ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 61 หลักฐานที่หักล้างไม่ได้
เขาลอบสำรวจสวี่ชีอัน เมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาตึงเครียดและฝืนยิ้ม เขาก็โล่งใจ “ข้าเพิ่งได้รับคำสั่งให้พาเจ้ากลับไปสอบปากคำ ข้อมูลภายในที่เฉพาะเจาะจงไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อไปถึงที่ทำการปกครอง เจ้าจงจำไว้ว่าสิ่งที่ควรพูดอย่าปิดบัง สิ่งที่ไม่ควรพูด แม้จะถูกตีจนตายก็อย่าได้พูด”
เวรล่ะ…นี่ข้ายังไม่ได้รู้ความจริงหรอกหรือ ไม่คุ้มค่าเงินสามสิบตำลึงเลย บัดซบ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้อแก้ตัวที่ไม่จริงใจอย่าง ‘เชิญไปดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ เลย…สวี่ชีอันอยากตบชายตาตี่คนนี้จนตายนัก แต่เขาไม่กล้า
รถม้าแล่นผ่านย่านใจกลางเมืองและถนนสายยาว จนมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตอนช่วงสายๆ
สวี่ชีอันกระโดดลงจากรถม้า และเข้าไปในที่ทำการปกครองอันทรงเกียรติแห่งนี้ภายใต้การคุ้มกันของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองคน
สำนักงานสร้างจากลานขนาดสามอาคารสองแห่ง หอสูงตระหง่าน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่สวมชุดสีดำติดฆ้องเดินเข้าเดินออก สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึม ท่าทางน่าเกรงขาม
ไม่รู้ว่าข้าจะถูกส่งเข้าคุกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือไม่ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่โหดเหี้ยม…รอดูเงียบๆ ไปก่อน ข้าเป็นพลเมืองดี ข้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย…สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และสงบความวิตกกังวลลง
จากนั้นไม่นาน เขาก็ถูกพาเข้าไปที่ลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ประตูลานมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองคนยืนอยู่ ทั้งสองฝ่ายทำการส่งมอบให้กัน ชายตาตี่หยุดที่ประตูลาน และยิ้ม “เข้าไปเถอะ อวยพรให้ตัวเองมากๆ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ออกไปกับเพื่อนที่หน้าตาเคร่งขรึม
สวี่ชีอันถูกพาเข้าไป หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองคนเปิดประตูห้อง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เข้าไป”
นี่คือห้องไต่สวน ตรงมุมห้องมีเครื่องทรมานต่างๆ จัดวางอยู่ ตรงกลางมีโต๊ะยาวว่างเปล่าตัวหนึ่ง
เจ้าหน้าที่สอบปากคำยังไม่มา
สวี่ชีอันไม่กล้านั่งเก้าอี้ เขายืนอยู่ในห้อง และไตร่ตรองว่าเหตุใดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจึงตามหาตัวเอง
แต่เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมา มีคนเข้ามาในลาน
ประตูห้องถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนที่ปักฆ้องเงินตรงหน้าอกสองคนเดินเข้ามา
สวี่ชีอันรู้สึกว่ากล้ามเนื้อยืดตึงในเสี้ยววินาที กวาดตามองฆ้องเงินทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นคนกันเอง
จมูกของเขาโด่ง ใบหน้าล้ำลึก สีนัยน์ตาค่อนข้างอ่อน มีเชื้อสายชนเผ่าหนานหมาน[1]ครึ่งหนึ่ง
เขาคือฆ้องเงินที่เจอในห้องโถงหลังที่ว่าการตอนคดีเงินภาษี
“เจอกันอีกแล้ว” หลี่อวี้ชุนพยักหน้า ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ฆ้องเงินสองคนนั่งด้านหลังโต๊ะ ท่าทางเคร่งขรึม และมองพินิจสวี่ชีอันด้วยสายตาแหลมคม
“ข้าถามเจ้าตอบ หากโกหก บทลงโทษรอเจ้าอยู่” ฆ้องเงินที่ไม่คุ้นเคยคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ขอรับ…” ใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง ทั้งสองคนต่างก็มองดวงตาของนักโทษ
หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้ว “ก่อนที่จะตอบคำถาม จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน นี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน”
สวี่ชีอันพบว่าปกเสื้อของตัวเองหย่อนเกินไป ไม่สมมาตร ซึ่งเกิดจากการแอบล้วงตั๋วเงินบนรถม้า
เมื่อเขากระชับปกเสื้อ สีหน้าของหลี่อวี้ชุนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เหมือนคลายความกังวล
ฆ้องเงินที่ไม่คุ้นหน้าคนนั้นถามว่า “เจ้ารู้ว่าคนที่ยุยงอยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีคือรองเจ้ากรมโจวใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันตอบตามความจริง “ข้าได้ยินแม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์พูดถึงขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าโจวลี่จัดการเจ้าเพื่อแก้แค้น”
“คิดขอรับ”
สวี่ชีอันจดจำคำเตือนของชายหนุ่มตาตี่ สิ่งที่ควรพูดอย่าปิดบัง วันนั้นเหล่าคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์พุ่งเข้าไปช่วยเขาที่กรมอาญา จึงเป็นจุดสนใจของประชาชน จึงไม่อาจปฏิเสธได้
การยอมรับอย่างเปิดเผยน่าจะดีกว่า
“เจ้ารู้ว่าโจวลี่อยากกำจัดเจ้าใช่หรือไม่”
“รู้ขอรับ”
“ดังนั้น เพื่อไม่ให้ถูกคนสกุลโจวแก้แค้น เจ้าจึงลักพาตัวลูกสนมของเวยอู่โหว และโยนความผิดให้โจวลี่” ดวงตาขอฆ้องเงินที่ไม่คุ้นเคยคนนั้นส่องประกาย
แน่นอนว่าสำหรับเรื่องนี้…สวี่ชีอันไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ถึงขั้นแสดงความงุนงงออกมาที่ถูกกล่าวหา “ใต้เท้าพูดอะไร ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
“วันที่ลูกสนมของเวยอู่โหวถูกลักพาตัวไป เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ เจ้าไปที่ใด”
“ข้าน้อยไปฟังดนตรีที่หอคณิกา ข้าน้อยละเลยหน้าที่จริง และแอบหนีไปฟังดนตรีที่หอคณิกาบ่อยครั้งขอรับ”
เรื่องนี้ หัวหน้ามือปราบหวังและผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นพยานให้เขาได้ เพราะทุกคนล้วนทำงานแบบขอไปทีเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น มือปราบของอำเภอฉางเล่ออย่างข้าละเลยงานไปเที่ยวหอคณิกา เกี่ยวอะไรกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างพวกเจ้า
“เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องในหนังสือรับรองว่าอย่างไร ในบันทึกของหนังสือรับรองที่ออกโดยที่ทำการปกครองแสดงให้เห็นว่าเจ้าไปเมืองชั้นในหลายครั้ง” หลี่อวี้ชุนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!” สวี่ชีอันเบิกตากว้าง และโต้แย้งให้ตัวเองอย่างตื่นตัว “ข้าน้อยไม่เคยไปเมืองชั้นใน ไม่เคยได้รับหนังสือรับรองจากที่ทำการปกครองขอรับ”
พวกเขาใส่ร้ายข้า ข้าเข้าเมืองชั้นในเป็นหนังสือรับรองที่มอบหมายให้ผู้อื่นทำ เขามือสะอาด…และผู้จ้างคือหยางหลิง เกี่ยวข้องอะไรกับข้าสวี่ชีอัน
ฆ้องเงินสองคนสอบปากคำอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ จากในคำพูดของสวี่ชีอัน
พวกเขามองหน้ากัน ดูประหลาดใจเล็กน้อย
ด้านทักษะการสอบปากคำ ข้าก็เชี่ยวชาญเช่นกัน…สวี่ชีอันถอนหายใจ ดวงตาเหลือบมองเครื่องทรมาน รู้สึกตึงเครียดในใจ
หลี่อวี้ชุนถอนหายใจ “ไม่เลว หากไม่ใช่เพราะพวกเรารู้หลักฐานล่วงหน้า บทสนทนาเมื่อสักครู่นี้ ไม่แน่ว่าพวกเราคงเชื่อเจ้าไปแล้ว”
ใส่ร้ายข้าอีกแล้ว…น้ำเสียงราวกับมั่นใจมาก…ใบหน้าของสวี่ชีอันไร้อารมณ์
ในฐานะมืออาชีพที่จบจากโรงเรียนตำรวจและทำงานที่กรมตำรวจมาหลายปี สวี่ชีอันมีความมั่นใจในการตอบการสอบปากคำทุกประเภท นอกจากอีกฝ่ายจะทรมานจนรับสารภาพ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
รองเจ้ากรมโจวสูญสิ้นอำนาจไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐาน เขาเชื่อว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากเกินไป
ฆ้องเงินที่ดูไม่คุ้นหน้าคนนั้นนำสมุดเล่มเล็กๆ จากในกระเป๋าออกมาเปิด เขามองสวี่ชีอัน และอ่านตามสมุด
“เดือนตุลาคมวันที่หนึ่ง วันเหรินซวี สวี่ชีอันกลับไปที่สำนักอวิ๋นลู่ ซื้อปิ่นระย้าสีทองสองอันจากร้านเป่าชี่ซวน ระหว่างทางเจอคนสะกดรอยตาม สงสัยว่าจะเป็นคนของจวนสกุลโจว คืนเดียวกัน ข้าทำให้นักฆ่าของจวนสกุลโจวขวัญกระเจิง”
“เดือนตุลาคมวันที่สอง วันกุ่ยไห้ ย้ายญาติผู้หญิงมาที่สำนักอวิ๋นลู่เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย”
“เดือนตุลาคมวันที่ห้า วันปิ่งหยิน เข้าไปเมืองชั้นในและไปที่สำนักสังคีต พักค้างคืนที่หออิ่งเหมยหนึ่งคืน ‘หออิ่งเหมยมอบให้ฝูเซียง’ สงสัยว่าจะแต่งโดยสวี่ชีอัน”
“เดือนตุลาคมวันที่เจ็ด วันอู้เฉิน ขับรถม้าชนลูกสนมของเวยอู่โหว และลักพาตัวลูกสนมของเวยอู่โหวไปโดยไม่ทราบวิธี”
ฆ้องเงินที่ไม่คุ้นหน้าปิดสมุดเล่มเล็ก เขามองสวี่ชีอันอย่างเย้ยหยัน และหัวเราะเยาะ
สวี่ชีอันรู้สึกหนาวไปทั้งร่าง ราวกับไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายในวันเพ็ญเดือนสิบสองของฤดูหนาว ตัวเขาค่อยๆ สั่น
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังสะกดรอยตามข้า…สะกดรอยตามข้าในวันที่ข้าไปสำนัก…แผนการทั้งหมดในหลายวันมานี้ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจับตาดู…จบเห่แล้ว!
ทำไมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลถึงสะกดรอยตามข้า ข้าก็เป็นเพียงมือปราบตัวเล็กๆ นี่มันไม่สมเหตุสมผล…สวี่ชีอันคำรามด้วยความโกรธในใจ
เขารู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
ใส่ร้ายรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลัง ลักพาตัวลูกสาวของโหว ความผิดเพิ่มขึ้นมาสองกระทง เพียงพอที่จะประหารชีวิตทั้งครอบครัวและยึดทรัพย์สิน
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็ช่วยเขาไม่ได้ คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ก็ช่วยเขาไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเขาได้!
การกระทำที่แอบแฝงของข้าถูกจับเก็บจนสะอาดสะอ้าน ไม่ได้ทิ้งหลักฐานตัดสินใดๆ ไว้ แต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่สะกดรอยตามข้าเป็นพยานแผนของข้ามาโดยตลอด…คนคำนวณมิอาจสู้ลิขิตฟ้า[2]
หน้าผากของสวี่ชีอันมีเหงื่อขนาดเท่าเม็ดโตซึมออกมา ท่ามกลางการจับจ้องของฆ้องเงินสองคนที่เย้ยหยันและอึมครึม มันค่อยๆ ไหลลงมาที่แก้ม และหยดลงบนพื้น
ช้าก่อน
เขาสังเกตเห็นรายละเอียดที่ไม่สมเหตุสมผลทันที ในเมื่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นพยานในกระบวนการทั้งหมด ทำไมถึงไม่เปิดโปงเขา
ขอเพียงส่งสมุดเล่มนี้ไป โจวลี่ก็จะพ้นผิดทันที และดาบที่เขวี้ยงไปก็จะตกลงที่บ้านสกุลสวี่อีกครั้งหลังจากล่าช้าไปถึงครึ่งเดือน
ทำไมต้องรอหลังจากรองเจ้ากรมโจวสิ้นอำนาจ ถึงเชิญเขามา ‘ดื่มชา’[3]
สวี่ชีอันถอนหายใจพร้อมกับระบายอารมณ์ด้านลบทั้งหมดออกมา เขาเลิกคิ้ว ออดอ้อนทางสายตา “ข้าน้อยยอมรับผิด ข้าน้อยเป็นคนทำทุกอย่างเอง ท่านทั้งสองจะลงโทษอย่างไรก็ตามสะดวกเลยขอรับ”
ฆ้องเงินที่มีสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นเลิกคิ้ว และมองหน้าหลี่อวี้ชุน ทั้งสองคนเผยรอยยิ้มออกมา
“ฉลาดมาก หลักแหลมมากๆ” หลี่อวี้ชุนยิ้ม “เมื่อสักครู่นี้เป็นการทดสอบเจ้า หากเจ้าเผยจุดอ่อนในการสอบปากคำหรือสูญเสียความรอบคอบต่อหน้าหลักฐานที่แน่นหนา เจ้าก็จะเจอกับบทลงโทษที่แท้จริง”
หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง เขาก็คลายสีหน้าเคร่งขรึมลง รอยยิ้มดูผ่อนคลายมากขึ้น “แต่ตอนนี้ สิ่งที่เจ้าต้องเจอคือคำเชิญของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
…………………………………………………………
[1] ชนเผ่าหนานหมาน คำเรียกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซี
[2] คนคำนวณมิอาจสู้ลิขิตฟ้า หมายถึง วางแผนมาดีอย่างไรก็ไม่อาจสู้ชะตาฟ้าลิขิตได้
[3] ดื่มชา มีความหมายแฝงว่า มีเรื่องต้องการที่จะพูดคุยด้วย อาจเป็นได้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี