ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 596 สังคมอันแสนอันตราย
บทที่ 596 สังคมอันแสนอันตราย
สวี่เอ้อร์หลางที่เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย หลังเหลือบมองพี่ใหญ่และบิดาเพียงครู่เดียว ตรงมุมปากก็พลันกระตุกหลายครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
ท่ามกลางบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนใจจนแต่ละคนก็เกิดความกังวลขึ้นตามมา สวี่ชีอันจึงกระแอมเอ่ยว่า “หอมจัง เหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นฝีมือการทำอาหารของน้องหลิงเยวี่ยนะ
“อารอง คืนนี้ไม่ดื่มให้เมาไม่ได้แล้ว”
หลังจากทำลายบรรยากาศอันน่าอัดอึดใจ ชายหนุ่มทั้งสามก็ซ่อนถุงส้มเขียวหวานไว้ข้างตัวไปโดยปริยาย และแสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน
ระหว่างนั้นเอง สวี่ชีอันชำเลืองมองเอ้อร์หลาง ก็เห็นว่าสวี่เอ้อร์หลางแสดงสีหน้าดั่งเดิมที่ปกปิดความละอายก่อนหน้า
สองปีมานี้ เอ้อร์หลางเติบโตขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อนึกถึงช่วงแรกที่เขายังหมกตัวอยู่ในจวนคร่ำครวญจะผูกคอ หลังจากมีคนในบ้านพบเข้า ก็อับอายไม่ไหวจนอยากตายทันใด…สวี่ชีอันนึกย้อนถึงเรื่องเมื่อก่อนแล้ว ก็รู้สึกสังเวชใจนัก
จากนั้นบุรุษทั้งสามก็เข้าสู่จวน และตรงไปที่ห้องโถงด้านใน
ภายในห้องโถงสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน โดยมีน้ำแข็งย้อยเกาะตามชายคาอยู่หลายแท่ง และกลิ่นหอมของอาหารซึ่งโชยออกมาจากประตูที่เปิดไว้
ยามนี้คนรับใช้จำนวนไม่น้อยกำลังเข้าออกภายในเรือนกันให้ขวักไขว่ มีสาวใช้ที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มอีกสองสามคนด้วย
ระหว่างที่เขาออกจากเมืองหลวงไปหลายเดือน จวนสกุลสวี่คงซื้อตัวคนรับใช้ไว้เยอะเลยทีเดียว
“ชาวบ้านในเมืองหลวงเองก็หนาวตายไปไม่น้อยเหมือนกัน ประจวบกับจวนนี้ยังขาดคนอยู่ อาสะใภ้เจ้าเลยให้พ่อบ้านไปจัดการซื้อคนใช้สองสามคนมาจากพ่อค้าคนกลาง แต่ถึงอย่างไรก็ได้เสนอทางรอดกับพวกเขาด้วยล่ะนะ” อารองสวี่กล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้า แม้อาสะใภ้จะใจแคบ รักศักดิ์ศรี คิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดา และข้อเสียอีกมากมาย ทว่าก็เป็นสตรีผู้ที่มีชีวิตสุขสบาย ไร้เหตุกังวล อีกทั้งยังไม่ต้องวางกลอุบายเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน จิตใจจึงไม่ได้เลวร้ายอะไร
หลินอันก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ต้องขอบคุณที่จักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมาหลายปี ในวังจึงไร้ซึ่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หากได้เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น หลินอันคงไม่ไร้เดียงสาจิตใจดีอย่างปัจจุบัน
“ภัยพิบัติในปีนี้ ก็ยังไร้หนทางขจัดแก้” สวี่ชีอันหันหน้าไปด้านข้าง พินิจมองสวี่ซินเหนียน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดอาสะใภ้ไม่ซื้อสาวใช้ข้างห้อง[1]ให้เอ้อร์หลางสักคนกลับมาด้วยเล่า?”
อารองสวี่หัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกสองเดือนเอ้อร์หลางก็จะหมั้นหมายกับบุตรสาวสมุหราชเลขาธิการแล้ว อาสะใภ้รองของเจ้าไม่กล้าสร้างความลำบากใจกับบุตรสาวท่านสมุหราชเลขาธิการหรอก”
สวี่ฉือจิ้วขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพี่ใหญ่และบิดาเยาะเย้ย
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น เมื่อบุรุษทั้งสามเข้าสู่ห้องโถงด้านใน ก็ได้รับความอบอุ่นของเตาถ่านจากทุกสี่ทิศทันใด ทั้งยามนี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารมากมาย เป็นอาหารชั้นเลิศที่มีทั้งอาหารป่าและอาหารทะเล ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีเป็นปกติในจวนสกุลสวี่
เวลานี้อาสะใภ้รองและหลิงเยวี่ยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะชา ส่วนสวี่หลิงอินกับลี่น่าก็เข้าไปนั่งที่ด้านข้างของโต๊ะ พลางมองอาหารอย่างกระหาย
“หลิงอิน อย่าแม้แต่จะคิดขโมยกินก่อนเชียว รอให้พี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาก่อนค่อยเริ่มกิน” อาสะใภ้กล่าวตักเตือน
“อื้อ…”
สวี่หลิงอินนั่งคุกเข่าบนเก้าอี้ โดยที่มือน้อยๆ ยันขอบโต๊ะ แล้วดึงสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่าเมื่อมองไปทางด้านนอกห้องโถง ก็เห็นบุรุษทั้งสามกลับเข้ามาพอดี
“พี่ใหญ่!”
เสี่ยวโต้วติงตะโกนเรียกเสียงดัง กระโดดลงจากเก้าอี้ ส่วนสองมือที่ขนาบกับเอวก็กางออกแล้วเหยียดไปด้านหลัง พร้อมกับก้มศีรษะลง ก่อนจะพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวทั้งสวี่ผิงจื้อและสวี่ซินเหนียนก็พลันถอยออกห่างทันที
เสี่ยวโต้วติงจึงพุ่งชนเข้าใส่อ้อมแขนของสวี่ชีอัน
ช่างแรงเยอะดีจริงๆ…เขาตกตะลึงอยู่ในใจ จากนั้นก็มองพินิจน้องสาว หลังจากไม่เจอกันเพียงหนึ่งเดือน โดยทั่วๆ ไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก อืม แต่หากต้องพูดล่ะก็ ใบหน้าดูกลมกว่าเดิมแฮะ
กลมกิ๊กเหมือนลูกแอปเปิลสีแดงเลย
ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่าเลือดลมของเสี่ยวโต้วติงนั้นแข็งแรงดีเป็นอย่างมาก
เท่าที่สวี่ชีอันคิดวิเคราะห์จากการพุ่งชนเมื่อครู่นี้ และจากการประเมินด้วยสายตา ตอนนี้พลังของนางคงอยู่ที่ระดับหลอมจิตขั้นเก้าแล้ว
เจ้านี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ยามข้าอายุเท่านางในตอนนี้ ยังฝึกกระบวนท่าอาชาไม่หยุดอยู่เลยนะ…สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ในใจ
เขาลูบหัวสวี่หลิงอิน พลางกวาดสายตามองสตรีทั้งสามในห้องโถง
สวี่หลิงเยวี่ยเคยเจอแล้ว ส่วนลี่น่าผิวดูจะขาวขึ้นกว่าเดิม คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คืออาสะใภ้รอง ผู้มีรูปโฉมงดงาม ผิวขาวนวลเนียน และเมื่อมองใบหน้านี้ ก็ดูไม่เหมือนผู้หญิงที่มีลูกมาแล้วสามคนเลยแม้แต่น้อย
เป็นเพราะยาบำรุงหน้าที่ฉู่ไฉ่เวยส่งให้รึเปล่านะ? ผลลัพธ์ช่างดีเสียจริง หากเป็นชาติก่อนข้าคงรวยเละ น่าเสียดายที่กลับไปไม่ได้แล้ว…เขาคิดแล้วก็เสียใจ
จากนั้นอาสะใภ้รองและหลิงเยวี่ยก็เข้ามาต้อนรับ ทว่าก็มองสำรวจบนร่างหลานชายก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้แขนขาดหรือขาขาดอันใด ก่อนจะเชิดคางขึ้น แล้วพูดอย่างสงวนท่าที “กลับมาได้สักทีนะ!”
