ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 602 กระบี่จงมา
บทที่ 602 กระบี่จงมา
ลั่วอวี้เหิงเหม่อมองหลังคาอย่างเลื่อนลอย รูม่านตาไร้จุดโฟกัส
หลังตื่นขึ้นจากจมสู่ห้วงนิทราลึก เกิดความรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าตนอยู่แห่งหนใด
ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกเช่นนี้ นางยังเด็กนัก
ลั่วอวี้เหิงพ่นลมออกปากดัง ‘ฟู่ว’ รวบรวมพลังที่จุดศูนย์กลาง กำหนดจิตเดิม เริ่มสำรวจภายในตน ยอมรับความทรงจำตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา
บุคลิกทั้งเจ็ด เปรียบดั่งตัวแทนไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างกายนาง ซึ่งเรียกว่า ‘ใจมาร’
บัดนี้ไฟแห่งกรรมดับมอดแล้ว ความทรงจำทั้งเจ็ดบุคลิกเริ่มปรากฏทีละบุคลิก
ลั่วอวี้เหิงรู้สึกว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างสวี่ชีอัน ตนล้วนยอมรับทั้งสิ้น
ประการแรก นางมีความรู้สึกดีๆ แก่สวี่ชีอัน จุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธ
เพื่อไม่ให้ทางหันหลังกลับแก่ตนเอง การบำเพ็ญคู่ครั้งแรก นางจึงใช้เวลาทั้งคืนกับสวี่ชีอันในฐานะบุคลิกหลัก
จึงไม่เกิดความรู้สึกเช่นนั้นยามตื่น ความรู้สึกที่ว่าตนนอนกับชายแปลกหน้าตลอดเจ็ดวันเต็ม
ประการสุดท้าย แม้แต่ร่างกายก็ยอมพลีให้แก่เขา ฉะนั้นตลอดเจ็ดวันจึงไม่มีอะไรไปมากกว่าบำเพ็ญซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘ครั้งแรกที่จับคู่บำเพ็ญกับเขา ในใจข้ายังคงต่อต้าน คงต้องรอความทรงจำตลอดเจ็ดวันนี้หวนคืน ข้าอาจยอมรับเขาได้โดยไม่อับอายหรือลำบากใจ…’
ขณะที่ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิด เศษเสี้ยวความทรงจำก็เริ่มปรากฏขึ้นในสมองนางดั่งตะเกียงไฟฉายภาพ
‘ความทรงจำ’ แรกของนางคือ ความทรงจำจากบุคลิกแห่ง ‘ความโกรธ’
ความคิดหลั่งไหลเป็นภาพฉายอย่างรวดเร็ว ในความทรงจำนั้น นางกำลังถลึงตามองสวี่ชีอันด้วยความโกรธเคืองอยู่เสมอ ท่าทีร้ายกาจทำให้นางขมวดคิ้ว
‘ก็เหมือนเดิม อารมณ์ร้อนจนเป็นนิสัย นางเป็นตัวแทนความดื้อรั้นบุคลิกสุดท้ายของข้า ไม่ยอมให้ไฟแห่งกรรมจำนนต่อบุรุษผู้ที่มีความรู้สึกไม่เพียงพอ นึกไม่ถึงว่าการเลือกระงับอารมณ์โกรธเคืองอย่างเด็ดเดี่ยว จะเป็นการปฏิเสธการจับคู่บำเพ็ญ ไม่สมเหตุสมผลนัก…’
‘อืม ทัศนคติของเขาไม่เลวเลย ความหงุดหงิดฉุนเฉียวของ ‘ข้า’โดยไม่มีเหตุผลก่อให้เกิดความไม่พอใจจนใหญ่โต’
ลั่วอวี้เหิงลอบพยักหน้า เห็นด้วยกับบุคลิกแห่ง ‘ความโกรธ’ ที่เกิดอารมณ์มากเกินไปจนไร้เหตุผล ขณะแอบพึงพอใจกับทัศนคติที่ดีของสวี่ชีอัน
ในเวลานี้ ภาพหนึ่งฉายขึ้นมา นั่นเป็นช่วงกลางดึก สวี่ชีอันบุกรุกเข้ามาในห้องนอน ‘เย้าแหย่’ บุคลิกแห่งความโกรธ จนทั้งสองตะลุมบอนกันบนเตียง จากนั้นเสื้อผ้าของนางก็ถูกถอดทีละชิ้น เผยให้เห็นร่างอวบอิ่มขาวราวหิมะ
ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้ว ใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย
‘แต่สิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผล ถ้าบุคลิกแห่งความโกรธไม่ยอมบำเพ็ญคู่ บุคลิกอื่นก็จะทำแบบเดียวกันนี้ ข้าคงตายแน่ แม้เขาไม่เข้าใจบุคลิกอื่น แต่ก็บุกรุกเข้ามา นั่นก็เป็นเพราะคิดเผื่อข้า…’
ลั่วอวี้เหิงสะกดจิตตน
เอาล่ะ วันของบุคลิกแห่งความโกรธผ่านไปเช่นนี้ แม้ว่าจะเกิดอุปสรรคบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ลั่วอวี้เหิงยังทำใจยอมรับได้
‘ต่อไปจะเป็นบุคลิกใด…’ นางพึมพำอย่างไม่แน่ใจ
การปรากฏบุคลิกทั้งเจ็ดบุคลิกนั้นเป็นแบบสุ่ม ไร้ร่องรอยและไร้กฎเกณฑ์
ในไม่ช้า ฉากหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา ลั่วอวี้เหิงจึงได้รู้ว่าบุคลิกที่สองคือบุคลิกใด
ราคะ!
ในภาพนั้น นางตื่นแต่เช้า เป็นฝ่ายรุกวางต้นขาพาดเอวสวี่ชีอัน ยั่วยวนให้เขาบำเพ็ญคู่กับตน
วนเวียนอยู่เช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน
ไร้ยางอาย ไร้ยางอายเหลือเกิน…ใบหน้าลั่วอวี้เหิงแดงก่ำ เลือดสูบฉีดบนพวงแก้ม จนอยากเอาหน้ามุดดิน นิ้วเท้านางงอเกร็งด้วยความอับอาย ร่างกายเกร็งทื่อ
นางรู้ดีว่าบุคลิกนี้ค่อนข้างแสบสันบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่คิดว่าจะไร้ยางอายเช่นนี้
ลั่วอวี้เหิงไม่มีวันยอมรับว่านี้คือตนเอง
หลังจากบุคลิกแห่งราคะคือบุคลิกแห่งความกลัว และทันทีที่บุคลิกแห่งความกลัวปรากฏ มันก็สร้างความลำบากสวี่ชีอันผู้เหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทั้งคืน
ลั่วอวี้เหิง ‘เพ่งดู’ อย่างชัดเจน หลังจากเสร็จสิ้นการบำเพ็ญคู่ก็ออกจากห้องพร้อมกับสีหน้าซีดเผือด
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเป็นเช่นนี้ ราชครูก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน จนเกิดความคิด ‘ละอายใจต่อเขา’
แต่ในไม่ช้า ความคิดนี้ก็พลันสลายไปด้วยภาพความทรงจำต่อมา นางเห็นสวี่ชีอันกลั่นแกล้งบุคลิกแห่งความกลัว จากนั้นบุคลิกแห่งความโศกเศร้าก็แทรกขึ้นมา
“อายุอานามข้าเหลือเฟือพอจะจับเจ้าทำภรรยา…”
“ไม่เสียเปล่าที่ข้ากัดฟันทนต่อสู้มายี่สิบปีและไม่ปรานีจักรพรรดิหยวนจิ่ง ข้ารอจนเจ้าท่องยุทธภพเสร็จสิ้น เราก็จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญโดยสมบูรณ์”
“บอกรักฉันเร็วเข้า”
“น่ารำคาญ”
“เรียกสวี่หลางเร็วเข้า”
“สะ…สวี่หลาง…”
สวี่หลางงั้นหรือ!
ลั่วอวี้เหิงสั่นสะท้าน ตะลึงพรึงเพริดจนพูดไม่ออก ร่างกายนางสั่นไหว จนริมฝีปากสั่นตาม
ข้าทำอะไรลงไป ต่อจากนี้ข้าจะสู้หน้าเขาได้อย่างไร
เรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด บุคลิกแห่งความโศกเศร้ากำลังสมเพชตน พรั่งพรูความในใจให้เขาฟัง พูดถึงการเดินข้ามผ่านในใจตน พูดว่าพอรุ่งสางก็คิดแต่อยากแนบชิดเขา แต่ก็กลัวเสียหน้า ทั้งที่ในใจยุ่งเหยิง
ภายหลังที่เขาเป็นฝ่ายรุกเชื่อมต่อตน จึงฟูมฟายด้วยความปีติยินดี
เจ้ากำลังบิดเบือน! ลั่วอวี้เหิงเดือดพล่าน
ท่ามกลางความมืดมิด นางรู้สึกว่าภาพลักษณ์ในอดีตของตนพังทลายลงและหายไปตลอดกาล
เบื้องหลังความละอายใจนั้น บุคลิกแห่งความโศกเศร้าได้หลงรักคนสกุลสวี่เสียแล้ว ดังนั้นบุคลิกแห่งความรักจึงอุทิศให้แก่เขาอย่างสุดใจ
ลั่วอวี้เหิง ‘เห็น’ ภาพในโรงเตี๊ยมหลังเล็ก นางถูกดัดตนในท่าทางต่างๆ
นี่ไม่ใช่เคล็ดลับกามศิลป์ในห้องหับ แต่เป็นฝีมือของคนสกุลสวี่ล้วนๆ
ช่างทารุณ ทารุณข้ามากเกินไปแล้ว…ดวงตาลั่วอวี้เหิงพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ
ฟู่ว!
นางหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เพ่งมองพื้นที่ว่างเปล่าภายในห้องแห่งใดสักที่ พึมพำกับตนว่า
“ในเมื่อตัดสินใจจับคู่บำเพ็ญกับเขาแล้ว ถือว่าเขาเป็นคู่บำเพ็ญในภายภาคหน้า ระ…เรียกสวี่หลางสักหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
“ระหว่างคู่บำเพ็ญ การอิงแอบแนบชิดนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อย่าถือสา อย่าเอามาใส่ใจ…
“อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องระหว่างข้ากับเขา โดยไม่ต้องให้ผู้อื่นมารับรู้”
ทันใดนั้น ความทรงจำส่วนหนึ่งก็ปรากฏ ภายในห้องแห่งหนใดสักที่ โต๊ะด้านข้างมีหลินอัน ฮว๋ายชิ่ง หลี่เมี่ยวเจิน และลูกศิษย์หญิงของท่านโหราจารย์สองคนนั่งอยู่
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนชอบสวี่หลาง บางคนประทับใจเขา และบางคนก็แอบชอบเขาอยู่เงียบๆ แต่หลังจากคืนนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะละทิ้งความคิดมิควรเหล่านี้”
“สวี่หลาง เจ้าพูดอะไรสักอย่างสิ”
ลั่วอวี้เหิงเหมือนดั่งรูปปั้นหิน กำลังสลายไปตามกระแสลม
นางเงียบเชียบไม่ยินดียินร้ายเป็นเวลานาน ชั่วขณะหนี่ง นางก็เหยียดมือขวาออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากอารมณ์แปรปรวน
“กระบี่จงมา!”
กระบี่เหล็กเปื้อนสนิมลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำ พุ่งตรงมาอยู่ในมือลั่วอวี้เหิง
ราชครูเหยียบลำแสงสีทองออกจากอารามรัตนะ นางออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวและอาจหาญ เฉกเช่นขุนพลหญิงรีบเร่งไปสนามรบ ซึ่งพกพาความกล้าที่ไร้ซึ่งการแยกแยะผิดชอบชั่วดี
…
จวนสกุลสวี่ อาสะใภ้หาวหวอดๆ ขณะสั่งสอนเสี่ยวโต้วติงที่ตะโกนเสียงดังเปี่ยมไปด้วยพลังตั้งแต่เช้าตรู่ จนทำให้นางตื่น
“เจ้าพูดให้รู้ความหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสว่างเจ้าก็อาละวาดเสียแล้ว แม่ทั้งมาหุงหาอาหารทั้งแต่งตัวให้เจ้า แต่เจ้าก็กวนฝันข้าแต่เช้าน่ะหรือ”
อาสะใภ้เท้าเอว บ่นเสียงหวาน
เสี่ยวโต้วติงยืนอยู่ตรงหน้านาง ก้มศีรษะยอมรับผิด
“เจ้ารู้ตัวว่าผิดหรือยัง”
“รู้แล้ว”
“ต่อไปยังจะกล้าอีกหรือไม่”
“ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“ดี เจ้าผิดตรงไหน”
“ท่านแม่ ข้าผิดตรงไหนหรือ” เสี่ยวโต้วติงไม่เข้าใจจึงถาม
อาสะใภ้แทบหมดลม ทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง ยกมือข้างหนึ่งลูบขมับแล้วพูดอย่างอ่อนใจ
“ไปไหนก็ไป แม่ไม่อยากเห็นเจ้า”
“ได้เลย!” สวี่หลิงอินวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป
“ท่านแม่ ข้าเจอเทพเซียน”
นางหยุดหน้าประตูห้องโถง ร้องตะโกนว่า “ท่านเซียนสวยจัง”
อาสะใภ้เดินไปด้วยความงุนงง ก่อนเห็นหญิงสาวรูปงามในชุดคลุมขนนก ถือกระบี่เหล็กเปื้อนสนิมในมือ ยืนอยู่กลางลานนอกโถง
อาสะใภ้เองก็เป็นเทพธิดาตัวน้อย เมื่อเห็นหญิงผู้นี้ ก็เปล่งเสียงก้องกังวานราวกับเจอ ‘พวกเดียวกัน’
“สวี่ชีอันล่ะ?”
หญิงผู้นั้นเอื้อนเอ่ยทีละคำ
ดวงหน้านางไม่เผยความรู้สึกอันใด ทว่าเสียงที่เล็ดลอดผ่านแนวไรฟัน แสดงให้รู้ว่ากำลังกัดฟันพูด
อาสะใภ้ไม่รู้จักหญิงผู้นี้เลย ถึงแม้นางจะเคยได้ยินชื่อเสียงราชครูดังก้องกัมปนาทดุจอสนีบาต
“หนิงเยี่ยนออกไปตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง แม่นางคือใคร ถามหาเขาด้วยเรื่องอันใด” อาสะใภ้ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“บอกได้หรือไม่ว่าเขาไปหนใด” สีหน้าลั่วอวี้เหิงมืดครื้มดูน่ากลัว
“ไม่ได้”
ทันทีที่อาสะใภ้ตอบ รูม่านตานางก็สะท้อนแสงทองอำไพ พร้อมกับหญิงผู้นั้นเหยียบแสงสีทองหายลับไป
…
ถนนสายหลักทางตะวันตกเฉียงเหนือห่างออกไปจากเมืองหลวง มู่หนานจือกำลังขี่หลังแม่ม้าน้อย สองมือวางอยู่บนอานม้า สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก หรี่ตาเพ่งมองระยะไกลๆ
ข้างกายยังมีคนอีกสองคน นั่นคือเหมียวโหย่วฟางกับหลี่หลิงซู่
คนแรกคือผู้ติดตามของสวี่ชีอัน ดังนั้นจึงยังติดตามเขา คนหลังคือเทพบุตรผู้บรรลุการท่องยุทธภพ เป้าหมายสูงสุดก็คือการตั้งรกรากในเมืองหลวง
ในเมืองหลวงมีลั่วอวี้เหิง ผู้นำนิกายมนุษย์ มีโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง พระชายาของอ๋องสยบแดนเหนือ มีเหล่าคณิกาจากสำนักสังคีตเป็นต้น
น่าเสียดายที่โลกนี้ยากจะคาดเดา เมืองหลวงสำหรับเขาแล้ว เปรียบเหมือนสถานที่ทิ่มแทงใจ
ในกรณีนี้ ทำได้เพียงออกเดินทางท่องยุทธภพอีกครา มุ่งหน้าสู่หนทางการปล่อยวางความรู้สึก
แต่กระนั้น บัดนี้นิกายสวรรค์ต้องการไล่จับกุมเขากลับไปกักกันที่ภูเขา จนกระทั่งเกิดเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่า
หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ไม่มีทางเลือกอื่น หนทางเดียวที่จะหลุดรอดจากอาจารย์ตน มีเพียงการปล่อยวางความรู้สึก
ก่อนหน้าการบำเพ็ญปล่อยวางความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าติดตามสวี่ชีอันย่อมปลอดภัยกว่า ทั้งยังสามารถลดทอนแรงกดดันทั้งสองด้านจากสหายคนสนิทและอาจารย์
สำหรับศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจิน นางตัดสินใจออกห่างจากชายหน้าหม้อผู้นี้ เพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้แอบรู้สึกดีๆ กับสวี่ชีอัน
ทว่าหลี่หลิงซู่ได้กลิ่นบางอย่างท่าไม่ดีนัก ด้วยนิสัยของศิษย์น้อง หากนางบริสุทธิ์ใจกับสวี่ชีอันจริง นางคงร่วมเดินทางไปด้วยแล้ว
สวี่ชีอันคนสารเลว!
‘พี่หยาง ข้าขอรับหน้าที่จับตาดูเขา สิ่งใดที่เขาทำ ข้าจะบอกเจ้าให้หมดเปลือก’
ยามแสงรุ่งอรุณสาดส่อง หลี่หลิงซู่ผินมองไปยังทิศทางเมืองหลวง
เหตุผลสุดท้ายที่เขาติดตามสวี่ชีอันคือลอบสอดแนมสวี่ชีอัน ภายใต้คำสั่งหยางเชียนฮ่วน พี่น้องร่วมสาบานของเขา
เหมียวโหย่วฟางเห็นทั้งสองคนเมียงมองไปยังทิศทางเมืองหลวง จึงถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดผู้อาวุโสสวีจึงไม่ร่วมเดินทางไปกับเรา”
อยู่ข้างนอก เพื่อความปลอดภัย ต้องเรียกเขาว่าสวีเชียน
มู่หนานจือตอบว่า “เขาบอกว่าจะไปเจอใครคนหนึ่ง”
“ผู้ใดกัน”
“ผู้มีบุญคุณอันล้นเหลือต่อเขา”
“อ้อ”
หลี่หลิงซู่ถือวิสาสะขัดจังหวะหัวข้อสนทนา จึงเอ่ยว่า “ฮูหยินสวี จิ้งจอกตัวน้อยตัวนั้นล่ะ?”
เขายังคงหลงใหลโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง เพียงแต่นางมีเจ้าของแล้ว เทพบุตรจึงได้แต่เก็บความหลงใหลไว้ในใจ
แน่นอนว่าเขามีความสามารถในการรับรู้ที่ดี เกี่ยวกับรูปโฉมภายนอกแสนธรรมดาของมู่หนานจือในตอนนี้
หากพระชายาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง คงไม่มีชายใดต้านทานเสน่ห์นางได้ แม้ว่าชายที่นางเลือกคือสวี่ชีอัน ก็จะบุรุษนับไม่ถ้วนถือจอบเสียมเข้ามาโดยไม่กลัวตาย
มุมปากของมู่หนานจือกระตุก “ข้าสั่งให้มันส่งข่าวให้แก่หญิงไร้ยางอาย”
ผู้ใดถูกไฟแห่งกรรมแผดเผา ก็จะถูก ‘อารมณ์ทั้งเจ็ด’ ทรมาน จนไม่เป็นตัวของตัวเอง
มู่หนานจือให้สัญญากับนางว่าจะเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่เปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้
อย่างไรเสียไป๋จีก็ไม่ใช่มนุษย์…
หากไป๋จีปากสว่างพูดไปเรื่อย แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับมู่หนานจือ
…
ลั่วอวี้เหิงเที่ยวตระเวนรอบๆ เมืองหลวง แต่ไม่พบร่องรอยของกบฏสวี่ เพราะมัวแต่หมกมุ่นกับเครื่องรางชิ้นนั้นจนขาดการติดต่อกับมัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นางไม่สามารถหาสวี่ชีอันเจออีก
“ข้าจะสะสางบัญชีกับเจ้าเดือนหน้า!”
ลั่วอวี้เหิงกัดฟัน
นางเหยียบลำแสงสีทองกลับมายังอารามรัตนะ
ทันทีที่กลับมาถึงที่ก็พบลูกศิษย์มารออยู่ก่อนแล้ว พวกเขากำลังยืนรออยู่นอกลานเล็กๆ แล้วพูดด้วยเสียงดัง
“ท่านผู้นำเต๋า องค์หญิงหลินอัน องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง และหลี่เมี่ยวเจินแห่งนิกายสวรรค์ ฝากข้าส่งจดหมายสามฉบับนี้มาให้ท่าน”
จดหมาย?
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เอามานี่”
ลูกศิษย์ในชุดเต๋าก้าวเข้ามากลางลาน หยิบจดหมายสามฉบับออกมาจากสาบเสื้อ มอบให้ด้วยความนอบน้อม ก่อนถอยออกจากลานบ้าน
ลั่วอวี้เหิงเพียงสะบัดปลายนิ้ว จดหมายสามฉบับก็ลอยออกมาจากซองจดหมายพร้อมกัน พร้อมทั้งเปิดออกล่องลอยกลางอากาศ
จดหมายเขียนจากซ้ายไปทางขวา
“อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า!”
“ร่วมใจกันชั่วนิรันดร์!”
“มีลูกในเร็ววัน!”
ลั่วอวี้เหิงสำลักลมหายใจ รู้สึกว่าตนถูกประณามอย่างโจ่งแจ้ง ถูกเยาะเย้ย พูดถึง ซึ่งนำความอัปยศอดสูมาแก่นาง
การที่จดหมายสามฉบับนี้ถูกส่งมาช่างบัญเอิญเสียเหลือเกิน ราวกับเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมอย่างไรอย่างนั้น
…
ณ สำนักโหราจารย์ ประตูห้องลับถูกผลักออก
สวี่ชีอันถือเหยือกเหล้าเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อนหมุนตัวปิดประตู
แสงอรุณสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง ห้องแห่งความลับนั้นกว้างขวาง มีเครื่องเรือนประดับแบบเรียบง่าย โต๊ะสี่เหลี่ยมหนึ่งตัวและเตียงไม้แบบเรียบง่ายอีกหนึ่งหลัง
จึงดูเหมือนว่าเป็นห้องโล่งๆ ว่างเปล่า
สวี่ชีอันเดินเนิบนาบไปที่เตียง มองดูชายที่หลับใหลอยู่บนเตียงเงียบๆ
เขาสวมชุดคลุมสีดำจากผ้าชั้นดี หน้าตาคมคายหล่อเหลา จอนทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีขาว รอยย่นที่หางตาบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่วัยหนุ่มอีกต่อไป
“เหมือนกันมากจริงๆ เหมือนกันทุกประการ น่าเสียดายที่ไร้พลังปราณ เป็นแค่ร่างเปลือยเปล่าธรรมดาทั่วไป”
สวี่ชีอันคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เว่ยกง ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว พกเหล้ามาเผื่อท่านด้วย ประเดี๋ยวข้าต้องออกจากเมืองหลวงเพื่อตามหาปราณมังกรต่อ แต่ก่อนไป ขอคุยบางอย่างกับท่านสักหน่อย”