ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 597 เสนอบุคคล
บทที่ 597 เสนอบุคคล
ยามอิ๋น[1]สองเค่อ[2]!
ณ นอกประตูอู่ ท่ามกลางสายลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว
มีเหล่าขุนนางแห่งเมืองหลวงที่นั่งรถม้าเข้าพระราชวังอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะลงเดินเพื่อไปหน้าประตูอู่
สายลมหนาวที่ประหนึ่งมีดขูดกระดูกส่งเสียงพัดดังหวีดหวิวอื้ออึง จนโคมไฟที่แขวนตามประตูกำแพงสะบัดพลิ้ว รวมถึงไฟในเสาไฟหินตามทาง และคบเพลิงในมือทหารรักษาพระองค์ก็สั่นวูบไหวอย่างรุนแรง
เหล่าขุนนางต่างใส่เสื้อคลุมตัวหนา พร้อมกับสวมหมวกกันลม หากมองดีๆ ก็สามารถสังเกตได้ว่าจะขุนนางระดับสูงหรือต่ำ จะมีอำนาจมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่งกายอย่างเรียบง่ายทั้งนั้น
เสื้อคลุมที่ทำจากขนแกะ และหมวกที่สร้างหนังหนู
ในเมืองหลวงครอบครัวที่พอมีฐานะขึ้นมาหน่อย ถึงจะสวมใส่ชุดเช่นนี้
พวกขุนนางแห่งเมืองหลวงกระทำชัดเจนเยี่ยงนี้ ทุกคนคงต่างหมายจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีเงินอะไร ใช้ชีวิตอย่างให้พอมีพอกินเท่านั้น ไหนเลยจะมีเงินมาบริจาค?
ยามนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนจะประชุม จึงมีเหล่าขุนนางสองสามคนที่จับกลุ่มคุยกันเสียงเบา
ซึ่งผู้ควบคุมหน่วยตรวจสอบความเรียบร้อย ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อเรื่องนี้
“เรียกประชุมทุกวันเช่นนี้ ฝ่าบาทคงตั้งใจทำให้พวกเราลำบากแล้วล่ะ”
“ใช่เลย ฉะนั้นก็บริจาคเงินน้อยๆ เถอะ ไม่ต้องให้เยอะมาก”
“ใต้เท้าหยางเลอะเลือนแล้วหรือ ตามข้อบังคับบอกให้พวกเราบริจาคเงินเท่ากับเงินเดือนสามเดือนนะ ความจริงคงเป็นแผนลวงของฝ่าบาท ข้าถามเจ้าหน่อย ถึงเวลานั้น หากสมุหราชเลขาธิการหวางเสนอให้บริจาคเงินเท่ากับเงินเดือนหนึ่งปี ไม่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องด้วยหรือไม่? แต่คิดจริงๆ หรือว่าเงินบริจาคเท่านี้จะเพียงพอ? คงแงะปากพวกเราให้ตอบตกลงเท่านั้นแหละ”
“นี่มัน…ที่ใต้เท้าจูพูดมาก็มีเหตุผล หยางโหม่วเข้าใจแล้ว”
…
“เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยผ่าน เหมือนอย่างที่เราหารือกันเมื่อวาน ตราบใดที่ยังคอยตามการกระทำของทุกคน ไม่ปล่อยผ่านและไม่ยอมแพ้ อย่างมากฝ่าบาทคงได้บดขยี้พวกเราไปอีกสองสามวัน”
“เฮ้อ คนซื่อสัตย์สุจริตเช่นข้า ขนาดจวนที่อาศัยในตอนนี้ยังเช่าอยู่ ยามนี้เมืองหลวงเริ่มขาดเสบียงแล้ว ข้าที่รอเงินเดือนออก จะผ่านไปได้อย่างไร?”
“พวกเราต่างก็เป็นปัญญาชนผู้ซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกับใต้เท้าจ้าวนี่แล”
…
“ใต้เท้าทั้งหลาย ฤดูหนาวปีนี้หนักหนานัก ข้าเองก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไร จริงๆ ไม่ไหวด้วยซ้ำ บริจาคเงินตามพระประสงค์ของฝ่าบาทไปเลยน่าจะดีเสียกว่า”
นี่คือความเห็นจากผู้ที่คอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ข้างๆ และเป็นขุนนางที่ใจเอนเอียงเห็นด้วยกับการบริจาคเงิน
ขุนนางที่อยู่ข้างๆ ก็พลันแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวทันใด “ใต้เท้าหลี่คงเลอะเลือนแล้วแน่ๆ ทุกพื้นที่ที่ประสบพายุหิมะตกไม่หยุด ต่างก็ขาดแคลนทั้งอาหาร ถ่าน และเงินกันหมด ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของพวกเรา จะไปเติมเต็มท้องพระคลังได้อย่างไร?”
