าขอตัวก่อน”
“ห้ามไป!”
“เจ้าไปไหนไม่ได้”
“เจ้ากล้าไปก็ลองดู”
“…”
เหล่าสตรีในห้องพากันแสดงท่าที
จริงด้วย ราชครูบังคับให้ข้าขีดเส้นแบ่งกับพวกนาง พวกนางเองก็อยากให้ข้าแสดงท่าที ในเวลาแบบนี้ ข้านิ่งไว้เป็นการดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด แล้วค่อยแก้ไขปัญหาทีละอย่างเป็นการส่วนตัว
…สวี่ชีอันมองสวี่หลิงเยวี่ยแวบหนึ่ง คนหลังไม่ได้สนใจเขาและคงความเงียบไว้
ลั่วอวี้เหิงแววตาเย็นชา นางเอ่ยด้วยการยกยิ้มมุมปากเป็นรัศมีที่น่าอันตรายว่า
“สวี่หลาง หากเจ้าอ้างสี่อ้างแปดอีก ข้าจะโกรธแล้ว”
สายตาของหลินอันและคนอื่นๆ เฉียบคมในชั่วพริบตา พร้อมจ้องสวี่ชีอันโดยไม่กระดิก
โธ่ ราชครูหนอราชครู ที่ข้าหนีเรื่องนี้ หลักๆ ก็เพราะไม่อยากให้เจ้าหมดที่ยืนในสังคมไปอย่างสูญสิ้น สวี่ชีอันทอดถอนใจในความคิด อยากพูดอะไรบางอย่างพอดี แต่สวี่หลิงเยวี่ยชิงพูดไปก่อนแล้ว
“สวี่หลาง”
นางแสดงอาการตกใจอย่างถึงที่สุดแล้วเอ่ยว่า “ราช ราชครู ท่านกับพี่ใหญ่ข้า…”
ในที่สุดลั่วอวี้เหิงก็หันกลับมา นางมองตรงไปยังสาวกลงนามนิกายมนุษย์ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า
“สวี่ชีอันเป็นคู่บำเพ็ญของข้า”
ช่วงที่สวี่ชีอันจากเมืองหลวงมานี้ สวี่หลิงเยวี่ยได้เป็นสาวกลงนามของนิกายมนุษย์แล้ว ซึ่งนี่ก็เพื่อเลี่ยงการถูกเร่งเร้าให้แต่งงาน
ขณะที่สตรีคนอื่นๆ กำลังมองเขา สวี่ชีอันกำลังมองสวี่หลิงเยวี่ยอยู่
สถานการณ์ตรงหน้าคือลั่วอวี้เหิงบีบบังคับผู้อื่น แต่ปลาน้อยไม่ยอมจำนน จึงร่วมมือกันขัดขืน
ข้างหนึ่งไม่ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับเขา อีกข้างหนึ่งก็รอเขาแสดงท่าที
สิ่งที่หลิงเยวี่ยต้องทำคือผ่อนปรนท่าทีข่มบังคับผู้อื่นของราชครู ทำให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างลงตัว ขอเพียงราชครูล้มเลิกด้วยตนเอง ข้าก็จะมีความมั่นใจในการง้อพวกนางเป็นการส่วนตัว…
สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรองในใจ สายตาที่มองไปยังสวี่หลิงเยวี่ยมีความคาดหวัง
ใครจะรู้ว่าสวี่หลิงเยวี่ยกำลังเม้มปากโดยไม่เอ่ยสักคำ
นางไม่พูดจา ยายตัวร้ายคงทนไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยยิ้มเยาะว่า
“ผู้นำเต๋าเป็นราชครูต้าฟ่ง เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเสด็จพ่อข้า กลับบำเพ็ญคู่กับคนรุ่นหลังอย่างสวี่หนิงเยี่ยน หากแพร่ออกไปจะไม่กลัวผู้คนเย้ยหยันหรือ”
นี่เป็นการเหน็บแนมลั่วอวี้เหิงว่าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนแบบกลายๆ อายุมากกว่าเป็นโข กลับชอบพอคนรุ่นหลังวัยหนุ่ม
หลินอัน จังหวะตอบคำถามนี้เจ้าคงต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุกอย่างแรง จริงด้วย การพูดยั่วยุเป็นเรื่องที่นางถนัดที่สุด
จงหลีเอ่ยเบาๆ ว่า “นางแค่กำลังใช้ประโยชน์สวี่ชีอัน นางไม่มียางอายหรอก”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงไม่ชอบท่าทางข่มบังคับผู้อื่นของราชครูจริงๆ”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “ตัวข้ากับใต้เท้าสวี่มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ต่อกัน แต่ประหลาดใจเล็กน้อยว่าเหตุใดราชครูจึงต้องบังคับให้เขาลบล้างความสัมพันธ์กับพวกข้า”
ฉู่ไฉ่เวยเองก็คิดว่าไม่เป็นธรรมอย่างมาก จึงเอ่ยว่า
“ข้ากับสวี่หนิงเยี่ยนมีความสัมพันธ์แบบมิตรสหาย เหตุใดต้องบังคับเขาให้ตัดการติดต่อกับข้า จริงๆ เลย ราชครูพาลเกินไปเสียแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยว่า “คิดดูแล้วคงไม่เชื่อใจสิท่า แม้หลินอันจะทึ่ม แต่คำที่พูดยังพอมีหลักการอยู่บ้าง”
ขณะที่ในหัวของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยคำว่า ‘แม่เจ้า’ เขาก็ต้องป้องกันลั่วอวี้เหิงไม่ให้บันดาลโทสะลงมือไปด้วย
ขณะที่บรรดาสตรีงามรู้ใจทะเลาะเบาะแว้งกัน ในฐานะผู้ชายแล้วไม่ง่ายเลยที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างออกหน้าออกตา แต่จะให้พวกนางตบตีกันไม่ได้
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยการยิ้มตอบโต้อย่างโมโหสุดขีดว่า “พวกคนต่ำช้าปากคอเราะร้าย ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น เช่นนั้นก็อย่าตำหนิที่ข้าไม่เกรงใจ”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยน กลายเป็นสีหน้ากึ่งหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด
หลินอันฝืนเอ่ยว่า “ท่าน ท่านว่าอย่างไรนะ”
ราชครูผู้คลั่งรักเอียงศีรษะมองสวี่ชีอันโดยไม่สนใจนาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า
“สวี่หลาง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมทิ้งคนต่ำช้าพวกนี้ เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงตัดสินใจแทนเจ้าเสียแล้ว”
“จงหลีเป็นนักพยากรณ์ เช่นนั้นก็สงบอยู่ใต้หอเก็บดาวยี่สิบปี เรื่องนี้ข้าจะหารือกับโหราจารย์ด้วยตนเอง”
“ส่วนหลินอันก็ถึงช่วงอายุที่ควรออกเรือนแล้ว จักรพรรดิเสี่ยวซิงเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ไม่นาน รากฐานยังไม่มั่นคง ข้าจะไปหาเขาแล้วบอกว่าสวี่หลางเป็นคู่บำเพ็ญข้าตรงๆ ดูว่าเขาจะยอมผิดใจข้าหรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงมองฮว๋ายชิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วเอ่ยว่า “หลังเว่ยเยวียนตาย เจ้ายังพอมีที่พึ่งในราชสำนักอีกหรือไม่”
นางหมุนตัวกลับมามองหลี่เมี่ยวเจินแล้วเอ่ยว่า “เทพธิดาปิงอี๋กำลังตามหาเจ้า วันนี้ข้าคงต้องจับตัวเจ้าส่งเป็นของขวัญให้นิกายสวรรค์”
จงหลีห่อตัว
หลินอันกัดฟัน
ฮว๋ายชิ่งหน้าหมอง
หลี่เมี่ยวเจินสั่นโกรธ
จากนั้นพวกนางพากันมองสวี่ชีอัน
…สวี่ชีอันเอ่ยแสดงท่าทีในทันใดว่า “ราชครู อย่ากล่าวคำพูดขู่ขวัญผู้อื่นเลย”
ลั่วอวี้เหิงรู้สึกน้อยใจมาก ขณะที่พวกคนต่ำช้าเหน็บแนมนางเมื่อครู่ สวี่ชีอันกลับมองอยู่ข้างๆ อย่างเมินเฉย
ขณะนี้เอง สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างนุ่มนวลผ่อนปรนว่า
เหตุใดราชครูต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วย
“แม้พี่ใหญ่ข้าจะไปที่สำนักสังคีตบ่อยๆ เที่ยวสตรีทุกค่ำคืน แต่ข้าก็รู้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม จะไม่ผิดต่อราชครูเป็นอันขาด”
ขอบคุณน้องสุดท้อง…สวี่ชีอันจิตใจสับสน รู้สึกว่านางกำลังเหน็บแนมตนเองอย่างทิ่มแทงภายใต้ความนุ่มนวล แต่ไม่อาจตอบโต้ได้เสียอย่างนั้น
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยต่อว่า
“ข้ารับรองกับราชครูได้ พี่ใหญ่กับองค์หญิงทั้งสองท่านบริสุทธิ์ต่อกัน ช่วงที่ผู้นำหลี่มาอาศัยจวนสกุลสวี่ พวกนางได้ผูกสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ตามมารยาทเพื่อเป็นมิตรต่อกัน ไม่มีความเสน่หาระหว่างชายหญิงเป็นแน่แท้”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังแอบเหน็บข้าว่าขี้อิจฉาหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยว่า “ศิษย์มิบังอาจ ศิษย์ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ศิษย์เพียงรักษาความบริสุทธิ์ของพี่ใหญ่ตามสมควรในฐานะน้องสาวเท่านั้น แล้วก็หวังไม่ให้เกิดการทำร้ายความรู้สึกอันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดระหว่างพี่ใหญ่กับราชครู”
การพูดของนางครั้งนี้เป็นไปได้สวย ทั้งเป็นการพูดเพื่อฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ และยังเป็นการยอมรับความสัมพันธ์ของลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันอย่างเป็นนัย
ไม่ว่าใครก็ล้วนทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่ไม่ล่วงเกินกัน
ว่าแล้วเชียว หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ได้เชิงแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มากปัญญา จึงไม่ลดตัวมาโต้เถียงกับลั่วอวี้เหิง
แต่ลั่วอวี้เหิงผู้คลั่งรักไม่เล่นด้วย จึงเอ่ยด้วยความไม่ชอบใจว่า
“เรื่องนี้เจ้าไม่มีส่วนพูด”
สวี่หลิงเยวี่ยหน้าซีด เกิดหยดน้ำตาปริ่มวาวในดวงตา แล้วก็ร้องไห้เบาๆ
‘นี่เจ้าร้องไห้หรือ’
หลินอันรู้สึกว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น
สวี่ชีอันถอนหายใจ ยืดเอว แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
“ราชครู ท่านกล่าวเช่นนี้กับน้องสาวข้าได้อย่างไร”
เขาเอ่ยส่งเสียงเป็นการส่วนตัวว่า “พอได้แล้ว ข้ากับพวกนางไม่ได้มีอะไรต่อกัน อย่าก่อเรื่องอีกเลย”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะเยาะ
สวี่หลิงเยวี่ยส่ายศีรษะ แล้วสะอื้นเอ่ยว่า
“พี่ใหญ่ เป็นเพราะข้าพูดมากไป”
“แม้ท่านจะถูกเลี้ยงมากับมือบิดามารดา แต่อย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดท่าน ท่านปรารถนาร่วมบำเพ็ญคู่กับผู้ใดนั้นเป็นเรื่องของตัวท่านเอง บิดามารดายังไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ข้าก็ยิ่งไม่ควรชี้มือชี้ไม้”
ลั่วอวี้เหิงกระดกคิ้ว
การที่สวี่หลิงเยวี่ยยกอาสะใภ้ของสวี่ชีอันมาพูด ดูเหมือนยอม แต่ที่แท้แล้วเป็นการยอมถอยเพื่อเดินหน้าอย่างเหนือชั้น
แม้จะไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่บุญคุณการให้กำเนิดก็ไม่เท่าบุญคุณการเลี้ยงดู
นางกำลังหักล้างคำพูดของตนเองที่ว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่มีส่วนพูด” โดยอ้างเรื่องนี้
นางกับสวี่ชีอันเป็นคู่บำเพ็ญกันจริง ดังนั้นจึงสามารถบังคับให้เขาขีดเส้นให้ชัดเจนกับสตรีอื่นได้ แต่ไม่สามารถบังคับสวี่ชีอันให้ปฏิเสธน้องสาวได้
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“เอาล่ะ สวี่หลาง เจ้าสาบานเสียที่นี่
“ว่าไม่ได้มั่วโลกีย์กับคนต่ำช้าพวกนี้ทั้งสิ้น ก่อนนี้ก็ไม่ จากนี้ก็ไม่
“สาบานจบ เรื่องนี้ก็จะคลี่คลาย”
ใบหน้าอันงดงามของหลินอันเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นางโกรธจนหน้าซีด
พลังความโกรธในที่เกิดเหตุรวมอยู่ที่ตัวของสวี่ชีอัน
ลั่วอวี้เหิงไม่ได้หลอกง่ายและมีเป้าหมายชัดเจน
แม้สวี่หลิงเยวี่ยจะเจือโคลนตมไม่หยุด ทั้งปลุกปั่น เปลี่ยนเรื่องก็ล้วนสั่นคลอนนางไม่ได้
หลิงเยวี่ยจะรับมือเช่นไรหนอ สวี่ชีอันคิดในใจ จากนั้นก็ได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยสะอื้นเอ่ยว่า
“ราชครู เรื่องนี้ไม่เหมาะสม
“พี่ใหญ่ข้ากับองค์หญิงทั้งสอง ผู้นำหลี่ แล้วก็พี่สาวทั้งสองของสำนักโหราจารย์นั้นบริสุทธิ์
“ที่ท่านบังคับให้พี่ใหญ่ข้าสาบาน ไม่ใช่กำลังบอกว่าพวกนางไม่บริสุทธิ์ใจกับพี่ใหญ่ข้าหรอกหรือ ชื่อเสียงและเกียรติยศของสตรีในสภาพสังคมนี้สำคัญที่สุด โดยเฉพาะองค์หญิงทั้งสองท่าน…
“นี่ไม่ใช่ว่าท่านกำลังฉีกหน้าพวกนางหรอกหรือ”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยยิ้มเยาะว่า
“เจ้ากำลังสอนข้าทำเรื่องทำราวหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยก้มศีรษะเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า
“ศิษย์มิบังอาจ
“แต่ศิษย์ไม่ได้เป็นเพียงสาวกลงนามของนิกายมนุษย์ ศิษย์เป็นน้องสาวของพี่ใหญ่ และเป็นสหายของผู้นำหลี่เช่นกัน จึงทนเห็นราชครูรังแกและฉีกหน้าพวกเขาเช่นนี้ไม่ได้เป็นธรรมดา
“แม้ท่านจะเป็นราชครู ก็ไม่ควรชวนทะเลาะโดยไร้ซึ่งเหตุผล”
ลั่วอวี้เหิงหรี่ตามองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน การแสดงออกของนางบ่งบอกว่านางโกรธ
สวี่หลิงเยวี่ยหน้าซีด ขลาดยิ่งกว่าเดิม นางเอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า
“หากราชครูไม่อยากฟัง เช่นนั้นศิษย์ไปก็แล้วกัน
“เพียงแต่พี่ใหญ่จากเมืองหลวงหลายวัน หัวอกบิดามารดากำลังคิดถึงเขา ราชครูไม่อาจห้ามไม่ให้พี่ใหญ่เจอได้ตลอดหรอก”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ห้ามไป!”
นางรู้สถานะของตนเอง จะเสียเวลาไม่ได้ หากวันนี้ไม่จบเรื่อง วันหน้าก็คงไม่มีโอกาสแล้ว
พอสวี่หลิงเยวี่ยได้ยินคำพูดก็เอียงศีรษะมองสวี่ชีอันแล้วเอ่ยว่า
“พี่ใหญ่ ในเมื่อราชครูยืนกรานเช่นนี้ ท่านก็คงต้องสาบานตามความประสงค์ของนาง”
พอนางกล่าวจบก็มองไปยังสตรีสี่ห้านาง แล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า
“องค์หญิงทั้งสอง ผู้นำหลี่ ศิษย์พี่จงหลี ศิษย์พี่ไฉ่เวย พลอยทำให้เกียรติยศชื่อเสียงของพวกท่านได้รับความเสื่อมเสียไปด้วย หาใช่เจตนาของพี่ใหญ่ไม่ ซ้ำยังไม่มีทางเลือก
“พวกท่านได้โปรดอย่าเอามาใส่ใจ”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร ดูไม่ออกว่าพวกนางยอมรับโดยดุษณี หรือหมายความว่าอย่างอื่น
สวี่ชีอันพอมองการกระทำของสวี่หลิงเยวี่ยออก จึงกระแอมแล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อราชครูต้องการคำสาบาน เช่นนั้นข้า…”
ลั่วอวี้เหิงหันขวับมาจ้องเขาแวบหนึ่งด้วยความเดือดดาล แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าต้องการหาใช่สิ่งนี้ไม่”
นางนวดหว่างคิ้วในฉับพลันนั้น แล้วถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “พอที”
ราชครูเขตามองสวี่หลิงเยวี่ย แล้วแปลงเป็นแสงทองหนีไป
สวี่ชีอันมองไปยังเหล่าปลาน้อยในทันที ยายตัวร้ายตะแคงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ฮว๋ายชิ่งสีหน้านิ่งเฉย จงหลีก้มศีรษะโดยไม่สนใจเขา ฉู่ไฉ่เวยเบะปาก
หลี่เมี่ยวเจินถลึงตาเอ่ยว่า “มองอะไร ยังไม่ไปให้พ้นอีก”
ผิดก็ต้องยอมรับ โดนตีก็ต้องยืนตรง…สวี่ชีอันซุบซิบโดยไม่เปล่งเสียงแล้วพาสวี่หลิงเยวี่ยออกไป
ในพริบตาที่เหยียบธรณีประตูนั้นเอง แก้มอันงามลออของสวี่หลิงเยวี่ยค่อยๆ สูญเสียความรู้สึก แล้วเผยให้เห็นความเย็นชาที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก
ความอ่อนแอ ความน่าสงสาร และความหวาดกลัวเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
“หลิงเยวี่ย รบกวนเจ้าแล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับเอง”
สวี่ชีอันเอ่ย
สวี่หลิงเยวี่ยหลับตา หายใจออกอย่างช้าๆ แล้วกลับสู่ท่าทางที่บอบบางต้องใจคน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วนวลว่า
“คงไม่ก่อปัญหาเพิ่มให้พี่ใหญ่นะ”
“ไม่เลย เจ้าทำได้ดีมาก”
สวี่ชีอันพานางเดินไปยังริมหน้าต่างนอกทางเดิน แล้วกระโดดขี่ลมบินไปยังจวนสกุลสวี่ โดยโอบเอวของสวี่หลิงเยวี่ยไว้
มีพลังปราณห่อหุ้มไว้ แต่สวี่หลิงเยวี่ยไม่รู้สึกหนาว เพราะอิงแอบอ้อมอกอันอบอุ่นของพี่ใหญ่ไว้ นางเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า
“พี่ใหญ่ทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ เมื่อครู่ข้าผวาจนร้องไห้เลย”
“แต่เคราะห์ดีที่ราชครูเข้าอกเข้าใจผู้อื่น จึงปล่อยข้าไปในท้ายที่สุด”
อืมๆ พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าวางอุบายต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงพวกนี้ไม่เป็นเลย ท้ายที่สุดเป็นเพราะราชครูคิดได้ จึงรามือโดยสมัครใจ ไม่ใช่การสาบานที่ถูกบังคับ…สวี่ชีอันขี่ลมบิน พลางแขวะในใจ
ว่าไปแล้ว เขาก็มองการกระทำของสวี่หลิงเยวี่ยออกในท้ายที่สุด
หลังจาก “การหลุดพ้น” ครั้งแรกล้มเหลว ที่นางคงความนิ่งเงียบไว้ ที่แท้แล้วเป็นเพราะกำลังสังเกตทุกคนอยู่
เมื่อรอจนราชครูปะทะกับเหล่าปลาน้อยสิ้นสุด นางจึงเห็นการแสดงความเขลาของเหล่าปลาน้อย เมื่อถูกบีบจนถึงจุดสำคัญ จึงเริ่มจู่โจมด้วยตนเองโดยการพูดคำพูดที่สละสลวยในรูปแบบการรับประกัน เพื่อมอบชั้นเชิงให้หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ
พอถึงตรงนี้ เหล่าปลาน้อยก็สงบลงชั่วขณะ
ถัดไปก็เหลือเพียงลั่วอวี้เหิง
นางพบว่าลั่วอวี้เหิงดื้อดึงไม่ฟังใครระหว่างการประจัญกันภายหลัง ยืนกรานจะให้สาบานกับตนเองให้ได้
ดังนั้นจึงได้กลยุทธ์ เลยจงใจยั่วโมโหลั่วอวี้เหิง แล้วเปลี่ยนคำนิยามโดยการแปลงความหมายของ ‘การสาบาน’ เป็นรูปแบบการถูกบังคับด้วยความจำใจอย่างหนึ่ง
ในตอนนี้ต้องรู้ไว้ว่าเหล่าปลาน้อยลดเชิงไปเลือกการประณีประนอมแล้ว ดังนั้นพวกนางจะไม่อกหักเสียใจเพราะ ‘คำสาบาน’ ที่เกินความเป็นจริงรูปแบบนี้
การเกิดความแสลงใจเป็นสิ่งที่ยากเลี่ยง แต่ไม่ถึงขั้นรับไม่ได้
เพราะว่าลั่วอวี้เหิงมองจุดนี้ออก จึงไม่ควรค่าที่จะให้เขาสาบานอีก
ที่สวี่ชีอันเรียกน้องสาวมามีสองสาเหตุ หนึ่งคือ เขาต้องการคนเจือโคลนตมและมีสถานะปลอดภัยมากพอมาทลายสถานการณ์ที่ไร้ซึ่งทางออกนี้ สองคือ ความสามารถของสวี่หลิงเยวี่ยควรค่าแก่การเชื่อใจ
“พี่ใหญ่ ราชครูจะเกลียดข้าจนตายไหม”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยความหนักอกหนักใจ
“นางจะโกรธเขาเพราะเรื่องนี้หรือไม่
“หากนางทำให้ข้าลำบากใจตอนเจ้าไม่ได้อยู่เมืองหลวง ข้าควรทำอย่างไร
“ราชครูน่ากลัวมากเลย วันนี้ยังบังคับให้ท่านสาบาน ทำให้ท่านต้องลำบากใจ
“ไม่เหมือนข้า ข้าเพียงสงสารพี่ใหญ่”
น้องสาวจะคิดร้ายได้อย่างไรเล่า เจ้าเป็นน้องสาวแสนดีที่สงสารพี่ชาย
ส่วนราชครู นางจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ ข้าคงไม่รู้ แต่นางจะตามฆ่าข้าเพราะความละอายใจเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอน…สีหน้าสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
ราชครูหมดที่ยืนในสังคมถึงขั้นนี้ ช้าไป ช่วยไม่ได้แล้ว
…
มืดลงเรื่อยๆ ลั่วอวี้เหิงยืนเหม่อมองฉากความมืดแสนอึมครึมในลานเล็กๆ ที่สงบเงียบ
“เฮ้อ…”
นางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเคียดแค้นว่า
“เดือนหน้า หากเดือนหน้าข้าบังคับเจ้าให้เลือกไม่ได้ ข้าจะขายสตรีที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเจ้ารวมถึงมู่หนานจือให้สำนักสังคีตไปด้วยกัน”
นางแสดงอาการโกรธเงียบๆ จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากในทันใด แล้วเอ่ยซุบซิบว่า
“อย่างน้อยก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ด้วยนิสัยงอแงไร้เหตุผลของข้า หากไม่บังคับจนถึงทางตัน หลังเจ็ดวันผ่านไป มากกว่าครึ่งคงสงบเสงี่ยมไปตลอด”
ขณะนี้เอง ใบหูนางกระดิก นางแหงนศีรษะมองไปยังที่มืดแล้วเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า
“เจ้าไม่ได้อยู่กับพวกชู้ที่สำนักโหราจารย์หรือ มาหาข้าทำไม”
“เพราะข้าติดเตียงของราชครูไปแล้ว”
สวี่ชีอันโผล่ออกมาจากเงามืด เขาแว่วไปประโยคหนึ่งเพื่อพยายามทำให้บรรยากาศไม่หม่นหมอง แต่สิ่งที่ได้รับคือแววตาที่เย็นชายิ่งกว่าจากราชครู
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยสีหน้าอันเย็นชาว่า “คืนนี้ข้าไม่บำเพ็ญคู่ ใต้เท้าสวี่โปรดกลับไปเถิด”
กล่าวจบ นางก็หันหลังกลับห้องสงบจิต
สวี่ชีอันยิ้มเจื่อน เขาเดินผ่านลานบ้านมายังริมประตู ขณะผลักประตู ฝ่ามือเขากลับถูกดีดออกด้วยพลังบางอย่าง
“เช่นนั้นข้าไปจริงๆ แล้ว”
เขาตะโกนไปที่ห้อง แล้วก็เดินหันหลังกลับไป
เขากลับมาอีกหลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป แต่เมื่อผลักประตูก็ยังเข้าไปไม่ได้เช่นเดิม
“ไม่บำเพ็ญคู่จริงๆ หรือ”
สวี่ชีอันเกาศีรษะ สายตากวาดมองรอบๆ แล้วหยุดลงตรงหน้าต่าง ตามด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมา
ชั่วขณะนั้นเอง มีเสียง ‘แก๊ก’ ดังมาจากหน้าต่าง ตามด้วยหน้าต่างที่เปิดและปิดลงอีกที จากนั้นนักแอ้มสวี่ก็หายตัวไปจากข้างนอกห้อง
………………………………………………
[1] เจือโคลนตมมาจากคำศัพท์ภาษาจีนที่ว่า 和稀泥 ซึ่งหมายถึงการไกล่เกลี่ยปัญหาโดยไม่สนหลักการ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม