ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 613 ข่าวกรอง
บทที่ 613 ข่าวกรอง
“เรื่องแปลกประหลาดหรือ”
สวี่ชีอันถามกลับอย่างงงัน พอเห็นว่าซุนเสวียนจีจะขยับริมฝีปาก เขาก็รีบดันกระดาษกับพู่กัน
“ศิษย์พี่ซุน ไม่รบกวนวาจาอันมีค่าของท่านแล้ว”
ซุนเสวียนจีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลองพูดหยั่งเชิง “ถ้า…หาก…ข้า…”
ห้านาทีผ่านไป สวี่ชีอันหาวไปทีหนึ่ง และชี้ไปที่กระดาษและพู่กัน
ซุนเสวียนจีถอนหายใจยอมรับโชคชะตาอีกครั้ง และยกพู่กันขึ้นมาเขียน
“ข้ารวบรวมเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายได้ยี่สิบสาย หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนรวบรวมปราณมังกรได้ทั้งหมดหกสาย เจ้ารวบรวมได้เท่าใด”
“สิบสี่สาย!”
สวี่ชีอันตอบในทันที หลายวันนี้เขาเหมือนกับเด็กที่ได้เงินค่าขนม นับมันอยู่ทุกวัน แม้แต่เหรียญกษาปณ์เหรียญเดียวก็ไม่ละเลย
“สามสิบสายพอดี”
ซุนเสวียนจีพยักหน้า และขยับพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นสำนักพุทธที่ไม่มีชิ้นส่วนหนังสือปฐพี สำนักพ่อมด และเมืองเฉียนหลงไม่อาจรวบรวมได้มากไปกว่าพวกเรา ถูกต้องหรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนี้”
สวี่ชีอันพยักหน้ายืนยัน
“แต่ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด ข้าค่อยๆ หาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยไม่พบแล้ว หลายวันนี้ข้าไม่หลับไม่นอน ควบคุมป้อมปืนแสวงหาไม่หยุด แต่กลับหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยได้ยากมาก”
ซุนเสวียนจีเขียนเสร็จก็มองดูสวี่ชีอันเงียบๆ ดูเหมือนจะหวังให้เขาแสดงความเห็นออกมา
“ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยใกล้จะถูกรวบรวมหมดแล้วหรือ”
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองของสวี่ชีอัน
ซุนเสวียนจีส่ายหน้าและก้มตัวเขียนต่อ “เก้าคือจำนวนสูงสุด ปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสาย เศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายเก้าสิบเก้าสาย”
แบบนี้เองหรือ…สวี่ชีอันเข้าใจทันที ทางด้านพวกเขารวบรวมเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายได้สามสิบสาย สำนักพุทธ สำนักพ่อมดและเมืองเฉียนหลงไม่อาจมีเยอะกว่าพวกเขาได้
เพราะนี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดโดยดวงชะตาที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด กลุ่มอิทธิพลทั้งสามฝ่ายไม่อาจรวบรวมได้มากกว่าเขาที่เป็นผู้แบกดวงชะตาไว้
เช่นนั้นปราณมังกรที่เหลือไปไหนแล้ว
สวี่ชีอันใจเต้นขึ้นมา จากนั้นแววตาของเขาก็ดูเฉียบคม “มีกลุ่มอิทธิพลที่พวกเราไม่รู้แอบรวบรวมปราณมังกรหรือ!”
“ดูท่าเจ้าก็คิดเช่นนี้” ซุนเสวียนจีพยักหน้า
สวี่ชีอันขมวดคิ้วไม่พูดอะไรออกมา ในสมองผุดภาพกลุ่มอิทธิพลในแผ่นดินจิ่วโจว สำนักพุทธในแดนประจิม ราชสำนักต้าฟ่งในที่ราบกลาง สำนักพ่อมดในตะวันออกเฉียงเหนือ และเชื้อพระวงศ์ในเมืองเฉียนหลง
เหล่านี้คือกลุ่มอิทธิพลที่ลงสนามแล้ว
กลุ่มอิทธิพลที่ไม่ได้ลงสนามมีปีศาจแดนเหนือ เผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ กากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจ
ในนั้นตัดปีศาจแดนเหนือออกไปก่อน พวกเขาผ่านศึกวุ่นวายมาครึ่งปี สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมรอการบูรณปฏิสังขรณ์อยู่ ภารกิจแรกที่ทำจะต้องเป็นการสร้างบ้านเกิดเมืองนอนขึ้นมาใหม่ พักฟื้นแพร่พันธุ์ประชากร
ต่อให้พวกเขาจะได้ปราณมังกรไป ก็ไม่มีกำลังทหารที่จะเข้ามาในที่ราบกลางได้
“เผ่าพันธุ์กู่กลับมีความเป็นไปได้ ตอนนั้นผู้เฒ่าเทียนกู่ขโมยดวงชะตาไป เพื่อใช้ดวงชะตาซ่อมแซมผนึกของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ปราณมังกรก็คือดวงชะตารูปแบบหนึ่ง เป้าหมายสูงสุดของอาณาจักรหมื่นปีศาจจะต้องเป็นการฟื้นฟูอาณาจักรยึดชิงบ้านเมืองกลับมา แต่สำนักพุทธคือธรณีประตูที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ หากข้าเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ข้าจะร่วมมือกันดึงพันธมิตรเพื่อกำจัดสำนักพุทธก่อน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้แย่งชิงปราณมังกรไปก็ไม่มีความหมาย แต่จะเป็นการเพิ่มทหารกบฏในเมืองเฉียนหลงแทน และทหารกบฏคือพันธมิตรของสำนักพุทธ”
สวี่ชีอันทำการวิเคราะห์อยู่ในใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และกล่าวออกมา “เผ่าพันธุ์กู่หรือ”
ซุนเสวียนจีพยักหน้าและก้มหน้าเขียน
“ไม่ตัดความเป็นไปได้อันนี้ไป แต่ข้าคิดว่าไม่ควรเล็งสายตาไปที่กลุ่มอิทธิพลหนึ่งเท่านั้น ต้องให้ความสนใจกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ หรือคนที่ยึดกุมปราณมังกร และแสวงหาปราณมังกรด้วย”
สวี่ชีอันกล่าว “ท่านโหราจารย์มีความเห็นว่าอย่างไร”
ซุนเสวียนจีส่ายหน้า
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็เขียนต่อ
“ตอนนี้พูดเรื่องข่าวกรองของศัตรูสักหน่อย ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ อาจมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีหนึ่งในเก้าปราณมังกรปรากฏตัวในอวี่โจวหนึ่งท่าน แต่ไม่นานมานี้ถูกกลุ่มคนลึกลับชิงตัวไป จากคำบรรยายของผู้ที่ยืนดูข้างๆ ข้าตัดสินว่าเป็นกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง อืม พวกเขากระทำการในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน กำเริบเสิบสานยิ่งนัก”
หนึ่งในเก้าปราณมังกร…สวี่ชีอันไปนั่งพิงเก้าอี้ในฉับพลัน และนวดระหว่างคิ้ว
แม้เขาจะบอกกับว่ามู่หนานจือว่า เงื่อนไขต่ำสุดคือปราณมังกรสองสาย แต่เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว ยังคงรู้สึกวุ่นวายใจอย่างไม่มีมูลเหตุ
“ยังมีอีกไหม”
สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง และถามขึ้นมา
“สองพี่น้องทางด้านตำหนักมังกรตงไห่กำลังช่วยสำนักพ่อมดรวบรวมปราณมังกรอยู่ ว่าตามหลักแล้ว จิง เซียง และอวี้ทั้งสามโจวจะมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีหนึ่งในเก้าปราณมังกร พวกเราต้องทำใจเตรียมรับให้ดี”
ซุนเสวียนจีกำลังเขียนลงกระดาษอยู่ ประโยคนี้ยังเขียนไม่เสร็จสวี่ชีอันก็ซักถามอย่างเร่งร้อน
“ทำไมท่านไม่ฆ่าพวกเขา”
ซุนเสวียนจีส่ายหน้า “ไม่กล้า!”
“หืม?”
สวี่ชีอันทำเสียงขึ้นจมูกถามด้วยความสงสัย
“หนึ่งในคู่แฝด มีจิตเดิมของน่าหลันเทียนลู่อยู่ในร่าง พ่อมดเป็นเหมือนกับลัทธิเต๋าที่มีจิตเดิมเป็นรากฐาน ต่อให้ไม่มีกายเนื้อพลังต่อสู้ก็ลดไปไม่มากนัก ข้าเคยพบเจอกับพวกเขาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ฝาแฝดทั้งคู่ไม่เห็นข้า แต่น่าหลันเทียนลู่จับตำแหน่งข้าได้…โชคดีที่ข้าหนีได้เร็ว ค่ายกลส่งตัวใช้ได้ดีจริงๆ”
สวี่ชีอันเงยหน้า มองเห็นใบหน้าของศิษย์พี่ซุนเผยแววหวาดกลัวและดีอกดีใจ
น่าหลันเทียนลู่ถูกเว่ยกงสังหาร ข้าเป็นผู้สืบทอดของเว่ยกง…สวี่ชีอันนวดระหว่างคิ้วอีกครั้ง
“ข้ารู้แล้ว”
เขาพ่นหายใจออกมาช้า และฝืนยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่ซุน พวกเราคุยเรื่องที่น่าสนใจสักหน่อยไหม”
ซุนเสวียนจีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกพู่กันจุ่มหมึกเขียน
“ศิษย์น้องหยางไปจากเมืองหลวงแล้ว อาจารย์โหราจารย์มอบภารกิจให้เขา”
“นี่นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่ไหนกัน”
สวี่ชีอันพูดในใจ ข้ายังคิดว่าเขาถูกท่านโหราจารย์กักขังอีกแล้ว
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องหยางพยายามประกาศบริจาคทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของสำนักโหราจารย์ในมหาพิธีบูชาฟ้าในขณะที่ดวงจิตอาจารย์ล่องลอยออกจากร่าง…”
ปลายพู่กันสัมผัสผิวกระดาษเบาๆ สวี่ชีอันมองดูอักขระแล้วนี้แล้วก็สบถในใจเป็นทอดๆ “ยอดเยี่ยมมาก!”
พอเขาทำสำเร็จ มีบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊และจักรพรรดิเป็นประจักษ์พยาน ต่อให้เป็นโหราจารย์ก็ยากที่จะหน้าด้านกลับคำได้
หากเปลี่ยนเป็นโหรอาภรณ์ขาวคนอื่นทำแบบนี้ ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักคงไม่เชื่อ ทั้งยังแจ้งให้สำนักโหราจารย์นำศิษย์ที่เป็นโรคประสาทคนนี้กลับไปด้วย
แต่หยางเชียนฮ่วนเป็นศิษย์อันดับสามของโหราจารย์ เป็นถึงยอดฝีมือขั้นสี่ เขาสามารถเป็นตัวแทนของสำนักโหราจารย์ได้พอสมควร
สวี่ชีอันมีความเชื่อมั่นมาก เพราะเขารู้ว่าด้วยวิธีการของเฒ่าเหรียญปากผีนี้ ราชันแห่งการเสแสร้งคงไม่มีโอกาสได้โงหัวขึ้นอีกในชาตินี้
“เพื่อปกปิดหูตาผู้คนไม่ให้จับสังเกตได้ ศิษย์น้องหยางใช้อาหารรสเลิศยั่วยวนศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวย ให้นางช่วยเขาเฝ้าดูอาจารย์โหราจารย์ แต่อาจารย์โหราจารย์คาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงมอบแผ่นความลับสวรรค์ให้กับศิษย์น้องซ่ง หากศิษย์น้องหยางออกจากหอดูดาวก็ให้เรียบกำราบทันที ในเรื่องนี้ศิษย์น้องซ่งมีความกระตือรือร้นมากกว่าใครอย่างแน่นอน ศิษย์น้องห้าก็สร้างผลงานใหญ่ในเรื่องนี้ด้วย นางเป็นคนว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไร คำพูดของอาจารย์นางย่อมเชื่อฟัง”
สวี่ชีอันฟังจนอึ้งไปเลย ในใจพูดว่า นี่คือช่องทางที่ไร้ช่องโหว่ในรูปแบบของสำนักโหราจารย์อะไรกัน…
ท่านโหรามีมากประสบการณ์จริงๆ รู้จักใช้ศิษย์ควบคุมศิษย์ด้วยกัน
“ภารกิจที่ท่านโหราจารย์มอบให้ศิษย์พี่หยางคืออะไร”
“ไม่ทราบ ข้ารู้แค่ว่าศิษย์น้องหยางพาศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวยไปด้วย นางเองก็ถูกเนรเทศออกไปแล้ว”
“…” ฉู่ไฉ่เวยเจ้าเด็กโง่ สมองไม่ได้เรื่องก็อย่ายุ่งเรื่องที่ทำให้หัวหลุดเช่นนี้สิ
“ข่าวกรองของข้าแจ้งเสร็จแล้ว”
ซุนเสวียนจีกล่าว
สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดเรื่องกระจกเทพฮุ่นเทียนและการทำข้อตกลงกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางออกมาหนึ่งรอบ
“ศิษย์พี่ซุน ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร”
ซุนเสวียนจีลังเลอยู่นานก่อนเขียนออกมา “นางคงควบคุมร่างไม่สมบูรณ์ของเสินซูได้ส่วนหนึ่งแล้ว”
ความหมายของเขาคือ ตะปูตอกวิญญูมีแค่เคล็ดวิชาของสำนักพุทธเท่านั้นที่สามารถปลดออกได้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล้าให้คำสัญญาเช่นนี้ แสดงว่านางควบคุมร่างไม่สมบูรณ์ของเสินซูได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน…สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
ซุนเสวียนจีผงกศีรษะ แสงสว่างพุ่งขึ้นจากใต้เท้าและห่อหุ้มพาเขาจากไป
พอเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ มู่หนานจือที่นั่งสำรวมอยู่ตรงขอบเตียงราวกับเป็นพระชายาที่กระมิดกระเมี้ยนก็ถอนหายใจออกมา
นางจ้องมองชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจ “มักจะมาตอนดึกดื่นค่อนคืน ไม่รำคาญหรือ หลักที่ว่าชายหญิงแตกต่างกันเจ้าไม่เข้าใจหรือไร”
นางจำได้ว่าครั้งก่อนสวี่ชีอันกดทับนางอยู่ใต้ผ้าห่ม ซุนเสวียนจีก็มา
“ก่อนมาศิษย์พี่ซุนจะแจ้งก่อน ครั้งก่อนเป็นพวกเราที่ไม่เข้าใจเขา ไม่ได้เตรียมตัวให้ดี จะว่าไปแล้วอยู่ในยุทธภพก็อย่ามีกฎเกณฑ์อะไรเยอะ ห้องพักแขกเป็นแค่สถานที่พักเหนื่อยชั่วคราวเท่านั้น”
สวี่ชีอันพูดปลอบใจอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งประโยค
ขณะที่พินิจพิเคราะห์ข่าวกรองที่ซุนเสวียนจีนำมาให้ เขาก็รู้สึกหนักใจมาก
…
ภูเขาเฉวี่ยนหลง
ในรอบรัศมีร้อยลี้ของภูเขาเฉวี่ยนหลงคือภูเขาที่เป็นรากฐานเริ่มต้นของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มีคฤหาสน์ผู้นำพันธมิตรที่มีเรือนแน่นขนัดเป็นศูนย์กลาง
เทือกเขาและยอดเขาตั้งตระหง่านเป็นคู่ราวกับมังกรและพยัคฆ์ที่กำลังต่อสู้กัน ภูผาแดงแม่น้ำเขียว เมฆหมอกลอยขึ้นด้านบน สวยงามมากมายหลายหลากจนชมไม่หมด
ผู้เฒ่าโจวแขนเดียวคือหัวหน้ากองร้อยของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ว่าตามหลักการแล้ว ถึงจะเป็นกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มียอดฝีมือสูงส่ง แต่สามารถพูดได้ว่าหัวหน้ากองร้อยเป็นหินหลักกลางกระแสชล
น่าเสียเสียดายที่ผู้เฒ่าโจวแขนเดียวไม่ใช่คนที่มีอำนาจแท้จริง
กล่าวกันว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยังใช้กองกำลังทหารที่ผู้นำพันธมิตรคนเก่าทิ้งไว้มาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยในตลอดเวลาหกร้อยปีที่ผ่านมา
ตำแหน่งหัวหน้ากองร้อยของเขานั้นใช้แขนขวาแลกมา เดิมทีผู้เฒ่าโจวเป็นองครักษ์ผู้หนึ่ง ราวๆ หนึ่งเดือนก่อนได้ติดตามกองกำลังทหารคุ้มกันภรรยาและบุตรธิดาคู่หนึ่งกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านฝ่ายมารดา และถูกศัตรูสังหาร
แขนขวาของผู้เฒ่าโจวขาดไปในตอนนั้น เพราะช่วยขวางดาบให้กับบุตรธิดาของเฉาชิงหยาง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้เฒ่าโจวก็เปลี่ยนจากองครักษ์เล็กๆ ผู้หนึ่งเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้ากองร้อย ได้รับสิทธิ์ในฐานะหัวหน้ากองร้อย แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง
ในสถานะที่เป็นทหารระดับหลอมจิต หลังจากสูญเสียแขนขวาไปแล้ว พลังต่อสู้ของเขาแทบจะมองข้ามไปได้เลย
ผู้เฒ่าโจวแขนเดียวหิ้วสุรากาหนึ่ง ไปเคาะประตูเรือนแห่งหนึ่งท่ามกลางลมหนาวที่ปะทะเข้ามา
ประตูเรือนเปิดออก ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าฝ้ายหนาๆ เปิดเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“พี่ใหญ่ ท่านมาได้ซะทีนะ เนื้อสุนัขกำลังหอมอยู่เลย เร็ว เชิญข้างในก่อน”
ชายวัยกลางคนตัวผอมสูง แขนทั้งสองยาวเป็นพิเศษ เขาชื่อหวางโหยวเป็นมือธนูยืนรักษาการณ์
ทั้งสองเข้าไปในห้อง และนั่งเสวยสุขอยู่กับสุราดีกรีแรงและเนื้อสุนัข ดื่มน้ำแกงที่ร้อนผ่าวในฤดูหนาวทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว
“พี่ใหญ่ ท่านเก่งกาจจริงๆ แขนข้างหนึ่งแลกมาด้วยซึ่งสิทธิ์หัวหน้ากองร้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารตลอดชีวิต ไม่เหมือนข้า เงินเพียงเล็กน้อยนั้นหมดไปกับผิวพรรณของอิสตรี”
สีหน้าหวางโหยวดูรู้สึกปลงอนิจจัง และพูดฉอดๆ ไม่หยุด
ผู้เฒ่าโจวดื่มสุราและหัวเราะเป็นการใหญ่ “คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อนอนอยู่บนผิวอ่อนนุ่มของอิสตรีหรอกหรือ”
ทั้งสองดื่มไปพลางกินไปพลาง พูดคุยกันทุกเรื่อง หลังจากคารวะสุราไปสามรอบ หวางโหยวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเล่นๆ
“พี่ใหญ่ ครั้งก่อนท่านบอกว่าบุตรธิดาคู่นั้นของผู้นำพันธมิตรเฉาถูกศัตรูโจมตีหนึ่งฝ่ามือก็ยังไม่ตาย เป็นเรื่องจริงหรือเท็จประการใด”
ผู้เฒ่าโจวเรอสุราแล้วกล่าวเสียงดัง
“โกหกเจ้าไปทำไม ตอนนั้นข้าอยู่ใกล้พวกเขาที่สุด เพื่อปกป้องเด็กสองคนนั้นถึงถูกตัดแขน เอิ๊ก! ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นถูกโจมตีหนึ่งฝ่ามือ ตอนนั้นข้าไม่มีแรงแล้ว ไม่เช่นนั้นศัตรูจะหนีไปได้หรือ แต่เจ้าลองเดาหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อพวกเขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว”
หวางโหยวยิ้มกล่าว “ท่านจะต้องดูผิดอย่างแน่นอน”
ผู้เฒ่าโจวตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ และพูดด้วยความโมโห “เจ้าไม่เชื่อแต่ยังถามข้าถึงสองรอบหรือ”
หวางโหยวรีบประสานมือคารวะขอโทษ
ไม่นาน หลังจากกินหม้อไฟเนื้อสุนัขเสร็จ ผู้เฒ่าโจวก็จากไปด้วยความพอใจ
ความมึนเมาในแววตาของหวางโหยวอันตรธานไปหมดสิ้น เขาเดินไปดึงกล่องใบหนึ่งออกจากใต้เตียง และนำพู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกออกมาวางไว้บนโต๊ะก่อนลงมือเขียน
“บุตรธิดาของเฉาชิงหยางกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ดูคล้ายกับเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัย”