ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง
บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง
ยังไม่ถึงยามเหม่า จักรพรรดิหย่งซิ่งลุกจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าภายใต้การปรนนิบัติของขันที ขณะนี้สีของท้องฟ้าดำขลับ เปลวไฟจากเทียนไขในห้องสุสานสว่างไสว
ขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายจักรพรรดิหย่งซิ่งตั้งแต่ตำหนักบูรพา ได้เจริญรอยตามนายท่านจวบจนได้นั่งตำแหน่งขันทีกุมตราลัญจกรตราบเท่าทุกวันนี้
“เมื่อคืนหลินอันไม่ได้กลับตำหนักหรือ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งกางแขนทั้งสองข้างออก เปลี่ยนให้ตนเองเป็นเหมือนที่แขวนชุด เพื่อให้เหล่าขันทีสะดวกในการเปลี่ยนฉลองพระองค์จักรพรรดิให้เขา
“ข้าน้อยให้คนคอยจับตาดูอยู่ที่ประตูตำหนัก หากองค์หญิงหลินอันกลับตำหนักให้รายงานทันที ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราว คงจะอยู่ที่สำนักโหราจารย์ จึงยังไม่กลับ”
พอจ้าวเสวียนเจิ้นกล่าวจบ เขาเห็นจักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดหัวคิ้ว จึงกล่าวเสริมในทันทีว่า
“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเองก็ยังไม่กลับ”
หัวคิ้วของจักรพรรดิหย่งซิ่งคลายออกในทันใด แล้วพยักหน้าอย่างช้าๆ พร้อมเอ่ยว่า
“ดูท่าคงจะพักที่สำนักโหราจารย์แล้ว เอ่อ เมื่อคืนลมหนาวเข้ากระดูก องค์หญิงทั้งสองร่างกายบอบบาง ไม่เหมาะที่จะกลับมาจริงๆ มิเช่นนั้นจะเป็นหวัดเอาเสียง่ายๆ ”
นายท่านและข้ารับใช้อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี เมื่อครู่จ้าวเสวียนเจิ้นอ่านความกังวลของฝ่าบาทได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างนั้นจึงกล่าวเสริมด้วยประโยคที่ว่า “องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเองก็ยังไม่กลับตำหนัก” เพื่อสงบจิตสงบใจฝ่าบาท
จริงเสียด้วย พอได้ยินว่าฮว๋ายชิ่งยังไม่กลับตำหนัก ฝ่าบาทก็วางใจ ไม่เป็นกังวลว่าองค์หญิงหลินอันจะถูก ‘รังแก’
จ้าวเสวียนเจิ้นผู้มีอายุอานามพอๆ กับจักรพรรดิหย่งซิ่งลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า
“ข้าน้อยรู้ว่าฝ่าบาทเห็นใจชาวบ้านที่ไม่มีถ่านในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ แต่ก็อยากขอให้ฝ่าบาทอย่าลืมอุ่นใจของบรรดาพระสนมด้วย”
จักรพรรดิหย่งซิ่งเอียงมองขันทีกุมตราลัญจกรครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเยาะว่า
“เจ้าลูกหมา เจ้ารับเงินจากพวกสนมมาเท่าไร”
จ้าวเสวียนเจิ้นตอบตามความจริงว่า
“ห้าร้อยตำลึง เก็บเข้าท้องพระคลังหมดแล้ว”
ที่จริงแล้วจักรพรรดิหย่งซิ่งใช่ว่าจะไร้ความสามารถเลย เขารู้ว่าท้องพระคลังว่างเปล่า ขาดตำลึงบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย จึงวางแผนรวบรวมทรัพย์สินมากมายเป็นการส่วนตัว
หนึ่งในนั้นมีข้อหนึ่งซึ่งก็คือการใช้ประโยชน์จากขันทีในตำหนักขู่เข็ญเอาเงินสินบนจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ทว่าน่าเสียดาย อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงจักรพรรดิฝึกหัดที่ฝึกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เทียบกับผู้รับตำแหน่งก่อนหน้าที่ดำเนินงานมาสี่สิบปี วิธีการรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบช่างเป็นวิธีการที่อ่อนหัดเสียจริง
