ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 601 สีสันที่สดสวย
บทที่ 601 สีสันที่สดสวย
สวี่ชีอันอุ้มมู่หนานจือเป็นแนวขวาง เดินเข้าไปในห้องพระบรรทม เลิกผ้าห่มนวมพร้อมกับวางนางลง
ตอนที่นางทำอาหารอยู่ในครัว สวี่ชีอันก็ได้ปูเตียงไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่เดินทางออกจากเมืองหลวง ได้เก็บผ้าปูที่นอนและผ้านวมไว้ในตู้ไม้เป็นอย่างดี และใส่เครื่องหอมไล่แมลงไว้ ตอนนี้สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที
“นอนเถอะ!”
สวี่ชีอันเก็บอากาศธาตุที่ทำให้มึนเมาที่ตู๋กู่ปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ นั่งลงที่ขอบเตียง จับข้อเท้าของมู่หนานจือขึ้นมา ค่อยๆ ถอดรองเท้าปักลายออกอย่างเบามือ จากนั้นก็ถอดถุงเท้าสีขาว
ไม่นาน เท้าขาวสะอาดเนียนนุ่มก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา
มันมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของสวี่ชีอัน เส้นโค้งหลังเท้าราบรื่น นิ้วเท้ากลมกลึง เล็บเท้าตัดแต่งไว้อย่างสะอาดสวยงาม ภายใต้ผิวขาวผ่องเห็นเส้นเลือดดำอยู่รำไร
ฝ่าเท้าของนางเป็นสีชมพู จับอยู่ในมือ ราวกับหยกงามที่ละเอียดที่สุด อบอุ่นอ่อนนุ่มที่สุด
นิ้วโป้งของสวี่ชีอันกดที่ส้นเท้า แตกต่างจากส้นเท้าของตัวเองที่ฝึกวิทยายุทธ์ตลอดปี ดังนั้นจึงมีหนังด้านหนาๆ ส่วนเท้าของนางนั้นอ่อนนุ่ม
‘หยุดแค่นี้พอ หยุดแค่นี้พอ…’
เขาบังคับตัวเองให้วางเท้าทั้งสองข้างลง ดึงผ้าห่ม คลุมลงบนร่างอันอรชรที่งดงามอย่างยิ่งของพระมเหสี จากนั้น ก็วางสุนัขจิ้งจอกขาวไว้ใต้ผ้าห่มเช่นเดียวกัน
นึกไปนึกมา ก็นึกถึงตอนที่ไป๋จีหายใจไม่ออกจนถีบขาทั้งสองข้างไปมา จึงนำมันออกมาจากผ้าห่ม พันเสื้อคลุมให้มัน จากนั้นก็เป่าเทียน ปิดประตู สวี่ชีอันมาถึงลานบ้าน ลูบแก้มแม่ม้าน้อย
“เจ้าม้าน้อย หน้าที่ดูแลพวกนางขอมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
ม้าตัวน้อยเพิ่งกินถั่วเสร็จจึงอารมณ์ดี ใช้ใบหน้าซุกไซ้หลังมือของเขา
…
ตำหนักเส้าอิน
ห้องนอนกว้างใหญ่หรูหรา หลังฉากกั้น แบบสามบานพับที่ลอกแบบ ‘ภาพดอกโบตั๋นและนกกระเรียนคู่’ มีไอน้ำลอยขึ้น
น้ำในถังอาบน้ำสีแดงดังจ๊อกๆ พระเพลาคู่งามก้าวออกจากถังน้ำ นางกำนัลสองคนที่สวมชุดผ้าโปร่งคอยรับใช้อยู่ข้างๆ คนหนึ่งรีบกางผ้าไหมเช็ดหยดน้ำบนพระวรกายขององค์หญิง
ส่วนอีกคนหนึ่งหยิบเสื้อผ้าที่แขวนไว้ฉากกั้น เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้านาย
ครู่หนึ่ง หลินอันที่รวบพระเกศาสูงก็ทรงพระดำเนินออกมาจากด้านหลังฉากกั้น เสื้อผ้าไหมตัวในสีฟ้า เข้าชุดกับกระโปรงสีน้ำเงินชายกระโปรงลากพื้น พระองค์ทรงงอพระเพลาประทับขัดสมาธิบนเตียง ตรัสถามว่า
“ยาเม็ดที่ให้พวกเจ้าไปเอาที่ห้องพระโอสถเอามาครบแล้วหรือยัง?”
นางกำนัลทางด้านซ้ายมือตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ยาเม็ด เงิน เสื้อผ้า…เตรียมพร้อมหมดแล้วเพคะ
นางกำนัลที่อยู่ด้านขวาปิดปากขำ แล้วพูดว่า
“องค์หญิงเตรียมของพวกนี้ไว้ทำอะไรหรือเพคะ”
นางกำนัลทางด้านซ้ายมือตีนางทีหนึ่ง แล้วหยอกล้อว่า
“รู้อยู่แล้วยังแกล้งถามอีก กล้าล้อเล่นกับพระองค์ ระวังจะทรงฉีกปากเจ้า”
นางกำนัลทั้งสองคนหัวเราะ “คิกคัก” ขึ้นมา
องค์หญิงตรัสว่าทรงแบ่งเขตกับคนคนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่ความจริงแล้วทรงแอบเตรียมยาเม็ด เงินและเสื้อผ้า ทรงกลัวว่าคนคนนั้นได้รับบาดเจ็บแล้วจะไม่มียากิน ท่องยุทธภพจะไม่มีเงิน เร่ร่อนอยู่ข้างนอกเรื่องการแต่งกายจะไม่สะดวกสบาย
ปัจจัยสี่ล้วนพิจารณาครบถ้วนแล้ว
พวกนางถวายการรับใช้องค์หญิงมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นพระองค์ทรงเป็นเช่นนี้มาก่อน
องค์หญิงหลินอันทรงเป็นใครกันน่ะหรือ? ทรงเป็นองค์หญิงที่เย่อหยิ่งที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง คนที่เป็นที่โปรดปรานมากๆ โดยทั่วไปจะเป็นคนที่ไม่สนใจคนอื่น แล้วทรงใส่ใจผู้ชายคนหนึ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ยายตัวร้ายทรงจ้องพวกนางเขม็ง แล้วตรัสถามว่า
“วันนี้ทางตำหนักมีการส่งข่าวมาหรือไม่”
ตำหนักที่พระองค์ตรัสถึง คือตำหนักหลินอันในเขตพระราชฐาน ตำหนักที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงพระราชทานให้พระองค์
พระสุรเสียงของยายตัวร้ายราบเรียบ คล้ายกับไม่ได้ตั้งใจถาม แต่ในดวงพระเนตรที่แวววาวงดงาม มีแววรอคอย
นางกำนัลทั้งสองคนเงียบไปทันที สบตากัน ตอบอย่างระมัดระวังว่า
“ทางพระตำหนักไม่มีการส่งข่าวเข้ามาเลยเพคะ”
ความหวังในดวงพระเนตรเรียวงามจางหายไป พระองค์ทรงฝืนแย้มพระสรวลพร้อมพยักพระพักตร์ ส่งเสียง “อ้อ”พระองค์ทรงรออยู่ในวังมาทั้งวัน เขาก็ไม่มาอธิบายให้ตนเองฟัง นับตังแต่แยกกันที่สำนักโหราจารย์ ก็ดูเหมือนพระองค์จะถูกลืมไปแล้ว
ตอนนี้ ตำหนักองค์หญิงในพระราชวังก็ไม่มีการส่งข่าวมา แสดงว่าสวี่ชีอันก็ไม่ได้ไปฝากข้อความไว้ที่นั่น
พระองค์ทรงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วก็ทรงตรัสเบาๆ ว่า
“ข้าเหนื่อยแล้ว”
นางกำนัลทั้งสองคนออกจากห้องพระบรรทมอย่างรู้กาลเทศะไปที่ห้องด้านนอก
พวกนางดูออก ว่าพระองค์อารมณ์ไม่ดี อีกสักครู่ไม่แน่ว่าอาจจะทรงซ่อนพระองค์แอบเช็ดน้ำพระเนตรอยู่ใต้ผ้าคลุมบรรทมก็เป็นไปได้
แม้ว่านางกำนัลทั้งสองจะเข้าใจหลินอันอย่างยิ่ง แต่พวกนางยังคงดูถูกศักดิ์ศรีของหลินอัน เพราะพระองค์ไม่ได้เช็ดน้ำพระเนตรอยู่ใต้ผ้าคลุมบรรทม เพราะน้ำพระเนตรยังคลอพระเนตรอยู่ ไม่ได้ไหลลงมา
พระองค์ทรงห่มผ้าคลุมบรรทมนวมอันแสนนุ่ม เอียงพระวรกายขดพระวรกาย
จนถึงตอนนี้ยายตัวร้ายยังไม่เข้าใจว่า เป็นถึงราชครู แม้แต่เสด็จพ่อยังไม่ได้ครอบครอง แต่กลับถูกใจสุนัขรับใช้ของตัวเองเสียอย่างนั้น
เมื่อนึกถึงท่าทางภูมิอกภูมิใจ วางอำนาจจนเกินจริงของลั่วอวี้เหิง ในพระทัยก็ทรงพิโรธอย่างยิ่ง ทรงอยากจะฉีกหญิงแก่คนนั้นเป็นชิ้นๆ แต่นางก็กล้าคิดแค่ในใจเท่านั้น
ถ้าหากศัตรูหัวใจคือลั่วอวี้เหิง หลินอันไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ถึงแม้พระองค์จะเป็นองค์หญิง และยอมรับในความงามของตัวเอง แต่ลั่วอวี้เหิงเป็นเพียงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งสามารถบดขยี้พระองค์ได้
พระองค์ทรงอดนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตไม่ได้ นึกถึงตอนที่สวี่ชีอันคุยเล่นเป็นเพื่อน เล่นหมากรุกกับพระองค์ ในที่สุดน้ำพระเนตรที่คลอเบ้าอยู่ก็ร่วงลงมา
ยายตัวร้ายทรงรู้สึกว่าตัวเองอกหักแล้ว แม้ว่าพระองค์จะไม่รู้จักคำคำนี้
น้ำพระเนตรไหลมากยิ่งกว่าเดิม พระองค์ทรงบรรทมตะแคง พระพักตร์ครึ่งหนึ่งฝังอยู่ในพระเขนยที่นุ่มนิ่ม
“ก่อนนอนห้ามร้องไห้ มิเช่นนั้นพระเนตรจะอักเสบ”
ในเวลานี้ ด้านในพระแท่นบรรทมมีคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้
ยายตัวร้ายส่งพระสุรเสียง ‘อือ’ แล้วทรงรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำพระเนตร จากนั้นพระวรกายก็แข็งทื่อ รู้สึกถึงความผิดปกติ พระองค์ทรงดีดพระวรกายขึ้นมา แล้วทรงกรีดร้องออกมาด้วยพระสุรเสียงแสบแก้วหู
ขณะที่ทรงกรีดร้อง พระองค์ทรงเห็นคนที่อยู่ด้านในพระแท่นบรรทมชัดเจนแล้ว สวมชุดคลุมยาวสีดำ ศีรษะสวม หมวกหยก แต่งกายเป็นคุณชายจากครอบครัวที่ร่ำรวย
สุนัขรับใช้ของพระองค์นั่นเอง
“ปังปัง!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นางกำนัลสองคนเคาะประตูอยู่ข้างนอก ตะโกนเรียก
“องค์หญิง องค์หญิง?”
หลินอันทรงจ้องหน้าสวี่ชีอันอย่างดุร้าย ดึงผ้าคลุมบรรทม มาคลุมตัวเขาไว้ ตรัสพระสุรเสียงต่ำว่า
“อย่าส่งเสียง…”
ทรงสูดพระนาสิก กระแอมสองสามครั้ง เพื่อทำให้พระสุรเสียงของพระองค์ฟังดูปกติแล้วตรัสว่า “เข้ามา”
เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ตกใจและหวาดกลัวเกินไป ไม่ใช่แค่คำพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร” ก็จะสามารถแล้วกันไปได้ เพราะ
นางกำนัลจะคิดว่า เจ้านายที่อยู่ข้างในจะถูกบีบบังคับอยู่หรือไม่ พวกนางเป็นนางกำนัลที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ยากที่จะหลอกได้
พระทวารห้องพระบรรทมถูกผลักออก นางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาสีหน้าตกใจห่วงใย นางกำนัลนั้นอยู่ด้านนอก ท่าทางระมัดระวังไม่ได้เข้ามา เพื่อความสะดวกต่อการวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือ
นางกำนัลที่เข้ามา มองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่พระแท่นบรรทมแล้วจึงถามว่า
“องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
หลินอันทรงตรัสเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่ฝันร้าย ไม่มีอะไรแล้ว”
นางกำนัลจ้องขอบพระเนตรของพระองค์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าใจทันที จึงเชื่อพอสมควร จากนั้นก็สำรวจที่พระแท่นบรรทมอีกครั้ง
โชคดีที่นับตั้งแต่ท้องพระคลังว่างเปล่า จักรพรรดิหย่งซิ่งได้ทรงลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างของนางสนม สมาชิกราชวงศ์ ถ่านเนื้อทองที่ราคาแพงลิ่วก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
ไม่สามารถเรียกเอาอย่างไม่บันยะบันยังเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หลินอันทรงใช้ห่มได้เปลี่ยนจาก ‘ผ้าไหม’ และ ‘ผ้าคลุมบรรทม’ แบบบาง มาเป็น ‘ผ้าคลุมบรรทม’ที่หนาขึ้นกว่าเดิม ผ้าห่มที่ยัดขนแกะและขนเป็ด หนาและนุ่มฟู ช่วยซ่อนสวี่ชีอันไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“องค์หญิง ร้อนเกินไปหรือไม่เพคะ? พระพักตร์ของพระองค์แดงมากๆ เลย”
นางกำนัลพูดด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นอะไร”
พระทัยของหลินอันยิ่งทรงลุกลี้ลุกลน การแสดงออกยิ่งเย็นชา
“องค์หญิงทรงหายพระทัยแรง อบอ้าวเกินไปหรือเพคะ”
“นิดหน่อย เปิดหน้าต่างหน่อย”
“อย่างไรหม่อมฉันเฝ้าอยู่ในห้องดีกว่าเพคะ” นางกำนัลพูด
“ไม่ต้อง ข้าอารมณ์ไม่ดี อยากอยู่เงียบๆ”
ได้ยินดังนั้น นางกำนัลจึงไม่ได้ดึงดันอีกต่อไป กวาดตามองรอบห้องอีกครั้ง แล้วจึงออกไป
เมื่อนางออกไปแล้ว และปิดประตูห้องพระบรรทม หลินอันจึงทรงเลิกผ้าคลุมบรรทมออก ผลักศีรษะที่หนุนอยู่ที่พระอุระของพระองค์ออกอย่างแรง ทั้งอาย ทั้งกริ้ว ทั้งตกพระทัย ทั้งทรงพระโสมนัส พระขนงตั้ง
“สุนัขรับ…”
คำพูดสองคำที่เพิ่งออกจากพระโอษฐ์ เล็กๆ ถูกสวี่ชีอันปิดไว้ เขายักคิ้วไปทางประตูห้อง กดเสียงต่ำพูดว่า
“นางยังไม่ออกไปเลย”
หลินอันทรงหันไปทอดพระเนตร ก็ทรงเห็นเงาเงาหนึ่งที่ข้างประตูจริงๆ ด้วย เหมือนกำลังแอบฟังการเคลื่อนไหวในห้องนอน
สวี่ชีอันดึงผ้าห่มขึ้นมา คลุมทั้งสองคน หัวเราะเสียงต่ำมาก
“มองไม่ออกเลยว่าสาวใช้ของพระองค์จะมีปฏิภาณไหวพริบมากเช่นนี้” เมื่อก่อนไม่เคยเห็นจริงๆ
“หมัวมัวในวังเป็นคนฝึกให้ทั้งนั้น นางกำนัลข้างกายของบรรดาเหนียงเหนียงในวังหลังมีปฏิภาณไหวพริบยิ่งกว่านี้อีก”
หลินอันทรงคล้อยตาม แต่ต่อมาก็ทรงอายจนพระพักตร์แดง ทรงตรัสด้วยความกริ้วว่า
“สุนัขรับใช้ เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก เตียงของข้าเจ้าก็กล้าขึ้นมา ไปซะ ไปซะ ไปขึ้นเตียงของลั่วอวี้เหิงไป”
ทรงยื่นพระหัตถ์ ออกแรงผลักอย่างแรง
สวี่ชีอันจับข้อพระหัตถ์ของพระองค์ไว้แน่น เข้าประชิดพระองค์ ดึงเข้ามาใกล้จนสามารถพ่นลมหายใจรดใบหน้าของกันและกันได้
“องค์หญิง กระหม่อมท่องยุทธภพมาเป็นเวลานาน ไม่มีเวลาไหนที่ไม่คิดถึงพระองค์ รู้สึกเสียใจทุกวันทุกคืนที่ไม่มีปีก มิเช่นนั้นก็จะสามารถลอยตามลมมาเข้าเฝ้าพระองค์ได้”
ช่วงนี้อยู่ร่วมกับเทพบุตรสวะ สวี่ชีอันได้ผสมผสานความรู้หลายๆ ด้านในการหลอกล่อผู้ญิงให้ดีใจเข้าด้วยกัน เข้าใจในหลักการสำคัญที่เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจ
การหลอกล่อผู้หญิงให้ดีใจ ก่อนอื่นต้องยืนอยู่ในมุมของนาง หลังจากนั้นก็ไตร่ตรองดูว่านางอยากฟังอะไร นางชอบท่าทีแบบไหน ไม่ควรยืนอยู่ในมุมของตัวเอง หากหลอกล่อในมุมของตัวเอง ก็จะต้องพ่ายแพ้
ตัวอย่างเช่น ยืนอยู่ในมุมของสวี่ชีอัน ตอนนั้นราชครูยอมเสี่ยงอันตรายจากไฟแห่งความโกรธเผากาย เพื่อช่วยห้ามปรามเฮยเหลียน เวลานี้ไฟแห่งความโกรธของนางโหมขึ้นมาอีกครั้ง ไม่บำเพ็ญก็จะต้องตายจากชะตากรรม
ขอเพียงเขามีความเป็นมนุษย์สักหน่อย ก็ควรจะถอดกางเกงเพื่อศีลธรรม
ถ้าจะอธิบายเช่นนี้ ป่านนี้หลินอันคงเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว
แต่ยืนอยู่ในมุมของพระองค์ พระองค์ทรงอยากฟังอะไรกันแน่? ทรงชอบท่าทีแบบไหนกันแน่?
“ท่าทางเป็นทุกข์และดีพระทัยของพระองค์ล้วนประทับอยู่ในความทรงจำของกระหม่อม ทำให้กระหม่อมคิดถึงอย่างลึกซึ้งทั้งวันทั้งคืน” สวี่ชีอันยื่นมือไปโอบบั้นพระองค์ของหลินอัน แววตาจริงใจ น้ำเสียงจริงจัง
“แต่กระหม่อมรู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว วันนี้อยู่บ้านรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง ไม่กล้ามาเผชิญหน้าพระองค์ แต่ว่ากระหม่อมไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้ หัวใจที่เลื่อมใสในพระองค์”
หลินอันฟังคำรักข้างพระกรรณ พระหทัยเต้นแรง พระปรางร้อนผ่าว ความทรงน้อยพระหฤทัยที่มีอยู่เต็มพระอุระมลายหายไปในทันที ความเดือดดาลก็ถูกกระสุนปืนใหญ่ที่เคลือบด้วยน้ำตาลทำให้คลายลง
พระองค์ทรงทำเสียงไม่พอพระทัย บังคับตัวเองให้หักพระทัยผลักแขนของเขาที่โอบอยู่ที่บั้นพระองค์ ที่ทรงหันพระพักตร์หนี
“เวลาใต้เท้าสวี่หลอกล่อผู้หญิงคนอื่น ก็ทำเช่นเดียวกันนี้ใช่หรือไม่?”
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะใช้ความเย็นชามากดดันผู้ชายคนนี้
ฟังข้อมูลแล้วรู้สึกปลอดภัย หัวใจเต้นแรง
สวี่ชีอันจ้องมองติ่งพระกรรณเล็กๆ ของพระองค์ พยายามอดทนไม่ไปเลียด้วยความวู่วาม แล้วก็ถอนหายใจ
“เฮ้อ ท่าทางไม่ว่ากระหม่อมจะพูดอะไร พระองค์ก็คงไม่ทรงยกโทษให้กระหม่อม พรุ่งนี้กระหม่อมก็จะไปจากเมืองหลวงแล้ว ไม่มีอะไรจะขอ ขอเพียงพระองค์ทรงรับปากกระหม่อมเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
ครึ่งประโยคแรกหลินอันทรงรู้สึกใจหาย เกิดความรู้สึกร้อนพระทัยขึ้นมาทันที แต่เมื่อทรงฟังครึ่งประโยคหลังจึงรีบตรัสถามว่า
“เรื่องอะไร”
ทรงรู้สึกทันทีว่าพระสุรเสียงของตนเองไม่มีศักดิ์ศรี จึงทรงทำน้ำเสียงไม่พอพระทัย “ข้าจะพิจารณาจัดการตามสภาพก็แล้วกัน”
“อยากให้องค์หญิง พระดำเนินไปทอดพระเนตรแสงไฟที่แวววาวที่สุดในโลกพร้อมกับกระหม่อม”
ได้ฟังเช่นนี้ หลินอันก็ทรงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทรงไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่เวลาต่อมา พระองค์ก็ทรงเห็นสุนัขรับใช้ดึงผ้าคลุมบรรทมขึ้นมา คลุมศีรษะทั้งสองคน ต่อจากนั้น หลินอันก็ทรงตกอยู่ในความมืดมิดอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เบื้องหน้าพระองค์ก็บังเกิดแสงสว่าง พระกรรณทรงได้ยินลมคำรามก้อง ม่านราตรีมืดครึ้ม ดวงจันทร์ลอยเด่นบนฟากฟ้า พระองค์ทรงประทับยืนอยู่บนโลก ปะทะลมหนาวอย่างอ้างว้างเดียวดาย แต่กลับรู้สึกสบายอกสบายใจ
หลินอันทอดพระเนตรไปรอบๆ ตัว พระองค์ทรงยืนอยู่บนป้อมปืนที่ลอยอยู่กลางอากาศ บนพระเศียรมีดวงจันทร์ที่สาดแสงที่ระยิบระยับ ที่ใต้ฝ่าเท้า…
พระองค์ทรงเบิกพระเนตรกว้างอย่างคาดไม่ถึง ในดวงพระเนตรที่งดงามแวววาว ส่องสะท้อนแสงไฟอันเจิดจ้า ด้านล่างคือเมืองหลวงทั้งเมือง เมืองชั้นนอกส่วนใหญ่มืดมิด บางครั้งก็มีแสงไฟเล็กน้อยเป็นครั้งคราว สถานที่ที่สว่างที่สุดแวววาวที่สุดคือพระราชวัง ดูเหมือนดอกไม้ไฟดอกใหญ่ รอบนอกของดอกไม้ไฟคือเขตพระราชฐาน เขตพระราชฐานก็สว่างและแวววาวเช่นกัน โคมไฟอันวิจิตรงดงามนับร้อยดวงโอบล้อมพิทักษ์รักษาพระราชวัง
ส่วนเมืองชั้นในที่คนมั่งคั่งร่ำรวยอาศัยอยู่นั้น เหมือนชั้นนอกของเปลวไฟ แต่ละกลุ่มเหมือนดาวประดับ
หลินอันไม่เคยเห็นเมืองหลวงในยามค่ำคืนมาก่อน จึงทรงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
เรื่องราวโรแมนติกที่สุดที่พระองค์ทรงนึกขึ้นได้ ก็คือบทกวี ‘ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ บทนั้น แต่ในเวลานี้ ผู้ชายคนนี้กลับทำให้พระองค์ได้ทรงเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างอีกแล้ว
“ระวังจะทรงพระประชวรนะพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันเดินเข้ามา ถอดเสื้อคลุมยาวคลุมให้พระองค์ แล้วถือโอกาสกอดคนงามไว้ในอ้อมอก
หลินอันเหมือนคนดื่มเหล้าจนเมามาย ดวงพระเนตรงดงาม พระพักตร์แดงระเรื่อ กระหยิ่มยิ้มย่อง
สำหรับปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้ สวี่ชีอันไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่กลับเป็นไปตามคาดเสียด้วยซ้ำ หลินอันทรงโปรดสีสันที่สดสวย จึงยากที่จะทรงต้านทานการจู่โจมเช่นนี้ได้
เดี๋ยวค่อยนำป้อมปืนไปคืนให้ซุนเสวียนจี วิธีนี้ใช้กับฮว๋ายชิ่งไม่ได้ผล…ต่อไปต้องดีกับเทพบุตรให้มากหน่อย อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้จากเขามาบ้าง…สวี่ชีอันจิตใจฟุ้งซ่าน หูของเขามีเสียงละเมอของหลินอันดังขึ้นว่า
“สุนัขรับใช้ เจ้าสู่ขอข้าต่อจักรพรรดิได้หรือไม่”
สำหรับหลินอันแล้ว หลังได้รับรอยจูบอันร้อนแรงตั้งแต่เมื่อครั้งสวี่ชีอันไปจากเมืองหลวง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็แน่นอนแล้ว
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คู่ครองที่เกิดความรักซึ่งกันและกัน แต่เขาเป็นผู้ชายที่พระองค์ทรงหลงใหล
“ได้พ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันมองพระพักตร์รูปไข่งดงามของพระองค์ ‘แต่ไม่ใช่เวลานี้’
ไม่ว่าพระองค์หรือต้าฟ่ง ล้วนเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
หากชนะ ซ้ายหลินอัน ขวาฮว๋ายชิ่ง ราชครูนั่งบนตัก พระมเหสีซ่อนอยู่ด้านหลัง หากพ่ายแพ้ก็หมุนเวียนกันไป
…
ดึกแล้ว
นางกำนัลผลักประตูออกด้วยความระมัดระวัง ค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้องพระบรรทม มาถึงข้างพระแท่นบรรทม
องค์หญิงหลินอันห่มผ้าคลุมบรรทม บรรทมพร้อมกับมุมพระโอษฐ์ยกขึ้น ราวกับกำลังทรงสุบินถึงเรื่องที่ทรงพระเกษมสำราญ
นางกำนัลรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขณะที่กำลังจะออกไป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เห็นบริเวณพระศอที่ขาวผ่องดุจหิมะขององค์หญิง มีรอยจูบเต็มไปหมด นี่นางกำนัลรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาในทันใด มองไปรอบๆ ด้วยความหวาดผวา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที
…
ในคืนเดียวกัน ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
จีเสวียนยืนอยู่บนอกไก่ของหลังคา มองการต่อสู้ด้านล่าง นั่นคือหลิ่วหงเหมียนกำลังเล่นงานคู่ต่อสู้ที่เป็นชาวยุทธ์คนหนึ่งที่ปราณมังกรอาศัยไม่ครบส่วน
หลายวันมานี้ พวกเขาอาศัยช่องทางสายสืบตำหนักความลับสวรรค์ หาตัวผู้ถูกปราณมังกรอาศัยพบหลายคน มีทั้งชาวยุทธ์ที่ท่องยุทธภพไปทั่ว มีทั้งปัญญาชนที่สุภาพเรียบร้อย หรือกระทั่งขุนนางชั้นต่ำที่อยู่เวรของทางการ และผู้หญิงที่รอการหมั้นหมายอยู่ในห้อง
แผนการของจีเสวียนก็คือ พยายามรวบรวมปราณมังกรที่กระจัดกระจายให้ได้มากที่สุด สะสมทีละเล็กทีละน้อย โดยใช้สิ่งนี้มาดึงดูดผู้ถูกปราณมังกรอาศัยทั้งเก้าสาย แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นการดึงดูดสวี่ชีอันมาด้วย
“หงเหมียน ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว” จีเสวียนกล่าวเตือน
หลิ่วหงเหมียนซัดคู่ต่อสู้จนสลบทันที
จีเสวียนล้วงกระถางสำริดขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ แล้วท่องคาถา ปากกระถางสำริดส่องแสงสว่างเจิดจ้า เก็บผู้ถูกปราณมังกรอาศัยคนนั้นเข้าไปข้างใน
กระถางสำริดขนาดเล็กเรียกว่ากระถางสำริดสี่เหลี่ยม เป็นของกำนัลชิ้นหนึ่งที่หลังจากท่านราชครูทราบเหตุการณ์ในยงโจวแล้ว ก็ส่งคนให้นำมามอบให้ มันแตกต่างจากอาวุธเวทมนตร์ของสะสมทั่วไป สิ่งหลังรับได้แค่สิ่งของเท่านั้น แต่มันสามารถเก็บคนได้
จีเสวียนเก็บกระถางสำริดเรียบร้อยแล้ว ก็มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วพึมพำว่า “สวี่ชีอัน!”
…
วันต่อมา!
อารามรัตนะ เมืองหลวง
ในห้องที่ห้องสงบจิต ลั่วอวี้เหิงที่หลับลึกมาเป็นเวลาหนึ่งวันสองคืนก็ค่อยๆ ลืมตาคู่งามขึ้