ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 616 การชุมนุม
บทที่ 616 การชุมนุม
สวี่หยวนซวงที่อยู่ข้างๆ คว้าจดหมายลับไปอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนจะส่งให้หลิ่วหงเหมียน ไป๋หู่ และฉีฮวนตานเซียง
หลังจากอ่านจบ ทุกคนก็ทำสีหน้าต่างกันออกไป
ตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพเพื่อตามหาปราณมังกร นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตำหนักความลับสวรรค์มีคำสั่งลงมา
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นราวกับเสียงระฆัง เริ่มแรกมันฟังดูสนุกสนาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความขมขื่น ทุกคนหันหน้าไปมองหลิ่วหงเหมียน ที่กำลังหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
จีเสวียนมองไปที่นางเงียบๆ รอจนกระทั่งหญิงสาวผู้งดงามสงบลง เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หงเหมียนเป็นลูกศิษย์หอหมื่นบุปผา นางรู้จักกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ดีที่สุด”
“ศิษย์เก่า”
หลิ่วหงเหมียนแก้ไขคำพูด ใบหน้าที่งดงามดั่งดอกท้อปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะกลับสู่ท่าทางปกติของนาง
นางครุ่นคิดสักครู่และกล่าวว่า
เจี้ยนโจวถูกยกย่องไปทั่วยุทธภพว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิทยายุทธ เพราะการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
“นับตั้งแต่เริ่มสถาปนาดินแดน มันเป็นดังยักษ์ใหญ่ของเจี้ยนโจว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คอยปกป้องยุทธภพเจี้ยนโจวมาแล้วเป็นเวลากว่าหกร้อยปี ทำให้เจี้ยนโจวเป็นพื้นดินที่มีพรรคต่างๆ งอกเงยขึ้นอย่างงดงาม
“จนถึงทุกวันนี้ พรรคแนวหน้าของยุทธภพเจี้ยนโจวต่างก็อยู่ภายใต้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทั้งสิ้น”
หลิ่วหงเหมียนกวาดตามองคนที่นั่งอยู่ และพูดต่อ
“ในบรรดากองกำลังภายใต้อาณัติของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มีเก้าพรรคที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือกลุ่มหมัดเทพเจ้า หอหมื่นบุปผา สำนักโม่ สำนักเฉียนจี สำนักครรลองเทพ สำนักอาภรณ์เหล็ก อวี่ซาน อารามกระเรียนขาว สมาคมการค้าเจี้ยนโจว
“บรรพบุรุษของพรรคเหล่านี้มีทั้งพวกที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ และพวกที่ก่อตั้งพรรคโดยมีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นผู้สนับสนุน หลายร้อยปีที่ผ่านไปจนได้ผูกสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
“ส่วนพวกพรรคเล็กพรรคน้อย ข้าขอไม่กล่าวถึงก็แล้วกัน”
สวี่หยวนไหวกล่าวเสียงเข้ม “ในพรรคเหล่านี้มียอดฝีมือขั้นสี่หรือ”
หลิ่วหงเหมียนพยักหน้า “อย่างน้อยก็มีหนึ่งคน”
ทุกคนเงียบไปสักพัก
นอกจากกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงแล้ว หากพึ่งพาพวกเขา ไม่จำเป็นต้องให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ออกโรง พรรคต่างๆ ในอาณัติก็ล่มสลายไปเองได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในพรรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องมียอดฝีมือคนอื่นอีกแน่นอน ขอแค่ยังไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ กลยุทธ์การต่อสู้แบบเวียนย่อมสามารถสังหารขั้นสี่ได้
ไป๋หู่แขนขาดกล่าว “เล่าสถานการณ์ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาซิ”