“ใต้เท้าหลี่มองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง สาเหตุที่ทุกๆ คนกัดฟันสู้ ก็เพราะถ้าปล่อยให้เกิดต่อไป มีครั้งแรกแล้วย่อมมีครั้งที่สอง และมีครั้งสองก็ย่อมครั้งที่สาม หากผ่านไปสักพักฝ่าบาทขาดแคลนเงิน ก็จะให้บริจาคอีกรอบ เช่นนี้พวกเราจะไม่อดตายเอาหรือ?”
“หลักการง่ายๆ เช่นนี้ บัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการอย่างสวี่ซินเหนียนกลับไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจที่ไหนเล่า แสร้งทำเป็นไม่รู้ชัดๆ ทำเพื่อจะประจบฝ่าบาทเท่านั้นแหละ”
“เจ้าเด็กนี้คิดว่าตัวเองถูกต้องตลอด เอาแต่อาศัยบารมีลูกพี่ลูกน้อง และนิสัยหยิ่งยโสโอหังยิ่งนัก ช่วงนี้ก็ไปตีสนิทกับท่านสมุหราชเลขาธิการอีก ก็ยิ่งได้ใจไปกันใหญ่”
“เหอะ ไอ้คนไร้ค่า” ขุนนางคนหนึ่งถุยน้ำลายออกมาอย่างเดือดดาล
อีกทางด้านหนึ่ง จางสิงอิงที่ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวา เดินเข้าไปหาหลิงหงอย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจกระซิบกล่าวว่า “วิธีของฝ่าบาทช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากให้คนระดับขุนนางปัญญาชนบริจาคได้แล้ว จากนั้นก็ให้เสนาบดีเล็กแต่ละท้องถิ่นร่วมบริจาคด้วย พอมีเงินและเสบียงแล้ว ก็จะสามารถไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติได้มาก อีกทั้งยังระงับการเกิดผู้ลี้ภัยด้วย
“ขอเพียงให้ผ่านฤดูหนาวครั้งนี้ไปได้ ชาวบ้านที่เห็นความหวังในวันคราดนาฤดูใบไม้ผลิ ก็จะไม่การจลาจลขึ้นแต่อย่างใด
“ช่างน่าเสียดายที่ฝ่าบาทจะเพิ่งขึ้นครองราชย์ ชื่อเสียงจึงมีไม่เพียงพอ ทั้งรากฐานก็ยังไม่มั่นคง เว่ยกงก็ตายไปแล้วอีก มิเช่นนั้นหากได้ร่วมมือกับสมุหราชเลขาธิการหวาง ก็คงผลักดันการบริจาคแน่นอน
“ส่วนตอนนี้นั้น…เฮ้อ คนที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของเรา ก็มีพวกที่ไม่พอใจอยู่”
เรื่องที่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งสนับสนุนให้สวี่เอ้อร์หลางรับตำแหน่ง ตอนแรกพวกเขาที่เป็นอดีตสมาชิกพรรคเว่ยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
หลังเกิดเรื่องนี้บุคคลที่เป็นเสาหลักหลายคนก็ได้หารือกัน และคิดมาตลอดว่าแผนการนี้ยากจะสำเร็จ ทั้งอาจต้องเผชิญอุปสรรคที่ใหญ่หลวงอีกด้วย
ประการแรก การคิดจะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ยึดมามิชอบของพวกเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหลายนั้น พบว่าเป็นเรื่องยากยิ่ง ทุกคนต่างเป็นคนที่มาจากสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่ง หาได้รู้ไม่ว่าจะจริงใจอะไรต่อกันหรือไม่?
