ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 619 ศัตรูมาถึง
บทที่ 619 ศัตรูมาถึง
“น้องหยวนซวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือโชคชะตา?”
จีเสวียนยืนหยัดอย่างภาคภูมิอยู่บนเรือกลางอากาศที่สูงหลายพันจั้ง พลางมองดูผืนดินอันกว้างใหญ่
ลมพัดกรรโชกโหยหวน แต่พลังปราณที่เขาหนุนขึ้นมาสามารถขวางกั้นไว้ได้ถึงสามจั้ง
สวี่หยวนซวงก็อยู่ในขอบเขตที่พลังปราณกั้นขวางด้วยเช่นกัน สาวน้อยคนงามถอนสายตากลับมาแล้วหันไปมองญาติผู้พี่ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านนัดข้าออกมาเพื่อถามเรื่องนี้หรือ”
พลังปราณกีดขวางจำกัดบทสนทนาของทั้งสองให้อยู่ภายในขอบเขตรัศมีสามจั้งเท่านั้น
จีเสวียนหรี่ตาลง บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยนดังเดิม เขาเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ จึงอยากจะยืนยันสักหน่อย”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจคำพูดประโยคนี้ของเขา จึงคิดทบทวนแล้วเอ่ยว่า
“สรรพสิ่งทั่วโลกล้วนมีชะตากรรม ชะตากรรมของแต่ละตนล้วนแตกต่างกัน มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า ยากจน ร่ำรวย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวตัดสินความมากน้อยของชะตากรรม ราชวงศ์ก็มีชะตากรรมเช่นกัน แต่จากคำพูดของโหร สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตา”
จีเสวียนเก็บรอยยิ้มและทอดมองไปไกล ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“สิ่งที่พี่เจ็ดอยากถามก็คือ โชคชะตาและชะตากรรม เหมือนกันหรือไม่”
สวี่หยวนซวงพยักหน้า “ลักษณะนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อนำชะตากรรมของคนผู้หนึ่งไปเทียบกับชะตาของอาณาจักรแล้ว ก็เปรียบดังน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร”
จีเสวียนไม่พูดอะไรอีก แล้วมองไปไกลยิ้ม
“มาถึงภูเขาเฉวี่ยนหรงแล้ว!”
…
เซียวเยว่หนูกวาดตามอง เห็นสำนักใหญ่ที่รุ่งโรจน์อย่างกลุ่มหมัดเทพเจ้าและสำนักโม่ ทั้งยังเห็นสำนักที่มีพลังอำนาจต่ำลงมาด้วย
จำนวนคนที่มากสุดของพวกเขาอยู่ที่หลายสิบคน น้อยสุดไม่ถึงสิบคน ตอนนี้ล้วนแห่กันมาเพราะชื่อเสียง
เหล่าจอมยุทธแห่งยุทธภพมารวมตัวกันที่ลานกว้าง แววตาของแต่ละคนสว่างไสว ต่างก็จับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวจากหอหมื่นบุปผาไม่วางตา
ในจำนวนนั้น สายตาที่มองพินิจมายังเซียวเยว่หนูมีมากที่สุด
ในฐานะที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเจี้ยนโจว ไม่ว่าเซียวเยว่หนูจะเดินไปที่ใด ล้วนเป็นจุดสนใจอย่างที่สมควรจะได้รับแล้ว
หากมีดีเพียงแค่ความงาม ก็จะชักนำความโลภและการดูหมิ่นดูแคลนจากบุรุษ แต่ในขณะเดียวกัน เซียวเยว่หนูก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ด้วย
เมื่อพูดถึงพลังต่อสู้ของคนผู้หนึ่ง เหล่าหัวหน้า เจ้าสำนัก และเจ้าลัทธิที่นั่งอยู่ล้วนไม่มีใครกล้าพูดว่าสามารถเอาชนะนางได้โดยง่าย
เมื่อมีการฝึกตนที่แข็งแกร่งเป็นรากฐานและมีรูปลักษณ์ที่สวยงามเป็นของตกแต่ง เท่านี้ก็ทำให้นางกลายเป็นหญิงงามในฝันของเหล่าจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวได้แล้ว
“ทุกท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือ”
เซียวเยว่หนูไล่สายตามอง เสียงที่นุ่มนวลและทรงเสน่ห์ดังออกมาจากใต้ผ้าคลุมหน้า
“ผู้นำพันธมิตรเฉาไปที่หลังเขาแล้ว”
“ผู้นำพันธมิตรไม่อยู่ในจวน ออกไปได้สักครึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว”
“ผู้ดูแลหอเซียวมาที่นี่ ระหว่างทางพบเจอเรื่องผิดปกติบ้างหรือไม่”
เหล่าวีรบุรุษจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เริ่มเปิดบทสนทนา ประโยคโหวกเหวกมากมายล้วนดังขึ้นมาติดๆ กัน
อีกด้านหนึ่ง ในหมู่คนจากสำนักโม่ อาจารย์ของคุณชายหลิ่วชำเลืองมองศิษย์ของตน และพบว่าเจ้าลูกศิษย์ไม่เอาไหนคนนี้กำลังจ้องมองไปยังเซียวเยว่หนูผู้งดงามไร้ใดเปรียบอย่างลุ่มหลง
ทันใดนั้นเขาก็พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วตะคอกใส่ว่า
“ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็ควรสนใจแม่นางหรงหรงให้มากหน่อย ข้าจะได้หาเหตุผลไปที่หอหมื่นบุปผาเพื่อขอแต่งภรรยาให้เจ้า”
เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาตลอดชีวิต ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ย่อมต้องเป็นกังวลกับเรื่องการแต่งงานของลูกศิษย์อยู่แล้ว
ผลก็คือเจ้าลูกศิษย์ไม่เอาไหนผู้นี้กลับหลงใหลเซียวเยว่หนูแทบบ้า กลับไม่คิดเสียบ้างว่าคางคกอย่างเขาจะคาบหงส์มาไว้ในปากได้หรือไม่?
คุณชายหลิ่วเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย
“อาจารย์ ตัวท่านเองก็ยังไม่ได้แต่งภรรยาสักหน่อย ท่านรีบหาอาจารย์แม่ให้ข้าก่อนเถอะ”
อาจารย์ของคุณชายหลิ่วกล่าว
“อาจารย์เป็นมือกระบี่ มีแค่กระบี่ก็พอแล้ว และมีเพียงการปฏิบัติต่อกระบี่ด้วยใจจริงเท่านั้น กระบี่จึงจะซื่อสัตย์จริงใจต่อเจ้า หนทางยาวไกล มีเพียงกระบี่เป็นสหายคู่กาย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ขณะที่เอ่ย เขาก็แตะกระบี่ที่ห้อยอยู่ที่เอวอย่างน่าเวทนา
กระบี่เล่มนี้คือของที่สำนักโหราจารย์มอบให้เขาแทนฆ้องเงินสวี่
คุณชายหลิ่วเอ่ยเสียงค้านเล็กเสียงน้อย
“ท่านอาจารย์ กระบี่เล่มนี้เป็นของข้า”
“อาจารย์กล่าวแล้วมิใช่หรือ พออาจารย์สิ้นแล้ว กระบี่เล่มนี้จึงจะถูกส่งมอบให้เจ้า”
มือกระบี่วัยกลางคนจ้องเขม็งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะต้องปฏิบัติต่อมันอย่างจริงใจ”
“ข้าจะเป็นเช่นท่านอาจารย์ ปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นภรรยา” คุณชายหลิ่วเลียริมฝีปาก
เมื่อเอ่ยจบ สองศิษย์อาจารย์ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูแล้วรู้สึกผิดปกติไปหน่อย จึงมองหน้ากันแล้วพากันเงียบ
ตอนนี้เอง ข้างในจวนผู้นำพันธมิตรก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา ทั้งสง่างาม เรียบง่าย และมีท่าทางราวกับปัญญาชน
เขาสวมชุดคลุมสีดำปักดิ้นเงินดิ้นทองและสวมกวานทองคำ การแต่งตัวประณีตงดงามยิ่ง
นั่นคือรองผู้นำพันธมิตรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เวินเฉิงปี้
ภายในของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใช้ระบบทหารแบบเดียวกับผู้นำพันธมิตรคนเก่าในอดีตโดยสมบูรณ์ เพียงแต่ปรับแต่งชื่อเรียกตำแหน่งเท่านั้น
แม่ทัพใหญ่เปลี่ยนเป็น ‘ผู้นำพันธมิตร’
รองแม่ทัพและเสนาธิการเปลี่ยนเป็น ‘รองผู้นำพันธมิตร’
รองผู้นำพันธมิตรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในอดีต หลักๆ แล้วเป็นปัญญาชนทั้งนั้น โดยจะมุ่งเน้นไปที่ความเฉลียวฉลาด ไม่ใช่กำลังต่อสู้
“ผู้นำพันธมิตรเฉากลับมาแล้ว ทุกท่าน โปรดตามข้าเข้ามาข้างใน”
เวินเฉิงปี้ยืนอยู่หน้าประตูจวนแล้วคำนับให้ทุกคน
ท่ามกลางความเงียบ เจ้าลัทธิและหัวหน้ากลุ่มที่อยู่ตรงนั้นก็เดินออกมาคำนับให้ แล้วพากันเข้าไปในจวน
ส่วนพวกลูกศิษย์นั้นอยู่ข้างนอก
เซียวเยว่หนูเข้าไปในจวนผู้นำพันธมิตรพร้อมกับกลุ่มผู้นำและเดินมาถึงยังโถงประชุมใหญ่
เฉาชิงหยางมีผู้มีใบหน้าเหลี่ยมคมแบบกระบี่และมีบุคลิกเข้มงวดสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนและนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ จากนั้นก็มองมายังฝูงชนที่มารวมตัวกัน
หลังจากทุกคนเข้ามานั่งที่พร้อมแล้ว เขาก็เอ่ยเสียงขรึม
“ทุกท่าน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังจะต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่แล้ว”
เมื่อเหล่าหัวหน้าทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ ราวกับได้คาดคิดเอาไว้แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตะลึงมากเกินไป
ผู้นำของสำนักขนาดกลางและเล็กไม่กล้าเอ่ยอะไร ได้แต่อยู่ในความเงียบสงบ
ในโอกาสเช่นนี้ ทุกคนเพียงแค่ต้องนิ่งเงียบและรอให้ฟู่จิงเหมินเอ่ยปาก
หนึ่งในบรรดาผู้นำของเก้าสำนักใหญ่ ฟู่จิงเหมินผู้สวมชุดรัดรูปสีฟ้าอ่อนก็เอ่ยเสียงดัง
“คนตาบอดที่ไหนกันที่อยากจะยั่วยุกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของเรา สู้กลับไปก็จบแล้ว ถึงเป็นกองทัพของราชสำนัก พวกเราก็ไม่กลัว”
เมื่อหัวข้อสนทนาถูกเปิดแล้ว เซียวเยว่หนูก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เกรงว่าจะไม่ใช่ราชสำนักน่ะสิ”
ฟู่จิงเหมินขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด”
ชายอ้วนท้วนวัยกลางคนที่นั่งเยื้องตรงข้ามกับเขาแค่นเสียงหยันแล้วชี้นิ้วไปที่ศีรษะ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ใช่สมองที่รู้จักแต่ต่อยตีของเจ้าคิดดูสิ ภัยหนาวโหมกระหน่ำเช่นนี้ ราชสำนักกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาเสถียรภาพในแต่ละด้านและปลอบโยนราษฎร แล้วจะมาสร้างปัญหาให้พวกเราในช่วงวิกฤตเช่นนี้ได้อย่างไร”
ชายอ้วนท้วนผู้นี้คือผู้นำสมาคมการค้าเจี้ยนโจว นามเฉียวเวิง
ค่าใช้จ่ายในเมืองทหารที่เชิงเขาเฉวี่ยนหรงนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากสมาคมการค้าเจี้ยนโจวแห่งนี้
สมาคมการค้าคือกระเป๋าเงินของภูเขาเฉวี่ยนหรง
ฟู่จิงเหมินหันไปมองเฉาชิงหยางทันที ฝ่ายหลังพยักหน้าให้แล้วกวาดตามองทุกคนอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว…”
จากนั้นแล้วก็เล่าเรื่องรายละเอียดของปราณมังกรให้ทุกคนฟังทันที
วิญญาณของเส้นเลือดมังกรแตกสลายกลายเป็นปราณมังกรกระจัดกระจายไปทั่วทั้งภาคกลาง…
ปราณมังกรเกี่ยวพันกับชะตาอาณาจักร เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของภาคกลาง…
ระดับเพชรจากสำนักพุทธ ยอดฝีมือสำนักพ่อมด และยังมีตำหนักความลับสวรรค์ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนนั่นอีก ล้วนแต่กำลังปรารถนาในปราณมังกรกันทั้งนั้น…
ในโถงเงียบงันไปพักหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของเฉาชิงหยางแล้ว เหล่าหัวหน้าทั้งหลายต่างก็พยายามสุดความสามารถเพื่อย่อยเรื่องราวของปราณมังกรและข้อมูลที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเช่นนี้
โดยเฉพาะศัตรูที่กำลังจะต้องเผชิญหน้า แค่คำว่าระดับเพชรก็ทำให้จอมยุทธ์ผู้โหดร้ายทั้งหลายปราศจากความยโสโอหังได้แล้ว
หยางซุยเสวี่ย เจ้าสำนักโม่ถอนหายใจออกมา
“ปราณมังกรแตกกระจาย ทำให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติและภัยมนุษย์ขึ้นไม่หยุดหย่อน ประชาชนล้มตายนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างแดนต่างจดจ้องตาเป็นมันและตั้งใจจะเข้ามารุกรานภาคกลาง ต้าฟ่งของข้าเดินมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ”
ปรมาจารย์แห่งสำนักโม่นั้นเป็นปัญญาชนและล้มเหลวในการสอบข้าราชการมาหลายหนเข้าจนโมโห สุดท้ายก็ละทิ้งตำราอักษรหันไปฝึกวิชายุทธ์ และก่อตั้งสำนักขึ้นมาในเจี้ยนโจวเช่นนี้เอง
ลูกศิษย์ของสำนักนี้ล้วนยังคงศึกษาการเล่าเรียนเขียนอ่านอยู่ ยามปกติจะแต่งตัวค่อนไปทางปัญญาชน เพียงแต่พัดด้ามเล็กที่บัณฑิตชอบถือในมือ กลับกลายเป็นกระบี่เขียวยาวสามฉื่อ
ตอนนี้หยางซุยเสวี่ยจึงมีความรู้สึกโมโหแบบปัญญาชนผู้หยามหยันโลกามากเป็นพิเศษ
ทุกคนพลันเงียบงัน บรรยากาศในห้องโถงราวกับถูกแช่แข็ง
เสียงของเฉาชิงหยางมั่นคงเปี่ยมพลัง เขาค่อยๆ เอ่ยทีละคำ
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของราชสำนัก แต่ถ้าหากเลือกแบกรับแล้ว อย่างแรกที่ต้องกังวลคือความอยู่รอดของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ข้าไม่อาจทนให้รากฐานของบรรพบุรุษถูกทำลาย แต่ยิ่งไม่อาจยอมให้ชาวต่างแดนมาชี้นิ้วมีอิทธิพลอยู่ในภาคกลาง จึงจะขอเชิญให้ทุกท่านร่วมกันต้านศัตรูด้วย”
“ท่านผู้นำพันธมิตร!” เฉียวเวิงผู้เป็นคหบดีชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนเป็นอันดับแรก “ข้าคิดว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าเราจะแบกรับเรื่องนี้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะแบกรับได้หรือไม่มากกว่า”
ฟู่จิงเหมินใจร้อนบุ่มบ่าม เมื่อได้ยินดังนั้นก็โมโหขึ้นมา
“ทำไมจะแบกรับไม่ได้
ราชสำนักไร้สามารถ ไม่ได้แปลว่าพวกเราชาวภาคกลางจะไร้สามารถหรอกนะ พวกลาหัวโล้นจากดินแดนประจิมทิศกับสำนักพ่อมดต้องการช่วงชิงปราณมังกรจนเข้ามาทำให้ภาคกลางแปดเปื้อนและรังแกพวกเราถึงหน้าประตูบ้าน คิดว่าชาวภาคกลางอย่างเราไร้กำลังคนหรืออย่างไร ระดับเพชรกับผีน่ะสิ หากกล้ามา ข้าก็กล้าตีกลับไป”
หานเซีย เจ้าลัทธิสำนักเฉียนจีกล่าวด้วยเสียงขึงขัง
“ฟู่จิงเหมินก็ยังไร้สมองเช่นเคย แต่ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า อำนาจของสำนักพุทธแล้วอย่างไร ระดับเพชรสามารถช่วงชิงปราณมังกรของต้าฟ่งในภาคกลางไปโดยไม่เกรงใจได้หรือ”
หยางซุยเสวี่ยเจ้าสำนักโม่เคาะโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยถาม
“สำนักโหราจารย์มีท่าทีอย่างไร”
เฉาชิงหยางเอ่ย “สำนักโหราจารย์จะมอบความช่วยเหลือให้ในระดับหนึ่ง ศิษย์คนรองของท่านโหราจารย์ ซุนเสวียนจี บัดนี้อยู่ที่เจี้ยนโจวแล้ว เขาคือโหรขั้นสาม”
ระหว่างการแลกเปลี่ยนทางภาษาอันแสนยากเข็ญกับซุนเสวียนจี เขาก็คุ้นเคยกับภูมิหลังระดับขั้นของอีกฝ่ายแล้ว
“ผู้นำพันธมิตรเฒ่าเล่า?”
ผู้ที่เอ่ยคือนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาคือเจ้าอารามกระเรียนขาว หนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
เฉาชิงหยางส่ายหน้า
“ท่านบรรพชนกำลังปิดด่านกักตน เมื่อครู่ข้ารออยู่ที่ด้านหลังเขานานพอสมควร แต่มิได้เอ่ยปลุกท่านบรรพชน”
‘นี่มัน…’ จิตใจของทุกคนในโถงหนักอึ้ง
ผู้นำพันธมิตรเฒ่าคือพื้นฐานทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ในยุคสมัยอันรุ่งเรืองและสุขสงบ เขาจะมีหน้าที่เป็นเหมือนกับผู้ปราบปราม
แต่เมื่ออยู่ในช่วงศัตรูรุกราน ผู้นำพันธมิตรเฒ่ากลับไม่อาจออกจากด่านกักตนได้ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็เท่ากับสูญเสียโล่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว
ตอนนี้เอง เซียวเยว่หนูที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยเสียงเบา
“ฆ้องเงินสวี่ล่ะ?”
ทุกคนหันหน้าไปมองเฉาชิงหยางทันที สายตาล้วนแฝงไว้ซึ่งความหวัง
เฉาชิงหยางพยักหน้าง่ายๆ เป็นคำตอบว่าใช่ให้กับทุกคน
‘ฮู่ว…’ แทบจะทุกคนล้วนพากันถอนหายใจ
เมื่อรู้ว่าฆ้องเงินสวี่จะให้ความช่วยเหลือ หัวหน้าและเจ้าลัทธิที่เดิมทีมีความวิตกกังวล ก็สบายใจขึ้นมาในตอนนี้เอง
เมื่อผู้นำพันธมิตรเฒ่าปิดด่านกักตนและมีแค่โหรขั้นสองคนหนึ่งเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาวางใจได้
นอกจากนั้น โหรชุดขาวยังเป็นคนแปลกหน้า มีพลังอย่างไร? แล้วบุคลิกนิสัยเป็นอย่างไร? จะวิ่งหนีไปเมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีหรือไม่?
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
แต่ถ้าหากเป็นฆ้องเงินสวี่ล่ะก็ พวกเขาก็ไม่มีความกังวลในเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด
ฟู่จิงเหมินหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“วันนั้นได้ร่วมมือกับฆ้องเงินสวี่สังหารเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้จักดีชั่ว ตอนนี้ก็ยังมีโอกาสได้ร่วมต้านศัตรูไปด้วยกัน ชีวิตช่างมีความสุขยิ่งนัก”
อีกคนที่เคยร่วมมือกับสวี่ชีอันก็คือหยางซุยเสวี่ย เขาจึงเผยสีหน้าคาดหวังออกมาแล้วเอ่ยว่า
“ตอนนั้นฆ้องเงินสวี่ยังไม่ได้อยู่ที่ขั้นห้าด้วยซ้ำ เป็นเพราะผู้นำพันธมิตรเฉาที่ได้ช่วยเขาตระหนักรู้พลังสลายแรง
แต่ตอนที่สังหารจักรพรรดิทรราช เขากลับอยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์คนใดแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังการฝึกตนของเขาจะก้าวหน้าขึ้นอีกหรือไม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่ารอคอยนัก”
…
ยอดเขาทางใต้ของภูเขาเฉวี่ยนหรง หลี่หลิงซู่ที่ถูก ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ ปกปิดกลิ่นอายกำลังยืนอยู่บนต้นสนมหึมาแล้วมองไปยังซุ้มประตูใหญ่ที่เชิงเขา
“สำนักที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เกือบทั้งหมดล้วนมาพร้อมกันแล้ว กองทัพเตรียมรอรับศึกกับศัตรูเรียบร้อย”
เทพบุตรนิ่งคิด “แต่ข้าคิดว่ากองทหารจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เหล่านี้ เกรงว่าคงจะไม่มีประโยชน์อันใดนัก”
เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่ข้างเขาแล้วมองดูด้วยกัน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”
หลี่หลิงซู่ตอบ
“บนร่างของพี่หรงมีอาวุธเวทมนตร์ขั้นสูงชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าเรืออวี่เฟิง หากข้าเป็นจีเสวียนคนนั้น ข้าจะต้องนั่งเรืออวี่เฟิงมาแล้วตรงไปยังสถานที่ปิดด่านกักตนหลังเขา เพื่อจับโจรเอาหัวโจกอย่างแน่นอน เมื่อจัดการหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แล้ว กำลังของพวกเขาก็จะสิ้นลง จากนั้นไม่ว่าจะกองทัพก็ดี หรือจอมยุทธ์จากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ช่าง ล้วนแต่เป็นลูกแกะที่รอให้ไปเชือดทั้งนั้น นี่คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด และเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของผู้อาวุโสท่านนั้นย่ำแย่มาก”
เขาพูดพลางเหลือบมองไปยังสวี่ชีอันที่อยู่ไกลๆ และพยายามหาคำยืนยันจากเขา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน จู่ๆ สวี่ชีอันก็มาบอกเรื่องที่เจี้ยนโจวกับเขา บอกว่าศึกใหญ่จะเกิดก็เกิด ทำให้หลี่หลิงซู่และเหมียวโหย่วฟางไม่ทันได้ตั้งตัว
ถึงจะบอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปได้ทุกขณะ แต่แบบนี้ออกจะเร็วเกินไปหรือไม่
โดยเฉพาะเหมียวโหย่วฟาง ครู่ก่อนเขายังสู้รบตบมืออย่างดุเดือดอยู่บนเตียงกับเหล่าแม่นางทั้งหลายอยู่เลย แต่ครู่ต่อมาหลี่หลิงซู่ก็ดันบุกเข้ามาบอกว่าไม่ต้องสู้แล้ว การต่อสู้จบสิ้นลงแล้ว!
ทำเอาเหมียวโหย่วฟางในตอนนั้นโง่งมไปทีเดียว
สวี่ชีอันหลับตาลงแล้วทำหูทวนลมกับคำถามหยั่งเชิงของหลี่หลิงซู่
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็พลันลืมตาขึ้นมามองไปยังท้องฟ้าไกลๆ แล้วเอ่ยว่า
“มาแล้ว!”
…
เรืออวี่เฟิง ที่ซึ่งมีกองกำลังสามฝ่ายรวมตัวกันอยู่นั้น ตงฟางหว่านหรงผู้เป็นเจ้าของอาวุธเวทมนตร์ยืนอยู่ตรงกลาง ระดับเพชรสองคนจากสำนักพุทธยืนอยู่ทางซ้าย กลุ่มของจีเสวียนและกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงยืนอยู่ทางขวา
ด้านล่างคือเทือกเขาตระหง่านที่ทอดยาวหลายร้อยลี้
ภูเขาเฉวี่ยนหรง ใน ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ บันทึกไว้ว่า เจี้ยนโจวมีภูเขา บนเขามีสัตว์ร้าย หน้าคนแต่กายเป็นสัตว์ มีหกหาง กลืนจันทราได้ นามว่า ‘เฉวี่ยนหรง’
จีเสวียนแย้มยิ้มพลางกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า
“ไม่รู้ว่าสวี่ชีอันอยู่ที่เฉวี่ยนหรงแล้วหรือยัง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พวกเขาจะไปดูลาดเลาก่อน สัตว์ประหลาดเฉวี่ยนหรงคือลูกหลานของเทพมาร แม้ว่าสายเลือดจะบางเบา แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะขั้นสี่ธรรมดาจะต่อกรได้ มีใครอยากจะลงไปจัดการมันบ้างหรือไม่”
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนก้าวออกมาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไป”
เขามีพลังเทพระดับเพชรไร้พ่ายอยู่ พลังการป้องกันจึงสูงยิ่งกว่าจอมยุทธ์ระดับสูงมากนัก
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ตู้หนานและอสุราระดับเพชรตู้ฝานไม่ได้ปฏิเสธ จิ้งหยวนจึงยกนิ้วขึ้นเคาะที่หว่างคิ้ว
‘เคร้ง!’
ท่ามกลางเสียงระฆังดังแจ่มชัด หว่างคิ้วสีทองอร่ามก็สว่างขึ้นแล้วครอบคลุมทั่วกายราวกับสายน้ำ
จากนั้นจิ้งหยวนก็กระโดดลงจากเรือ
…
จวนผู้นำพันธมิตร
เฉาชิงหยางนำหัวหน้าและเจ้าลัทธิวิ่งออกมาจากโถงใหญ่แล้วเงยหน้ามองบนท้องฟ้า เห็นเพียงลำแสงสีทองวาดผ่านท้องฟ้าแล้วหายไปด้านหลังเขา