พูดจบ ทุกคนก็จับจ้องหลิ่วหงเหมียนเป็นตาเดียว รวมถึงกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงด้วย
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ตรงเชิงเขามีหมู่บ้านทหารอยู่แห่งหนึ่ง อ้างตนว่ามีทหารม้ากว่าสองหมื่นคน แต่ในความเป็นจริงคือทหารม้าแปดพันและทหารม้าเกราะไม่เกินสี่พันนาย ทหารและม้าสองหมื่นนายคือกองทัพของอดีตผู้นำกลุ่มพันธมิตร ซึ่งถูกแทนที่ไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”
หลิ่วหงเหมียนกล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปด้วย
“นอกจากกองทัพแล้ว ยอดฝีมือในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยังมีมากเกินนับไหว ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่อาจประเมินได้ ข้าคิดว่าคนที่ต้องจับตามองจริงๆ คือเอาชิงหยางและอดีตผู้นำกลุ่มพันธมิตร
“เฉาชิงหยางติดห้าอันดับแรกในบรรดาร้อยผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธภพ เข้าใกล้ระดับเหนือมนุษย์เพียงครึ่งก้าว หากเราคนใดคนหนึ่งเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัว ล้วนแต่ต้องพบกับทางตัน
“ส่วนอดีตผู้นำ แม้ว่าคนไม่น้อยในยุทธภพคิดว่าการมีอยู่ของเขาเป็นเพียงเรื่องปรุงแต่งที่กลุ่มพันธมิตรยุทธภพสร้างขึ้นมา แต่ระดับอย่างเราๆ ย่อมรู้ดีว่าเขามีตัวตนอยู่จริง
“ทว่าอดีตผู้นำไม่ปรากฏตัวมานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่หลังจากได้เห็นโชคลางของเจ้าตำหนักแล้ว ข้าก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากอธิบายสถานการณ์ของยุทธภพเจี้ยนโจวแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
“เราต้องการกำลังมากกว่านี้” จีเสวียนประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น เขามองไปยังสายลับอวี่โจว แล้วกล่าว
…
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน สวี่เอ้อหลางควบม้าออกจากเมือง ไปถึงสำนักอวิ๋นลู่อย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
เขาปีนเขาอย่างรวดเร็ว ผ่านสำนัก ไปยังป่าไผ่ด้านหลังภูเขา
“ท่านเจ้าสำนัก ฉือจิ้วขอคารวะ”
สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับด้านนอกอาคารไม้ไผ่
ใต้ฝ่าเท้าปรากฏแสงเพียงวูบเดียว เขาก็ถูกพาเข้าไปด้านในอาคารไม้ไผ่แล้ว
ในอาคารไม้ไผ่ที่เรียบหรูและเป็นระเบียบ จ้าวโส่วนั่งจิบน้ำชาอยู่คนเดียวที่โต๊ะ
ที่นั่งฝั่งตรงข้ามมีน้ำชาร้อนกรุ่นวางไว้คอยอยู่ถ้วยหนึ่ง
สวี่ซินเหนียนรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เตรียมให้กับตน และรับรู้ถึงท่าทีของจ้าวโส่วส่งมา
เดิมทีเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาตีตัวเสมอจ้าวโส่วได้
ไม่ว่าจะด้วยตบะหรือฐานะอาจารย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวโส่ว สวี่ฉือจิ้วควรจะยืนตลอดเวลา
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”
สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับ และนั่งลงอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าสองเรื่อง”
จ้าวโส่ววางถ้วยชาลง สายตาอ่อนโยน “ส่งสมุดบันทึกแทนสำนัก และนัดหมายดื่มชาช่วงบ่ายกับหวางเจินเหวินแทนข้า”
สวี่ซินเหนียนเป็นประกาย เขาลังเลเล็กน้อย “ขอรับ”
…
ชายแดนเจียงโจว
แม่ม้าน้อยสะบัดหาง ก้มลงกินอาหารบดละเอียดจากถังไม้
ม้าตัวผู้สองตัวที่ยืนขนาบข้าง จ้องมองอาหารบดของมันน้ำลายสอ ยื่นคอเข้าไปพยายามจะกินด้วยตลอดเวลา แต่แม่ม้าน้อยสะบัดคอฟาดใส่พวกมัน
ด้านหน้ากองไฟข้างลำธาร มู่หนานจือผัดผักป่าในกระทะ ส่วนสวี่ชีอันแล่เนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้จากในป่า
หลี่หลิงซู่นั่งยองๆ ล้างวัตถุดิบอยู่ที่ริมธาร
เหมียวโหย่วฟางยังไม่ได้ช่วยงานอะไร เขาฝึกชกต่อยอยู่ไม่ไกล เหงื่อเย็นไหลท่วมกาย
“เมื่อเข้าสู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว หลังจากนั้นคือขั้นห้าสลายแรง จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของขั้นนี้คือการฝึกลมหายใจพลังปราณ และสะกดกลั้นปราณโลหิต”
สวี่ชีอันแล่เนื้อไปด้วย สอนไปด้วย
“แต่มันต่างจากการสะกดกลั้นปราณโลหิตในขั้นหลอมจิต เจ้าต้องรู้สึกถึงจังหวะของร่างกายด้วยจิตใจของเจ้า และควบคุมพลังอย่างสมบูรณ์”
เหมียวโหย่วฟางขยับมือเท้าไม่หยุด พร้อมกับตะโกนตอบกลับเสียงดัง “ข้าควบคุมมันได้แล้ว”
หลี่หลิงซู่แค่นเสียงยิ้มเยาะ “เจ้ายังห่างชั้นอีกไกลโข”
“เจ้ามันเป็นนักพรตจะไปรู้สี่รู้แปดอะไร!” เหมียวโหย่วฟางด่ากลับ
หลี่หลิงซู่เมินคำพูดผรุสวาทของเขา และกล่าว
“มนุษย์เกิดมาควบคุมแขนขาตนเองได้ ควบคุมร่างกายของตนเองได้ แต่นั่นเป็นการใช้ร่างกายอย่างตื้นเขินที่สุด
“คนทั่วไปสามารถใช้พลังได้เพียงหนึ่งหรือสองส่วนในสิบส่วนจากพลังทั้งหมดในร่างกาย ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือการที่พวกเขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
“สาระสำคัญของขั้นห้าสลายแรง คือการควบคุมพลังที่ควบคุมไม่ได้พวกนั้น ข้าพูดถูกหรือไม่ ผู้อาวุโสสวี”
สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่หลิงซู่ และกล่าวเสริม
“ขั้นนี้ไม่อาจสำเร็จได้ในเร็ววัน และไม่อาจใช้เครื่องมือช่วยเหลือเพื่อผลักดันได้ ต้องอาศัยเพียงพรสวรรค์และการตื่นรู้ของแต่ละคนเท่านั้น ยิ่งไปสู่ระดับที่สูงขึ้นก็ยิ่งต้องใช้โชคและการตื่นรู้มากขึ้น ระบบหลักทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้
“อย่างไรก็ดีประสบการณ์ของผู้อาวุโสจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องเดินผิดทาง ข้าขอแนะนำเจ้าว่านอกจากชกมวยแล้ว เจ้าจงหมั่นนั่งสมาธิทุกวัน เพื่อฝึกฝนจิตเดิม”
เหมียวโหย่วฟางถาม “เหตุใดจึงต้องฝึกฝนจิตเดิมด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าต้องฝึกฝนกายเนื้อหรอกหรือ”
สวี่ชีอันกล้าวยิ้มๆ “เนื่องจากร่างกายถูกควบคุมโดยสมอง ยิ่งสมองพัฒนาดีเท่าไร ความสามารถในการควบคุมร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
เหมียวโหย่วฟางคล้ายจะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ส่วนหลี่หลิงซู่กำลังครุ่นคิดอย่างพินิจพิเคราะห์
…
จวนอ๋อง
สวี่เอ้อร์หลางมารับประทานอาหารที่จวนอ๋อง และถูกหวางซือมู่ชวนออกไปที่ลานด้านนอกห้องส่วนตัว
แม้ว่าทั้งสองจะหมั้นหมายกันอยู่ แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ห้องส่วนตัวของฝ่ายหญิงจึงไม่ใช่ที่ที่คู่หมั้นจะเข้าไปได้
นอกโถงตกแต่งอย่างสวยงาม มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ทั่ว บนชั้นวางโบราณเต็มไปด้วยของเก่านานาชนิด บนผนังมีรูปวาดลายเส้นแขวนอยู่
หวางซือมู่มากพรสวรรค์ หน้าตาสะสวย เฉลียวฉลาด การสนทนากับนางเป็นสิ่งที่น่ายินดีเสมอ
บางครั้งเขาก็แสดงความรักต่อนางบ้าง โชคดีที่เอ้อร์หลางไม่ใช่ชายหนุ่มแข็งทื่ออย่างที่เคย ทั้งยังหยอดคำหวานอีกนิดหน่อย
“เมื่อเทศกาลวสันต์ผ่านพ้น น้องหลิงเยวี่ยคงจะอายุสิบเก้าแล้วสินะเจ้าคะ”
หวางซือมู่ถามด้วยรอยยิ้ม
สวี่เอ้อร์หลางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่ง และพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
“เช่นนั้นก็ถึงวัยออกเรือนแล้วสิ มีคู่หมายหรือยังเจ้าคะ”
หวางซือมู่ถามต่อ
ในต้าฟ่ง อายุของผู้หญิงที่เหมาะจะออกเรือนสำหรับคนทั่วไปคือสิบสี่ปี สำหรับชนชั้นสูงจะอยู่ที่สิบหกปีขึ้นไป
อายุมากสุดไม่เกินยี่สิบสองปี มิฉะนั้นจะกลายเป็นสาวเทื้อ
สวี่เอ้อร์หลางเหลือบมองหญิงสาวที่อายุปาเข้าไปยี่สิบเอ็ดปีแล้วก็ยังไม่ออกเรือน แล้วกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก รออีกสักสองสามปีเถิด”
หวางซือมู่พยักหน้ายิ้มๆ และกล่าวเสริม
“หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว นางจะมีโอกาสได้เลือกสามีมากขึ้น”
ความคิดของนางแน่ชัดมาก ทันทีที่แต่งเข้าบ้านสกุลสวี่แล้ว นางต้องทำให้สวี่หลิงเยวี่ยแต่งออกจากตระกูลให้ได้
ลำพังนายหญิงใหญ่บ้านสกุลสวี่ก็สร้างความกดดันให้นางมากแล้ว หากยังมีน้องสาวเจ้าน้ำตาที่ชอบทำตัวน่าสงสารอีกคนคอยขัดแข้งขัดขา อนาคตของตนคงจะตกที่นั่งลำบากแน่
แน่นอนว่าหวางซือมู่ไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการทะเลาะเบาะแว้ง แต่งงานมาเพื่อจะหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น
นางเพียงต้องการลด ‘ภัยคุกคาม’ รอบตัวลง และพยายามกันไม่ให้ใครเข้ามาขวางทางก็เท่านั้น
สวี่เอ้อร์หลางส่งเสียง “เอ่อ อ่า” อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับสมุหราชเลขาธิการหวาง”
หวางซือมู่พยักหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะป่วย ท่านไอมาสักระยะหนึ่งแล้ว ทั้งยังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหม่อลอยตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ”
สวี่เอ้อร์หลางผงะ แล้วรีบไต่ถามด้วยความกังวล “ให้โหรของสำนักโหราจารย์มาดูอาการหรือยัง”
หวางซือมู่ถอนหายใจ
“คนของสำนักโหราจารย์บอกว่าท่านพ่อโหมงานหนักมานาน ความวิตกกังวลหนักหนา จำเป็นต้องพักผ่อน อีกทั้งยังเป็นไข้หวัดอีกด้วยเจ้าค่ะ
“ตอนที่เว่ยเยวียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ พอเว่ยเยวียนล่วงลับไป ท่านก็หมดศัตรูทางการเมือง หมดสิ้นกำลังใจจะทำสิ่งใด
“เดิมทีนี่ควรจะเป็นช่วงเวลาที่ได้โผทะยาน แต่ใครเลยจะรู้ว่าภัยพิบัติกลับโหมกระหน่ำเข้าใส่เช่นนี้…”
สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หลังจากออกมาจากจวนของคู่หมั้น เขาก็ไปเยี่ยมเยือนห้องหนังสือของสมุหราชเลขาธิการหวางตามความเคยชิน แล้วเคาะประตู
หลังจากได้รับการอนุญาตแล้ว เขาก็ผลักประตูเข้าไป
สมุหราชเลขาธิการนั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือ รินชาร้อนให้กับเขา บนโต๊ะเบื้องหน้าไม่มีสิ่งของวางอยู่ ราวกับว่าเมื่อครู่กำลังนั่งเหม่อลอย
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ เจ้าสำนักต้องการพบท่านขอรับ”
สวี่ฉือจิ้วพูดตรงเข้าประเด็น
สมุหราชเลขาธิการหวางจ้องมองเขาแน่นิ่งเนิ่นนาน ก่อนจะพูดเรียบๆ
“ไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องพบเขา ข้าหมดแรงจะต่อกรกับเขาแล้ว ไม่คิดแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ
“จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สำนักอวิ๋นลู่ต้องการใช้โอกาสนี้หวนคืนสู่ราชสำนัก นี่จะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางกับประชาชน นำมาสู่การต่อต้านของขุนนางบุ๋น ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เจ้าคงรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร”
สวี่เอ้อร์หลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวพร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา หากสำนักอวิ๋นลู่หวนคืนสู่ราชสำนัก ย่อมเป็นเสริมความแข็งแกร่งได้อย่างไร้ข้อกังขา”
สมุหราชเลขาธิการหวางส่ายหน้า
“สิ่งที่ราชสำนักต้องการไม่ใช่บัณฑิตใสซื่อปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจากสำนักอวิ๋นลู่ แต่เป็นเงิน เงินที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมดไม่สิ้น ไปบอกจ้าวโส่ว หากเขาหาเงินเข้าคลังหลวงได้สักห้าล้านตำลึง ข้าจะสละตำแหน่งให้
“การกีดกันปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่เป็นฉันทามติของปัญญาชนใต้หล้าและขุนนางบุ๋น หากคำพูดนี้ถูกเปิดเผยออกไป เจ้าลองคิดดูว่าขุนนางบุ๋นจะบีบบังคับให้ ‘สละราชสมบัติ’ หรือไม่
“เช่นนั้นแล้ว ใครจะเป็นผู้บรรเทาภัยพิบัติเล่า”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยทอดถอนใจ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
วันที่สาม เขาขอลาพักกับสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และมุ่งหน้าไปยังสำนักอวิ๋นลู่เพื่อ ‘รายงานภารกิจ’
“แม้ว่าสมุหราชเลขาธิการหวางจะไม่ยอมพบท่านเจ้าสำนัก แต่เขาก็นำสมุดบันทึกทูลเกล้าฯถวายแล้ว เพียงแต่ฝ่าบาททรงเพิกเฉย…”
สวี่เอ้อร์หลางกล่าว
“ช่างเถอะ!”
จ้าวโส่วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หันหน้ามองไปทางเมืองหลวง “ข้าทำทุกอย่างเพื่อหย่งซิ่งไปหมดแล้ว”
ในยามนี้ สวี่เอ้อร์หลางยังไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้
พระจันทร์สุกใส หมู่ดาวบางตา ลมหนาวพัดโบก
เรือบินเคลื่อนผ่านหมู่เมฆ ค่อยๆ ‘จอด’ เหนือเมืองสูงตระหง่าน
ตงฟางหว่านหรงยืนอยู่บริเวณหัวเรือด้วยใบหน้าฉายแววภาคภูมิใจ กระโปรงพัดลู่ลมพลิ้วไสว
“ท่านอาจารย์ มาถึงอวี่โจวแล้ว”
…
ในสำนักเล็กๆ จีเสวียนกำลังต้อนรับตู้หนานและตู้ฝาน เทพอารักษ์ทั้งสอง
“ไม่ทราบว่าเทพอารักษ์ทั้งสองท่านเจอตัวเจ้าของปราณมังกรทั้งเก้าหรือไม่ขอรับ”
จีเสวียนมองไปยังเทพอารักษ์สำนักพุทธ และถามเป็นการลองเชิง
ตู้หนานส่ายหน้าเล็กน้อย
อสูรเทพอารักษ์หลับตา ไม่พูดไม่จา
จีเสวียนยิ้มและไม่กล่าวอะไร เขารู้ว่าสถานะของตนไม่สูงค่าพอให้เทพอารักษ์ทั้งสองมองเห็น
จิ้งซินเอ่ย “ประสกจีเสวียน พันธมิตรที่ท่านขอให้เรารอคือผู้ใดหรือ”
จีเสวียนตอบตามความสัตย์จริง “คนของสำนักพ่อมดขอรับ”
เทพอารักษ์ตู้หนานลืมตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงหลับตา ไม่แสดงความเห็นใดๆ อีก
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเวลานั้น ปราณมังกรกระจัดกระจายได้อย่างไร”
การร่วมมือกับเมืองเฉียนหลง เป็นการตัดสินใจของภิกษุระดับสูงของสำนักพุทธ แม้ว่าปราณมังกรจะเป็นของเมืองเฉียนหลง พวกเขาก็ไม่มีข้อโต้แย้งอันใด
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักพ่อมดและสำนักพุทธยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
จีเสวียนกำลังจะเอ่ยปาก แต่จู่ๆ กลับหันไปมองนอกสำนัก
จิ้งซิน จิ้งหยวนเองก็ทำท่าทางแบบเดียวกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูไม้โทรมๆ ของสำนักน้อย
หลิ่วหงเหมียนบิดสะโพกเดินไปเปิดประตู หน้าประตูมีสองพี่น้องตงฟางยืนนำหน้าคนของตำหนักมังกรตงไห่
จีเสวียนลุกขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้ม “เชิญเจ้าตำหนักทั้งสองท่านเข้ามาก่อนขอรับ”