ทั้งใช้อำนาจโดยมิชอบ และรีดไถเงินเกินเหตุ
สาเหตุที่กำลังและอำนาจของต้าฟ่งอ่อนแอลงอย่างทุกวันนี้ แท้จริงหาใช่ความผิดของจักรพรรดิองค์ก่อน คงเป็นเพราะว่าจักรพรรดิองค์ก่อนประพฤติตัวไม่เหมาะสม ผู้ที่อยู่เบื้องล่างก็เลียนแบบตามมากกว่า
จะรีดไถเงินตามที่ทำเป็นประจำก็ไม่ทันแล้ว เลยหวังจะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของพวกโลภมากเหล่านี้ที่ยึดมามิชอบ แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าจะมีคนต่อต้านมากเพียงใด
ประการต่อมา ‘ภัยพิบัติฤดูหนาวครั้งนี้’ ที่แบกรับตลอดมาก็ใกล้จวนจะรับไม่ไหวแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นจะมาเมื่อไหร่ นี่เพิ่งจะเข้าฤดูหนาวได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ยามที่หนาวยะเยือกกว่านี้ยังไม่ได้มาเยือนเลยด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลานั้น หากราชสำนักยังไม่มีเงินพอ ฝ่าบาทจะทำเยี่ยงไร? ต้องมาขอรับบริจาคอีกรอบงั้นหรือ?
สุดท้ายแล้ว แก่นสาระของเรื่องนี้ก็คือการวางกลยุทธ์ของราชสำนัก
จักรพรรดิและขุนนาง ตามความเป็นจริงทั้งสองต่างก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกัน ครั้นจักรพรรดิองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ ทรงก็รับสั่งให้เหล่าขุนนางบุ๋นตามกลิ่นในสิ่งที่ดูผิดปกติแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
ไม่ว่าจะจากเรื่องจุดยืน จากนิสัยที่โลภในเงิน หรือกระทั่งการโต้แย้งและการปฏิเสธที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณก็ตาม
อย่าว่าแต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเลย ในสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่งพระองค์ก็ทำเช่นนี้ ซึ่งก็เจอแรงต่อต้านเหมือนกัน
หลิวหงเหลือบมองแต่ละกลุ่มขุนนางที่กำลังกระซิบกระซาบหารือกัน ก่อนจะกล่าวว่า “บางทีในยามนี้ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งอาจกำลังสังเกตการณ์ด้วยสายตาเย็นชาอยู่ก็เป็นได้ ว่าใครคนไหนที่เห็นด้วยกับการบริจาค ใครคนไหนที่ในใจเห็นด้วยทว่าก็กลัวผู้คนจะโกรธเกรี้ยวใส่ หรือใครคนไหนขี้ตระหนี่จนไม่ยอมคายแม้แต่เงินสตางค์เดียว”
จางสิงอิงพลันเอ่ยขึ้น “นางรู้ใช่หรือไม่ว่าแผนการนี้ไม่ได้ผล?”
เขาขมวดคิ้วแน่น “หากเป็นเช่นนั้น จะไม่เป็นการทำร้ายสวี่ฉือจิ้วหรือ”
หลิวหงพูดพลางยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก เขามีสมุหราชเลขาธิการหวางคอยหนุนหลังอยู่ เลวร้ายสุดก็แค่ได้นั่งตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญสักสองสามปีเท่านั้น”
จางสิงอิงพยักหน้า แล้วถอนหายใจ “ข้าก็ยังหวังว่าเรื่องนี้จะสำเร็จอยู่นะ อันที่จริงคลังหลวงก็แทบไม่มีเงินเหลือแล้ว ตอนนี้เหล่าผู้ลี้ภัยในแต่ละพื้นที่ก็เริ่มก่อนก่อการจลาจลอีก ซึ่งเป็นสัญญาณความโกลาหลครั้งใหญ่ในยุทธภพ หากไม่รีบขจัดภัยให้ทันการ ไม่ช้าก็เร็วคงได้เกิดความโกลาหลเป็นแน่”
หลิวหงเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัย ขณะนั้นเอง สถานการณ์วุ่นวายจากที่ไกลๆ ก็ดึงดูดความสนใจทั้งสอง
เมื่อหลิวหงและจางสิงอิงหรี่ตาเพ่งมอง ก็พบว่าขุนนางหนุ่มซึ่งสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งกำลังยืนขวางหน้าสวี่ซินเหนียนที่สวมชุดสีเขียวเช่นเดียวกันด้วยท่าทีคุกคาม ทั้งยังด่าทออย่างเกรี้ยวกราด จนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว
หลิวหงสายตาไม่ค่อยดีนัก จึงมองอยู่นาน แล้วถามว่า “คนนั้นคือใคร?”
จางสิงอิงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาของปีนี้ นามว่าเฉียนมู่”
ด้านหลิวหงก็ยิ้มตามไปด้วย “คนที่มุทะลุเขียนฎีกาเหล่านั้นฟ้องร้องมาว่ารองเสนาบดีกรมปกครองทุจริตรับสินบน และจะให้ขุนนางกลุ่มหนึ่งในกรมปกครองออกไปให้ได้น่ะหรือ?
“ดูท่าน่าจะนั่งตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญมานานล่ะสิ บั้นท้ายคงจะนั่งต่อไปไม่ไหว เลยมาที่นี่เพื่อเสนอลงชื่อ”
จางสิงอิงส่ายศีรษะ “ถูกคนหลอกใช้มานั่นแล อาจได้ผลประโยชน์ในระยะอันสั้นๆ แต่หากมองระยะยาว เหอะ ไปยั่วโทสะฝ่าบาทเข้าแล้ว เขาเอาอะไรมาคิดว่าจะยังจบสวย”
หลิงหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ถึงเสนอลงชื่อเพื่อเข้าร่วมกับพรรคชิง ก็สามารถเป็นขุนนางที่ดีได้เหมือนกัน ตราบใดที่หลังจากนี้มุมานะทำงาน ฝ่าบาทจะยังจับตาดูเขาไม่ปล่อยอยู่อีกหรือ?”
ฝั่งนี้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าสถานการณ์อีกฝั่งกลับตึงเครียดสุดขีด
เฉียนมู่ชี้นิ้วไปที่สวี่ซินเหนียน แล้วพูดข่มอีกฝ่าย “ภัยพิบัติฤดูหนาวปีนี้ ผู้ที่มีจิตใจซื่อตรงในราชสำนักต่างก็ขาดแคลนทั้งข้าวสารและถ่านทั้งนั้น มิใช่ว่าแต่ละคนจะเหมือนสวี่ทั่นฮวา ที่ครอบครัวมีเงินมากมาย มีอาหารเลิศรสให้กิน มีอาภรณ์สวยหรูให้สวมใส่
“หากบริจาคเงินเดือนสามเดือนแล้ว เจ้าจะให้เพื่อนร่วมงานผู้ซื่อสัตย์สุจริตเหล่านี้ เอาตัวรอดให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร?
ยังไม่ทันที่สวี่ซินเหนียนจะได้พูด เขาก็หัวเราะเย็นชาออกมา ก่อนพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าทำเพื่อเอาใจฝ่าบาทล่ะสิ ถึงคิดแผนการไร้สาระเช่นนี้มา ไอ้คนต่ำทราม ข้าและคนรุ่นเดียวกับเจ้าต่างรู้สึกอับอายทั้งนั้นแหละ”
เหล่าขุนนางที่ชมเหตุการณ์อยู่รอบๆ ต่างก็คล้อยตามไปด้วย
สวี่ซินเหนียนก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าทำเพื่อประชาชนทุกคน ไม่มีสิ่งใดให้ต้องละลายใจ”
“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องละลายใจ!”
เฉียนมู่หัวเราะอยู่หลายครั้ง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ข้ายอมแบ่งทรัพย์สินของตระกูล เพื่อเติมเต็มคลังหลวง ช่วยเยียวยาผู้ประสบภัย สวี่ทั่นฮวา ในเมื่อเจ้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องละอายใจ และทำเพื่อประชาชนทุกคน เช่นนั้นเจ้ากล้าเอาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลมาบริจาคอย่างที่ข้าทำหรือไม่?”
เมื่อสิ้นคำ คนรอบข้างก็เริ่มโห่ร้องขึ้นมา
“ใต้เท้าเฉียนช่างคุณธรรมสูงส่งยิ่ง”
“ใต้เท้าเฉียนผดุงความยุติธรรมที่สุด”
จากนั้นสายตาประสงค์ร้ายต่างก็มองไปยังสวี่ซินเหนียน
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว คำพูดของเฉียนมู่ช่างไร้ยางอายยิ่ง ตระกูลสวี่มีร้านค้าจำนวนหนึ่ง ที่ดิน และกำไรจากผงปรุงรสไก่ที่พี่ใหญ่ได้ทิ้งไว้ให้ แต่อีกฝ่ายมีสิ่งใดบ้างเล่า?
แม้จะไม่ได้ถึงขั้นยากจน แต่นั่งตำแหน่งที่ไร้ความสำคัญมานานขนาดนี้ เกรงว่าในจวนก็คงมีแค่ข้าวสารไม่กี่ถุง และเงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขาน เพราะไม่ว่าจะเป็นเฉียนมู่ หรือคนที่หนุนหลังเขา กระทั่งเหล่าขุนนางโดยรอบนั้น ก็ไม่คิดจะคุยกับเขาด้วยเหตุผลทั้งนั้น
ทุกคนก็แค่มาหาเรื่องเท่านั้นเอง
หากไม่ใส่ใจ ไม่แน่ว่าหลังเสร็จการประชุม สวี่ซินเหนียนคงโดนด่าว่าเป็น ‘คนหลอกลวง’ มากขึ้น
ทันใดนั้นเอง สมุหราชเลขาธิการหวางก็เดินเข้ามาโดยไม่พูดจาอะไร เพียงแค่กวาดสายตามองขุนนางโดยรอบอย่างเย็นชา
เหล่าขุนนางจึงพลันตกอยู่ในความเงียบทันใด
เฉียนมู่ยิ้มแย้ม ไม่ว่าสวี่ซินเหนียนจะตอบตกลงหรือไม่ เขาต้องการแสดงจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งก็ได้ถ่ายทอดออกไปแล้ว
ทว่าหลังจากนั้นกลับไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ก่อนถึงยามเหม่า[3] เสียงกลองก็พลันดังขึ้นมา
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหลายยังคงสงบเงียบ พลางเดินผ่านประตูอู่และสะพานจินสุ่ย โดยเรียงแถวจากระดับสูงไประดับล่างตามลำดับ
และมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าตำหนักกระดิ่งทองได้
สวี่ซินเหนียนที่เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญท่ามกลางความวุ่นวายครั้งนี้ ก็ย่อมได้รับการอนุญาตให้เข้าไปด้วย ทว่าต้องยืนอยู่บริเวณทางเข้าของห้องโถงใหญ่
หลังจากทุกคนเข้าไปยังตำหนักได้ไม่กี่นาที จักรพรรดิหย่งซิ่งก็เสด็จมาถึง
เขานั่งลงบนบัลลังก์มังกรอันสูงส่ง มองทุกคนจากเบื้องบน จากนั้นก็เอ่ยเสียงดังว่า “ทุกพื้นที่กำลังประสบภัยพิบัติรุนแรง เราในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศชาติ รู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก ขุนนางแต่ละท่านมีแผนการที่ช่วยบรรเทาผู้ประสบภัยบ้างหรือไม่”
เหล่าขุนนางและผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องล่างต่างแสดงสีหน้าอย่าง ‘รู้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้’ ออกมา แล้วเสนอความเห็นเล็กน้อยอย่างผิวเผิน เช่นการลดภาษี ให้เสนาบดีเล็กบริจาคเงินและอื่นๆ
จักรพรรดิหย่งซิ่งก็กล่าวว่า “ในเมื่อจะบริจาค ตามหลักแล้วราชสำนักก็ควรทำให้เป็นตัวอย่าง งั้นให้ขุนนางจ้งทำเป็นตัวอย่างแล้วกัน เช่นนี้ เสนาบดีเล็กถึงค่อยเต็มใจจะกระทำ และยังสามารถเป็นการเตือนในการทำงานของขุนนาง ทั้งเลี่ยงป้องกันไม่ให้พวกเขาทุจริตด้วย”
มีแค่ระดับเสนาบดีเล็กเท่านั้นที่บริจาค ก็จะไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าเงินเหล่านั้นเกินครึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบเป็นทอดๆ
เหล่าหัวหน้าพรรคสองสามคนและผู้มีอำนาจต่างก็พร้อมใจกันกล่าวเสียงดังว่า “ไม่ได้” ออกมาตามๆ กัน
ขณะนั้นเอง เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ฝ่าบาท เรื่องโสมมในราชสำนักอย่างการทุจริตเป็นที่แพร่หลายอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุให้คลังหลวงว่างเปล่าไร้เงินตรา และการบริจาคเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหาใช่ที่ต้นตอไม่ หากประสงค์จะแก้ปัญหาภัยพิบัติ ก็ต้องกวาดล้างการทุจริตต่อหน้าที่เสียก่อน”
หลังสิ้นคำ ต่างฝ่ายก็มีปากเสียงทะเลาะกัน กรมการคลังก็ก้าวออกมา แล้วกล่าวเสียงดังกึกก้องว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอฟ้องร้องสวี่ซินเหนียนผู้ครองตำแหน่งซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ว่ามีการรับสินบนพ่ะย่ะค่ะ”
ในห้องโถงไร้คนเปล่งวาจา และไม่มีใครตั้งคำถามว่าคนอย่างซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินนั้นจะรับสินบนด้วยอยู่หรือ ราวกับว่าคาดหวังให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นเองเจ้ากรมปกครองก็ก้าวออกมาพร้อมเอ่ยเสียงดังว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอฟ้องร้องสวี่ซินเหนียนผู้ครองตำแหน่งซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ติดสินบนสมุหราชเลขาธิการหวาง และรับสินบนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้น หกชั้นศาลก็ก้าวออกมาฟ้องร้องต่อสวี่ซินเหนียนตามๆ กัน
ผู้ที่จะสามารถยืนในตำหนักกระดิ่งทองได้ แต่ละคนต่างก็มีนิสัยลื่นเป็นปลาไหลทั้งนั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนพวกนี้คิดจะเล่นอุบายอะไร
นี่คือการโต้ตอบของพวกเขา
หมายจะบุกสวี่เอ้อร์หลางเป็นคนแรกก่อน แล้วทำการต่อต้านทั้งจักรพรรดิหย่งซิ่งและสมุหราชเลขาธิการหวางต่อ
การทำเช่นนี้จะได้ไม่เป็นการยั่วยุโทสะจักรพรรดิหย่งซิ่งและสมุหราชเลขาธิการหวางมากนัก และยังได้บอกความคิดของตนเองกับจักรพรรดิหย่งซิ่งอีกด้วย ว่าพวกเราจะจัดการเจ้าให้สิ้นซาก โดยที่จะเข้าจัดการทีละคน
ในเวลาเดียวกันก็เป็นการเตือนและสมุหราชเลขาธิการหวางอย่างอ้อมๆ ถึงพรรคหวางจะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ใช้อิทธิพลปิดบังมวลชนได้ ยิ่งกว่านั้นสำหรับเรื่องนี้เอง ก็มีบางเสียงในพรรคหวางที่ไม่เห็นด้วย
แล้วด้านสวี่ซินเหนียนได้รับของขวัญบ้างหรือไม่?
คำตอบก็คือแน่นอนได้รับ
เขาเป็นว่าที่ลูกเขยและสมุหราชเลขาธิการหวาง จึงมีสมาชิกพรรคหวางไม่น้อยที่ส่งของขวัญให้เขา และการจะรับของขวัญในวงการการเมือง ก็ต้องเป็นคนของตัวเอง
เขาเคยคิดจะใช้ตำแหน่งบัณฑิตแห่งสำนักอวิ๋นลู่เข้าร่วมกับพรรคหวาง เพื่อที่จะไม่ต้องดูสูงส่งเกิน
แม้จะพูดว่าสวี่ซินเหนียนผลักไสของขวัญมีค่าไปมากมาย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงอยู่ดี
‘หากอยู่วงการการเมืองแล้วตัวสะอาดนั้นหมายความว่าไร้ความสำเร็จฉันใด การทำตัวสำรวมไม่แสดงความสามารถก็ง่ายที่จะกลายเป็นจุดอ่อนแก่ฝ่ายตรงข้ามในยามถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นแล้ว ปัญหาหลักก็คือยังไม่มีอำนาจอิทธิพลพอ
‘วิธีแก้ไขปัญหาคือโน้มน้าวให้ผู้อื่นเข้าฝ่ายตนเยอะมากขึ้น’ สวี่ซินเหนียนทำความเข้าใจอยู่ในใจทันใด
แต่ละคนที่อยู่ในห้องโถง บางคนก็กำลังสังเกตสีหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่ง และก็มีบางส่วนที่พินิจมองสมุหราชเลขาธิการหวาง
ซึ่งก็มองพวกเขาพลางคิดว่าจะรับมืออย่างไรดี
หากจักรพรรดิหย่งซิ่งปกป้องสวี่ซินเหนียน พวกเขาพอมีแผนสำรองเตรียมไว้อยู่ หรือหากสมุหราชเลขาธิการหวางออกหน้าให้ ก็มีแผนสำรองไว้เช่นเดียวกัน เช่น จะลากเขาเข้าไปพัวพันกับปัญหาด้วย ให้โดนฟ้องร้องไปด้วยกัน
ยามนี้พวกเขาจะยึดตามแนวโน้มฝั่งที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่า
ระหว่างนั้นเองก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า หลิวหงได้ก้าวออกมายกมือคารวะอย่างไม่รีบร้อน “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า สิ่งที่เลขาธิการศาลต้าหลี่พูดมามีเหตุผล คลังหลวงว่างเปล่าไร้เงินตรา จะเก็บภาษีก็ยาก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่มีคนทุจริต ฉ้อโกง และรับสินบน
“ฉะนั้นแล้ว กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททำการตรวจสอบเหล่าขุนนางอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดแก้ไขต้นตอปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
‘น่าสนใจดีนี่…’ เหล่าขุนนางและผู้มีอำนาจต่างมองไปทางหลิวหง
การกระทำนี้หมายจะหาโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น[4] อย่างชัดเจน ในราชสำนักหลิวหงถูกยอมรับว่าเป็น ‘ทายาท’ ของเว่ยเยวียน ซึ่งก็ได้เข้ารับช่วงต่อในกลุ่มเว่ยเยวียน หลังจากจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ อดีตสมาชิกพรรคเว่ยที่โดนทั้งลดตำแหน่งและโดนไล่ออกก็มีจำนวนไม่น้อยเลย ทั้งอำนาจอิทธิพลยังหายไปเกือบครึ่งอีก
ส่วนตำแหน่งที่ว่างนั้น ก็ถูกพรรคหวางและพรรคอื่นแย่งชิงไป
ในวงการการเมือง นี่คือการยอมที่เหมาะสมแล้ว
หลิวหงในตอนนี้ที่ลุกขึ้นยืนออกมานั้น ชัดเจนเลยว่ากำลังควบคุมผู้ตรวจการและเจ้าพนักงานที่เป็นอดีตสมาชิกพรรคเว่ยอยู่ และคิดจะใช้ประโยชน์จากช่วงที่ฝ่ายอื่นๆ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหล
จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่ขุนนางหลิวกล่าวมาก็มีเหตุผล พูดต่อเถิด”
หลิวหงจึงกล่าวเสียงดังกังวาน “ตั้งแต่เว่ยกงได้จากไป เจ้าพนักงานก็แตกระแหง ความสามารถของกระหม่อมสู้เว่ยกงมิได้ แต่กระทำสิ่งใดย่อมทุ่มเททั้งกายและใจ ทว่าก็ยังขาดกำลังวังชา กระหม่อมจึงอยากเสนอบุคคลหนึ่งแก่ฝ่าบาท เพื่อให้มาควบคุมดูแลเจ้าพนักงานที่ทำการปกครองแทนกระหม่อม
“และจะได้ตรวจสอบขุนนางได้ดียิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างมึนงงสับสน คำพูดนี้พวกเขาไม่เคยนึกจินตนาการมาก่อน ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หลิวหงกลับจะสละตำแหน่ง และมอบตำแหน่งดูแลเจ้าพนักงานให้กับคนอื่นรึ?
จักรพรรดิหย่งซิ่งแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ขุนนางหลิวอยากจะแนะนำใครหรือ?”
หลิวหงกวาดสายตามองพวกขุนนางกับผู้มีอำนาจที่กำลังสงสัยใคร่รู้และมีทีท่าระวังตัว ก่อนจะเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าพนักงานฆ้องเงินคนเก่า สวี่ชีอัน!”
………………………………………….
[1] ยามอิ๋น (寅时) คือเวลา 03.00 น. – 05.00น.
[2] เค่อ แต่ละเค่อเท่ากับ 14 นาที 24 วินาที
[3] ยามเหม่า คือช่วงเวลาระหว่าง 05.00 น.-07.00 น.
[4] จับปลาในน้ำขุ่น หมายถึงฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน