ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม
บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม
“เจี้ยนโจวเป็นเมืองที่ร่ำรวยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขตที่ไม่ใหญ่ แต่หอนางโลมกลับคึกคักเช่นนี้”
ถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา เหมียวโหย่วฟางนั่งอยู่บนหลังม้า เอียงหน้ามองไปทางซ้าย
ถนนที่ทางด้านซ้ายของเขา เป็นหอนางโลมสูงสามชั้น สาวงามที่ชั้นสองอยู่ชิดริม มีสาวงามที่แต่ละคนสวยเพริศพริ้งนั่งอยู่ พวกนางยิ้มแย้มดุจดอกไม้แรกแย้ม ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บบางคนสวมชุดกระโปรงหน้าอกเว้าลึก บางคนคลุมด้วยเสื้อผ้าโปร่ง ส่ายเอวไปตามอารมณ์ โบกสะบัดแขนเสื้อและผ้าเช็ดหน้า เชิญชวนลูกค้า
“นายท่าน นายท่านมาเที่ยวสิเจ้าคะ”
“คุณชาย ให้โอกาสข้าน้อยได้รับใช้ท่านสักครั้ง…”
สวี่ชีอันถอนหายใจท่ามกลางเสียงจอแจของหญิงสาว ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บบรรดาหญิงสาวแต่งกายเช่นนี้คอยเรียกแขก จะเห็นได้ว่าเป็นงานที่ลำบากยากเข็ญเพียงใด
หลี่หลิงซู่พูดด้วยความรู้สึกเห็นใจ “ล้วนแต่เป็นคนที่น่าสงสาร สังคมลำบากเช่นนี้ คนที่สามารถมาดื่มเหล้าเที่ยวโสเภณีได้นั้นลดลงกว่าเดิม หรือไม่ก็ไม่มาอีกแล้ว หอนางโลมหาเงินไม่ได้ ย่อมต้องขูดรีดจากหญิงสาว อากาศหนาวเช่นนี้ หากเป็นหวัดไปคงแย่แน่ ยังต้องจ่ายเงินรักษา หากไม่มีเงิน…”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า ในฐานะที่เป็นคนอ่อนไหว เขาทนเห็นผู้หญิงลำบากไม่ได้มากที่สุด
เหมียวโหย่วฟางพูดด้วยความทุกข์ใจว่า
“เจ้าคิดว่าหอนางโลมจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ไหว จนต้องปิดหอเลิกกิจการหรือไม่”
“แน่นอน!” หลี่หลิงซู่ตอบยืนยัน ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“เมื่อถึงเวลานั้น ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะถูกขายทิ้ง ไปเป็นคนรับใช้ หรือกระทั่งเป็นวัวเป็นควายให้คนอื่น”
เหมียวโหย่วฟางด่าอย่างหยาบคายว่า
“สภาพสังคมขี้หมูขี้หมา แม้แต่หญิงโสเภณีก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เฮ้อ ในกระเป๋าของข้าก็เหลือเงินไม่มากแล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าไม่มีปราณมังกร ป่านนี้คงก่อการกบฏแล้ว”
‘ข้าผู้ไม่มีเงินช่วยเหลือสตรีที่พลั้งพลาดจำต้องก่อการกบฎแล้ว’ ช่างมีสไตล์เหมือนนวนิยายบางประเภทเลย…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
หลี่หลิงซู่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “ก่อกบฏอะไรกัน ก่อกบฏอะไรกัน? เจ้าพูดไปทางคนอื่น อย่ามาพูดกับข้า”
คนทั้งคณะหาโรงเตี๊ยมพักชั่วคราว หลังจากเลี้ยงม้า กินข้าวเสร็จ เหมียวโหย่วฟางแอบยืมเงินสวี่ชีอันสิบตำลึงเงินด้วยสีหน้าเคอะเขิน จากนั้นก็เดินส่ายไปมาไปช่วยเหลือสาวๆ ที่ทำงานอย่างลำบากยากเข็ญเหล่านั้น
ส่วนหลี่หลิงซู่นั้นกลับเข้าห้องนั่งสมาธิฝึกลมหายใจ เขามีมาตรฐานสำหรับคนรักสูงมาก หญิงสาวงามเฉิดฉายธรรมดาๆ ล้วนไม่ถูกตาต้องใจ ยิ่งเป็นหญิงในหอนางโลมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยกเว้นแต่หญิงโสเภณีที่มีชื่อเสียงประเภทนั้น
แต่ว่า ด้วยใบหน้าหล่อเหลาชนิดไม่มีใครเทียบได้ เขาไปนอนกับผู้หญิงที่หอนางโลม พูดยากจริงๆ ว่าใครเป็นฝ่ายเสียเปรียบกันแน่
การที่สวี่ชีอันคิดเช่นนี้ ก็เพราะตอนที่อยู่เมืองหลวง บังเอิญได้ยินผู้หญิงในสำนักสังคีตพูดกันว่าการได้นอนกับฆ้องเงินสวี่ สวี่เอ้อร์หลาง และอารองสวี่นั้นนับเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง
‘ข้าเคยนอนกับผู้ชายสกุลสวี่ทั้งสามคน!’
พูดออกไปแล้วรู้สึกมีหน้ามีตา
อืม อารองเป็นเพียงของแถมเท่านั้น
ที่สวี่ชีอันให้เหมียวโหย่วฟางยืมเงิน ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล
เขาแอบเปิดห้องของเหมียวโหย่วฟาง แล้วปิดประตู ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เงียบสนิท เขาได้มุดเข้าไปที่ใต้เตียง
ผลข้างเคียงของเจ็ดยอดกู่นั้นยุ่งยากมาก ในแต่ละวันเขาต้องหาเวลามาสนองตอบ “ความต้องการ” ของหนอนกู่ ต้องรับพิษร้ายเข้าร่างกายทุกวัน ต้องอยู่ใต้เตียงชั่วขณะหนึ่งทุกวัน ต้องโต้ตอบกับไป๋จีทุกวัน ต้องโต้ตอบกับแม่ม้าน้อยทุกวัน ต้องกินข้าวตรงเวลาทุกวัน ปริมาณข้าวเยอะมาก ทุกปีจะได้พบเห็นกระดูกที่หนาวตายอยู่ข้างทาง จากนั้นก็ใช้ซือกู่ควบคุมพวกเขา ให้ศพขุดสุสานเพื่อฝังตนเอง มีเพียงฉิงกู่ที่ถูกสกัดกั้นไว้ชั่วคราว รอท่านน้าคู่บำเพ็ญมาบำเพ็ญคู่กับเขา ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ท่านราชครูน่าจะหายโกรธแล้วกระมัง…สวี่ชีอันขอให้ท่านน้าเป็นคนใจกว้าง การอับอายต่อหน้าผู้คนนี้ หลายๆ ครั้งก็จะชินไปเอง อย่าใส่ใจขนาดนั้นเลย
ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ เขาอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกสงบสุข ไม่อยากไปจากที่นี่ รู้สึกแต่ว่าโลกภายนอกเป็นห้วงแห่งความทุกข์ พื้นที่ใต้เตียงเป็นแดนสุขาวดีที่มีความสุขที่สุด
ในเวลานี้ หางตาเขาเห็นที่ข้างเตียงมีรองเท้าสีขาวเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง
“ใครกัน?”
สวี่ชีอันใจหายวาบตามสัญชาตญาณ ร่างกายหลบเข้าไปในเงามืดทันที ไม่ได้ขยับไปข้างหน้า นี่เป็นการยกระดับหลังการเลื่อนขั้นของอั้นกู่
เวลาต่อมา เขาโผล่ออกมาจากเงามืดข้างโต๊ะ เมื่อเพ่งดู คือซุนเสวียนจี
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจไปพร้อมกับต่อว่าอีกฝ่ายว่า “ศิษย์พี่ซุน ทำไม่ท่านถึงไม่บอกกล่าวล่วงหน้า?”
ความจริงแล้วเขาสามารถเดาได้ว่าเป็นซุนเสวียนจี แต่ความฝังใจที่สวี่ผิงเฟิงทิ้งไว้ให้เขานั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ อีกอย่างก็เป็นเพราะในจิตใต้สำนึกท่านโหราจารย์มีการต่อต้านโหรชุดขาวอย่างรุนแรง
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติก็ค่อยยังชั่ว ในเวลาที่สงบที่สุดผ่อนคลายที่สุด แล้วปรากฏตัวฉับพลันเช่นนี้ ก็จะกระตุ้นความในใจที่แท้จริงออกมาทันที
ซุนเสวียนจีเหลียวซ้ายแลขวา เดินตรงไปที่ข้างโต๊ะหนังสือ รินน้ำแล้วฝนน้ำหมึก
เขาไม่คิดที่จะเอ่ยปากจริงๆ หรือ? สีหน้าสวี่ชีอันเคร่งเครียด กระทืบเท้าตามไป
ฝนน้ำหมึกเสร็จแล้ว ซุนเสวียนจียกปากกาขึ้นเขียน
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีปราณมังกรสองสาย หนึ่งในเก้าปราณมังกร อาศัยอยู่ในร่างของลูกๆ ของเฉาชิงหยาง…”
ปราณมังกรแห่งเจี้ยนโจวอยู่กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จริงๆ ด้วย! สวี่ชีอันไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเรื่องนี้ เพราะเคยคาดเดาเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เป็นเพียงการยืนยันการคาดเดาเท่านั้น จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ
“สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ได้ส่งข่าวออกไปแล้ว”
บุตรในเงามืดของตำหนักความลับสวรรค์มีอยู่ทั่วไปในภาคกลางจริงๆ บุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ไม่รู้ว่าเว่ยกงนำพวกเขาส่งต่อให้ใครแล้ว…อีกอย่าง เครือข่ายข่าวกรองของสำนักโหราจารย์ก็เก่งกาจมาก…สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย
“รู้แล้ว พวกเราไปรับปราณมังกรตอนนี้เลย รีบไปก่อนคนของตำหนักความลับสวรรค์”
ซุนเสวียนจีไม่ได้ตอบรับ แต่เขียนต่อว่า
“หลังจากรับปราณมังกรเสร็จแล้วเล่า?
“สำนักพุทธและตำหนักความลับสวรรค์เป็นพันธมิตรกันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องมาที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เวลานี้สภาวะของผู้นำพันธมิตรคนเก่าแย่มาก กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สามารถต้านทานตำหนักความลับสวรรค์ และสำนักพุทธได้แน่นอน และอาจยังมีสำนักพ่อมดอีกด้วย
“พวกเขารู้ว่าปราณมังกรถูกรับไป ไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาจะไม่ฉวยโอกาสกำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เพื่อระบายความแค้น
“อาจารย์โหราจารย์ ให้ข้านำเจิ้นกั๋วเจี้ยนมาให้เจ้า”
“อ้อ?” สวี่ชีอันจ้องหน้าซุนเสวียนจีนิ่ง ถามหยั่งเชิงว่า
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นหมากของท่านโหราจารย์?”
สำหรับคำถามนี้ คำตอบของซุนเสวียนจีคือ “ข้าไม่รู้”
สวี่ชีอันเก็บความรู้สึกดูแคลน รีบใช้สมอง ในความทรงจำของเขา ท่านโหราจารย์เป็นมือมืดที่อยู่เบื้องหลัง ความบานปลายของเรื่องราวมากมายล้วนมีเขาเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นความลับอย่างยิ่ง
จนบางครั้งก็ไม่ทันสังเกตเห็นการปลุกปั่นของท่านโหราจารย์ จะต้องทบทวนบ่อยๆ เพิ่มการคาดเดาในระดับหนึ่ง
นี่เป็นทั้งความน่ากลัวของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า และเป็นขีดจำกัดของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
น้อยมากที่ท่านโหราจารย์จะทำการให้ของขวัญตรงๆ แบบนี้
นี่เป็นการบ่งบอกถึงอะไร?
ความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ครั้งนี้ อาจจะอันตรายมาก และเขาไม่มีไพ่ตายที่จะสามารถโต้ตอบได้ ท่านโหราจารย์จึงต้องดึงเบี้ยออกมาให้เขาด้วยตัวเอง
“ช้าก่อน ข้าขอตรวจสอบสักครู่”
สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา หยิบผ้ายันต์ป้องกันตัวที่ราชครูมอบให้ออกมา ความคิดจมอยู่ในนั้น สอบถามในระยะไกล
“ท่านราชครู ข้าคือสวี่ชีอัน มีเรื่องด่วน”
กระแสจิตเงียบกริบ ไม่มีการตอบรับ
สวี่ชีอันคนน่ารักของเจ้าอย่างไรเล่า…เจ้าพูดสิ…ราชครูน่าจะตัดการติดต่อกับโลกภายนอกอยู่ อย่างสั้นก็สามเดือน อย่างยาวก็ครึ่งปีก็จะพ้นเคราะห์กรรม ขั้นตอนปัจจุบันคือช่วงสูงสุดของการหนีเคราะห์กรรม
สวี่ชีอันเก็บผ้ายันต์ป้องกันตัว ผู้ช่วยของตัวเองผ่านเข้ามาในสมอง
เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วเป็นผู้ที่สามารถขอความช่วยเหลือได้ สามารถให้ฮว๋ายชิ่งช่วยถ่ายทอดคำพูดผ่านทางหนังสือปฐพี
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเพิ่งเข้ามามีส่วนร่วม ก็เรียกร้องโดยตรงให้ทุกคนเป็นอันธพาล ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะสำเร็จหรือไม่ ปีศาจจิ้งจอกอยู่ต่างแดนยังไม่กลับมา เห็นชัดๆ ว่าช่วยอะไรไม่ได้
เทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์สองท่านเคลื่อนไหวไม่แน่นอน ครั้งก่อนเป็นความโชคดีเหนือความคาดหมาย ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชักกระบี่ออกมาสังหารข้านั้นยิ่งเป็นไปได้มากกว่า
หลังจากสรุปแล้ว เขาก็พบว่าเพื่อนร่วมคณะก็คือซุนเสวียนจีและจ้าวโส่ว
สภาพของตาแก่แห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นอย่างไรนั้นพูดยาก รากบัวเก้าสีสุกแล้ว แต่เขาไม่มีทางเอารากบัวมาได้ ลำพังแค่ความเร็วในการเลื่อนขั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าล้วนช่วยอะไรไม่ได้
จ้าวโส่วไม่ได้ออกจากภูเขาชิงหยุนมาหลายสิบปีแล้ว ครั้งก่อนเป็นเพราะข้าถือเป็นกรณีพิเศษ นั่นเป็นเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจมา ก็พูดยาก
คิดแบบเลวร้ายที่สุดก็คือ ข้ามีซุนเสวียนจีเป็นเพื่อนร่วมคณะเพียงคนเดียว แต่อีกฝ่ายมีใครบ้าง?
เทพอารักษ์สองคน กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง น่าหลันเทียนลู่…มิน่าเล่าท่านโหราจารย์จึงได้ให้ซุนเสวียนจีนำเจิ้นกั๋วเจี้ยนมา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี
สวี่ชีอันเลิกคิด แล้วถามว่า
“ปราณมังกรทั้งสองสายอยู่ที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทั้งหมด ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?”
ซุนเสวียนจีเขียนว่า “ปราณมังกรมีความหวังกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มากกว่า มีอนาคตในการก่อการกบฏ”
สวี่ชีอันหรี่ตาทันที
“มีอนาคตในการก่อการกบฏ แล้วยังต้องช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ท่านโหราจารย์และตาแก่จะต้องตกลงอะไรกันเอาไว้แน่นอน อื้ม หากเป็นเช่นนี้ สวี่ผิงเฟิงคงจะไม่นิ่งดูดาย เขาจะต้องกำจัดภัยแฝงที่สามารถกำจัดได้ให้หมดสิ้นก่อนจะมีการก่อการกบฏ”
ซุนเสวียนจีเขียนว่า “เจ้าฉลาดมาก ตอนที่ข้าได้รับเจิ้นกั๋วเจี้ยนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
บ้าเอ๊ย ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจของโหรเสื้อขาวของข้า ความบอบช้ำอย่างหนักกำลังจะกำเริบอีกแล้ว…สวี่ชีอันแอบตำหนิในใจ
“แต่น่าสนใจมาก!”
เขาพูดเสริมประโยคหนึ่ง เบื้องหน้าราวกับมีกระดานหมากรุกปรากฏขึ้น และอีกฝั่งของกระดานหมากรุกก็คือสวี่ผิงเฟิง
เมื่อก่อนสวี่ชีอันเป็นหมากตัวหนึ่ง โดยที่ผู้เล่นสามารถเดินบนกระดานได้ตามแต่ใจ ตอนนี้ยังคงเป็นหมากตัวหนึ่ง แต่มันไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว หมากตัวนี้สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของนักเล่นหมากรุกได้แล้ว เลือกที่จะเดินเองได้
ตัวอยู่ที่กระดานหมากรุก กลับสามารถเล่นหมากรุกกับนักเล่นหมากรุกได้
ลองเล่นกับเขาอีกตา อืม ห้ามประมาทสวี่ผิงเฟิง ข้าต้องใคร่ครวญสักหน่อย เดินสักสองสามตัว…
…
ภูเขาเฉวี่ยนหรง
หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงขี่ม้าเร็วติดตามคณะ มาถึงซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่อยู่ตีนเขา
หลังจากมาถึงกองบัญชาการกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แล้ว คณะที่ก่อตั้งขึ้นโดยสาวงามคณะนี้ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงมาก ไม่เคร่งเครียดอีกแล้ว
หรงหรงมองไปที่ผู้ดูแลหอที่อยู่ข้างหน้า แล้วก็ถามอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เสียงต่ำว่า
“อาจารย์ ท่านคิดว่าคำสั่งธงแดงครั้งนี้ เพื่อเหตุใดกันแน่?”
การเรียกพรรคในสังกัดมาชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ แบ่งออกเป็นสามลำดับขั้น แบ่งตามลำดับล่างถึงบนคือคำสั่งพฤกษาเขียวขจี คำสั่งธาราทมิฬ และคำสั่งธงแดง
คำสั่งพฤกษาเขียวขจี มักจะสั่งให้ทุกพรรคประกาศจับกุมนักโทษและโจรที่หนีหัวซุกหัวซุน
ส่วนคำสั่งธาราทมิฬนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างพรรค เป็นคำสั่งสำคัญมาก
คำสั่งธงแดงนั้นใช้น้อยมาก เพราะจะใช้เมื่อผู้นำพันธมิตรเรียกพรรคใหญ่ทุกพรรคมาชุมนุมกันร่วมกันป้องกันการจู่โจมของศัตรูเท่านั้น
พูดสั้นๆ ง่ายๆ คำสั่งธงแดง ก็คือตราประทับของแม่ทัพ ใช้ในการเรียกกองกำลังนั่นเอง
ครั้งก่อนที่ใช้คำสั่งธงแดง คือตอนที่แย่งชิงเมล็ดบัวนั่นเอง
สาวงามส่ายหน้า น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“สรุปว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
นางหวดแส้ครั้งหนึ่ง ตามเซียวเยว่หนูที่อยู่ข้างหน้า พูดเสียงต่ำว่า
“ผู้ดูแลหอ หลายวันมานี้ ผู้ประสบภัยทะลักเข้ามาในเจี้ยนโจวไม่หยุด ทางการรับภาระไม่ไหว ผู้ประสบภัยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ก็ไปเป็นโจรระเหเร่ร่อน ทุกพื้นที่ในเจี้ยนโจวล้วนได้รับผลกระทบ ท่านว่าผู้นำพันธมิตรเรียกพวกเรามาชุมนุม เพื่อหารือเรื่องการจัดการกับผู้ประสบภัยใช่หรือไม่?”
หากเป็นกลุ่มอิทธพลในยุทธภพที่อื่นจะไม่มีจิตสำนึกเช่นนี้ แต่พรรคในยุทธภพเจี้ยนโจว ยังคงดำรงประเพณีในการรักษาระเบียบไว้
“ไม่ใช่เรื่องของผู้ประสบภัย”
เซียวเยว่หนูส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งถูกปิดบังด้วยผ้าไหม จมูกโด่งและเค้าโครงใบหน้างดงาม ดวงตาของนางสดใสมีชีวิตชีวา ราวกับหยดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ผิวขาวผ่องสามารถเปรียบเทียบกับผ้าไหมสีขาว
“เมื่อครู่ตอนที่เดินทางผ่านทหารรักษาดินแดน กองกำลังป้องกันนอกเมืองเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า หน่วยสอดแนมที่ส่งไปปฏิบัติงานต่างเมืองก็มากขึ้นเช่นกัน”
เสียงเซียวเยว่หนูมีแรงดึงดูดของสาวที่โตเต็มวัยทั้งนุ่มนวลและไพเราะ “ผู้ประสบภัยจะไม่ทำให้กองบัญชาการทำการตอบสนองเช่นนี้ น่าจะมีศัตรูภายนอกแอบสังเกตการณ์อยู่รอบๆ”
ศัตรูภายนอก…ในใจของสาวงามรู้สึกหนาวยะเยือก นางรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตั้งตระหง่านอยู่ในเจี้ยนโจวมาหลายร้อยปี หลายปีมากแล้วที่ไม่มีคนกล้าท้าทายความยิ่งใหญ่เช่นนี้
มองไปรอบๆ ภาคกลาง ผู้ที่สามารถคุกคามกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ มีเพียงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เท่านั้น
หรือว่าหลังจากจักรพรรดิพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว จะใช้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาสร้างบารมี? แต่เพราะอะไรกัน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นั้นต่างคนต่างอยู่ จะสร้างบารมีก็สร้างไม่ถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
…
นางมองเซียวเยว่หนู ดวงตาสดใสงดงามคู่นั้นไม่มีแววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เช่นนี้จึงทำให้ในใจของหญิงงามสงบลงเล็กน้อย
นางเห็นผู้ดูแลหอเติบโตมากับตา เป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่มีไหวพริบและความคิดมาตั้งแต่เด็ก ขณะที่เด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันเล่นตุ๊กตา กินถังหูลู่ นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเอง อนาคตของสำนักแล้ว แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
เพียงแต่ความงามของนาง มักจะทำให้คนมองข้ามความฉลาดของนาง
หญิงงามรู้สึกว่าจะโทษผู้ชายความคิดตื้นเขินพวกนั้นก็ไม่ได้ เพราะผู้ดูแลหอจะใช้ผ้าปิดบังใบหน้าตลอดปี เพราะสวยเกินไป จึงต้องปิดบังไว้
จำได้ว่าตอนนางอายุสิบเอ็ดปี ก็เริ่มสะโอดสะองหน้าตาดี รูปร่างเริ่มมีทรวดทรงองค์เอว มีทั้งความงามสดใสแบบสาวรุ่น และมีเสน่ห์ดึงดูดแบบสาวที่โตเต็มวัย
ในเวลานั้นผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เห็นแล้วก็ชื่นชอบนางทันที พยายามทุกวิถีทางที่จะรับเซียวเยว่หนูมาป็นอนุภรรยา ในเวลาเดียวกันนั้นรองผู้นำพันธมิตรอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ผู้หญิงอะไรก็หาไม่ได้ และยังคงไม่สามารถต้านทานความงามของเซียวเยว่หนูได้เหมือนเดิม สุดท้ายจากการแทรกแซงของอดีตผู้นำพันธมิตร หอหมื่นบุปผาจึงได้พิทักษ์นางไว้
“เจ้าให้ศิษย์สาวทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม หากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องพบกับศัตรูที่มีกำลังมากจริงๆ เจ้าก็ให้พวกนางกลับสำนักไป”
เซียวเยว่หนูพูดเสียงเบา
“รับทราบ!”
หญิงงามรู้ว่านางกำลังปกป้องลูกหลานของสำนักไว้ ลูกศิษย์สาวมีกำลังในการรบจำกัด หากศัตรูเข้มแข็งมาก การเก็บเชื้อไฟเอาไว้ ยังดีกว่าทิ้งไว้เป็นซากที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่
ไม่นาน บรรดาหญิงสาวของหอหมื่นบุปผาก็ปีนขึ้นมายังภูเขาเฉวี่ยนหรง ขึ้นไปตามบันได มาถึงลานกว้างของจวนเจ้าเมือง
ที่นี่ มีผู้คนรวมตัวกันมากกว่าหนึ่งพันคน