จู่ๆ นางก็ทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะขมวดคิ้วงาม “กลิ่นส้มเขียวหวานอีกแล้ว ทำไมกลิ่นแรงขนาดนี้?”
อารองสวี่จึงรีบเอาส้มเขียวหวานออกมา ยิ้มกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ส้มเขียวหวานแก้ไอได้ ข้าเลยซื้อมาให้หลิงอินกิน แต่ระหว่างทางข้าก็กินเองไปหนึ่งลูก คงจะมีกลิ่นติดน่ะ”
สวี่หลิงอินได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กก็พลันสลดทันใด
อารองสวี่ถลึงตาเอ่ย “จะนิ่งบื้ออยู่ไย รีบมาเอาเร็ว”
สวี่หลิงอินขมวดคิ้วงามทั้งสองเข้าหากันแน่น ขณะถือถุงส้มเขียวหวานในอ้อมแขน
นางมองผู้เป็นบิดา แล้วมองส้มเขียวหวานในอ้อมแขน จากนั้นก็ใช้นิ้วที่สั้นอวบพลิกนับดูข้างใน มีสี่ลูก สำหรับตนนั้นถือว่าพอรับไหว
จังหวะนั้นคิ้วงามทั้งสองถึงคลายออก
“อะแฮ่ม!” สวี่เอ้อร์หลางกระแอม ก่อนจะนำถุงกระดาษที่ซ่อนอยู่ข้างตัวออกมา ยื่นไปทางสวี่หลิงอิน แล้วพูดว่า “พี่รองก็กังวลเรื่องเจ้าที่ไอเหมือนกัน…”
สวี่หลิงอินแน่นิ่งไปโดยพลัน สวี่ชีอันเหมือนจะเห็นเครื่องหมายคำถามลอยอยู่บนศีรษะของนาง
หลังสวี่ผิงจื้อและสวี่ซินเหนียนโยนปัญหาให้กับเด็กเสร็จ ก็มานั่งข้างโต๊ะอย่างอารมณ์ดี
ทว่าด้านสวี่หลิงอินกลับมีท่าทีอยากจะร้องไห้อยู่เต็มที
สวี่ชีอันเห็นเช่นนั้น ก็อดใจไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า “หลิงอินจ๋า พี่ใหญ่กลับมาครั้งนี้ เอาของขวัญมาฝากเจ้าด้วยนะ”
เสี่ยวโต้วติงเผยรอยยิ้มสดใสประหนึ่งแสงตะวันทันที เสมือนท้องฟ้าไร้เมฆหิมะ ลืมเรื่องทุกข์ทั้งหมด เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไหนของขวัญ ของขวัญอยู่ไหนเหรอพี่ใหญ่?”
สวี่ชีอันจึงหยิบส้มเขียวหวานที่ซ่อนไว้ข้างตัวออกมาทันใด แล้ววางไว้ในอ้อมแขนของเสี่ยวโต้วติง
สวี่หลิงอิน…ได้รับ ‘ส้มเขียวหวานX3’
เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ตอนนี้ได้ยืนแน่นิ่งไปแล้ว อีกทั้งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งบิดา พี่ใหญ่ และพี่รองจะทำเช่นนี้กับตนเอง
จู่ๆ เสี่ยวโต้วติงก็ส่งเสียงร้องไห้ ‘ฮึก’ ออกมา “ข้าไม่อยากกินส้มเขียวหวาน ข้าไม่อยากกินส้มเขียวหวาน…”
สวี่เอ้อร์หลางที่โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น กลับพูดด้วยสีหน้าสบายใจว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากกินก็โยนทิ้งสิ”
‘โยนทิ้งเหรอ…’เสี่ยวโต้วติงได้ยินเช่นนั้น ก็ร้อง ‘ฮึก’ และเศร้ากว่าเดิม
‘นางคงทิ้งไม่ลงสินะ…’ สวี่เอ้อร์หลางใช้ตะเกียบคีบผัดหน่อไม้ฤดูหนาว
‘ถึงไม่อร่อยก็ต้องกินลงไป…’ อารองสวี่ดื่มสุราเสียงดัง ‘อึกๆ’
อารองและเอ้อร์หลางช่างไร้มนุษยธรรมจริงๆ เลย เฮ้อ…สวี่ชีอันคีบอาหารให้อาสะใภ้รอง แล้วพูดว่า “อย่าลืมให้นางแปรงฟันด้วยนะ”
…
หลังจากร่ำสุราไปสามครา อารองสวี่ก็คีบเนื้อหัวหมูเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ แล้วกลืนลงไป จากนั้นก็รินสุราให้ลูกชาย เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ด้านนอกเขาพูดกันว่า เจ้าไปเสนอความเห็นกับฝ่าบาทให้เรียกบริจาคเงินรึ?”
สวี่ซินเหนียนตอบ ‘อือ’ ก่อนอธิบายต่อว่า
“ความจริงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือค้นบ้านเรือนและยึดทรัพย์ แต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้วิธีการนุ่มนวลเท่านั้น
“เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องบริจาคหรอก เพราะว่าการกระทำของเขาในระหว่างที่ครองราชย์นั้นอาจถูกขยายความได้ ซึ่งก็อาจโดนพวกขุนนางใส่สีตีไข่นั้นเอง
“หากอยากนั่งบัลลังก์มังกรอย่างมั่งคง ทางที่ดีก็อย่าเพิ่งทำสิ่งใด รอให้ปีกกล้าขาแข็งก่อนค่อยจัดการให้เด็ดขาดทีเดียวจะดีกว่า
“ทว่าน่าเสียดาย ที่สวรรค์ไม่เข้าข้าง”
สวี่ผิงจื้อส่ายหน้า ก่อนจ้องมองเอ้อร์หลาง กล่าว “เรื่องเหล่านี้ พ่อไม่เข้าใจ แต่วันนี้พ่อได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดประโยคหนึ่ง”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ใครกันที่ให้ข้าออกเงินวะ ข้าจะไปฟันเมียมันซะ…เอ้อร์หลาง คนคนนั้นพูดเช่นนี้ให้พ่อฟัง
“เรื่องนี้แก้ไขได้ไม่ดี ต่อให้อนาคตของเจ้าจะพังทลาย อืม ก็ยังมีสมุหราชเลขาธิการหวางคอยให้การสนับสนุนอยู่ ถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็ต้องนั่งตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญไปอีกหลายปีนะ”
สวี่ซินเหนียนเผยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้”
อาสะใภ้รองและสวี่หลิงเยวี่ยไม่ค่อยได้ออกข้างนอกเท่าไรนัก จึงไม่เคยได้ยินข่าวเช่นนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อีกทั้งก็ไม่กล้าถามเรื่องของทางการเยอะ สองแม่ลูกจึงได้แต่มองหน้ากัน โดยที่มุ่นคิ้วขณะกินข้าวไป พลางฟังอย่างตั้งใจไปด้วย
หลังจากนั้นสวี่ซินเหนียนพูดต่อ “พี่ใหญ่ก็กลับมาแล้วไง มีพี่ใหญ่อยู่ ท่านพ่อจะกังวลอันใด?”
คิ้วของทั้งอาสะใภ้รองและสวี่หลิงเยวี่ยพลันคลายทันที แล้วใจจดใจจ่อกับการกินเท่านั้น
สวี่ชีอันกลับถาม “สถานการณ์ศาลในตอนนี้เป็นอย่างไร?”
สวี่ซินเหนียนเรียบเรียงคำพูดสักพัก แล้วค่อยๆ กล่าวว่า “โดนราชวงศ์กุมอำนาจไว้อยู่ ตอนนี้พรรคเว่ยถูกควบคุมโดยเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงที่เป็นเจ้าพนักงานที่ทำการปกครอง ส่วนพรรคอื่นก็ยังเหมือนเดิม
“เพื่อให้สถานการณ์คงที่เอาไว้ ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการจึงไม่ได้ฉวยโอกาสแต่งตั้งจักรพรรดิขึ้นครองราชย์องค์ใหม่ เพียงแค่จะกำจัดพวกเห็นต่างครั้งใหญ่เท่านั้น โชคดีที่เขาไม่ได้ลงมือทำขนาดนั้น มิเช่นนั้นศาลตอนนี้คงได้เละเป็นโจ๊กแน่ และในหมู่ประชาชนก็คงเละเทะตามไปด้วย
“อีกอย่าง แม้จักรพรรดิหย่งซิ่งจะคอยพึ่งพาใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ แต่เขาก็หาใช่คนโง่ไม่ หากใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการคิดจะกำจัดพวกเห็นต่าง จักรพรรดิหย่งซิ่งเองก็คงไม่นิ่งเฉยแน่”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า “ไฉนไม่เรียกว่าพ่อตาเล่า?”
สวี่ซินเหนียนก็โต้กลับว่า “เพราะว่าข้าเป็นคนเที่ยงตรง มิเหมือนพี่ใหญ่”
หลังจากสองพี่สองหันหน้าไปเหลือบเห็นส้มเขียวหวานที่วางอยู่ตรงหน้าสวี่หลิงอิน จึงตกลงปลงใจกันเลิกคุยหัวข้อนี้ไปโดยปริยาย
สวี่ชีอันถามต่อ “เกี่ยวกับเรื่องขอบริจาค ทางราชสำนักมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”
“ถือว่าเดือดดาลกันใหญ่เลยล่ะ” สวี่ซินเหนียนหัวเราะร่า “มีเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วย คนที่มองตามสถานการณ์ก็มีไม่น้อย ส่วนพวกที่โจมตีด้วยทางวาจาและปลายพู่กันน่ะมีอยู่ทุกที่นั่นแหละ”
ด้านอารองสวี่ก็กล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนี้เอ้อร์หลางกลายเป็นหนูข้างถนนแล้ว ใครเห็นเข้าก็มีแต่จะด่าให้”
สวี่ซินเหนียนแค่นเสียงเย็น “หากแค่ด่ากันก็ช่างเถอะ ยังไงก็มีคนอยากกล่าวโทษซ้ำเติมข้าอยู่แล้ว หากเรื่องเรียกร้องให้บริจาคไม่สำเร็จ ข้าที่เป็นคนเสนอก็จะโดนคิดบัญชีย้อนหลัง และต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดทั้งหมด
“ถึงเวลานั้นอาจจะโดนขับไล่ก็เป็นได้”
อาสะใภ้รองกลับมีปฏิกิริยาดีเยี่ยม พลันเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นแม่ยอมให้ลูกลาออกดีกว่า ไม่ต้องไปไกลจากเมืองหลวงด้วย ยามนี้สภาพสังคมวุ่นวาย เท่าที่ได้ยินมาทุกหนแห่งก็เต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยและโจรแล้ว”
นี่คือข้อเสียของแผ่นดินที่ถือครองเพียงตระกูลเดียว ราชสำนักเป็นของราชวงศ์ ทว่าเงินของข้าเอง หรือกระทั่งตำแหน่งปัจจุบันที่ข้ากำลังดำรงอยู่ พรุ่งนี้ก็อาจโดนจักรพรรดิสั่งตัดหัวก็เป็นได้ และหวังจะใช้ทรัพย์สมบัติตระกูลข้าเติมเต็มพระคลัง ช่างเป็นการเพ้อฝันของพวกที่จิตใจลุ่มหลงเสียจริง…สวี่ชีอันพลันเกิดความรู้สึกสังเวชใจนัก
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด “มีข้อบังคับปลีกย่อยรึเปล่า?”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “แน่นอนว่ามี ในแต่ละชนชั้นขุนนางต่างๆ จะมีเกณฑ์ยอดบริจาคขั้นต่ำ ซึ่งจะกำหนดตามขั้นเงินเดือน เช่นนี้ก็จะสามารถขัดขวางพฤติกรรมพวกขุนนางที่ทำหน้าที่เก็บเงินอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและกินนอกกินในได้
“นอกจากนี้ ข้ายังเสนอให้ฝ่าบาทสร้างอนุสาวรีย์แห่งความดีอีกด้วย ซึ่งจะจัดตั้งตามราชวิทยาลัยหลวงและสถานศึกษาในแต่ละเทศมณฑล เพื่อให้เหล่านักเรียนทั่วใต้หล้าได้เชยชม
“จากนั้น…”
แล้วเขาก็สาธยายอีกพักใหญ่ จนสวี่ชีอันต้องโบกมือขัด “เจ้าว่ามาตามตรงเถอะ ข้าต้องทำอะไร?”
สวี่ซินเหนียน “ตอนค่ำๆ พวกเราค่อยไปคุยกันที่ห้องหนังสือแล้วกัน”
หลังจากคุยเรื่องงานจบลง สวี่ชีอันก็วางแผนจะล้วงข้อมูลจากสาวน้อยผิวดำแห่งซินเจียงตอนใต้ จึงเอ่ยถามว่า “ลี่น่า เจ้าเข้าใจเรื่องเจ็ดยอดกู่มากแค่ไหน?”
ลี่น่าที่กำลังแก้มป่องอยู่นั้น ก็กลืนอาหารลงไปอย่างยากลำบาก “เจ็ดยอดกู่คือสามีของคุณยายเทียนกู่ที่เหลือทิ้งไว้ หรือก็คือเทียนกู่เฒ่า ซึ่งยามเทียนกู่เฒ่าออกจากเผ่าพันธุ์กู่ไป พิธีหลอมเจ็ดยอดกู่ก็จะไม่สมบูรณ์ คุณยายเทียนกู่เลยต้องมาแทนที่เขาจึงจะสมบูรณ์ได้”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นคุณยายเทียนกู่ก็มอบเจ็ดยอดกู่ให้ข้า และให้ข้ามาเมืองหลวงเพื่อตามหาผู้ที่มีวาสนา”
เรื่องเหล่านี้ข้ารู้หมดแล้ว…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกฝ่ายว่า “นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้ารู้อะไรอีก?”
จากนั้นลี่น่าก็เริ่มกินต่อ “ไม่มีแล้ว”
สวี่ชีอันมุ่นคิ้ว “เจ็ดยอดกู่สามารถทำให้คนใช้วิชากู่ทั้งเจ็ดชนิดในเวลาเดียวกันได้ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ในอดีตเผ่าพันธุ์กู่มีของแบบนี้บ้างรึเปล่า?”
ลี่น่าพยักหน้าอย่างจริงจัง “แปลกจริงด้วย!”
สวี่ชีอันถามเพิ่ม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่สืบอะไรเลยเล่า?”
ลี่น่ามองเขา กลับตอบว่า “ทำไมต้องสืบ?”
“มีหลายเรื่องที่ข้าคิดแล้วไม่เข้าใจ แต่ถ้าต้องสืบเสาะทุกสิ่งอย่าง เช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะเหนื่อยเกินไปหรือ
“ใช่ไหมเล่า หลิงอิน”
ตอนนี้ในสมองของสวี่ชีอันเกิดจุดขัดแย้งมากเกินไป จนไม่สามารถหักล้างได้หมด
เสี่ยวโต้วติงใช้เรี่ยวแรงที่มีเพื่อพยักหน้า “ใช่เลย ท่านอาจารย์!”
จังหวะที่อาจารย์ดึงนางเข้ามาพัวพัน นางก็ช่วยแบ่งเบาแรงกดดันเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยข้ากินส้มเขียวหวานหน่อยนะ”
ลี่น่ากลับส่ายหน้าหลายครม “เจ้าไปหาพี่ไฉ่เวยที่สำนักโหราจารย์แทนเถอะ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่า เจ็ดยอดกู่มีเกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่รึเปล่า?” สวี่ชีอันกลับเข้าประเด็นเดิม
“กู่ทุกชนิดบนโลกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่ทั้งสิ้น”
ทันใดนั้นเองลี่น่าก็เผยท่าทีที่จริงจังอันหาได้ยาก “ยามเทพเจ้ากู่หลับใหลอยู่ในบ่อน้ำที่ลึกที่สุด ซึ่งพลังของมันสามารถเปลี่ยนแปลงซินเจียงตอนใต้ได้ และสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ จะดูดซับพลังเทพเจ้ากู่ที่ปลดปล่อยออกมา จนเกิดการกลายพันธุ์ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกู่ขึ้น”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าเคยฟังเจ้าพูดเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้คือที่มาของวิชาเจ็ดยอดกู่”
“ใช่ แต่ละสิ่งมีชีวิต จะดูดซับพลังไม่เหมือนกัน ซึ่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ต่างกันตามไปด้วย จึงน้อยครั้งที่จะปรากฏสิ่งมีชีวิตและปรมาจารย์กู่ที่ซ้ำกันสองวิชา แต่การผสานกันของเจ็ดยอดกู่ให้อยู่ในร่างเดียว มีแค่เทพเจ้ากู่เท่านั้น” ลี่น่าอธิบาย
มีแค่เทพเจ้ากู่เท่านั้น…จากนั้นสวี่ชีอันก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
…
ยามพลบค่ำเช่นเดียวกันนั้น ตะวันในยามสายัณห์แดงดุจโลหิต
รถม้าอันหรูหราที่ผลิตขึ้นจากไม้จินสื่อหนาน ล้อรถส่งเสียงกุกกักๆ ขณะกำลังเข้าสู่พระราชวัง
หลินอันแสดงสีหน้าเศร้าหมองขณะก้าวลงจากเก้าอี้ตัวเล็ก นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก และเดินนำขันทีเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหย่งซิ่งที่กำลังง่วงอยู่กับการจัดการงานนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “สำนักโหราจารย์มีอันใดรึ หลินอันถึงได้อาวรณ์ขนาดนี้?”
หลินอันตอบด้วยความหงุดหงิด “ไม่มีอันใดให้อาวรณ์หรอก ก็แค่ไม่อยากกลับวัง ข้าเลยไปนอนค้างหนึ่งคืน”
จักรพรรดิหย่งซิ่งเงยหน้าขึ้น วางสาส์นกราบทูลลง ก่อนจะกล่าวว่า “เรายังรอข่าวจากเจ้าอยู่นะ”
“เขาตกลงแล้ว” หลินอันตอบกลับอย่างสั้นๆ
“เราว่าแล้วเชียว ถ้าหลินอันเสนอตัว เขาย่อมไม่ปฏิเสธ” จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มกว้างพลางเอ่ย
หลินอันไม่ได้รั้งอยู่นานนัก ก็รีบทูลขอตัวลาออกไป
จักรพรรดิหย่งซิ่งมองนางผ่านธรณีประตู และเดินลงบันไดจากไปไกล เขาค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกำมือให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
เกี่ยวกับเรื่องคดีใหญ่ มีแต่คำฟ้องร้องต่อฎีกาของสวี่ซินเหนียนกองหนาๆ ทั้งนั้น
…………………………………………..
[1] สาวใช้ข้างห้อง คือสตรีที่บุตรชายในชนชั้นขุนนางจะร่วมหลับนอนด้วยก่อนแต่งงาน เพื่อให้มีประสบการณ์ด้านบนเตียงและไม่อับอายต่อหน้าภรรยา