ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 612 สมรภูมิตัดสินศึกสุดท้าย
บทที่ 612 สมรภูมิตัดสินศึกสุดท้าย
ภายในโรงเตี๊ยม เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจด้วยความพอใจและเจ็บปวด
ตั้งแต่ติดตามสวี่ชีอันมา เจ้าของที่ดินในนาม อาจารย์ในความเป็นจริงผู้นี้ ก็ช่วยเขารวบรวมสมุนไพรที่หล่อหลอมกายเนื้อของเขา
และสอนวิธีการดวงชะตาพิเศษจำเพาะเพื่อช่วยเลื่อนขั้นให้กับเขา
ทุกครั้งที่แช่สมุนไพรต้องทนต่อความเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผาไหม้และกรดกัดกร่อน เขาโคจรลมปราณอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็ก้าวผ่านมาได้ และเลื่อนขั้นเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก
เขาลุกขึ้นจากถังไม้ มองดูรอบๆ ตัว ผิวหนังสีน้ำตาลแก่เปล่งประกายแสงแห่งเทพจางๆ
พลังและสัมผัสทั้งห้าก้าวหน้าไม่น้อย พลังปราณก็ฮึกเหิมขึ้นมามาก แต่สิ่งที่ทำให้จอมยุทธ์ประหลาดใจที่สุดก็คือร่างและวิญญาณนี้ดาบหอกแทงไม่เข้า
ในยุทธภพมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ‘นายอำเภอขั้นหก ข้าหลวงขั้นห้า โหรขั้นสี่’
ใช้ตำแหน่งข้าราชการมาอุปมาระดับขั้นของทหาร ขั้นหกสามารถเรียกได้ว่าเป็นเจ้าผู้ครองดินแดนในอำเภอหนึ่งๆ โดยที่ทางการไม่กล้ายั่วยุ
ขึ้นห้าสามารถโอ้อวดแสนยานุภาพในพื้นที่ระดับจังหวัดได้
ขั้นสี่ก็เหมือนกับเจ้าผู้ครองนครรัฐ ประกาศตัวเป็นใหญ่ในเขตภูมิภาค
แน่นอนว่าวิธีการพูดนี้จำกัดแค่ในส่วนของยุทธภพเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก
เหมียวโหย่วฟางก้มหน้ามองสุดยอดหอกแห่งยุคเล่มหนึ่ง
เขากล่าวด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ
“ยอดไปเลย เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆ จากนี้ไปหอกยาวจะตะลุยอย่างอิสระจนบรรดาสาวๆ ต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่กันเลยทีเดียว…เฮ้ย พี่หลี่ อิจฉาล่ะสิ ท่านจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน มีแค่ทหารเท่านั้นที่สามารถรับมือกับทหารได้”
หลี่หลิงซู่ปราดตามองทีหนึ่งและกล่าวเรียบๆ
“เข็มปักบุปผาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นแค่เข็มปักบุปผามิใช่หรือ อ๋อ เจ้าคิดว่าแทงคนอาจจะเจ็บนิดหน่อย”
เหมียวโหย่วฟางโมโหมาก เขายืนเท้าสะเอวกล่าว “แข่งกันไหม”
หลี่หลิงซู่นั่งไขว่ห้างและหัวเราะเยาะ “ของเล่นของข้าเอาไว้ให้สาวงามดูเท่านั้น ไม่หาประสบการณ์กับเข็มปักบุปผาทั่วไป”
ขณะนั้นเองสวี่ชีอันผลักประตูห้องเข้ามา หลังจากกวาดสายตามองดูพวกเขาทีหนึ่งแล้วก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เก็บของสักหน่อย พวกเราจะไปจากเมืองเจียงโจว”
เจ้าตัวตลกสองคน…สวี่ชีอันซุบซิบในใจทีหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป
อารมณ์เขาไม่ค่อยดีมากนัก คิดไม่ถึงว่าผู้ถูกปราณมังกรอาศัยในเมืองเจียงโจวที่เป็นเมืองหลักจะมีแค่เศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายเท่านั้น
…
อวี้โจว
เซียงโจว จิงโจว อวี้โจว ทั้งสามเมืองนี้ติดกับเหยียนกั๋ว ตามหลักของการถือเอาความสะดวกในการเอาที่ใกล้เป็นที่ตั้งแล้ว น่าหลันเทียนลู่จะค้นและรีดนาทาเร้นผู้มีปราณมังกรอาศัยในทั้งสามเมืองนี้ก่อน
การตัดสินใจของเขาถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเสาะแสวงหาและรวบรวมมาช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขารวบรวมผู้ถูกปราณมังกรอาศัยในเมืองเซียงโจวได้แปดคน เมืองอวี้โจวรวบรวมได้สองคน
ภัตตาคารสูงสุดในเมือง ภายในใจห้องที่โอ่อ่าที่สุด
ตงฟางหว่านหรงสวมชุดเกาะอกระดับต่ำและกระโปรงยาวสีลูกท้อ เผยให้เห็นเนินอกขาวเกลี้ยงเกลา นางนั่งเอียงตัวดื่มชาอยู่บนที่นั่งนุ่มๆ
ประตูห้องเปิดออก ตงฟางหว่านชิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับพี่สาวแต่มีท่าทีเย็นชากว่าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ขณะที่ยื่นรับชาที่พี่สาวยื่นให้ นางก็พูดไปด้วย
“จับสายสืบได้คนหนึ่ง พูดให้ถูกต้องก็คือเขาเป็นฝ่ายมาหาพวกเราก่อน”
ตงฟางหว่านหรงเลิกคิ้วละเอียดอ่อนขึ้นและกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“สายสืบของราชสำนักต้าฟ่งหรือ”
ตงฟางหว่านชิงส่ายหน้า “เขาเรียกตนเองว่าคนของตำหนักความลับสวรรค์”
‘ตำหนักความลับสวรรค์…’ ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้เลย
ขณะที่ตงฟางหว่านหรงถ่ายทอดคำสั่งอาจารย์นั้น ในสมองของนางก็ถามไปด้วย
“อาจารย์ ท่านรู้จักตำหนักความลับสวรรค์หรือ”
ผ่านไปหลายอึดใจ น่าหลันเทียนลู่ถึงตอบ
“องค์กรข่าวกรองที่สร้างโดยโหรขั้นสองผู้หนึ่ง พวกเขากระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ในที่ราบกลางรวมไปถึงจิ่วโจวด้วย สงครามด่านซานไห่ในปีนั้น องค์กรนี้มีบทบาทมาก ปีนั้นเว่ยเยวียนทุกข์ทรมานมาก”
ตงฟางหว่านหรงงุนงง “โหรขั้นสองกลับเป็นปรปักษ์กับต้าฟ่ง?”
ในความรู้สึกของนาง โหรก็คือคำสรรพนามของสำนักโหราจารย์ และสำนักโหราจารย์ก็ขึ้นตรงต่อราชสำนักต้าฟ่ง
น่าหลันเทียนลู่ถอนหายใจทีหนึ่ง
“สงครามด่านซานไห่ในปีนั้น แก่นสารคือการระเบิดความขัดแย้งของกลุ่มอิทธิพลฝ่ายต่างๆ ในแผ่นดินจิ่วโจวที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หากมิใช่ว่าในระหว่างนั้นมีคนสองคนเที่ยวตระเวนพูดเกลี้ยกล่อม และคอยผสมโรงเติมไฟ สงครามด่านซานไห่อาจจะระเบิดช้ากว่านี้สิบกว่าปี และสองคนในนั้น คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเทียนกู่ที่เป็นผู้นำของกลุ่มเทียนกู่ อีกคนคือโหรขั้นสองผู้นี้”
‘โหรขั้นสองร่วมมือกับคนของกลุ่มเทียนกู่ผลักดันสงครามด่านซานไห่หรือ’ ตงฟางหว่านหรงได้ฟังเรื่องราวภายในของสงครามด่านซานไห่เป็นครั้งแรก นางรู้สึกทั้งประหลาดใจและงงงวย
“เหตุใดโหรระดับสองท่านนั้นถึงทำเช่นนั้น”
น่าหลันเทียนลู่ตอบช้าๆ “แน่นอนว่าเป็นเพราะต้องการเข้าแทนที่โหราจารย์ เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น”
‘แทนที่โหราจารย์…’ ตงฟางหว่านหรงกล่าวในฉับพลัน
“มิน่าล่ะท่านถึงต้องการพบสายสืบ โหรขั้นสองผู้นั้นคือพันธมิตรที่สามารถดึงมาเป็นพวกได้”
น่าหลันเทียนลู่ทำเสียงแค่นจมูกก่อนกล่าว
“พันธมิตรชั่วคราวก็เท่านั้น เขาเป็นตัวแสดงที่น่ากลัวอย่างถึงขีดสุด ข้าถูกขังอยู่ในเจดีย์พุทธะมายี่สิบปี พอออกมาโลกภายนอกอีกครั้ง เขาก็ทำให้บรรยากาศของต้าฟ่งอึมครึมไปด้วยพิษร้ายแล้ว ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากสุดในสงครามด่านซานไห่ นอกจากสำนักพุทธแล้ว ก็เป็นเขากับผู้เฒ่าเทียนกู่ แม้ว่าต้าฟ่งจะชนะแต่ถูกขโมยดวงชะตาบ้านเมืองไปครึ่งหนึ่ง หากเป็นเพียงเช่นนี้ คงไม่ถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์ขั้นนี้ แต่คนผู้นั้นวางแผนยี่สิบปี กำจัดอ๋องสยบแดนเหนือกับเว่ยเยวียนก่อน อ๋องสยบแดนเหนือก็ช่างเถอะ พอเว่ยเยวียนตายคนทั้งหมดล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก”
น่าหลันเทียนลู่พลันนิ่งเงียบ ตงฟางหว่านหรงมองตามไปที่ประตูห้อง
‘แอ๊ด’ ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ตงฟางหว่านชิงพาคนลึกลับที่คลุมชุดคลุมไม่มีแขนและสวมหมวกคลุมเข้ามาด้านใน
“คารวะเจ้าตำหนักทั้งสองท่าน ข้าน้อยสายสืบ ‘วายุ’ รับผิดชอบพื้นที่ในเขตอวี้โจว”
น้ำเสียงแหบแห้งของผู้ชายดังมาจากหมวกคลุม “ขออนุญาตให้ข้าแนะนำเล็กน้อย ตำหนักความลับสวรรค์คือ…”
ตงฟางหว่านหรงพูดขัดอย่างไม่ใส่ใจ “ว่ามาตามตรง”
สายสืบ ‘วายุ’ เงียบไปสองอึดใจและยิ้มกล่าว “ดูท่าเจ้าตำหนักจะรู้ภูมิหลังของพวกเราแล้ว”
เขายื่นมือล้วงเข้าไปในอกหยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่งแล้วประคองยื่นให้ด้วยสองมือ
ตงฟางหว่านหรงกวักมือสองสามที จดหมายก็ตกลงบนมือเอง จากนั้นก็เปิดอ่าน
ชั่วเวลาผ่านไปสิบอึดใจ นางวางจดหมายไว้บนโต๊ะและยิ้มกล่าว
“ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย”
สายลับ ‘วายุ’ น้อมตัวประสานมือคารวะ
“เจ้าตำหนักปราดเปรื่อง นายน้อยยังบอกด้วยว่าหากเจอสวี่ชีอันหลบได้ก็ให้หลบ รอคอยจังหวะ เอ่อ ลักษณะพิเศษจำเพาะในการดึงดูดซึ่งกันและกันของปราณมังกร เมื่อพวกเรารวบรวมปราณมังกรได้มากขึ้นเรื่อยๆ ช้าเร็วอย่างไรแต่ละฝ่ายก็ต้องพบกัน พอถึงเวลาค่อยวางแผนใหญ่ด้วยกัน”
เขาหยุดชะงักหนึ่งแล้วก็กล่าวต่อ
“ต่อไปมีข่าวกรองเรื่องหนึ่งอยากจะแบ่งปันกับเจ้าตำหนักทั้งสอง ปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสายนั้น สวี่ชีอันได้มาสามสายแล้ว อยู่ที่เหลยโจว เซียงโจวของจางโจว และจอมยุทธ์พเนจรเหมียวโหย่วฟางที่ชิงโจว ยงโจวไม่มีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีปราณมังกรหนึ่งในเก้าสาย ตอนนี้รู้ว่าที่อวี่โจวมีหนึ่งสาย อวิ๋นโจวไม่มี ทั้งสิบสามโจวของต้าฟ่งเหลือแค่เจียงโจว สามโจวทางตะวันออกเฉียงเหนือเซียงจิงอวี้ เจี้ยนโจว ฉู่โจว และพื้นที่เขตในเมืองหลวง ปราณมังกรที่เหลืออีกห้าสายแยกกันอยู่ในหกโจวนี้”
การแบ่งเขตการปกครองอย่างเป็นทางการของต้าฟ่ง เมืองหลวงก็เป็นหนึ่งโจว
“เซียงโจวไม่มี!”