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักศีรษะด้วยความพอใจ ก่อนตอบกลับคำพูดของจ้าวเสวียนเจิ้นว่า
“ตั้งแต่ข้าขึ้นครองราชย์มา ข้ามักจะจัดการภาระงานในหน้าที่ถึงกลางดึกจนนั่งหลับคาโต๊ะเพราะทำงานอย่างหนักเป็นประจำ”
จ้าวเสวียนเจิ้นก็เข้าใจ ฝ่าบาทในช่วงนี้ทรงงานหนักถึงขนาดไม่ได้ไปเยี่ยมบรรดาพระสนมตำหนักในเป็นเวลานาน
จักรพรรดิหย่งซิ่งทอดถอนใจในฉับพลันแล้วเอ่ยว่า
“หากเรื่องนี้ไม่ลุล่วง ก็ต้องมีส่วนให้สมุหราชเลขาธิการหวางกับว่าที่ลูกเขยของเขาพลอยแบกรับชื่อเสียไปด้วย”
เขาเตรียมยื่นขอบริจาคในการประชุมราชสำนักวันนี้ ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่จักรพรรดิและสมุหราชเลขาธิการหวางที่เป็นผู้ริเริ่ม แต่รับผิดชอบโดยสวี่ซินเหนียนผู้เป็นซู่จี๋ซื่อประจำสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
เพื่อเป็นการตอบแทน เขาจึงรับปากสมุหราชเลขาธิการหวางว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้สวี่ซินเหนียน
…
เมื่อถึงยามเหม่า เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเดินผ่านประตูอู่และสะพานจินสุ่ยไปเข้าร่วมงานประชุมราชสำนักอย่างเป็นระเบียบ
ภายในหนึ่งเดือนที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ความรู้สึกนึกคิดที่รับรู้ได้จากบรรดาขุนนางในเมืองหลวงมากที่สุดคือ
งานประชุมราชสำนักเริ่มเมื่อใด
งานประชุมราชสำนักจัดในยามเหม่า (ห้าโมงเช้า) บรรดาผู้อยู่อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานต้องออกจากจวนล่วงหน้าเพียงครึ่งชั่วยาม
แต่ขุนนางบางส่วนที่อยู่ในเมืองซึ่งห่างจากพระราชวังไกลมาก ต้องตื่นแต่ยามอิ๋น (สามโมงเช้ามืด) ในฤดูหนาวครั้งใหญ่ที่ลมหนาวปะทะหน้าราวถูกเฉือนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดเสียจริง
ความถี่ในการจัดงานประชุมราชสำนักโดยหลักๆ จะต้องดูท่าทีของจักรพรรดิ เหมือนผู้บรรลุเซียนอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง ครึ่งเดือนสิบวันจึงจะมีประชุมราชสำนักสักครั้ง
ชั่วประเดี๋ยวนั้นเอง บรรดาขุนนางในเมืองหลวงที่อวดตนว่าเป็นผู้มีความสามารถ ตบเท้าโถมด่าจักรพรรดิหยวนจิ่งว่าละเลยการบริหารบ้านเมืองกันเป็นการส่วนตัว พร้อมร้องตะโกนว่า “ข้ามาประชุมราชสำนักแล้ว”
ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ติดต่อกันหนึ่งเดือนแล้ว มีประชุมเช้าทุกวัน
บรรดาขุนนางในเมืองหลวงคลานลงจากเตียงกันอย่างทรมานทุกครั้ง ขณะเผชิญลมหนาวออกจากจวน ในใจก็คิดถึงจักรพรรดิองค์ก่อนขึ้นมา
…
นาฬิกาชีวิตของสวี่ชีอันก็อยู่ในยามเหม่า วินาทีแรกที่เขาตื่นมาทำคือปิดตาสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังปราณในตันเถียน
“การเพิ่มพูนของพลังปราณที่มาจากการบำเพ็ญคู่ค่อยๆ อ่อนลงแล้ว มีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณค่อนข้างคงที่
“อืม นี่ก็เข้าใจได้ ผลที่ได้เกินจริงมาโดยตลอด ข้าบำเพ็ญคู่กับราชครูมาสองปีจนข้ามขั้นไปจากจุดเดิมแล้ว…”
การบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิงห้าวันสั้นๆ ทำให้เขาเลื่อนจากขั้นสามช่วงแรกไปยังขั้นสามช่วงกลางโดยตรง
นี่คือเส้นทางที่จอมยุทธ์ขั้นสามทั่วไปใช้เวลาหลายปีหรืออาจถึงหลายสิบปีจึงจะเดินถึง
ดังจะเห็นได้ว่า ระดับของคู่บำเพ็ญมีความสำคัญแค่ไหน ตัวลั่วอวี้เหิงเป็นผู้นำลัทธิเต๋า และยังอยู่ในขั้นสองหนีไฟกรรม
เกรงว่าจะไม่มีสตรีใดสามารถเป็นเหมือนนางได้อีกบนโลกนี้ ในขณะที่ทำให้สวี่ชีอันมีความสุข ก็ทำให้ตบะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน
ยกเว้นการโกงอย่างเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด
สวี่ชีอันหาว ลุกขึ้นนั่งบนเตียงเล็กๆ ที่ทรุดตัว แล้วหันศีรษะมองข้าวของเครื่องใช้ที่เรียบง่ายรอบๆ ภายในห้องสงบจิต พบว่าในชีวิตปกติของลั่วอวี้เหิงไม่มีคำว่านอนหลับ
เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ทั้งสองนอนก็คือเตียงเตี้ยยาวที่นางนั่งสมาธิตามปกติ
ตอนนี้มันได้ตายไประหว่างการประกอบกิจแล้ว
ลั่วอวี้เหิงห่มตัวด้วยเสื้อคลุมผืนกว้างยาว นางห่อตัวหลับเหมือนร่างหยกที่นอนราบ
นางจะต้องสงบไฟแห่งกรรมและเปลี่ยนบุคลิกด้วยการนอนหลับหลังจากบำเพ็ญคู่ทุกครั้ง
เสื้อคลุมเป็นของสวี่ชีอัน เมื่อคืนนางไม่อยากทำชุดพิธีการของตนเองสกปรก จึงใช้เสื้อคลุมของสวี่ชีอันเป็นผ้าห่ม
เสื้อคลุมที่ห่มไม่ได้มิดชิดมากนัก ชายเสื้อคลุมห่มถึงเพียงต้นขานาง ขาเรียวยาวอันขาวผ่องจึงเปลือยโผล่นอกชายเสื้อคลุม
ลั่วอวี้เหิงมีขาเรียวยาวที่ทำให้ไม่อาจหยุดโหยหา สวี่ชีอันในฐานะนักชมสาวงามแห่งต้าฟ่ง เขาสามารถชื่นชมความงดงามของสตรีได้มากที่สุด
ขาคู่นี้ของราชครูใช่ว่าไม้ไผ่สองท่อนของเด็กสาวไร้เดียงสาที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นสามารถเทียบได้ มันทั้งมีความเล็กบางของสาวน้อย แต่ไม่ได้สูญเสียความอวบอิ่มที่สาววัยผู้ใหญ่พึงมี ในขณะเดียวกันก็ยังมีความยืดหยุ่นที่แน่นกระชับ
จะสิบปีก็ไม่เลี่ยน
สวี่ชีอันนับเวลาอย่างเงียบๆ ขณะกอดลั่วอวี้เหิงไว้ ชั่วขณะหนึ่ง ขนตาอันหนาดกของลั่วอวี้เหิงสั่นกระดิก แล้วนางก็ลืมตาขึ้นต่อจากนั้นไม่นาน
สายตาของทั้งสองจับจ้องซึ่งกันและกัน นางมอบรอยยิ้มอันพราวเสน่ห์ให้
เฮ้อ ดูท่าจะเป็นบุคลิก ‘ใคร่’…สวี่ชีอันเหมือนได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง
หากบุคลิกที่ตื่นมาเป็นบุคลิก ‘เกลียด’ สวี่ชีอันก็ต้องเตรียมใจทำให้นางลุกจากเตียงไม่ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง
มีเพียงต้องทำอย่างนี้จึงจะสามารถระงับไม่ให้ราชครูก่อเรื่องอันไร้มโนธรรมได้ อย่างเช่นการกินลูกปลาแสนน่ารักในบ่อปลาเขาจนเกลี้ยง
ลั่วอวี้เหิงนอนราบโดยเหยียดแขนและยืดเอว
ลำตัวอันขาวสะอาดยื่นออกมาจากเสื้อคลุม สวี่ชีอันก้มศีรษะมอง เขาเห็นบั้นท้ายที่สวยงอนและอวบอิ่มซีกหนึ่ง
“ไม่มีความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มาหลายปีแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันหวานชื่นว่า “สวี่หลาง ดีจริงๆ ที่มีเจ้า”
ดีจริงๆ เลย เจ้าหมดที่ยืนทางสังคมไปถึงขั้นนี้แล้ว ดีจริงๆ เลย…สวี่ชีอันแขวะอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าเศร้าซึมภายในใจโดยไม่แสดงอาการใดๆ
ทั้งสองสวมชุดที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดังพรึบพรับ แล้วทานอาหารเช้าสุดหรูอย่างสบายใจเฉิบ แม้ไม่ได้พูดคุยกันเลยระหว่างการทานอาหาร แต่บรรยากาศก็ปรองดองดี ซึ่งรับรู้กันผ่านกิริยาท่าทาง เสมือนคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาหลายปีแล้ว
หลังทานอาหารเสร็จ สวี่ชีอันพบว่าลั่วอวี้เหิงไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนสักคำ จิตใจสงบเหมือนว่าลืมไปแล้ว
ขณะวางแผนจะกลับบ้าน จู่ๆ ก็รู้สึกปวดบวมตรงหลังคอ
เจ็ดยอดกู่จะต้องเปลี่ยนสภาพแล้ว…เขาตื่นตระหนกด้วยความดีใจในความคิด
“ราชครู ข้าต้องการห้องสงบจิตที่ไม่มีคนมารบกวนสักห้อง”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้มจืดๆ ว่า “กลับบ้านก็ได้ คงไม่มีคนมารบกวนแล้ว”
บ้านที่นางหมายถึงก็คือห้องสงบจิตที่ทั้งสองใช้บำเพ็ญคู่ห้องนั้นเอง
ลานที่สงบเงียบแห่งนี้ มีแขกมาเยี่ยมน้อยมาก แม้เป็นศิษย์ในอาราม หากไม่มีเรื่องสำคัญก็จะไม่เข้ามา
ตอนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่ยังพอมีคนบ้าง แต่หลังจากเขาตาย ที่นี่ก็ยิ่งเงียบกว่าเดิม
พอรอจนสวี่ชีอันเข้าห้องไปแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็ยกฝ่ามือขึ้นมาร่ายอาณาเขตเหมือนรู้ใจสวี่ชีอัน
…
สวี่ชีอันปิดตานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลม แล้วปรับร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อรับมือการเปลี่ยนสภาพของเจ็ดยอดกู่
เจ็ดยอดกู่เริ่มหลอมตนเอง อยู่ในสภาพหลับชะงักการเติบโต โดยคงช่วงตัวอ่อนไว้
เดือนกว่ามานี้ เจ็ดยอดกู่ได้อาศัยอยู่ในตัวเขาและรวมเป็นร่างเดียวกับเขา มันได้รับเลือดและปราณจากเขามาหล่อเลี้ยงจนเติบโตในท้ายที่สุดหลังจากเสริมความรู้สึกบ้ากามที่ขาดตกบกพร่อง
“ช่วงต่อไปของเจ็ดยอดกู่ คงสามารถมอบพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่ให้ข้าได้”
สวี่ชีอันเฝ้ารอด้วยความคาดหวัง
เจ็ดยอดกู่ในช่วงตัวอ่อนทำให้เขายืนอยู่ในจุดที่ไม่ได้ด้อยกว่าต่อหน้าพวกขั้นสี่ แม้จะบอกว่าเอาชนะไม่ได้ แต่ก็เหลือเฟือที่จะปกป้องตนเอง
ตอนนี้มันเติบโตในขั้นต้น น่าจะสามารถเพิ่มกำลังรบโดยรวมถึงขั้นสี่ได้
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะสามารถก่อหนุนระบบจอมยุทธ์ของเขาได้
“ไม่รู้ว่าพลังของหนอนเจ็ดยอดกู่ จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หรือไม่…”
ในขณะที่ตั้งตารอคอย เขาก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงตรงหลังคอด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบห้านาทีต่อมา เขารู้สึกว่าเลือดเนื้อตรงหลังคอปูดขึ้นมาเป็นก้อนเนื้อบวมๆ
แต่ภายใต้เลือดเนื้อที่ดวงตามองไม่เห็น เจ็ดยอดกู่เริ่มเติบโต รูปร่างผอมยาวขึ้น ขาปล้องแข็งแรงกว่าเดิม เจาะเข้าไปในเลือดเนื้อกับกระดูกสันหลังของสวี่ชีอันลึกลงไปอีกขั้น
ความสัมพันธ์เฉกเช่นผู้ถูกอาศัยกับปรสิตนี้ ทำให้มนุษย์และหนอนกู่ก่อตัวเป็นชุมชนแห่งชีวิต
จิตเดิมอันทรงพลังของสวี่ชีอัน ‘เห็น’ ฉากนี้กับตา
“ยังดี ไม่ถือว่าเจ็บมาก ไม่ได้เจ็บมากเท่าตอนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาอาศัยเลย ข้ายังไม่ได้รับผลสะท้อนกลับของการพัฒนาร่าง…”
วินาทีถัดไปที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวี่ชีอันก็ถูกพลังที่มาอย่างฉับพลันแทงทะลุจิตเดิม
พลังนี้มาจากเจ็ดยอดกู่
ในฉับพลันนั้นเอง เขาเกิดมโนภาพว่าจิตเดิมถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน
จิตล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต หาจุดลงไม่พบ ไม่อาจกลับสู่ความเป็นจริง ไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของกายหยาบ
ไม่รู้ว่ากระบวนการนี้ต่อเนื่องยาวนานแค่ไหน จนกระทั่งเขาสัมผัสกับภาพความทรงจำที่แหลกละเอียดบางอย่าง ซึ่งไม่ได้เป็นความทรงจำของเขา