ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 614 บุตรในเงามืด
บทที่ 614 บุตรในเงามืด
หวางโหยวเขียนข้อมูลที่สืบมาลงในจดหมายลับ และในส่วนสุดท้ายเขาก็เขียนสรุปของตัวเองเพิ่ม
“ลูกๆ ของเฉาชิงหยางยังเด็ก พวกเขาถูกเลี้ยงดูในคฤหาสน์ลึก ไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนภายนอก และดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป เด็กๆ เพิ่งอยู่ระดับก่อปัญญา สติปัญญายังไม่เจริญเต็มที่ แม้ว่าจะมีปราณมังกรสถิตร่าง เกรงว่าก็ยังไม่อาจแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ข้าไม่สามารถสืบเรื่องปราณมังกรได้ หวังว่าใต้เท้าจะหาวิธียืนยันได้แต่เนิ่นๆ บรรพชนแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยังคงเร้นกายอยู่ ด้านหลังภูเขาเป็นเขตหวงห้าม นอกจากเฉาชิงหยางแล้ว ผู้ใดที่บุกรุกเข้าไปจะถูกสัตว์ร้ายแห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงสังหาร แต่หลังจากไปสืบมา ข้าก็พบว่าบริเวณรอบๆ ด้านหลังภูเขามีกองกำลังลับกลุ่มหนึ่งเฝ้ายามอยู่ ข้าจึงคิดว่าสภาพของบรรพชนแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อาจจะแย่ลงเรื่อยๆ”
เมื่อเขียนเสร็จ เขาก็เป่าหมึกให้แห้งและผิวปาก
ครู่หนึ่ง นกป่าสีดำตัวหนึ่งก็บินมาจากป่าในลานหลังบ้าน และร่อนลงมาเกาะหน้าต่างที่เปิดอยู่ ดวงตาสีดำจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
หวางโหยวหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาผูกไว้ที่ขาของนกป่าแล้วลูบหัวมัน
นกป่ากระพือปีกบินออกไป
หวางโหยวมองส่งนกป่าจนลับตาไปแล้วถอนหายใจ
นกชนิดนี้เป็นนกป่าธรรมดา มันไม่เด่นสะดุดตาเท่านกพิราบส่งสาร การใช้นกพิราบส่งสารในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นถือเป็นการดูถูกไอคิวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และไม่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง
การใช้นกป่าที่พบเห็นได้ทั่วไปจึงสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงส่วนใหญ่ได้ดีกว่า
ภูเขาเฉวี่ยนหรงทอดยาวนับร้อยลี้ ป่าดงดิบก็กว้างใหญ่ และสิ่งที่ไม่ได้ขาดแคลนเลยก็คือนกป่า
แน่นอนว่ายังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกคนยิงตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นหากไม่ใช่ข้อมูลสำคัญก็จะไม่ใช้นกพิราบส่งสาร
ประเด็นสำคัญคือ นกชนิดนี้ได้รับการฝึกฝนโดยปรมาจารย์ซินกู่แห่งเผ่าพันธุ์กู่ ดังนั้นจึงสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารได้
หวางโหยวปิดหน้าต่าง เติมถ่านไฟหนึ่งกำมือในเตา คลุมร่างด้วยหนังแกะหนาและนอนลงบนเตียง ก่อนจะหลับไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ใบหูของเขาที่กำลังหลับใหลก็ขยับ เขาตื่นขึ้นในทันทีแล้วเอื้อมมือไปแตะมีดสั้นที่อยู่ใต้หมอน
‘ตุบ!’
ขณะเดียวกับที่เขาจับมีดสั้น ศีรษะของเขาก็ถูกอาวุธที่ไม่มีคมฟาดเข้าอย่างแรง ความคิดทั้งหมดพลันหายไป
ขณะที่สะลึมสะลือ และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้ากระดูกก็รดบนใบหน้า หวางโหยวตื่นขึ้นพร้อมกับคร่ำครวญ
แววตาของเขาเปลี่ยนจากว่างเปล่าเป็นเฉียบคมในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขาระงับความตื่นตระหนกในใจแล้วมองไปรอบๆ อย่างใจเย็น
ในเวลาเดียวกันเขาก็รับรู้ถึงสภาพร่างกายของเขา เขาถูกมัดไพล่หลังไว้ ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียก ดูเหมือนจะถูกวางยาสลบ
นี่เป็นห้องที่ปิดสนิท บนกำแพงหินมีเครื่องทรมานแขวนอยู่ เช่น โซ่ตรวน กระบองหนามและกุญแจมือ
ตรงมุมห้องก็มีเครื่องทรมานขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ เช่น ตั่งเสือนั่ง มีดสับเท้า และโต๊ะถลกหนัง
นอกจากนี้ หวางโหยวยังเห็นเครื่องมือทรมานที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับนักโทษหญิงด้วย เช่น ลาไม้ คนขี่นับพันและอื่นๆ
ภายในห้องลับกระถางถ่านกำลังลุกไหม้ บนเก้าอี้ทางซ้ายของกระถางถ่านมีชายชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่
บนแก้มซ้ายของเขามีแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว หน้ายาวเหมือนม้า ดวงตาเท่าเมล็ดถั่วเขียว หน้าตาน่าเกลียดพอๆ กับรอยแผลเป็น
หวางโหยวรู้จักเขา เขาคือหัวหน้าผู้คุมเรือนจำของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่รับผิดชอบการลงโทษ
“ชื่อจริงของเจ้าชื่ออะไร”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้มตาหยี
หวางโหยวแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและสับสนออกมา ก่อนจะตอบอย่างเกรงกลัว
“ผู้น้อยชื่อหวางโหยว เป็นพลธนูผู้เฝ้ายอดเขาทิศใต้ ไม่ทราบว่ากระทำผิดอันใด ขอหัวหน้าผู้คุมเรือนจำชี้แจงด้วย”
“ไม่ไม่ไม่!” หัวหน้าผู้คุมเรือนจำโบกมือไปมาและอธิบายอย่างจริงใจ
“อย่าดูถูกตัวเองจนเกินไป เจ้าไม่ได้แค่ทำผิด แต่เจ้าก่ออาชญากรรมร้ายแรง”
หวางโหยวหน้าถอดสีและตะโกนเสียงดัง “ผู้น้อยจงรักภักดีและรับใช้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาหลายปี จะก่ออาชญากรรมร้ายแรงได้อย่างไร หัวหน้าผู้คุมเรือนจำอย่าปรักปรำผู้น้อย”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม
“เจ้าคิดว่า นายน้อยกับคุณหนูยังเด็ก แต่คงไม่ตายด้วยฝ่ามือของศัตรู เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ คิดว่าเฉาเหมิงจู่จะไม่สนใจหรือ จะไม่ตรวจสอบหรือ เจ้าลองคิดดูสิ วันนั้นมีองครักษ์เป็นจำนวนมาก คนอื่นๆ ล้วนปิดปากเงียบ แล้วเหตุใดผู้เฒ่าโจวจึงไม่ได้รับคำสั่งให้ปิดปาก”
“ข้าเอาฟันปลอมซี่นั้นของเจ้าออกให้แล้ว ข้างในมียาพิษอยู่ ข้าทดสอบกับสุนัขดูแล้วมันก็ตายในทันที จุ๊ๆ พิษนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกลั่นได้”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยังคงยิ้มตาหยี “ชื่อจริงของเจ้าชื่ออะไร”
หวางโหยวก้มศีรษะลงและแก้ตัว “ผู้น้อยเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นจึงถามผู้เฒ่าโจว หัวหน้าผู้คุมเรือนจำเข้าใจผิดแล้ว”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม
“ข้าไม่เคยถามรอบที่สาม แม้ว่าข้าจะไม่ชอบทรมานใคร แต่ก็ไม่เคยคัดค้านการใช้วิธีโหดร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อืม เทียบกับการลงโทษทั่วไปแล้ว ข้าชอบใช้วิธีอื่นมากกว่า เปลี่ยนเป็นวิธีใหม่ๆ แบบนี้สิถึงจะน่าสนใจพอ ตัวอย่างเช่น เครื่องทรมานคนขี่นับพันก็สามารถใช้จัดการกับผู้ชายได้เหมือนกัน ถอดกางเกงเขาออก”
ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนก้าวไปข้างหน้า ยกหวางโหยวที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกขึ้นและจับเขานอนบนเครื่องทรมาน ก่อนใช้เชือกมัดเขาไว้แน่น
ประเด็นสำคัญคือ รูปลักษณ์ของ ‘คนขี่นับพัน’ นั้นคล้ายกับลำกล้องปืนใหญ่
หวางโหยวกัดฟัน ไม่พูดไม่จา เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับความอัปยศอดสูแบบไหน
แต่แล้วการกระทำของหัวหน้าผู้คุมเรือนจำก็ทำให้ทั้งสามคนซึ่งรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนด้วยหน้าเปลี่ยนสี
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำหยิบคีมเหล็กที่อังอยู่ในกระถางถ่านขึ้นมาแล้วเป่าเบาๆ เหล็กสีแดงก่ำสะท้อนใบหน้าของเขา รอยยิ้มมุมปากลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
หวางโหยวหน้าซีดเผือดทันที
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองเกร็งกล้ามเนื้อส่วนบั้นท้าย
…
ยามค่ำคืนมืดมิด ลมหนาวพัดเย็นยะเยือก
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำสวมชุดคลุมสีดำและเดินนำผู้ติดตามสองคนเข้าไปในคฤหาสน์ผู้นำพันธมิตรท่ามกลางความมืดมิด
ภายในห้องโถง เฉาชิงหยางที่ได้รับแจ้งข่าวรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเพียงชุดคลุมสีน้ำเงินตัวบาง ร่างกายกำยำหนาราวกับภูเขา สงบนิ่งและเก็บตัว
ใบหน้าไร้อารมณ์ทรงสี่เหลี่ยมแบบตัวอักษรจีนแฝงความจริงจังไว้
“ท่านผู้นำ!”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำประสานมือคำนับ
เฉาชิงหยางยกมือขึ้นเพื่อเชิญให้เขานั่งและสั่งให้คนรับใช้ยกน้ำชาร้อนๆ เข้ามา
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำดื่มชาร้อนอึกหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ข้าตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว หวางโหยวเป็นสายลับของตำหนักความลับสวรรค์ ลอบแทรกซึมเข้ามาในกลุ่มพันธมิตรเมื่อเจ็ดปีก่อน จากคำสารภาพของเขา เขาถูกส่งมาเพราะสายลับคนก่อนเสียชีวิตในอุบัติเหตุ แต่เขาไม่รู้ว่าสายลับคนก่อนเป็นใคร เสียชีวิตเมื่อไหร่”
เฉาชิงหยางขมวดคิ้วหนา กึ่งครุ่นคิดกึ่งไตร่ตรอง
“ตำหนักความลับสวรรค์หรือ ชื่อนี้ฟังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์”
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจว เขารู้ว่าโหรระดับสามคือปรมาจารย์ความลับสวรรค์
“ตำหนักความลับสวรรค์ไม่น่าจะเล่นงานข้า พวกเจ้าจับผิดคนหรือเปล่า”
เฉาชิงหยางขมวดคิ้ว
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ภรรยาเขาถูกซุ่มโจมตีตอนกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มพันธมิตรมีสายลับคอยแพร่งพรายข้อมูล
เฉาชิงหยางแอบสืบสวนมาโดยตลอด เพื่อควานหาสายลับ
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำมีสีหน้าประหลาดใจ
“ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจพบเรื่องอื่นด้วย…”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำคิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง
“จากคำสารภาพของหวางโหยว เขากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกร สิ่งนี้จะสถิตบนร่างของมนุษย์ เมื่อได้รับมันจะกลายเป็นคนโชคดีอย่างมากและแสดงความผิดปกติบางอย่างออกมา ตัวอย่างเช่น คนที่มีคุณสมบัติปานกลางจะเปิดปัญญาและกลายเป็นคนที่มีคุณสมบัติปราดเปรื่องในทันที ทหารระดับต่ำจู่ๆ ก็ตบะเพิ่มขึ้นสูงและบังเอิญเจอแต่ความโชคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าผู้คุมเรือนจำก็เหลือบมองสีหน้าของเฉาชิงหยาง เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงกล่าวต่อ
“เขาคิดว่า นายน้อยกับคุณหนูที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอาจเป็นเพราะปราณมังกร แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ วันนี้นกป่านำสารไปส่งให้ผู้บังคับบัญชาแล้ว และหวังว่าเขาจะหาวิธียืนยันได้ ระดับของหวางโหยวค่อนข้างต่ำ ส่วนเรื่องภายในและภูมิหลังของตำหนักความลับสวรรค์ เขาไม่รู้มากนัก”
เฉาชิงหยางเงียบอยู่นาน ราวกับกำลังซึมซับข้อมูล ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า
“ปราณมังกรหรือ”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำเอ่ยขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาก็สงสัยเช่นกัน แต่หวางโหยวเองก็ไม่รู้ว่าปราณมังกรคืออะไรกันแน่ ตำหนักความลับสวรรค์น่าจะใช้วิธีหว่านแหเพื่อค้นหาปราณมังกร เขาเพียงแค่เปิดเผยปรากฏการณ์ที่ปราณมังกรอาจทำให้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้อธิบายลักษณะของมัน”
เฉาชิงหยางเคาะนิ้วกับโต๊ะและพูดช้าๆ
“จากที่กล่าวมา ตำหนักความลับสวรรค์นั่นมีวิธีสังเกตปราณมังกร แต่ข้ายังไม่พบว่าบนร่างของฉวนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์มีสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกรเลย อืม วิชามองปราณเป็นวิชาของโหร ตำหนักความลับสวรรค์คงมีความเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์จริง เรื่องนี้ไขข้อสงสัยของข้าแล้ว”
น่าเสียดายที่บรรพชนอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างมากหลังจากการสู้รบที่เมืองหลวงและต้องเข้าสู่นิทราไป มิเช่นนั้นในวันที่เด็กทั้งสองประสบอุบัติเหตุ เขาอาจจะหาคำตอบจากบรรพชนได้
เฉาชิงหยางดื่มชาอึกหนึ่งและถามว่า “หวางโหยวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม “ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ สายลับทุกคนล้วนมีคุณค่า”
เฉาชิงหยางร้อง ‘อืม’ ออกมา
“หากเขาเป็นคนของสำนักโหราจารย์ก็ไว้ชีวิตเขาเป็นการชั่วคราวก่อน ส่งคนไปยังเมืองหลวงเพื่อหาคำตอบที่สำนักโหราจารย์”
เขาครุ่นคิด จากนั้นก็ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “ไม่สิ อย่าเพิ่งแพร่งพรายตอนนี้ คอยฟังคำสั่งข้า”
ก่อนอื่นไปถามบรรพชนเพื่อยืนยัน ทำความเข้าใจปราณมังกรและฟังความคิดของบรรพชน
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลูกของเขา เขาจึงต้องรอบคอบ
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำพยักหน้าแล้วลุกขึ้นประสานมือคารวะ “ผู้ใต้บังคับบัญชาขอตัว”
…
เฉาชิงหยางออกจากห้องโถง เลี้ยวเข้าไปลานด้านใน แยกตัวไปดูลูกชายกับลูกสาว
พวกเขาเป็นฝาแฝด ปีนี้อายุเจ็ดขวบ ต่างกันแค่อายุที่นั่ง
เมื่อหลายปีก่อนเฉาชิงหยางหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ หลังจากได้เป็นผู้นำพันธมิตร เขาก็ทำงานภายในกลุ่มพันธมิตรอย่างหนัก จนกระทั่งอายุสามสิบถึงแต่งงานมีลูก
แม้ว่ายังไม่แก่เกินไปที่จะมีลูก แต่เขาก็อายุมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรักฝาแฝดมาก
ภายในห้องโถงอันอบอุ่น ณ ลานด้านใน เฉาฉวนซึ่งเห็นดาบไม้ไว้ที่เอวกำลังเล่นอยู่ในห้องโถงที่มีถ่านไฟร้อนระอุ
แม่นมวิ่งไล่ตามเขาอยู่ข้างหลังและคอยเตือนให้เขาระวังกระถางถ่านอยู่ตลอดเวลา
เฉาเสวี่ยนั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนแม่อย่างเงียบเชียบและอ่านหนังสือภาพสำหรับเด็กกับนาง
เมื่อเห็นเฉาชิงหยางเดินเข้ามา เฉาฉวนก็เลิกเอะอะทันที เฉาเสวี่ยก็นั่งตัวตรงอยู่ในอ้อมแขนแม่ ยืดร่างเล็กๆ ขึ้น
สองพี่น้องค่อนข้างกลัวพ่อผู้สำรวมกิริยา
เฉาชิงหยางถอดชุดคลุมออก ยื่นให้แม่นมที่เดินเข้ามาและกวักมือเรียก
“ฉวนเอ๋อร์ มานี่สิ”
เฉาฉวนยืนตัวตรงเบื้องหน้าเขาและตะโกนว่า “ท่านพ่อ!”
เฉาชิงหยางพยักหน้าเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มออกมา “พ่อไม่ได้ทดสอบวิชาดาบของเจ้านานมากแล้ว”
เมื่อเขาเหลือบไปเห็นดาบไม้ที่เหน็บอยู่ตรงเอวลูกก็เอ่ยต่อ “แสดงให้พ่อดูหน่อยสิ”
“ขอรับ!”
เฉาฉวนพยักหน้าด้วยดวงตาที่สดใส ใบหน้าดูตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาชักดาบไม้ออกมาทันทีและแสดงเพลงดาบที่เลียนแบบมา ซึ่งค่อนข้างทรงพลัง
ภรรยายิ้ม
“ไม่รู้เหตุใดฉวนเอ๋อร์ถึงจู่ๆ ก็เปิดปัญญาได้ สวามี เขาเหมือนกับท่านหรือไม่”
ตอนเฉาชิงหยางยังเด็กเคยถูกเยาะเย้ยว่าคุณสมบัติห่วยแตก แม้แต่ผู้นำพันธมิตรคนก่อนก็ถูกคนแอบเยาะเย้ยว่าไม่รู้จักดูคน
เขามีจิตใจแน่วแน่ หมกมุ่นอยู่กับการฝึกอย่างหนัก ชกหมัดแปดพันครั้งทุกวัน ทว่าวันหนึ่งหลังจากผ่านไปหลายปี จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของฝั่งรุ่นเยาว์แห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องราวดีๆ
เฉาชิงหยางไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย เขาสวมเสื้อคลุมโดยไม่พูดอะไรและออกจากลานด้านในไป
เขาออกจากคฤหาสน์และมุ่งหน้าไปยังด้านหลังภูเขาโดยมีเป้าหมายชัดเจน
เขามีข้อสงสัยที่อยากถามบรรพชนอยู่เต็มไปหมด
ปราณมังกรคืออะไร เหตุใดถึงมาอยู่บนตัวลูกทั้งสองคนของเขา ทัศนคติของสำนักโหราจารย์ที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกรอีกและอื่นๆ
เขามาถึงหน้าผาอย่างรวดเร็ว ก่อนไปหยุดยืนตรงหน้าประตูหินที่ปิดสนิท
“ท่านบรรพชน ชิงหยางมีเรื่องจะสอบถาม”
เขาโค้งคำนับ
แม้จะตะโกนเรียกถึงสามครั้งแล้วก็ยังไม่มีการตอบกลับจากในประตูหิน
บรรพชนยังคงหลับใหลอยู่ เมื่อไหร่ถึงจะตื่นกัน การสู้รบที่เมืองหลวงในวันนั้นทำให้สภาพของเขาย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แถมรากบัวเก้าสีที่สวี่ชีอันสัญญาว่าจะมอบให้ก็ยังมาไม่ถึง…ภายในใจของเฉาชิงหยางหนักอึ้ง เขากำลังจะตะโกนอีกครั้ง
ทันใดนั้นโคมสีแดงเลือดหมูสองโคมบนหน้าผาก็สว่างขึ้นและมองมาอย่างเย็นชา
เฉาชิงหยางรู้ว่า เป็นภูเขาเฉวี่ยนหรงที่คอยปกป้องบรรพชนกำลังบอกให้เขาออกไป อย่ารบกวน
เขาโค้งคำนับอย่างช่วยไม่ได้และเดินกลับไปทางเดิม
…
ณ เมืองเล็กๆ ตรงชายแดนเจียงโจว
เหมียวโหย่วฟางกัดปิงถังหูลู่แล้วพูดว่า
“ข้าพบว่าผู้ลี้ภัยที่อยู่ชายแดนนั้นมีเยอะกว่าที่อื่นมาก”
หลี่หลิงซู่ก็กัดปิงถังหูลู่เช่นกันแล้วพูดว่า
“นั่นเป็นเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับเจี้ยนโจว ผู้ลี้ภัยต่างก็หนีไปที่นั่นกัน”
ใบหน้าของเหมียวโหย่วฟางเต็มไปด้วยความสงสัย “เจี้ยนโจวอุดมสมบูรณ์มากหรือ”
“ดินแดนที่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลก็ต้องอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว เจี้ยนโจวมีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นผู้นำที่แท้จริงของเจี้ยนโจว แม้แต่สามกองแห่งเจี้ยนโจวยังต้องเกรงกลัว” หลี่หลิงซู่พูดจาฉะฉาน “ยุทธภพเจี้ยนโจวเป็นระเบียบมาก คนที่ก่อกรรมทำชั่วจะถูกกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำจัดด้วยวิธีสายฟ้าแลบ ตรงข้ามกับอวิ๋นโจวที่ฆาตกรมารวมตัวกัน ในเวลาเดียวกัน สถานที่ราชการกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ถ่วงดุลกันและกัน จึงไม่มีใครกล้าทำตามอำเภอใจจนเกินไป”
“ข้าได้ยินมาว่าเจี้ยนโจวเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวิทยายุทธ” เหมียวโหย่วฟางไม่ค่อยเชื่อจึงโต้แย้งว่า “จากที่เจ้าพูด ราชสำนักจะไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรือ ปล่อยให้อิทธิพลของยุทธภพหนึ่งแผ่ขยายเช่นนี้”
“ข้าได้ยินว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวมีบรรพชนระดับบรรลุธรรมอยู่ ไม่รู้ว่าจริงไม่” หลี่หลิงซู่หัวเราะ
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดจาเพ้อเจ้อแล้ว” เหมียวโหย่วฟางเบ้ปาก
ทั้งสองคนเริ่มโต้เถียงกันแล้วหัวข้อก็ค่อยๆ เบี่ยงเบนไปจาก ‘ผู้ลี้ภัย’ กับ ‘ความอุดมสมบูรณ์’
“หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปถามสวีเชียนดูได้”
หลี่หลิงซู่ทำเสียงฮึดฮัด
ตัวตนกับสถานะของสวี่ชีอันจะต้องรู้ความลับเหล่านี้แน่
เหมียวโหย่วฟางมองมาทันที มู่หนานจือที่กำลังกินถังหูลู่กับไป๋จีที่กำลังเลียถังหูลู่ก็มองไปทางสวี่ชีอันผู้จูงม้าเข้ามาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
“ตาเฒ่าคนนั้นมีอยู่จริง และยังเป็นตาเฒ่าที่มีอายุเท่าๆ กับดินแดนอีกด้วย”
สวี่ชีอันพิจารณา “เพียงแต่ราชสำนักทนต่อการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ ไม่ใช่เพราะกลัวทหารเหนือมนุษย์คนหนึ่ง ต้องรู้ว่า ในยุคที่ต้าฟ่งเจริญรุ่งเรือง อย่าว่าแต่ทหารเหนือมนุษย์หนึ่งคนเลย ทหารเหนือมนุษย์สองคนยังไม่เพียงพอให้มอง”
“นั่นเป็นเพราะอะไรหรือ” เหมียวโหย่วฟางงุนงงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความสนใจ
หลี่หลิงซู่ฟังอย่างตั้งใจ เขารู้ว่าสวี่ชีอันมีเรื่องราวสนุกๆ ที่เป็นความลับมากมาย ตอนที่ตัวตนยังไม่ถูกเปิดเผย เขาก็ได้ฟังเรื่องราวที่เป็นความลับในสมัยโบราณมาจากเขา
ด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงเชื่อมั่นในตัวตนของสวีเชียนโดยไม่สนใจรายละเอียดกับข้อบกพร่องบางอย่าง และไม่ได้มองข้ามตัวตนของเขา
สวี่ชีอันตอบ
“ในปีนั้นต้าโจวยังไม่สูญสิ้น เหล่าวีรบุรุษลุกฮือขึ้น ชาวยุทธภพคนหนึ่งจับมือกับกำลังพลกลุ่มหนึ่งในเจี้ยนโจวและเริ่มต้นการเดินทางเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ต่อมา กำลังพลแต่ละฝ่ายก็ถูกกำจัดและรวมเข้าด้วยกัน เหลือเพียงสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกองกำลังของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง อีกกลุ่มคือกองกำลังของทหารเจี้ยนโจวผู้นี้ ต้าโจวในเวลานั้นได้สูญสิ้นลง และที่ราบตอนกลางก็กำลังฟื้นฟู เขาไม่อยากฆ่าแกงมนุษย์อีก จึงนัดสู้กับจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง ผู้ชนะได้ครอบครองที่ราบตอนกลาง ส่วนผู้แพ้ต้องล่าถอยไป ผลลัพธ์ในเวลาต่อมาพวกเจ้าก็รู้กันแล้ว ต้าฟ่งก่อตั้งมาได้ด้วยเหตุนี้
“ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ ข้าเพียงแค่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของจักรพรรดิเกาจู่ ทว่าตอนนี้ข้าเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ตาเฒ่าแห่งเจี้ยนโจวผู้นี้ไม่มีความคิดที่จะตั้งตนเป็นจักรพรรดิเลย เขาก่อกบฏเพราะประชาชนในเวลานั้นไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ ภายในใจเขา สิ่งที่แสวงหาน่าจะเป็นวิทยายุทธ กลับกันจักรพรรดิเกาจู่ไม่ค่อยสนใจวิทยายุทธและอายุยืนยาว เขาง่วนอยู่กับการตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ทั้งสองคนแสวงหาสิ่งที่ต่างกัน จึงถูกลิขิตผลลัพธ์เอาไว้แล้ว
“เมื่อตาเฒ่าแห่งเจี้ยนโจวล่าถอยไป จักรพรรดิเกาจู่ก็ทำข้อตกลงกับเขาไว้สามข้อ และอนุญาตให้เขาเก็บกองกำลังที่อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรงไว้ในเจี้ยนโจว เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้ตัวเองและคนรุ่นหลัง จนถึงตอนนี้ ทัศนคติของจักรพรรดิที่มีต่อเจี้ยนโจวนั้นไม่สำคัญแล้ว แต่ทัศนคติของท่านโหราจารย์คือกุญแจสำคัญ เจี้ยนโจวสามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้เป็นเพราะท่านโหราจารย์ยินยอม”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจ
ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็เป็นหนึ่งในหมากของท่านโหราจารย์เช่นกัน
ไม่รู้ว่าหมากบนกระดานของเฒ่าเหรียญปากผีคนนี้เหลืออีกกี่ตัว
ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเป็นผู้เล่นหมากรุกโดยกำเนิด…สวี่ชีอันลอบทอดถอนใจ
…
ณ อวิ๋นโจว เมืองเฉียนหลง
ภิกษุที่สวมผ้ากาสาวะเรียบง่าย เผยหน้าอกกำยำครึ่งหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงโต๊ะน้ำชา
“เจ้าวางแผนมาตั้งหลายปี คงไม่ได้ไม่นึกถึงวันนี้ไว้หรอกนะ”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เหลือบมองโหรชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เขาหมายถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของอวิ๋นโจวในเวลานี้
ท่านโหราจารย์ถูกกันไว้ด้านนอกอวิ๋นโจว ใครกล้าออกไปก็เตรียมใจตายเป็นคนแรกได้เลย
แน่นอนว่า สำหรับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่แล้ว มันก็เป็นแค่ความแข็งกร้าว
แม้ว่าที่ราบตอนกลางจะเป็นดินแดนของท่านโหราจารย์ เขาก็สามารถนอนราบได้
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ควบคุมร่างธรรมแห่งวชิระและร่างธรรมแห่งมัญชุศรี ไม่มีใครในขั้นหนึ่งสามารถสังหารเขาได้
หากสวี่ผิงเฟิงเริ่มก่อจลาจล เขาจะรับผิดชอบตรึงท่านโหราจารย์ไว้ ส่วนสวี่ผิงเฟิงรับผิดชอบบุกเมืองและชิงพื้นที่
แต่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่รู้สึกว่า หากวันนี้สวี่ผิงเฟิงไม่อาจแก้ไขวิกฤตตรงหน้าได้ พันธมิตรผู้นี้ก็คงไร้ประโยชน์เกินไป
สวี่ผิงเฟิงยิ้ม “อย่าวิตกไป อ๋องสยบแดนเหนือกับเว่ยเยวียนเป็นหมากด้านสว่างที่ท่านอาจารย์โหราจารย์วางไว้ เขายังมีบุตรในเงามืดอีกมากมายรอให้ไปข้ากำจัดทีละคน”