ตงฟางหว่านหรงส่ายหน้า
สายสืบ ‘วายุ’ กล่าว “เช่นนั้นจิงโจวกับอวี้โจวจะต้องมีหนึ่งสาย แม้กระทั่งอาจมีสองสาย หากไม่ถูกซุนเสวียนจีจากสำนักโหราจารย์สกัดยึดได้ก่อนละก็”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ตงฟางหว่านหรงกล่าว
สายสืบ ‘วายุ’ กล่าวต่อ
“รอเจ้าตำหนักทั้งสองไปทั้งสามโจวในตะวันออกเฉียงเหนือครบแล้ว ที่เหลือก็คือเจียงโจว เจี้ยนโจว และฉู่โจว พวกเราอาจเกิดการปะทะกับสวี่ชีอันภายในหนึ่งในสามโจวนี้
“ปรมาจารย์วิญญาณของสำนักพ่อมดอยู่บริเวณนี้หรือไม่”
เขาเตือนแบบอ้อมค้อม ไม่มีพลังระดับเหนือมนุษย์ ไม่อาจมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระดับนี้ได้
ตงฟางหว่านหรงกล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วง”
…
อวี่โจว
สวี่หยวนซวงกางแขนออกให้พิราบสื่อสารร่วงลงบนแขนของเขา เขาดึงแผ่นกระดาษออกจากหลอดไม้แผ่นที่มัดติดเท้าของพิราบสื่อสาร
หลังจากเปิดอ่านอย่างจริงจัง ใบหน้างดงามก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย และหมุนตัวกล่าว
“กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงจับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่อยู่ในอวี่โจวผู้นั้นได้แล้ว แม้จะบอกว่าพบกับอุปสรรคหลายครั้งจนเกือบทำให้เขาหนีไปได้หลายหน แต่ก็ไม่นับว่าเจตนา อีกทั้งยังให้สายลับตำหนักความลับสวรรค์ช่วยเหลือ ประกอบกับความแข็งแกร่งกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง นับว่าสถานการณ์น่ากลัวแต่ไม่มีอันตรายอะไร”
ก็คือหนึ่งในปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสาย
หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก จีเสวียนยิ้มกล่าว “ลำดับถัดไปควรจะติดต่อเทพอารักษ์ทั้งสองแล้ว”
…
ชิงโจวที่อยู่ติดกับอวิ๋นโจว
จิ้งซินกับจิ้งหยวนเดินทางด้วยทางหลายพันลี้ ในที่สุดก็รวมตัวกับเทพอารักษ์ตู้หนานและตู้ฝานในวัดร้างบางแห่งที่อยู่ตรงเขตอำเภอหนึ่งบริเวณขอบชายแดน
พวกเทพอารักษ์คลุมชุดคลุมและสวมหมวกคลุมอยู่ อาศัยสิ่งนี้ปกปิดผิวหนังสีทองเข้มไว้
“อาจารย์! อาจารย์อา!”
“อาจารย์อาทั้งสองท่าน!”
จิ้งซินกับจิ้งหยวนพนมมือไหว้พระ
จิ้งซินเล่าเรื่องหลังจากถูกจับตัวไปให้เทพอารักษ์ทั้งสองฟังอย่างละเอียด
“สวี่ชีอันปลดปล่อยพวกเราตามสัญญา”
มาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้เขาที่เป็นฉานซือก็ไม่อาจเรียกคนผู้นั้นว่าพุทธบุตรได้
ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ
“สามปี…”
เทพอารักษ์ตู้หนานถอนหายใจ “โชคดีที่โอรสของราชาเผ่าอสูรกลับสู่บัลลังก์แล้ว”
ต่อให้เป็นสำนักพุทธก็ไม่อาจสูญเสียพระอรหันต์ขั้นสององค์หนึ่งได้
จิ้งซินจิ้งหยวนมองไปด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น
คนหลังถามขึ้นมาว่า “อาจารย์อา อาจารย์อา พวกท่านมาทำอะไรที่นี่”
เทพอารักษ์กล่าวอย่างช้าๆ “ร่างแปลงร่างหนึ่งของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อยู่ในเมืองเฉียนหลงเขตอวิ๋นโจว ในเร็วๆ นี้อาจจะมีคำสั่ง พวกเราสองคนกำลังรอทูตสื่อสารอยู่ที่นี่”
จิ้งซินถามด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงไม่เข้าไป”
เทพอารักษ์ตู้ฝานกล่าวเสียงดังทุ้ม “โหราจารย์กำลังจับตามองอวิ๋นโจวอยู่”
จิ้งซินกับจิ้งหยวนมองตากันด้วยความตกตะลึง
…
สิบวันต่อมา เมืองเจียงโจว
หลังจากเดินทางไปทั่ว สวี่ชีอันก็ย่ำไปทั่วเจียงโจว กลับมายังเมืองหลักแห่งนี้อีกครั้ง
ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่เจียงโจวถูกเขากวาดเรียบไม่เหลือแล้ว แต่ยังคงหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีหนึ่งในเก้าปราณมังกรไม่ได้ หากผู้ถูกปราณมังกรอาศัยในเจียงโจวเป็นจอมยุทธ์พเนจรล่ะก็ ตอนนี้คงท่องไปสถานที่อื่นแล้ว ก็เหมือนกับเหมียวโหย่วฟาง
สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อย เดินไปทางโรงโจ๊กที่กางอยู่นอกเมืองพร้อมกับเหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่
ที่นั่นคิวยาวเหยียด ประชาชนยากจนแต่ละคนสวมชุดเรียบง่าย ประชาชนผู้หนีภัยถือถ้วยแตกๆ และกระบอกไม้ไผ่รอรับโจ๊ก
กองทัพป้องกันเมืองรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยความดุดัน ไม่ทันไรก็ตำหนิและเตะต่อยประชาชนยากจนที่เบียดเสียดกัน
แม้ว่าวิธีการจะดุดันแต่ทำให้สถานการณ์มั่นคงได้จริงๆ
และผู้ยากจนข้นแค้นที่หิวโหยและหนาวสะท้านเหล่านี้ แม้ว่าจะมีอาการชาและเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ แต่แววตาที่พวกเรามองดูโรงโจ๊กนั้นกลับมีแสงเปล่งประกาย
พูดตามจริง มาตรการบรรเทาทุกข์ของจักรพรรดิหย่งซิ่งทำให้สวี่ชีอันเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไปมาก
ต้าฟ่งเดินมาถึงทุกวันนี้ ขุนนางในที่ต่างๆ ส่วนมากเป็นผู้ที่เบื้องหน้าทำเหมือนว่าไม่ปฏิบัติตามแต่ที่จริงแล้วเคารพเลื่อมใสมาก ราชวงศ์เสื่อมโสมมาพอสมควร ใช่ว่าจักรพรรดิองค์หนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตนเอง แม้กระทั่งไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงในเมืองหลวงสามารถเปลี่ยนแปลงได้
คำสั่งของทางการดำเนินการยาก เป็นเรื่องที่ราชวงศ์ต่างๆ ปวดหัวมาโดยตลอด
ตามที่ฮว๋ายชิ่งพูด จักรพรรดิหย่งซิ่งรับข้อเสนอแนะของสวี่เอ้อร์หลาง ส่งฝ่ายตรวจการในเมืองหลวงทั้งหมดออกไปรับผิดชอบตรวจตราแต่ละโจว ให้อำนาจผู้ตรวจการดำเนินการอย่างเฉียบขาดแล้วค่อยรายงานให้หน่วยเหนือทราบ
ข้างตัวผู้ตรวจการแต่ละคนจะมีโหรอาภรณ์ขาวคอยควบคุมอีกที
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป โหรอาภรณ์ขาวขึ้นชื่อในเรื่องของความหยิ่งผยองและมีเงิน สิ่งนี้ทำให้หลีกเลี่ยงการทุจริตร่วมกันได้อย่างมาก
แต่เนื่องจากโหรขั้นต่ำยังเป็นแค่ไก่อ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตรวจการทนความยั่วยวนไม่ไหวจนต้องทุจริตและฆ่าคนปิดปาก ราชสำนักจึงเสริมกฎเหล็กอีกหนึ่งข้อ
‘โหรตายผู้ตรวจการถูกประหาร’
และสำหรับส่วนราชการในที่ต่างๆ ราชสำนักส่งเสริมให้แต่ละเขตอำเภอตรวจตราและรายงานซึ่งกันและกัน
พอตรวจสอบว่าเป็นจริง ผู้ที่รายงานจะได้เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น ผู้ถูกรายงานต้องดูว่าสถานการณ์หนักเบาแค่ไหน แล้วค่อยตัดสินว่าจะปลดออกจากตำแหน่งหรือประหาร
นโยบายป้องกันข้าราชการทุจริตเสบียงอาหารของประชาชนผู้ประสบภัยยังมีอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น ‘ตะเกียบลอยขึ้น ศีรษะคนร่วงลงพื้น’ ในถังโจ๊กเป็นต้น
ส่วนจะจัดการกับผู้ที่ปลอมตัวเป็นประชาชนผู้ทุกข์ยากเพื่อมารับอาหารอย่างไรนั้น คนทำงานเฉียบขาดอย่างสมุหราชเลขาธิการหวางเสนอวิธีการว่า
‘ข้าวเจ็ดส่วน รำสองส่วน ทรายหนึ่งส่วน’
ทั้งหมดนี้ยังคงไม่สามารถทำลายการทุจริตได้โดยสิ้นเชิง แต่ส่งผลอย่างมากในการปิดช่องทางการทุจริต
หลี่หลิงซู่มองโรงโจ๊กแล้วยิ้มกล่าว “แม้จะบอกว่าเทียบกับสภาพประสบภัยในที่ต่างๆ ในที่ราบกลางแล้ว ผลลัพธ์ที่ราชสำนักทำเหล่านี้ก็มีจำกัด แต่ดีร้ายอย่างไรก็ทำให้ประชาชนมองเห็นความหวังแล้ว”
เป็นการยากที่จะเห็นเหมียวโหย่วฟางไม่โต้แย้งเช่นนี้ เขามองฉากนี้ด้วยแววตาอ่อนโยน
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้าไปในเมือง วางแผนจะพักผ่อนสักคืนหนึ่ง สถานีต่อไปคือเจี้ยนโจว
…
ยามราตรี
สวี่ชีอันย้ายเทียนที่อยู่บนขอบโต๊ะกลมไปยังโต๊ะหนังสือ กางกระดาษเสวียนจื่อที่ทางโรงเตี๊ยมเตรียมไว้และจรดพู่กันเขียน
“เซียง จิง อวี้ เจี้ยน ฉู่”
มู่หนานจืออุ้มจิ้งจอกขาวตัวน้อยเดินเข้ามา และยื่นหน้าดู “สถานที่เหล่านี้อยู่ที่ใด”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอ่าน ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ ทุกวันหรือ” สวี่ชีอันถามกลับ
“ข้าอ่านจบก็ลืมแล้ว ใครจะไปจำได้ล่ะ” มู่หนานจือเบ้ปาก
นักเรียนหญิงห่วยๆ…สวี่ชีอันตำหนิอยู่ในใจ
หากหญิงสาวผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของเขาล่ะก็ คงมีทางออกสองทาง
หนึ่ง อาศัยหน้าตาที่งดงามโดดเด่นแต่งงานกับเจ้าพ่อท้องถิ่น กลายเป็นคุณนายที่ร่ำรวย
สอง เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นราชินีหนังทุนต่ำที่ไม่สามารถดังได้
ทำไมถึงดังไม่ได้ล่ะ เพราะการกลับชาติมาเกิดของเทพบุปผาไม่ใช่คนที่สามารถทนความลำบากได้
สวี่ชีอันไม่มีข้อเรียกร้องอะไรจากนาง นอกจากจะโอหังเกินไปหน่อยแล้ว ธาตุแท้นางเป็นคนจิตใจดีงาม ในช่วงเวลาสำคัญก็เข้าใจเหตุผลของเรื่องราว ไม่เป็นตัวถ่วง
หญิงสาวผู้หนึ่งยอมเที่ยวระเหเร่ร่อนเป็นเพื่อนเจ้าได้นั้น สวี่ชีอันคิดว่าเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากแล้ว
“ปราณมังกรอีกหกสายที่เหลือ ส่วนใหญ่จะอยู่ในสถานที่เหล่านี้”
สวี่ชีอันเอามือลูบคางและวิเคราะห์ให้นางฟัง “แต่พวกเราไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าสำนักพ่อมด สำนักพุทธ และกลุ่มอิทธิพลในเมืองเฉียนหลงเหล่านี้จะเด็ดลูกท้อล่วงหน้าหรือไม่”
มู่หนานจือพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง สีหน้าเคร่งขรึมราวกับเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
“หากพวกเขาได้หนึ่งในปราณมังกรเก้าสายไป ก็จะรีบกลับไปค่ายฐานใหญ่ทันที นี่คือสถานการณ์ที่ยุ่งยากที่สุด”
นางถามอย่างเคร่งเครียด “เช่นนี้ควรทำอย่างไร”
“สิ่งนี้ไม่สามารถแก้ไขได้” สวี่ชีอันส่ายหน้า “เงื่อนไขต่ำสุดของข้าคือสูญเสียปราณมังกรที่สำคัญที่สุดสองสาย สะสมเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายจากน้อยไปมากมาเสริม”
มู่หนานจือขมวดคิ้วฉับพลัน “เช่นนั้นทำอย่างไรถึงจะแย่งกับพวกเขาได้”
สวี่ชีอันยิ้มกล่าว
“ไม่รีบ ร่างกายข้าแบกรับดวงชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไว้ โอกาสที่จะเจอปราณมังกรมีมากกว่าพวกเขา แต่ข้ายังไม่เจอเลย พวกเราย่อมหาไม่เจอเช่นกัน อย่างมากสุดก็หาเจอแค่สองสาย ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเจี้ยนโจวจะมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีปราณมังกรหนึ่งในเก้าสาย”
ขณะนั้นเอง ในใจเขาก็มีการตอบสนอง เขานำหอยสังข์กระแสจิตออกมา
“อยู่…”
เพิ่งจะมีเสียงของซุนเสวียนจีดังมาจากทางนั้น สวี่ชีอันก็รีบชิงตอบก่อน
“อยู่ที่ห้องหลังที่สาม ชั้นสามทางทิศตะวันออกของโรงเตี๊ยมไหลฝูในเมืองเจียงโจว”
ทางนั้นจมดิ่งอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน
สวี่ชีอันอดทนรออยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดแสงสว่างตรงขอบเตียงก็พุ่งจากล่างขึ้นบน สลับประสานกันไปมาจนกลายเป็นชายหนุ่มสวมชุดขาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้าธรรมดา และส่วนสูงปกติ
“ศิษย์พี่ซุน มีเรื่องอันใด”
ขณะที่เขาพูดไปพลาง ก็ยื่นกระดาษและพู่กันไปพลางด้วยท่าทีนอบน้อม
ถ้าลงมือได้ ต้องไม่ให้ศิษย์พี่ซุนส่งเสียงแบะๆ อะไรมาก
ซุนเสวียนจีจับพู่กันราวกับยอมรับชะตากรรม และเขียนออกมา
“รวบรวมข่าวกรองปราณมังกร!”
หยุดไปพักหนึ่งก็เขียนต่อ “ข้าค้นพบเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง”