ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 607 เจรจา
บทที่ 607 เจรจา
“หา”
จิ้งจอกน้อยเอียงศีรษะ ดวงตาดุจกระดุมดำจ้องมองสวี่ชีอันอย่างฉงน
ไม่นานนักนางก็เอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชื่อเล่นของข้าคือสาวน้อยน่ารัก เหล่าพี่สาวต่างก็เรียกเช่นนี้”
นี่ไม่ใช่ประเด็น!! สวี่ชีอันตำหนิรุนแรงอยู่ในใจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ดังนั้นมีวิธีติดต่อนางหรือไม่”
จิ้งจอกขาวน้อยพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ความระแวดระวังฉายอยู่ในดวงตาดำใสพร้อมเอ่ย
“ที่พำนักของท่านหญิงเป็นความลับ ข้าติดต่อหานางก่อนไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาต”
ท่านหญิง? องค์หญิงหรือ พวกเขาหมายถึงใคร…หลี่หลิงซู่ที่ฟังอยู่ชะงัก
แม้เขารู้ว่ากระจกเทพฮุ่นเทียนเป็นสิ่งสืบทอดแต่โบราณของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ทว่าเขาไม่รู้ว่าไป๋จีเป็นคนในตระกูลของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ยิ่งไม่รู้แผนการของสวี่ชีอันด้วยซ้ำ
สวี่ชีอันหันหน้ามองหลี่หลิงซู่กับเหมียวโหย่วฟางพร้อมขมวดคิ้ว
“มัวทำอะไรอยู่ พวกเจ้ามีหน้าที่ทำหูทวนลมหรือ รีบไปทำงานเสีย ที่ของข้าไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์”
เหมียวโหย่วฟางถือดาบสะบัดก้นเดินไปแล้ว
แม่มดสองแม่ลูกถึงตายก็ยังไม่สาแก่กรรมที่ทำไว้ แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาที่ช่วยทรราชกระทำชั่วเหล่านั้นก็ทำเฉกเช่นเดียวกันกดขี่ประชาชน
หากพวกเขาคิดว่าการหนีออกจากวัดเฉิงหวงจะลบเลือนเรื่องชั่วร้ายที่เคยกระทำในอดีตได้ นั่นก็คิดง่ายเกินไปแล้ว
ภารกิจของหลี่หลิงซู่คือไปรักษาภรรยาของชายวัยกลางคนผู้นั้น เลี่ยงไม่ให้เสียชีวิตจากอาการป่วยเกินจะเยียวยา
‘หลังจากเผยตัวตน สวีเชียน ไม่สิ เจ้าสวี่ชีอันนี่ก็ไม่เสแสร้งแล้ว…บางครั้งข้ายังคงคิดถึงผู้อาวุโสสวีผู้นั้นอยู่ อย่างน้อยเขาก็ไม่ด่ากราดเหมือนสวี่ชีอัน สุภาพสักหน่อยก็ไม่ได้ ช่างเป็นจอมยุทธ์ป่าเถื่อนจริงๆ’
‘สวีเชียนค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่กว่า…’
หลี่หลิงซู่ตำหนิสวี่ชีอันในใจพลางคิดถึงสวีเชียน
สวี่ชีอันปิดประตูวัด อุ้มจิ้งจอกขาวน้อยมาจากในอ้อมอกของมู่หนานจือ ชูขึ้นสูงพร้อมเผยรอยยิ้มดุจแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
“หากช่วยติดต่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ข้าจะซื้อของอร่อยให้เจ้ากินเยอะๆ”
ไป๋จีไม่หลงกลคำล่อล่วงของสวี่กินฟรี ใช้เสียงเด็กอันอ่อนเยาว์เอ่ยอย่างขึงขัง
“ไม่ได้ กฎก็คือกฎ”
หากเป็นสวี่หลิงอิน ตอนนี้คงถูกขายไปทั้งครอบครัวแล้ว ลูกมนุษย์กับลูกจิ้งจอกมิอาจเทียบกันได้…สวี่ชีอันเอ่ยอีกครั้ง
“เจ้ารู้จักกระจกเทพฮุ่นเทียนหรือไม่”
จิ้งจอกขาวน้อยตอบอย่างซื่อๆ “ไม่รู้”
นางเป็นเด็กรุ่นใหม่ในตระกูลจิ้งจอก นางห่างไกลจากเรื่องเมื่อห้าร้อยปีเกินไป เพียงรู้เรื่องส่วนใหญ่จากเรื่องเล่าขานปากต่อปาก ไม่มีทางรู้จักของวิเศษที่สาบสูญไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน
สวี่ชีอันจึงเล่าเรื่องของกระจกเทพฮุ่นเทียนให้ฟัง
“ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องติดต่อนาง นี่สำคัญมาก”
สวี่ชีอันวางมาดใต้เท้า ทำท่าทีเป็นเรื่องจริงจัง
ตามปกติเมื่อเด็กน้อยเห็นท่าทางเช่นนี้ ส่วนใหญ่จะลังเลและทำตัวไม่ถูก เพราะพวกเขายังไม่มีนิสัยและจิตสำนึกในการตัดสินใจ
แน่นอนว่าท่าทางเช่นนี้ใช้ไม่ได้ผลกับสวี่หลิงอิน นางจะฟังเจ้าที่วางมาดขรึมพูดจนจบ จากนั้นจะไม่เหลียวแลเจ้า
ทว่าไป๋จีนิสัยอ่อนไหว เจ้าน้ำตา ใจอ่อน และสูงส่ง คล้ายสาวน้อยจากตระกูลใหญ่ เหมือนกับใต้เท้าตัวน้อย รู้เหตุรู้ผล
“ตะ ตกลง…”
นางเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตอบรับอย่างแผ่วเบา
เพราะฆ้องเงินสวี่พูดอย่างจริงจังเช่นนั้น ซ้ำยังเป็นสิ่งล้ำค่าของจักรพรรดิในตอนนั้น ไป๋จีเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
ไม่แน่ว่าท่านหญิงก็อาจจะต้องการมาก ตนจะทำเรื่องแย่ไม่ได้
นางจึงถีบขาหลังทันที บ่งบอกสวี่ชีอันให้ปล่อยตนลง
สวี่กินฟรีจึงทำตาม ไป๋จีชูหางจิ้งจอกอันปุกปุย วิ่งไปข้างรูปปั้นที่ทรุดลง ปรายตามองฐานสูง แล้วหันหน้ากลับมามอง
“เจ้าช่วยยกข้าขึ้นไปหน่อย”
“เจ้ากระโดดเองไม่ได้หรือ” สวี่ชีอันถามกลับ
ตาสวยของจิ้งจอกขาวน้อยเปียกชื้นเล็กน้อยพร้อมเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ข้ากระโดดไม่ถึง ท่านหญิงให้เกียรติมาเยือน ข้าต้องขึ้นไปบนนั้น”
สวี่ชีอันจึงยกนางขึ้นและวางลงบนฐานยืนของรูปปั้นเทพในวัด
จิ้งจอกขาวน้อยขดตัว เก็บหางจิ้งจอก และหลับตาคล้ายกับหลับใหล
สวี่ชีอันกับมู่หนานจืออดทนเฝ้ารอ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งเสี้ยวนาที จิตตานุภาพอันสุดลูกหูลูกตาดุจควันและไพศาลดุจมหาสมุทรก็มาย่างกราย ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือตื่นขึ้นมาจากในร่างของไป๋จี
ด้านหลังของนางมีหางที่สองงอกออกมา ตามด้วยสาม สี่…กระทั่งหางที่เก้าปรากฏ ราวกับนกยูงรำแพน
นางลืมตาขึ้น นัยน์ตาดำใสถูกแทนที่ด้วยลำแสงที่ราวกับล้นออกเบ้าตา
เสียงหัวเราะอันนุ่มนวลดุจกระดิ่งเงินดังก้องอยู่ภายในวัด มีเสน่ห์ปลุกปั่นสรรพสิ่ง
มาแล้ว…
องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง หนึ่งในผู้ทรงพลังที่สุดในปฐพี
สวี่ชีอันนับว่าเคยมี ‘วาสนาได้พบพาน’ กับนาง ทว่ายังคงไม่กล้าดูถูก ร่างกายเกร็งเล็กน้อย คารวะพร้อมเอ่ย
“ท่านหญิง”
ไป๋จีสะบัดเก้าหางเดินมา ฝีเท้าแต่ละก้าวช่างว่างเปล่า แล้วหยุดลงตรงหน้าสวี่ชีอัน มองตรงไปที่เขาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ฆ้องเงินตัวเล็กๆ เช่นเจ้าต้องการอะไรจากข้า”
ท่าทางของเจ๊ใหญ่…สวี่ชีอันพึมพำในใจ ไม่ได้พูดออกมาโดยตรง มองสำรวจจิ้งจอกขาวน้อยพร้อมเอ่ย
“ไป๋จีเป็นสายเลือดของท่านหรือ”
วิธีปรากฏตัวของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผู้นี้แปลกเล็กน้อย ไม่ได้มาเยือนด้วยจิตตานุภาพ แต่เป็นการปรากฏตัวด้วยวิธีปลุกให้ตื่น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือร่างของไป๋จีถือเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่หลับใหล ตราบใดที่นางยินยอมก็ยึดครองร่างนี้ได้โดยตรง
สวี่ชีอันก็นับว่ารอบรู้มากประสบการณ์ เข้าใจกระบวนการประเภทนี้ นอกจากวิธีลับเฉพาะ ร่างพาหะที่รองรับจิตก็สำคัญมากเช่นกัน ตามปกติต้องเป็นสายเลือดเดียวกันเท่านั้น
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ลองทายดูก็ไม่เสียหาย”
…สวี่ชีอันไม่รู้จะตอบอย่างไรในชั่วขณะแรก
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหันหน้ามองมู่หนานจือ มู่หนานจือถลึงตาทันที
มองหาอะไร!
นางเบนสายตาออกอย่างสบายๆ แล้วมองไปทางเจดีย์พุทธะ
“เจ้าพบแขนอีกข้างของเสินซูแล้ว เหตุใดถึงไม่ปล่อยเขาออกมา” เสียงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนุ่มนวล
นี่กำลังถามข้าอยู่ใช่หรือไม่…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างราบเรียบ “จะปล่อยตัวเขาก็ต้องควบคุมมันได้เสียก่อน อีกอย่างถ่าหลิงก็ไม่ยอมปล่อยเขา”
“เจ้าโง่! ”
แม้นางจะด่าคนก็ให้ความรู้สึกง้องอนระหว่างคู่รัก สวี่ชีอันคิดว่านี่อาจจะเป็นเสน่ห์ระดับสูงสุดก็ได้
“ถ่าหลิงไม่ยอมก็ทำลายเสียก็สิ้นเรื่อง ของวิเศษที่ไม่เชื่อฟังมันจะมีประโยชน์อะไร แขนที่ขาดของเสินซูเต็มไปด้วยความพยาบาท หากเป็นอีกมุมหนึ่ง มันเป็นวิธีพิชิตศัตรูที่ดีที่สุด หากใช้อย่างเหมาะสม มันจะช่วยเจ้าฆ่าศัตรูข้ามระดับได้ เจ้าเคยอยู่กับมันน่าจะรู้ว่าสื่อสารและเจรจาได้ ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ทำตามสัญชาตญาณอย่างเดียว”
จิ้งจอกขาวน้อยเดินพลางเอ่ย ยามที่นางหยุดฝีเท้าลงก็แทบจะเอาหน้าชนหน้ากับสวี่ชีอัน
เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกจิ้งจอก แต่กลับเผยมาดสาวขรึมออกมา
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและถอยหลังหนึ่งก้าว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางชะงัก มองสำรวจเขาพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเยาะเย้ย
“เจ้ากู่สัตว์ร้าย”
กู่สัตว์ร้ายก็คือซินกู่
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มกริ่ม
“เผ่าจิ้งจอกมีสาวงามครบครันที่สุด งามเย้ายวน ไร้เดียงสา งดงามเร่าร้อน และเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง…ข้ามอบสาวงามเผ่าจิ้งจอกกลุ่มหนึ่งเป็นรางวัลให้ฆ้องเงินสวี่ได้ ให้เจ้าบำเพ็ญซินกู่”
ท่านหญิง เผ่าจิ้งจอกต้องรักษาคำพูดนะ…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ทว่าข้าไม่ใช่คนมักมากในกาม”
มู่หนานจือตีหน้าขรึมอยู่ตลอด ในใจก็บ่นจุกจิก
ในฐานะหญิงสาว นางขัดใจกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์โดยสัญชาตญาณ สิ่งที่ทำให้นางระแวดระวังยิ่งกว่าก็คือสวี่ชีอันนั้นเชี่ยวชาญในหมู่มวลหมื่นบุปผามาตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้านางราวกับไร้ประโยชน์ ถึงขั้นเสียเปรียบอยู่รำไรด้วยซ้ำ
ไม่ใช่เสียเปรียบในด้านพลังบำเพ็ญ แต่เป็นตำแหน่งคนสำคัญ
สวี่ชีอันสูดหายใจลึก “ที่เชิญท่านหญิงมาในครั้งนี้มีเรื่องสำคัญ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอมยิ้มไม่เปล่งวาจา รอเขาพูดต่อ
“ข้าพบชิ้นส่วนของกระจกเทพฮุ่นเทียนแล้ว” สวี่ชีอันไม่เก็บงำ พูดอย่างหมดเปลือก
จิ้งจอกขาวน้อยลูบเก้าหางเบาๆ แล้วหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ไม่นานนักเสียงอันนุ่มนวลของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ดังขึ้น เผยความต้องการและประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นกระจกเทพฮุ่นเทียน”
สวี่ชีอันไม่พล่ามให้มากความ กวักมือเรียกเจดีย์พุทธะและสื่อสารกับถ่าหลิง
ประตูของเจดีย์พุทธะชั้นแรกเปิดออก แสงสีทองห่อหุ้มกระจกเทพฮุ่นเทียนลอยล่องออกมา แล้วตกลงบนฝ่ามือของสวี่ชีอัน
กระจกเทพฮุ่นเทียนคล้ายกับตกอยู่ในห้วงนิทรา ดวงตาที่ไร้ขนตาไม่ปรากฏบนผิวกระจกอีก
สายตาของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจ้องตามมัน ลำแสงในดวงตาของนางอ่อนลงช้าๆ เผยให้เห็นคู่ดวงตาดำใส ดวงตาคู่เดียวกันนี้ในมุมมองของสวี่ชีอัน เสน่ห์ของมันกลับต่างจากจิ้งจอกขาวน้อยอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาของไป๋จีฉ่ำวาวใสสะอาด เป็นดวงตาของเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ที่สุด
ตอนนี้ดวงตาคู่นี้มีแววตาซับซ้อนมากมายเหลือเกิน ความคะนึง โศกเศร้า ยินดี และกลัดกลุ้ม…ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ อารมณ์ที่มันแสดงออกจึงซับซ้อนเฉกเช่นนี้
“กระจกเทพฮุ่นเทียนเป็นกระจกโต๊ะเครื่องแป้งของประมุขอาณาจักรหมื่นปีศาจในอดีตหรือ”
สวี่ชีอันเล่นกับกระจกสำริดพร้อมเอ่ยถาม
“ของวิเศษทุกชิ้นต่างมีความสามารถเฉพาะตัว ทว่าท่านแม่จะวางมันไว้บนโต๊ะใช้เป็นกระจกแต่งตัวในยามปกติ”
อารมณ์ที่ซับซ้อนในดวงตาของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอ่อนลง ลำแสงเปี่ยมล้นเต็มเบ้าตาอีกครั้ง
สวี่ชีอันยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย “เช่นนั้นท่านหญิงคิดจะเจรจาด้วยสิ่งใดล่ะ”
ตำแหน่งคนสำคัญกลับตาลปัตร สวี่ชีอันขึ้นเป็นฝ่ายควบคุมแล้ว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทอดถอนใจ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ชายใจไม้ไส้ระกำเช่นเจ้า ข้าส่งไป๋จีเป็นเจ้าสาวให้เจ้าไม่พอหรือ ยังจะโลภมากเช่นนี้อีก ช่างเถอะ อย่างไรเย่จีก็เป็นคนรักเก่าของเจ้า ข้าจะส่งเย่จีกับไป๋จีไปให้เจ้าพร้อมกัน”
มู่หนานจือคิ้วกระตุก
เจ้าคิดจะหลอกกินฟรีกับข้าหรือ สวี่ชีอันส่งเสียง ‘ฮิ’
“ท่านหญิง โปรดอย่าล้อเล่นเช่นนี้ ของวิเศษไม่ปรากฏบ่อยนัก แม้กระจกเทพฮุ่นเทียนจะชำรุด ทว่าข้าใช้ปราณมังกรให้ความอบอุ่นมันได้ เก็บไว้ปราบศัตรูรอบกาย หากท่านไม่จริงใจ เช่นนั้นก็กล่าวอำลาเสีย”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่พูดถูก หากชายหนุ่มโหดร้ายขึ้นมาก็จะไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย ช่างเถอะ ในเมื่อฆ้องเงินสวี่ไม่ถูกใจสองพี่น้องไป๋จีกับเย่จี เช่นนั้นข้าก็คงทำได้แค่คิดหาวิธีอื่น”
ราวกับนางมีความคิดอยู่ในหัวอยู่แล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่หยุดพัก
“ตะปูตอกวิญญาณสองตัว”
สวี่ชีอันตาเป็นประกายพร้อมเอ่ย “สี่! ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ย
“เจ้าให้ข้าช่วยปลดผนึกทั้งหมดเลยดีกว่า แม้ข้าจะมีวิธี ทว่ามากที่สุดก็ทำได้แค่ถอนตะปูสองตัว ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เจ้าก็น่าจะรู้ดี ตะปูตอกวิญญาณเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่พระพุทธเจ้าหลอมขึ้น นอกจากพระองค์ก็มีเพียงพระโพธิสัตว์ที่จะถอนทั้งหมดได้ นอกจากนั้นตอนนี้ข้าอยู่นอกดินแดน มิอาจกลับสู่แผ่นดินใหญ่ของจิ่วโจวได้ ต้องรอระยะหนึ่งหากจะถอนตะปูตอกวิญญาณ”
แลกเปลี่ยนตะปูตอกวิญญาณสองตัวด้วยของวิเศษที่ขาดหาย สำหรับข้าจะต้องเป็นกำไรมหาศาล สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดคุ้มค่าไปกว่าการปลดผนึกแล้ว…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“นานเท่าไร”
“สามเดือน! ” นางกล่าว
“ไม่ได้ ข้าให้เวลาแค่หนึ่งเดือน หากเกินเวลาการเจรจาถือเป็นโมฆะ” สวี่ชีอันค่อนข้างหนักแน่น
สามเดือนช้าเกินไป
“ก็ได้! ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบตกลง
หลังจากเจรจาสำเร็จ สวี่ชีอันก็เอ่ย “ท่านหญิงไปทำอะไรที่นอกดินแดนหรือ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตามหาคนในตระกูลที่น่าจะยังหลงเหลือ”
สวี่ชีอันไม่ค่อยเข้าใจ หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเนื้อความที่แฝงอยู่ในประโยคนี้
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอธิบาย
“หลังจากสิ้นสุดยุคของเทพมาร คนและปีศาจสองเผ่าพันธุ์พลันปรากฏขึ้น บรรดาทายาทของเทพมารส่วนหนึ่งก็เดินทางออกนอกดินแดนและไม่กลับมาอีกเลย”
เดินทางออกนอกดินแดน…สวี่ชีอันพลันนึกถึงสัตว์เทพ ‘ไป๋ตี้’ ในตำนานของอวิ๋นโจว มันก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าจะเป็นลูกหลานของกิเลน
ครั้งหนึ่งเคยมาจากนอกดินแดนและอาศัยอยู่ที่อวิ๋นโจวบริเวณชายฝั่งอยู่นาน สัตว์ตัวนี้หายใจออกเป็นสายลม หายใจเข้าเป็นสายฟ้า จึงมาพร้อมกับพายุฝนอสนีบาตยามที่ปรากฏตัว ซึ่งแก้ไขภัยแล้งของอวิ๋นโจวในตอนนั้นได้อย่างประจวบเหมาะ
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นทายาทเทพมาร มีการสะสมพลังปราณเป็นเอกลักษณ์ ทว่าจำนวนคนในเผ่ามีเพียงน้อยนิดเสมอ ปัจจุบันทั้งจิ่วโจวเหลือข้าเพียงผู้เดียว”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทอดถอนใจ แล้วกล่าวโทษตนเอง “หญิงพรหมจารีที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีเช่นข้าก็อยากแต่งงาน ดังนั้นจึงออกทะเลตามหาว่าที่สามี”
…สวี่ชีอันแยกไม่ออกว่านางพูดจริงหรือเท็จในคราแรก
พูดตามความจริง นิสัยของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ทำให้เขาหนักใจเล็กน้อย หากเป็นในนิยายกำลังภายในสมัยก่อนจะเป็นปีศาจสาวที่แปลกประหลาดและอารมณ์แปรปรวน
อืม นางก็เป็นปีศาจสาวอยู่แล้วนี่
เหตุใดจึงต้องตามหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน ต่างเผ่าไม่ได้หรือ…สวี่ชีอันเอ่ย
“ข้าคิดว่าซินกู่เหมาะสมกับเจ้า”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสะอึก ก่อนจะจ้องเขาอย่างเงียบๆ
“เจ้าท้าทายได้ตรงจุดดี”
สวี่ชีอันหัวเราะแห้ง ก่อนจะเบี่ยงประเด็นสนทนา
“เหตุใดกระจกเทพฮุ่นเทียนถึงระหกระเหินในที่ราบกลาง”
“เผ่าพันธุ์ปีศาจพ่ายแพ้ในอดีต ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง แล้วซ่อนตัวอยู่ในแต่ละที่ของจิ่วโจว หลังจากข้าโผล่มาก็พิชิตส่วนที่เหลือของอาณาจักรหมื่นปีศาจส่วนใหญ่ ทว่ายังมีเผ่าพันธุ์ปีศาจส่วนน้อยที่หวาดกลัวสำนักพุทธ เลือกรวมกับเผ่ามนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างมั่นคง หรือจะอยู่อย่างสันโดษในป่าเขา ไม่มีส่วนร่วมกับทั้งสองเผ่า มรดกของอาณาจักรหมื่นปีศาจอยู่ในมือพวกเขาไม่มากก็น้อย สมบัติที่สูญหายไปด้านนอกและไม่เคยพบเจอก็ไม่ได้มีเพียงกระจกเทพฮุ่นเทียน”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ย
“ท่านหญิงอย่าเพิ่งรีบไป ข้ามีคำถามอยากถามเสียหน่อย”
เขาเก็บกระจกเทพฮุ่นเทียนเข้าไปในเจดีย์พุทธะพลางเอ่ยถาม
“ตอนนั้นสำนักพุทธทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร”
ในหนังสือประวัติศาสตร์กล่าวว่าเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจก่อจลาจล สังหารประชาชน สำนักพุทธจึงกำจัดปีศาจเพื่อผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ทว่าเจอเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ หากเขายังเชื่อสิ่งที่เขียนอยู่บนหนังสือก็โง่เขลาเกินไปแล้ว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเงียบอยู่นาน ก่อนเสียงหญิงสาวที่นุ่มนวลดูเป็นผู้ใหญ่จะถามกลับอย่างเยือกเย็น
“เหตุใดสำนักพุทธถึงปรารถนาดินแดนในที่ราบกลาง หากเจ้ารู้ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ย่อมเข้าใจสาเหตุที่สำนักพุทธทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ”
หากข้ารู้จะถามเจ้าหรือ สวี่ชีอันเอ่ย
“ท่านหญิงโปรดไขความให้กระจ่าง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเบะปากพร้อมเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “มูลค่าของข้อมูลนี้ ต่อให้ขายเจ้าก็ไม่พอ ช่างคิดได้ดีจริงๆ เจ้าผู้ชายเฮงซวย”
น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับเง้างอน
เจ้านี่มันหญิงหม้ายชวนทะเลาะยามวิกาล! สวี่ชีอันที่ไม่ได้รับคำตอบก็ตำหนิอย่างเดือดดาลอยู่ในใจ แล้วเปลี่ยนคำถาม
“ท่านหญิงคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในที่ราบกลาง เท่าที่ข้ารู้ สวี่ผิงเฟิงร่วมมือกับสำนักพุทธหวังยึดครองที่ราบกลาง”
อาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับสำนักพุทธ สวี่ผิงเฟิงร่วมมือกับสำนักพุทธ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นศัตรูของอาณาจักรหมื่นปีศาจเช่นกัน
“ข้าจะให้ความช่วยเหลือประมาณหนึ่ง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแสดงท่าทีตรงไปตรงมา “มีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”
เผ่าจิ้งจอกเช่นพวกเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุเท่าไร…สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
ไป๋จีลอยกลับไปบนฐาน ระหว่างนี้หางก็ลดจำนวนลง ลำแสงในดวงตาก็จางหาย
ยามที่ขาสั้นทั้งสี่ข้างตกลงบนฐาน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็จากไปพอดี
“ท่านหญิงไปแล้วหรือ”
นางมองซ้ายมองขวาไม่รู้อะไรสักนิด แล้วเดินไปข้างฐานอย่างระแวดระวัง มองลงมาข้างล่าง หลังจากวัดความสูงด้วยสายตาก็กระโดดลงมาอย่างระมัดระวัง
แล้วก็ลื่นล้ม