ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 615 แม้อยู่ห่างไกลพันลี้ ข้าก็ชิงมาแล้ว
บทที่ 615 แม้อยู่ห่างไกลพันลี้ ข้าก็ชิงมาแล้ว…
“บุตรในเงามืด?”
ร่างอวตารของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถามกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ราวกับรู้และไม่รู้
“ท่านโหราจารย์คือปรมาจารย์ลิขิตฟ้า เชี่ยวชาญด้านการวางหมาก ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ข้าคิดว่าแค่จัดการกับร่างอวตารทั้งสามร่างของจักรพรรดิเจินเต๋อและเว่ยเยวียนได้ ก็จะได้เป็นผู้ทรงพลัง
“โชคดีที่ข้าไม่เคยประมาทเขาเลย หลังจากปลีกวิเวกฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดข้าก็ได้พบกับบุตรในเงามืดที่ซ่อนตัวอย่างดี”
สวี่ผิงเฟิงเว้นวรรคเล็กน้อย ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ และกล่าวยิ้มๆ
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คือบุตรในเงามืดของท่านโหราจารย์ มันคือกองทัพที่ฝึกฝนอยู่ในยุทธภพ มิได้ขึ้นตรงกับราชสำนัก แต่กลับมีพลังต่อสู้ที่น่าประทับใจ
“ในเวลาส่วนใหญ่แล้ว มันก็เป็นแค่ขุมพลังในยุทธภพ แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อราชสำนักกำลังเสื่อมถอย กองทัพอ่อนแอ กองทัพลับที่กำลังเติบโตนี้ก็เริ่มมีความสำคัญทันที
“ในการปราบปรามกบฏ”
เจียหลัวซู่พยักหน้า “กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แอบพึ่งพิงท่านโหราจารย์มานานแล้วหรือ”
เขาไม่ค่อยทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับกองกำลังยุทธภพตอนกลาง อีกทั้งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับดวงตาเห็นธรรมให้เข้าสู่พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง
สวี่ผิงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ คนพวกนั้นไม่พึ่งพาใครลับหลังทั้งนั้น น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ลูบถ้วยชาเคลือบแวววาวเล่น รอให้โหรชุดขาวอธิบาย
“คนพวกนั้นทำข้อตกลงกับจักรพรรดิเกาจู่ หากว่าวันหนึ่งราชสำนักล่มสลาย ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมของต้าโจว พวกเขาจะลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มต้าฟ่ง
“ฟังดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรที่น่าดึงมาเป็นพวก
“อันที่จริงทำไม่ได้ ต้าฟ่งในตอนนี้ไม่เหมือนกับต้าโจวเมื่อวันวาน ชะตากรรมของต้าโจวมาถึงปลายทาง ผุพังเน่าหนอนลึกลงกระดูก หมดหนทางเยียวยาได้อีกต่อไป
“แต่หลังจากหยวนจิ่งแห่งต้าฟ่งถูกบั่นคอ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็ขึ้นครองบัลลังก์แทน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในสายตาของเหล่านักปราชญ์ทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่สื่อถึงปราณชีวิตของราชวงศ์ ภัยหนาวเป็นภัยพิบัติ ภัยพิบัติผ่านมาแล้วย่อมผ่านพ้นไปเสมอ อีกทั้งราชสำนักเองก็ยังพยายามบรรเทาภัยพิบัติอย่างขันแข็ง
“นั่นหมายถึงราชสำนักยังไม่เสื่อมถอยจนนิ่งดูดาย
“อีกอย่าง ในสายตาของคนพวกนั้น เหตุการณ์นี้เป็นผลมาจากการสูญเสียปราณมังกรของต้าฟ่ง การช่วยเหลือราชสำนักรวบรวมปราณมังกร ย่อมดีกว่าการทำสงครามกวาดล้างแผ่นดินตอนกลางเป็นไหนๆ”
สวี่ผิงเฟิงยกกาน้ำชาขึ้น เพื่อเติมชาร้อนๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ที่ข้าเสียดายก็คือคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ที่มุ่งมั่นจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิทยายุทธ เมื่อมีเป้าหมายไม่ตรงกัน ก็แน่ชัดแล้วว่าเขาไม่อาจเป็นพันธมิตรกับเราได้”
หากผู้ที่มีใจทะเยอทะยานได้พบกับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ
นั่นคือพันธมิตร
เจียหลัวซู่รับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สวี่ผิงเฟิงโบกมือ ถาดชา เครื่องลายครามและสิ่งของอื่นๆ บนโต๊ะบิดเบี้ยว เปลี่ยนรูปกลายเป็นกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกสองกล่องอย่างรวดเร็ว
เขาพับแขนเสื้อขึ้นด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหยิบตัวหมากรุกลายครามวางลงบนกระดานเสียงดัง ‘แกรก’
“ขุนศึกเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่ง ท่านโหราจารย์ ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ จ้าวโส่วแห่งลัทธิขงจื๊อ สวี่ชีอัน”
ทุกครั้งที่รายวานชื่อ มักจะมีชื่อของลูกชายโผล่มาด้วยเสมอ
“ชะตาของจ้าวโส่วคือต้องเป็นกระดูกสันหลังให้กับลัทธิขงจื๊อ และกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง สำหรับเขาแล้ว ใครขึ้นมานั่งบัลลังก์ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังปรารถนาจะเห็นผู้อื่นขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์ปัจจุบันด้วยซ้ำ
“หากเป็นเช่นนั้น ปัญญาชนแห่งลัทธิขงจื๊อก็จะมีอนาคตสดใส อีกย่างลัทธิขงจื๊อนั้นอ่อนแอมาจนถึงทุกวันนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในขั้นสาม หากเข้าร่วมศึกชิงปราณมังกร ย่อมมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว
“เขาอาจจะไม่กลัวตาย แต่ลัทธิขงจื๊อไม่ยอมให้เขาตาย คนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
สวี่ผิงเฟิงเก็บหมากที่เป็นตัวแทนของจ้าวโส่วลงในกล่อง
“การหนีเคราะห์กรรมของลั่วอวี้เหิงใกล้เข้ามาแล้ว แม้ว่านางจะเป็นลูกสะใภ้ของข้า และดับไฟแห่งกรรมเบื้องต้นไปแล้วก็ตาม แต่นี่หมายความว่านางเข้าใกล้หายนะขึ้นอีกก้าว ตอนนี้นางต้องสร้างสมดุลระหว่างพลังและไฟแห่งกรรม เมื่อใดที่สมดุลหายไป หายนะจะเข้ามาถึงตัวทันที”
หมากแทนตัวลั่วอวี้เหิงถูกเก็บกลับไปเช่นกัน
“ตบะของสวี่ชีอันยังไม่ฟื้นคืน ตอนนี้อย่างมากก็อยู่ในขั้นสามช่วงต้น หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง”
เขาโยนหมากแทนตัวสวี่ชีอันกลับใส่กล่องเบาๆ
“สภาพร่างกายของตาเฒ่าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สู้ดีนัก หลังจากเสร็จศึกที่เมืองหลวง ข้าคาดเดาว่าอาการของเขาน่าจะทรุดลง ตอนนี้ก็ใกล้จะผสานเต๋าล้มเหลวอยู่รอมร่อ มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะพังทลายทุกขณะ
“เช่นนั้นหากคิดจะปกป้องกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ท่านโหราจารย์ก็ต้องออกโรงเอง สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่อวิ๋นโจวย่อมได้รับการแก้ไขไปด้วยปริยาย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประนมมือและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“คิดๆ ดูแล้ว เจ้าได้เตรียมอาวุธที่จะทำลายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เอาไว้เป็นอย่างดีแล้วนี่”
สวี่ผิงเฟิงยิ้ม “ข้ายังไม่พร้อม ตอนนี้ข้ากำลังรอเวลานั้นอยู่”
…
ณ ชายแดนชิงโจว วัดร้างในเขตชายเมือง
จิ้งซินที่นั่งสมาธิมาหลายวัน ลืมตาขึ้นช้าๆ และก้าวเดินออกมาจากวัดร้าง
เขายืนทอดสายตาอย่างเงียบงันอยู่กลางลานวัด หลังจากผ่านไปนาน จิ้งหยวนก็กลับมาจากการบิณฑบาต
เทพอารักษ์ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร แต่คนที่อยู่ในชั้นสี่อย่างพวกเขา ยังมีเลือดเนื้ออยู่จึงต้องบริโภคอาการ
ศิษย์พี่ ศิษย์น้องประสานสายตา จิ้งซินถอนหายใจก่อนเอ่ย
“ข้าเข้าฌานไม่ได้”
จิ้งหยวนรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังถามออกไป “เพราะเหตุใดเล่า”
จิ้งซินกล่าวเบาๆ
“จิตมารสิงสู่
“หลายวันมานี้ ข้าเห็นภาพการต่อสู้ที่ยงโจว ภาพของศิษย์พี่ ศิษย์น้องที่ถูกเขาสังหารด้วยคมดาบเดียว ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ความกลัวและความแค้นสุมใจข้าอยู่เรื่อยๆ จนข้าสงบใจไม่ได้เลย”
จิ้งหยวนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ปณิธานของเจ้าคือสิ่งใด”
จิ้งซินบอกตามจริงไม่ปกปิด “ข้าหวังจะบรรลุพิฆาตกลีพลา”
ความสามารถของพิฆาตกลีพลามีอยู่สองประการ คือตัดทุกข์ทางโลก และตัดชีวาศัตรู
อย่างแรก เมื่อตัดทุกข์ของตนได้ ก็สามารถตัดทุกข์ของผู้อื่นได้เช่นกัน
อย่างหลังเป็นแค่พลังความรุนแรงเสริมล้วนๆ ทำช่วยลบล้างตัวตนของอีกฝ่ายให้หายไปจากโลก พูดง่ายๆ ก็คือ สังหารคน
จิ้งหยวนกล่าวเรียบๆ
“ศิษย์พี่ นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว
“ทุกข์ของเจ้าเริ่มต้นที่เขา ก็ต้องยุติลงที่เขา เจ้าจะได้บรรลุพิฆาตกลีพลา และก้าวไปสู่ตำแหน่งพระอรหันต์ได้”
จิ้งซินสายตามึนงง “การฆ่าเขามันง่ายดังปากพูดเสียที่ไหน”
หากปณิธานคือหนทางจำเป็นแห่งการบรรลุพลา เช่นนั้นปณิธานที่เกี่ยวข้องกับพิฆาตกลีพลาก็มีอยู่ด้วยกันสองทาง
หนึ่ง สังหารศัตรูตัวฉกาจของสำนักพุทธ หรือสังหารศัตรูคู่แค้นทั้งหลาย
ปณิธานในการสังหารศัตรูตัวฉกาจของสำนักพุทธเป็นเรื่องยากที่จะทำสำเร็จ เพราะคนที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพุทธได้ ไม่ใช่คนที่นักพรตขั้นสี่สามารถต่อกรได้
การสังหารศัตรูคู่แค้นหลายคนก็ยากพอๆ กัน ในเมื่อเป็นศัตรูคู่แค้น ก็ต้องเสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลา
สอง จำกัดจิตมารในใจของตน
เส้นทางนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วเป็นดั่งภาพลวงตา มีโอกาสสูงที่ทำไม่สำเร็จตลอดชีวิต เคยมีนักพรตบางคนที่ไม่เคยสัมผัสจิตมารของตนได้เลยจนกระทั่งสิ้นลม
จิ้งซินต้องการจะบรรลุกลีพลาเป็นพระอรหันต์ การสังหารสวี่ชีอันเป็นวิธีที่มีโอกาสสำเร็จสูงที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่เสี่ยงตายมากที่สุด…
จิ้งหยวนเงียบไป
พระอรหันต์พลา เดิมทีมีเพียงผู้ที่โชควาสนาดีเท่านั้นถึงจะบรรลุได้
ขณะนี้เอง สายลับในชุดคลุมสีดำจากตำหนักความลับสวรรค์ กำลังเดินมาหยุดนอกวัดร้าง ผ่านเส้นทางบนเขา
จิ้งซินและจิ้งหยวนหยุดการสนทนาโดยพร้อมเพรียง และเหลือบมองไปด้านข้าง
“ข้ามาพบเทพอารักษ์สองท่าน”
สายลับกล่าว
มีคำสั่งจากท่านอาจารย์อาและท่านอาจารย์งั้นหรือ จิ้งซินประนมมือขึ้น
“เชิญเข้าไปด้านในเถิด”
สายลับพยักหน้าและก้าวเข้าไปในวัด
วัดน้อยขนาดไม่ใหญ่โต ด้านหน้ามีรูปปั้นเทพผู้ปกปักขุนเขาล้มคว่ำหน้าอยู่ เทพอารักษ์ผิวสีทองอร่าม ด้านหลังมีวงแหวนไฟลุกโชนด้านหลังศีรษะสองคนนั่งขัดสมาธิ
“ท่านเจ้าตำหนักมีจดหมายเชิญท่านเทพอารักษ์ทั้งสองไปพบขอรับ”
สายลับซองจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ และยื่นให้มือสองข้างด้วยความเคารพ
เทพอารักษ์ตู้หนานแบมือออก ให้ซองจดหมายลอยมาตกในมือเอง เขาเปิดอ่านแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ยังมีสิ่งอื่นอีกหรือ”
สายลับหยิบกล่องโลหะออกมาทันที และโค้งคำนับ
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านเจ้าตำหนักให้ข้านำมาส่งมอบให้ท่านทั้งสอง”
ตู้หนานรับมาแต่ไม่ได้เปิดดู แค่พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
ได้ฟังเช่นนั้น สายลับก็ประนมมือโค้งคำนับ และไปจากศาลเจ้า
จิ้งซินและจิ้งหยวนเฝ้าดูจนสายลับจากไปลับตา ก็เดินเข้าไปในศาลเจ้าพร้อมกัน
เทพอารักษ์ตู้หนานกวาดตามองทั้งคู่แวบหนึ่ง
“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มีคำสั่งให้ข้าเดินทางไปยังเจี้ยนโจว เพื่อกำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยตนเอง”
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์? ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักพุทธแดนประจิม จิ้งซินและจิ้งหยวนไม่รู้จักกลุ่มอำนาจในยุทธภพต้าฟ่งเลยแม้แต่น้อย
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่ตอบ แต่เปิดกล่องโลหะเล็กๆ ออก
แสงสีทองอร่ามสาดเข้าตาจิ้งซินและจิ้งหยวน ทำให้ทั้งคู่ต้องหลับตาปี๋โดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเดียวกัน พลังอันน่าเกรงขามก็สั่นสะเทือนไปทั่วศาลเจ้าแห่งนี้
อากาศรอบข้างร้อนระอุ ราวกับกำลังอยู่เบื้องหน้าภูเขาไฟปะทุ ปอดแสบร้อนเป็นไฟ
‘เพล้ง!’
เทพอารักษ์ตู้หนานเปิดกล่องโลหะในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ ค่ายกลที่สลักบนพื้นเกิดการตอบสนอง ป้องกันพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ทันที
“นี่คือแก่นโลหิตหนึ่งเม็ดของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ทำให้ข้าหรือศิษย์น้องตู้หนานกลายร่างเป็นร่างธรรมเทพอารักษ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น”
อสูรเทพอารักษ์ตู้ฝานผุ้อัปลักษณ์อธิบาย
‘แก่นโลหิตของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่’ จิ้งซินและจิ้งหยวนมองหน้ากันและกลั้นลมหายใจ
ตู้หนานพูดต่อ “เจ้าตำหนักผู้นั้นต้องการให้เราขึ้นเหนือไปยังอวี่โจว เพื่อไปรวมตัวกับจีเสวียนและคนอื่นๆ”
…
‘ที่แท้เจี้ยนโจวก็มีประวัติศาสตร์ช่วงนี้อยู่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ’ หลี่หลิงซู่กัดถังหูลู่คำหนึ่ง ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่าเขาแอบชื่นชมสวี่ชีอันอยู่เล็กๆ
คนผู้นี้ ทั้งราชครู ทั้งพระชายา อีกทั้งยังมีคนสนิทเป็นสาวงามแห่งเมืองหลวงอีกมากมาย เจ้าชู้ประตูดินแท้ๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือความรู้ เขาก็อยู่เหนือกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด
หลี่หลิงซู่ในฐานะที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายสวรรค์ ความภาคภูมิใจเป็นสิ่งจำเป็น และยังเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง
ก่อนที่จะเข้าสู่ยุทธภพ เขาอ้างตนว่าเป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคสมัย เป็นสุดยอดหัวกะทิซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น
แต่ในหมู่คนหนุ่มสาวแห่งยุคสมัย ก็มีสวี่ชีอันด้วย
บดบังรัศมีคนหนุ่มผู้เยี่ยมยอดทั่วหล้าจนหมด
แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเก๋ายังต้องถอนใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจเกินคนรุ่นเก่า
“แบบนี้นี่เอง…”
เหมียวโหย่วฟางตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลิน “ข้าไม่เคยรู้เรื่องประวัติศาสตร์สนุกๆ แบบนี้ในหนังสือมาก่อนเลย”
แม้ว่าเขาจะอ่านตัวอักษรได้ แต่รู้หนังสือไม่มาก อย่างดีก็แค่ระดับระดับก่อปัญญา
อารยธรรม ความรู้ต่างๆ ล้วนได้มาจากนักเล่าเรื่องทั้งนั้น อย่างสงครามด่านซานไห่เมื่อปีมะโว้ จนป่านนี้ในภัตตาคาร โรงน้ำชาต่างๆ ก็ยังคงขับขานลำนำเก่าแก่นั้นอยู่
เหมียวโหย่วฟางได้รับความรู้ทั้งเรื่องเล่า ทั้งประวัติศาสตร์จากนักเล่าเรื่อง ยังคิดอยู่เลยว่านักเล่าเรื่องนั้นมีคลังประวัติศาสตร์อยู่ในปาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่สวีเชียนเล่ามานั้นลึกลับ สำคัญ และมีคุณค่าเพียงใด”
หลี่หลิงซู่ยิ้มเยาะ เขาถากถาง เย้ยหยันตามนิสัย
“เจ้ารู้อยู่แล้วนี่” เหมียวโหย่วฟางเองก็ถากถางตามประสาเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าว “ไหนว่ามาซิ”
หลี่หลิงซู่กล่าวแค่นเสียง
“ความลับพวกนี้ไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ แต่ย่อมเป็นเรื่องของชนชั้นสูง คนไม่มียศไม่มีตำแหน่งไม่อาจแตะต้องได้ นี่จะทำให้เจ้าเห็นแก่นแท้ของโลก และได้ตกตะกอนความคิด
“เหอะ ในหัวของเจ้าคงมีคำด่าให้ใช้เต็มไปหมดเลยละสิ ‘แม่เจ้าสิ’ ‘ไอ้หอกหัก’ ‘หน้าตัวเมีย’”
แต่คนไม่มีอารยะอย่างข้า ‘ฉิบหาย’ คำเดียวใช้ได้ทั่วปฐพี…สวี่ชีอันสรุปในใจเสร็จสรรพ
เหมียวโหย่วฟางไม่ยี่หระ “จอมยุทธ์ก็ต้องหยาบคายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
หลี่หลิงซู่ตกตะลึง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปสักพักถึงเอ่ยขึ้นมา
“แต่ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว การได้มารับใช้สวีเชียนถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต หากเจ้ายังทำตัวหยาบคาย ย่อมไม่มีวันได้เป็นผู้มีเกียรติ”
เหมียวโหย่วฟางมองไปทางสวี่ชีอัน หยุดโต้เถียงและบ่นพึมพำ
“แล้วข้าต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างไรเล่า”
สวี่ชีอันยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก่อนอื่นก็ต้องเน้นที่การควบคุมตนเอง อย่าเอาแต่พูดจาหยาบคาย อย่างเช่นเปลี่ยนจาก ‘เจ้ามันไอ้เศษสวะ’ เป็น ‘เจ้าใช่หลี่หลิงซู่หรือไม่’ “
‘เศษสวะ นี่ด่าว่าข้าเป็นเศษสวะสินะ’ หลี่หลิงซู่กล่าวแกมหัวเราะ “ผู้อาวุโสสวีช่างถ่อมตัวจริงๆ นะขอรับ”
สวี่ชีอันชี้ไปที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมองไปที่เหมียวโหย่วฟาง
“ดูสิ นี่ก็เป็นตัวอย่างเช่นกัน เรียนรู้จากเขาไว้ล่ะ”
จิ้งจอกขาวน้อยนั่งฟังบทสนทนาระหว่างมนุษย์สามคน ก็เงยหน้าหันไปหามู่หนานจือ และเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ท่านน้า ข้าต้องเรียนรู้ด้วยหรือไม่”
มู่หนานจือขบเม้มริมฝีปาก “เรียนไปจะเสียคน อย่าไปสนใจเจ้าพวกนั้นเลย”
สวี่ชีอันมองเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดด้วยรอยยิ้ม ฝ่ายหลังมองตอบด้วยดวงตาสดใส หยาดเยิ้ม
“เจ้ารู้จักเจี้ยนโจวดีขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เคยมาเยือนเจี้ยนโจวหรือ”
สวี่ชีอันถามคำถามที่ค้างคาใจมาโดยตลอด
หลี่หลิงซู่พยักหน้า “เจี้ยนโจวนับไม่ว่าไกลจากนิกายสวรรค์นัก หลังจากที่ข้าและศิษย์น้องหญิงลงมาจากภูเขาแล้ว สถานที่ที่สองที่ไปเยือนก็คือเจี้ยนโจว”
นิกายสวรรค์อยู่ไม่ไกลจากเจี้ยนโจวงั้นหรือ…สวี่ชีอัจดจำเอาไว้ แล้วถามต่อ
“แล้วเจ้ามีคนสนิทบ้างหรือไม่”
หลี่หลิงซู่หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม
ปฏิกิริยานี้ทำให้สวี่ชีอันอยากรู้อยากเห็น แต่ไหนแต่ไรมาหลี่หลิงซู่ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นพวกเจ้าชู้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีข้อห้ามในการผูกสัมพันธ์ระว่างชายหญิง น้อยนักที่จะมีท่าทีเก็บงำเช่นนี้
ความรักทั่วไปคงไม่จบเพียงเท่านี้ เห็นทีคงจะเป็นความรักที่ไม่เหมาะที่จะพูดถึง…เช่นนั้นปัญหาก็น่าจะอยู่ที่อยู่ฝ่ายหญิง แต่งงานมีสามีแล้วงั้นหรือ
คิดได้เช่นนี้ สวี่ชีอันก็หันไปมองมู่หนานจือโดยสัญชาตญาณ
“มองข้าเพราะเหตุใด?!”
มู่หนานจือขมวดคิ้วจนคิ้วตั้ง แสดงให้เห็นว่าโกรธมาก
เมื่อหัวข้อสนทนามาถึงเรื่องคนสนิท สวี่ชีอันก็หันไปมองนาง เพื่อยืนยันสถานะว่านางเป็น ‘คนสนิท’
เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดผู้สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งไม่มีทางยอมรับว่าตนเองเป็นคนสนิท
เหมียวโหย่วฟางส่งเสียงเฮลั่น “ได้ยินมาว่าหอหมื่นบุปผาแห่งเจี้ยนโจวมีแต่สาวงามลานตาดังปุยเมฆ งามระดับแผ่นดิน พี่หลี่ เจ้าเป็นคนรักอิสระและมีความรักล้นเหลือ ต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
“จริงด้วย สาวงามของหอหมื่นบุปผาแห่งเจี้ยนโจวมีมากราวปุยเมฆ ทั้งสาวน้อยวันแรกแย้ม สาวสวยอ่อนหวาน หรือสาวใหญ่เสน่ห์ล้นเปี่ยม…หนึ่งในนั้นยังมีเซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผา ที่งดงามระดับลือเลื่องทั้งแผ่นดิน
“แต่รูปร่าง หน้าตา นิสัย หรือเสน่ห์เหล่านั้น…”
ทันทีที่เหลือบเห็นสีหน้าหม่นหมองของมู่หนานจือ เขาก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เทียบไม่ได้กับเส้นผมเส้นเดียวของหนานจือเลย”
อย่างไรก็ไม่ถือว่าประจบสอพลอ ต่อให้เป็นราชครูที่น่าหลงใหล เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดก็ยังด้อยกว่าอยู่ดี
พวกนางไม่ได้ห่างชั้นกันด้วยใบหน้าหรือท่าทาง แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้
สวี่ชีอันหยิบเอาความรู้สึกนี้มาเป็น ‘เสน่ห์’ เฉพาะตัวของเทพดอกไม้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คะแนนโดยรวมของเซียวเยว่หนูถือเป็นที่สุดของที่สุดอยู่ดี
“คนงามแห่งหอหมื่นบุปผา ลานตาดังปุยเมฆ…” สีหน้าของเหมียวโหย่วฟางเต็มไปด้วยความโหยหา
หลี่หลิงซู่ไม่พูดไม่จา ควบม้า ‘กุบกับ’ หนีไปเสียดื้อๆ
เหมียวโหย่วฟางรีบไล่ตามไป และพูดประจบเอาใจ
“พี่หลี่ พี่มีคนสนิทอยู่ที่หอหมื่นบุปผาหรือ น้องชายยังไม่เคยพบพี่สะใภ้สักครั้ง แนะนำให้รู้จักหน่อยเถิดน่า แล้วจากนี้ไปข้าจะให้เจ้าเป็นพี่ของข้า ไม่สิ พ่อของข้าไปเลย…”
สวี่ชีอันเฝ้าดูตัวตลกสองคนไล่จับกัน ข้างหูก็ได้ยินเสียงมู่หนานจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“คนบางคนนี่นะ ใจลอยไปหาเซียวเยว่หนูแล้วกระมัง”
“ใช่แล้วๆ แม้อยู่ห่างไกลพันลี้ ข้าก็ชิงความบริสุทธิ์ของนางมาแล้ว”
เพราะคำพูดนี้ ทำให้สวี่ชีอันโดนขว้างก้อนกรวยใส่หัว
…
อวี่โจว
จีเสวียนและคนอื่นๆ ออกไปตาหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัย และกลับมาเพียงเพื่อพบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเพิ่มอีกเก้าคนในที่พักชั่วคราว
พวกเขาทั้งหมดในชุดเสื้อคลุมสีดำ ความแตกต่างคือแปดคนในนั้น พุงป่องเล็กน้อย ดูท่าทางคงจะสวมชุดเกราะเอาไว้ข้างใกล้เสื้อคลุม
ส่วนอีกคนหนึ่งรูปร่างดูปกติดี
กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง รวมไปถึงสายลับหนึ่งคนจากตำหนักความลับสวรรค์
ก่อนจะก้าวเข้าไปสำนัก ทันทีที่จีเสวียนรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ในสำนัก ก็มีเสียงทักทายที่ไม่แปลกใจขึ้นมา
“ทุกท่านคงคอยมานานแล้ว”
เขาสั่งให้พวกหลิ่วหงเหมียนและหงเหมียนไปนั่งอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม
“เกิดอะไรขึ้น”
หากไม่มีเหตุฉุกเฉิน สายลับของกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงและอวี่โจวไม่มีทางจับมือกัน
สายลับอวี่โจวหยิบจดหมายลับขึ้นมาเขย่าและโยนออกไป
จีเสวียนยื่นมือออกไปรับ และเปิดอ่านด้วยสีหน้างุนงง
หลังจากอ่านจบแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดทันที
“พี่เจ็ด”
สวี่หยวนไหวเอ่ยถาม
จีเสวียนส่งจดหมายแก่อีกฝ่าย
หลังจากที่สวี่หยวนไหวอ่านจบ ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา
“ท่านพ่อต้องการให้เราทำลายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์งั้นหรือ
“ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีเจ้าของร่างปราณมังกรถึงเก้าคนเชียวนะ…”