ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 605 แม่หมอคนทรง
บทที่ 605 แม่หมอคนทรง
วัดศาลหลักเมืองตั้งอยู่นอกเมือง ห่างออกไปทางทิศตะวันออกหกลี้
สวี่ชีอันและพรรคพวกควบม้ามาถึงที่หมายในเวลาชั่วจิบน้ำชา
วัดเล็กๆ ปูด้วยกระเบื้องสีดำและผนังสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก วัดขนาดเล็กรายล้อมด้วยกำแพงสีขาว และมีทางแคบๆ เชื่อมระหว่างวัดกับถนน
วัดศาลหลักเมืองค่อนข้างเป็นที่รู้จัก มีทั้งคนทั่วไปที่แต่งตัวธรรมดา และชนชั้นสูงในเครื่องแต่งกายสีสันสดใสเดินไปมา เข้าออกทางเข้าแคบๆ ของวัดอยู่เรื่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ด้านนอกวัด
“ย่ะ!”
สวี่ชีอันบังคับม้าให้เดินไปที่หน้าประตูวัด พลิกตัวลงจากม้า จากนั้นประคองมู่หนานจือลงจากม้า แล้วผูกม้าติดกับเสาไม้ข้างทางพร้อมกับหลี่หลิงซู่ และเหมียวโหย่วฟาง
เขาหลับตาสัมผัสสิ่งรอบข้างสักครู่ แต่ก็ต้องผิดหวังทันที รอบด้านไม่มีกลิ่นอายของปราณมังกรอยู่เลย
ที่ทางเข้าวิหารมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคนยืนเฝ้าอยู่ ทั้งคู่ยกมือห้ามพวกเขา เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า
“จะเข้าไปไหว้พระในวิหาร จ่ายมาก่อนยี่สิบอีแปะ”
ยุคสมัยนี้มีตั๋วเข้าสถานที่เหมือนกัน แม้ว่าเรื่องวิหารจะไม่เกี่ยวกับปราณมังกร แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้ว ก็ต้องเข้าไปชมสักหน่อย…สวี่ชีอันเหลือบมองหลี่หลิงซู่แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเม้มปากแน่น แล้วควักเงินยี่สิบอีแปะออกมาให้
ชายคนด้านซ้ายมือรับมา มองเครื่องแต่งกายของสวี่ชีอันแล้วถอนหายใจกล่าว
“ยี่สิบอีแปะต่อคน”
มู่หนานจือขมวดคิ้ว เจ้าคนผู้นี้เห็นท่าทางสวี่ชีอันแต่งตัวดี จึงสบโอกาสเรียกเก็บเงินเพิ่มละสิ
“เหตุใดพวกนั้นถึงไม่ต้องจ่ายเล่า” นางชี้ไปทางคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เข้าไปวิหารด้วยกัน
“พวกนั้นมาที่นี่ประจำ ไม่ต้องจ่าย” ชายหนุ่มเฝ้าประตูพูดจาเล่นลิ้น ดูไม่หวั่นเกรงการมีเรื่องสักนิด และพูดอย่างเหลืออดว่า
“จะเข้าไปไหว้พระก็จ่ายเงินมา ไม่มีเงินก็ไสหัวไป”
สวี่ชีอันหันไปปรามมู่หนานจือ แล้วกล่าว “ให้เขาไป”
หลังจากจ่ายเงินแล้ว ทั้งสี่คนก็ก้าวเข้าไปหลังประตูใหญ่ สวี่ชีอันกวาดตามองรอบหนึ่ง ลานวัดถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งด้วยแผ่นหินทอดยาวไปสู่ตัววิหาร ด้านซ้ายมือเป็นเจดีย์ก่อด้วยดินเหลือง มีการเผากระดาษเหลืองกันอยู่
ด้านขวามือมีเชิงเทียนสูงประมาณครึ่งตัวคนตั้งอยู่หนึ่งคู่ เทียนสีแดงกำลังลุกไหม้ น้ำตาเทียนไหลเป็นสาย
สาธุชนทั้งหลายต่างรวมตัวกันเผากระดาษเหลือง และจุดเทียนอยู่เต็มสองฝั่ง
พวกเขาทั้งสี่เดินผ่านลานวัด ตรงเข้าไปยังวัดศาลหลักเมือง สิ่งของที่ประดิษฐานอยู่ด้านในวิหารดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันที
มันคือรูปปั้นเด็กหน้าตาน่าเกลียด ไม่สวมเสื้อผ้า พุงอ้วนกลม มันยกมือสองข้างขึ้นสูงถือกระจกหิน กระจกดังกล่าวแตกหัก เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
ตัวรูปปั้นไม่มีความเสียหาย มีแต่ตัวกระจกที่แตกหัก
เบื้องหน้ารูปปั้นมีสาธุชนราวๆ สิบกว่าคนกำลังกราบไหว้ ด้านขวามือของโต๊ะธูปเทียนเบื้องหน้า มีหญิงชรายืนเฝ้าอยู่ ใบหน้าของนางซูบตอบ หน้าผากโหนกสูง ลักษณะคล้ายกับหนู
ดูฉลาดหลักแหลม และเห็นแก่ได้
ไม่มีความผันผวนของพลังปราณ ไม่มีวิญญาณอธรรม หรือปีศาจชั่วร้าย…สวี่ชีอันแผ่จิตเดิมออกไปสำรวจ และยืนยันแล้วว่าที่นี่เป็นวัดศาลหลักเมืองทั่วไปวัดหนึ่ง
จะใช่วัดศาลหลักเมืองจริงๆ หรือไม่ ยังต้องตรวจสอบกันก่อน
วัดศาลหลักเมืองตามปกติไม่มีทางเคารพรูปสักการะเด็กน้อย
หลี่หลิงซู่เองก็ใช้เคล็ดวิชา ‘เปิดด่าน’ ของลัทธิเต๋าขั้นแปด หลังจากตรวจสอบทั้งวัดแล้ว เขาก็หันไปส่ายหน้าให้กับสวี่ชีอัน เป็นการบ่งบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ
เสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านโอ้อวดเกิดจริงไปหรือเปล่า สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แทนที่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังจะมีวิทยายุทธ์ชั้นสูง จนทำให้เขาจับสังเกตไม่ได้ กลับกลายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านหลอกให้คนเชื่อเท่านั้น
ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีทางที่มังกรและหงส์จะปรากฏตัวคู่กัน เหมือนกับนิกายสวรรค์ ฆ้องเงินสวี่ผู้กล้าหาญโดนหลอกเข้าเสียแล้ว
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้าแม่หมอคนทรง
“พวกเราเป็นคนต่างถิ่น ได้ยินว่าวัดศาลหลักเมืองที่นี่ศักดิ์สิทธิ์นักจึงผ่านมาสักการะ ท่านคือคนทรงใช่หรือไม่ ขอสอบถามสักนิด ทีนี่บูชาเทพเซียนองค์ใดหรือ”
หญิงชรามองไปที่เขา และเห็นสวี่ชีอันสวมอาภรณ์เนื้อดี ดวงตาจึงเป็นประกายขึ้นมา นางกระแอมไอหนึ่งครั้ง และเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“พ่อหนุ่ม เจ้ามาถูกที่แล้วล่ะ
“ที่วัดแห่งนี้บูชาท่านเทพฮุ่นเทียน ท่านเป็นเทพที่มีอทธิฤทธิ์รอบด้าน ในมือถือของวิเศษเรียกว่ากระจกเทพฮุ่นเทียน เทพฮุ่นเทียนใช้กระจกเทพบานนี้ส่องลงมาดูใต้หล้า
“ยายเฒ่าคนนี้เห็นจุดอิ้นถางของเจ้าหมองคล้ำ ช่วงนี้กำลังประสบเคราะห์ ที่เจ้ามาสักการะถึงที่นี่ได้ เป็นเพราะเทพฮุ่นเทียนคอยดลบันดาลให้เจ้าอยู่ลับๆ ท่านมองเห็นชะตาของเจ้า”
สวี่ชีอันกล่าวพร้อมกับแสดงสีหน้า ‘หวาดกลัว’ ออกมา
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าขอรับ ทะ ที่ผ่านมาทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นแท้ๆ”
หญิงชรากล่าวเรียบๆ
“นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น หากต้องการปัดเป่าความโชคร้ายละก็ ยายเฒ่าคนนี้จะชี้ทางสว่างให้เจ้าเอง”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้าแล้ว นางก็เหลือบมองเสื้อของสวี่ชีอันพลางกล่าว
“ท่านเทพโปรดปรานเงินทอง หากถวายเงินสองร้อยตำลึงเป็นเวลาเจ็ดวันก็จะสามารถปัดเป่าโชคร้ายออกไปได้”
สองร้อยตำลึง โลภมากเหลือเกินนะ…สวี่ชีอันจำชื่อกระจกเทพฮุ่นเทียนของเทพฮุ่นเทียนได้ กะว่าขากลับจะสอบถามสมาชิกพรรคฟ้าดินในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสักหน่อย
ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจอยู่แล้วว่าแม่หมอคนทรงผู้นี้เป็นพวกร้อยเล่ห์เพทุบาย
ในตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนในชุดขาดวิ่นก็เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อชั้นในข้างใต้ และสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายมอมแมม เห็นหญ้าฟางโผล่ทะลุรอยโหว่ออกมา
ข้างในเสื้อคลุมถูกยัดไส้ด้วยฟาง
ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าผ่านการกรำแดดกรำฝนมานาน การตรากตรำทำงานมาหลายปีทำให้ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ เขากล่าวอย่างเป็นทุกข์
“แม่หมอ เมียข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว หะ เหตุใดนางถึงยังไม่ดีขึ้นอีก
“ไหนท่านบอกว่าบูชาท่านเทพเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว ความเจ็บป่วยของนางจะดีขึ้น”
แม่หมอคนทรงขมวดคิ้ว “นั่นก็แสดงว่าเจ้ายังศรัทธาไม่มากพอน่ะสิ เจ้าต้องถวายต่อไปอีกสามวัน”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ความขมขื่นก็ฉายชัดบนใบหน้า “ขะ ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว เงินที่เก็บหอมรอมริบของข้าล้วนแต่นำมาถวายให้กับวัดทั้งหมดแล้วขอรับ”
แม่หมอคนทรงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“นั่นมันเรื่องของเจ้า ไม่มีเงิน เจ้าก็ขายที่นา ไม่ก็ไปยืมเงินของใครสักคนมาสิ
“วัดแห่งนี้เที่ยงธรรม ไม่มาสงสารเจ้าเพียงเพราะครอบครัวของเจ้ายากจนหรอก สาธุชนคนอื่นไม่ต้องบูชาท่านเทพกันหรือไร ครอบครัวเหล่านั้นไม่ได้ยากจนเหมือนกันหรอกหรือ”
หลังจากได้ฟังชุดตรรกะดังกล่าว ชายวัยกลางคืนก็พูดอะไรไม่ออก ริมฝีปากของเขาสั่นระริก
“แต่เมียข้ากินอะไรไม่ได้เลยนะขอรับ นางกินอะไรไม่ได้แล้ว…”
ในตรรกะความคิดอันเรียบง่ายของสามัญชน แค่เดินไม่ได้ กินไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้ว
แม่หมอคนทรงแค่นเสียง พลางเอ่ยอย่างขู่เข็ญ
“ท่านเทพจะอำนวยพรให้แก่พวกเรา หากผู้ใดล่วงเกิน ท่านย่อมลงโทษ”
ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ ความหวาดผวาสุดขีดปรากฏชัดบนใบหน้า เขาก้มหน้าลงไป ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
เหมียวโหย่วฟางที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอยู่ไม่ไกลนัก ขมวดคิ้วมุ่น
…
อีกด้านหนึ่ง หลี่หลิงซู่กำลังสอบถามข้อมูลจากสาธุชนในวัดอย่างมีชั้นเชิง เป้าหมายของเขาคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง
“น้องชายยังหนุ่มยังแน่น มาขอพรอะไรที่วัดหรือ”
หลี่หลิงซู่หล่อเหลา บุคลิกงามสง่า ยากที่จะเมินเฉย ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ปะ เปล่าขอรับ”
หลี่หลิงซู่กล่าวยิ้มๆ “ทุกคนต่างก็มากราบไหว้ขอพรกันทั้งสิ้น พูดมาเถิด”
เขาแอบใช้พลังของจิตเดิมส่งอิทธิพล น้ำเสียงของเขาแฝงเร้นด้วยเสน่ห์ชวนให้เชื่อฟัง และสนิทสนม ทำให้ชายหนุ่มเผลอเปิดใจโดยไม่รู้ตัว เขากล่าวพลางส่งยิ้มขมขื่น
“ข้ามาขอบุตรขอรับ”
หลี่หลิงซู่ส่งเสียง ‘อ้อ’ เป็นการตอบรับ และเอ่ยถาม “เจ็ดวันเหมือนกันหรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“คงเสียเงินไปไม่น้อยเลยสิท่า” หลี่หลิงซู่พูดแล้วก็หันไปมองชายวัยกลางคนผู้นั้น
“เสียเงินน่ะไม่เท่าใดหรอก…”
ชายหนุ่มเผยสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมา และพูดพึมพำอะไรบางอย่าง ในตอนนี้เอง ผ้าม่านที่กั้นห้องโถงด้านในก็เปิดออก และมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินออกมาอย่างรีบร้อน
ใบหน้าของนางแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาของผู้คนจ้องมอง นางก็รีบเดินไปหาสามีของตน
หลังจากนั้นก็ม่านก็เปิดออกอีกครั้ง ตามมาด้วยชายร่างบึกบึน เขามองเรือนร่างของหญิงสาวคนงามอย่างไม่พออกพอใจนัก
“ท่านแม่ ข้าส่งบุตรไปให้นางในนามของวัดแล้ว ท่านไปเก็บเงินได้แล้ว แม่นางพึงพอใจมากทีเดียว”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ
หญิงชรามองไปยังคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายหญิงจาง นายใหญ่จาง พวกท่านพอใจหรือไม่”
สีแดงระเรื่อบนใบหน้าของหญิงสาวผู้งดงามจางหายไป เหลือเพียงความขาวซีด ความอัปยศอดสูและคับแค้นใจฉายชัดในแววตาของชายหนุ่มแซ่จาง แต่เขากลับฝืนยิ้ม
“พอใจ พอใจ…”
พูดแล้ว เขาก็ถอดถุงเงินยื่นให้ด้วยรอยยิ้มกล้ำกลืน
ชายฉกรรจ์ยื่นมือรับมาชั่งน้ำหนัก แล้วเสมองหญิงสาวผู้อ่อนหวาน พลางยิ้มกว้างแล้วเอ่ย
“ยังเหลืออีกสี่วัน อย่าลืมมาให้ตรงเวลาล่ะ มิฉะนั้นท่านเทพจะพิโรธ”
ความกลัวปรากฏในดวงตาของคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวโดยพร้อมเพรียง ทั้งคู่พยักหน้ารับ
“เหตุใดไม่ไปรายงานกับทางการเล่า”
ชายหนุ่มแซ่จางได้ยินเสียงแว่วเข้าหู จึงหันไปมอง และพบว่าเป็นชายรูปงาม กิริยาผ่าเผยผู้นั้น
เขาถูกน้ำเสียงนั้นสะกดอีกครา เอ่ยอย่างหวาดๆ ในใจเกิดความกล้าหาญอันไร้ที่มาที่ไปขึ้น
“คนที่รายงานกับทางการ คนที่ไร้ศรัทธาในท่านเทพต่างสิ้นชีพกันหมด
“ตราบใดที่เราบูชาท่านเทพอย่างดี ท่านก็จะอำนวยพรให้แก่เรา…”
หลี่หลิงซู่ถามคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“ในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่ไม่ศรัทธาในท่านเทพต่างตกตายกันหมด เหตุใดยังต้องมากราบไหว้บูชาที่นี่อีกเล่า”
ในเมื่อคู่สามีภรรยาเป็นคนในพื้นที่ น่าจะรู้ดีว่าวัดแห่งนี้ไม่ชอบมาพากล และเลือกที่จะไม่มาที่นี่ก็ได้
ชายหนุ่มแซ่จางกัดฟันแล้วกล่าวว่า
“ไม่ใช่ว่าพวกข้าอยากมาเองหรอก แต่เป็นเพราะเขา เขาต้องตาภรรยาของข้า มาหาถึงประตูบ้าน บอกให้พวกข้าไปขอบุตรที่วัดศาลหลักเมือง มิฉะนั้นท่านเทพจะลงโทษ”
หลี่หลิงซู่เข้าใจแล้วว่า นี่เป็นเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับพวกบุตรหลานผู้มั่งคั่งรังแกชายหนุ่ม ข่มเหงหญิงสาวผู้ต่ำต้อยกว่า เพียงแต่ต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจข่มเหง อีกฝ่ายใช้เทพเซียนมาเป็นข้ออ้าง
เขามองไปยังสวี่ชีอันอย่างอดไม่ได้ เห็นเขาสีหน้าบึ้งตึง เงียบขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ท่านแม่ เอาถุงเงินนั่นมาจากที่ใด”
ชายฉกรรจ์ฟังบทสนทนาอย่างวางมาด ไม่มีท่าทีหวาดเกรง หรือหวั่นกลัวแม้แต่น้อย
ใบหน้าของแม่หมอคนทรงบึ้งตึง ชี้ไปที่สวี่ชีอันและเหมียวโหย่วฟาง พลางกล่าว “มาจากคนต่างถิ่นพวกนั้น”
จากนั้น นางก็หันไปยิ้มเยาะให้กับสองสามีภรรยาหนุ่มสาว
“นายใหญ่จาง นายหญิงจาง พวกท่านลบหลู่ท่านเทพ ท่านเทพกำลังเฝ้ามองพวกท่านอยู่”
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเซียวลงทันที นางกล่าวเจือเสียงร่ำไห้ “ท่านเทพโปรดอภัย แม่หมอโปรดอภัยด้วย”
หลังจากข่มขู่คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวไปแล้ว แม่หมอคนทรงก็แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา แล้วหันไปป่าวประกาศกับพวกสวี่ชีอัน
“พวกเจ้าดูหมิ่นท่านเทพ ทำให้ท่านบันดาลโทสะ ชะตาจะขาดในเร็ววัน หากพวกเจ้าอยากบรรเทาความโทสะของท่านเทพลง ก็จงถวายเงินสามร้อยตำลึงเงิน มิฉะนั้นข้าก็ช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ได้”
บุตรชายของนางปรบมือตาม จากนั้นชายฉกรรจ์สามคนที่อยู่ข้างนอกวัดก็เข้ามาห้อมล้อมพวกสวี่ชีอันทันที
สาธุชนรอบๆ ต่างชี้ไม้ชี้มือ และกระซิบกระซาบ
“ชาวต่างถิ่นพวกนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”
“จริงด้วย รีบๆ ถวายเงินไปเสียเถิด มิฉะนั้นจะตายไม่รู้ตัวได้”
สติของนายใหญ่จางกลับคืนมา ไม่ได้ตกอยู่ในมนต์สะกดของหลี่หลิงซู่อีกต่อไป ทันทีที่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรออกไป ก็ตกใจจนเข่าทรุด
และกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านเทพโปรดอภัย ท่านเทพโปรดอภัย…”
บุตรชายของแม่หมอคนทรงไม่สนใจเขา กลับจ้องมองพวกสวี่ชีอันด้วยแววตาโหดเหี้ยม ประทุษร้าย “รีบๆ ส่งเงินถวายเสียสิ”
สาธุชนรอบข้างต่างรีบโน้มน้าว
“ชาวต่างถิ่น รีบขออภัยต่อท่านเทพสิ”
“เหตุใดต้องรนหาที่ตายด้วย”
“ใช่แล้ว รีบๆ ถวายเงินเสีย อย่าลากนายใหญ่จางเข้ามาเดือดร้อนเลย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นอ้าปากพะงาบๆ ราวกับจะโน้มน้าวด้วยอีกคน แต่กลับกำหมัดเงียบๆ ด้วยแววตาคับแค้นใจ
“เงินหรือ พวกเจ้าไปขอจากท่านยมบาลเอาเองก็แล้วกัน”
เหมียวโหย่วฟางตวาดลั่น เดินหน้าสองก้าวอย่างรวดเร็ว กำหมัดแน่นและเหวี่ยงแขนขวาไปด้านหลัง
เปรี้ยง!
ในขณะที่ไม่ทันได้มีใครตอบสนอง เขาก็ชกเข้าที่ศีรษะของบุตรชายของแม่หมอคนทรงเสียแล้ว
ศีรษะของเขาระเบิดออกเหมือนลูกแตงโม เลือดและเศษเนื้อสาดกระจายไปทั่วบริเวณ เปรอะเปื้อนบนพื้น บนกำแพง และบนเทวรูปที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วย
ภายในวิหารเงียบกริบไปไม่กี่วินาที แล้วเสียงกรีดร้องก็ระเบิดออก สาธุชนทั้งหลายต่างหนีตายออกไปข้างนอกกันอุตลุด
ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูวัดศาลหลักเมืองสามคนก็วิ่งหนีออกไปพร้อมกับสาธุชนทั้งหลายด้วย
“ลูกแม่!”
แม่หมอคนทรงกรีดร้องจนสุดเสียง ทรุดตัวลงต่อหน้าศพไร้ศีรษะ แล้วร่ำไห้อย่างขมขื่น
เหมียวโหย่วฟางหยิบดาบยาวออกมาจากอาวุธเวทมนตร์ที่สวี่ชีอันมอบให้ แล้วไล่ฟาดฟันไปทั่ว เขาถีบโต๊ะเครื่องหอม ถีบกระถางธูป แล้วฟันเทวรูปขาดเป็นสองท่อนในตอนท้าย
“พวกเจ้า…”
แม่หมอคนทรงจ้องมองทั้งสี่อย่างเจ็บปวด แล้วตวาดลั่น “ท่านเทพไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย”
“สังหารนางเสีย!”
สวี่ชีอันเอ่ยเรียบๆ
เขายังคงกังขาและไม่เข้าใจในตัวเทพองค์นี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจ อีกประเดี๋ยวค่อยให้หลี่หลิงซู่เรียกวิญญาณของแม่หมอคนทรงมาการสอบปากคำก็ได้
เหมียวโหย่วฟางบั่นคอนางด้วยดาบยาว และกระทืบศีรษะของนางซ้ำจนแตกกระจาย
มีลูกน้องมันก็ดีแบบนี้แหละ ไม่ต้องลงมือทำเอง…สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ คู่สามีภรรยาแซ่จางที่แน่นิ่งอยู่กับที่ รวมไปถึงชายวัยกลางคนต่างลอบถอนใจ
มะ แม่หมอตายแล้ว…สามีภรรยาตกตะลึง จิตใจสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่ายินดีหรือหวาดกลัวกันแน่
ชายวัยกลางคนก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
เช่นเดียวกับเหล่าสาธุชนทั้งหลายที่ยังเหลือยู่ในลานวัดด้วย
สวี่ชีอันรู้ดีว่าคนเหล่านี้ต้องการการปลอบขวัญ เขาจึงก้าวเท้าออกไปจากวิหาร กวาดตามองสาธุชนที่กำลังเฝ้ามองอยู่ในลานวัด แล้วกล่าวว่า
“ข้าเป็นมือปราบจากเมืองหลวง คนเหล่านี้เป็นสหายร่วมงานของข้า
“มีคนไปร้องเรียนถึงเมืองหลวง ว่าที่อำเภอเซิ่งอี้แห่งนี้มีคนล่วงประเวณี รีดไถ ทำร้ายผู้คน
“ข้าแอบสืบสวนเรื่องนี้เป็นพิเศษมาหลายวัน และได้พบความจริงแล้ว แม่หมอคนทรงผู้นั้นได้เรียนวิชามนตร์ดำ ลอบทำร้ายผู้คน แสร้งทำตัวเป็นเทพเจ้าเพื่อข่มขู่ผู้คน
“ตอนนี้นางถูกประหารไปแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมากราบไหว้ที่แห่งนี้อีกแล้ว”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนจากทางการ เหล่าสาธุชนก็ใจชื้นขึ้นไม่น้อย
แผ่นฟ้าผืนดินจะกว้างใหญ่สักเพียงใดก็ไม่เท่าราชสำนัก ด้วยเหตุนี้การที่ราชสำนักออกหน้า จึงทำให้พวกเขายิ่งอุ่นใจ
“แต่ว่า ท่านเทพมีอิทธิฤทธิ์จริงๆ นะ” สาธุชนบางคนเอ่ยขึ้น
หากเป็นเพียงการข่มขู่ คงไม่มีทางทำให้พวกเขาเต็มใจกราบไหว้บูชาอย่างแน่นอน
“เถ้าแก่ร้านขายชาดทาปากที่ถนนกว่างหวาถูกแม่หมอคนทรงสังหารไป เรื่องนี้ข้าตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว” สวี่ชีอันกล่าว
เหล่าสาธุชนต่างรู้สึกโล่งใจ
สวี่ชีอันหันหลังกลับเข้าไปในวัด หยิบเงินตำลึงออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ชายวัยกลางคน แล้วเอ่ย
“เจ็บป่วยได้ไข้ต้องไปหาหมอสิ”
หลังจากสอบถามที่อยู่ของชายวัยกลางคนแล้ว เขาก็หันไปสั่งการกับหลี่หลิงซู่ “อีกประเดี๋ยวเจ้าแวะไปดูสถานการณ์ด้วยล่ะ”
เขากังวลว่าภรรยาของชายวัยกลางคนผู้นี้จะป่วยหนัก หากตามหมอธรรมดามารักษามีหวังได้กลับขึ้นสวรรค์แน่
หลี่หลิงซู่พยักหน้า
ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงตัวสั่นสะท้าน “ขอบพระคุณใต้เท้ายิ่งนักๆ”
ในขณะเดียวกัน เหมียวโหย่วฟางก็หยิบถุงเงินคืนมาจากข้างตัวบุตรชายของแม่หมอคนทรง แล้วโยนกลับไปให้นายใหญ่จาง และเอ่ย
“จงลืมเรื่องนี้ไปเสีย อย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์ภรรยาของท่านด้วยเรื่องนี้เลย”
ชายหนุ่มแซ่จางมองศพแม่หมอคนทรงและบุตรชายของนาง แล้วถ่มน้ำลายใส่อย่างแรง เขาพยักหน้าเงียบๆ ให้กับทั้งสามคน แล้วประคองภรรยาจากไป
เหมียวโหย่วฟางหันไปถ่มน้ำลายใส่ศพอย่างเคยชิน แล้วกล่าว
“ข้าท่องยุทธภพมาเนิ่นนานหลายปี พวกอธรรมที่ข้าสังหารไปก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องดี!” สวี่ชีอันกล่าว
นี่แสดงให้เห็นว่าการดูแลและปกครองเขตแดนต่างๆ ของราชสำนักอ่อนแออย่างมาก เมื่อกฎระเบียบเกิดการสั่นคลอน ความวุ่นวายก็มักจะเกิดขึ้นตามมา
สุดท้ายก็ต้องมีคนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบใหม่ เมื่อถึงตอนนั้น อาจจะมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์หรือราชวงศ์อาจจะประสบกับความบอบช้ำอย่างแสนสาหัส แต่ยังอยู่รอดต่อไปได้
สวี่ชีอันมองออกไปข้างนอก เพื่อให้แน่ใจว่าเหล่าสาธุชนโดนไล่กลับไปทั้งหมดแล้ว เขาก็ปิดประตูวิหาร และสั่งการทันที
“หลี่หลิงซู่ เรียกวิญญาณ!”
เมื่อสิ้นคำ เหมียวโหย่วฟางก็กุมหน้าอกของตน ใบหน้าขาวซีด ค่อยๆ ล้มลงไปกองกับพื้น
ใบหน้าของเขามีสีแดงคล้ำเหมือนตับหมูเนื่องจากการขาดหายอากาศหายใจ ดวงตาสองข้างเหลือกขาว กลิ่นอายชีวิตลดลงอย่างรวดเร็ว
จอมยุทธ์ระดับสุดยอดของขั้นหลอมวิญญาณ จะมาตายดื้อๆ แบบนี้เลยหรือ