ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 620 โจมตีภูเขา
บทที่ 620 โจมตีภูเขา
ทุกคนทั้งตื่นตะลึงและโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะมาถึงเร็วขนาดนี้โดยไม่ให้โอกาสได้ตอบสนองเลยแม้แต่นิด
ครู่ก่อนพวกเขายังปรึกษากันอยู่ในโถงอยู่เลย แต่ครู่ต่อมาอีกฝ่ายก็ยกมาบุกถึงหน้าประตูแล้ว
“สารเลว กล้ามารบกวนการปิดด่านกักตนของผู้นำพันธมิตรเฒ่า”
อารมณ์ฟู่จิงเหมินรุนแรงมาก
หานเซีย เจ้าสำนักเฉียนจีมองไปบนฟ้า เขาหรี่ตาลงและพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“บนฟ้ามีอาวุธเวทมนตร์บินได้”
เฉาชิงหยางและบุคคลระดับสูงคนอื่นๆ พากันเงยหน้ามองตาม และเห็นจุดสีดำจุดหนึ่งอยู่บนฟ้าสีครามจริงๆ
แม้จะมองด้วยดวงตาระดับพวกเขา ก็มองเห็นแต่เพียงอาวุธเวทมนตร์รูปทรงเรือได้อย่างไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก
‘อาวุธเวทมนตร์บินได้’…เฉาชิงหยางใจตกไปที่ตาตุ่ม แต่ก็ไม่ได้ลนลาน เขาอยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ซึ่งมีการตั้งจุดตรวจและหน่วยสอดแนมอยู่ บนภูเขาก็มีกับดักหน้าไม้หลายแห่งตั้งอยู่
ทหารม้าในทัพก็พร้อมรบแล้ว สามารถรุกเข้าโจมตี และถึงถอยก็เข้ามาในภูเขาเพื่อต้านศัตรูได้
เมื่อยอดฝีมือภายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และทหารภายในร่วมมือกันก็สามารถเกิดเป็นพลังต่อสู้อันน่าทึ่งได้
“หมิงจิ้น!”
เฉาชิงหยางหันหน้าไปออกคำสั่งกับเวินเฉิงปี้ผู้เป็นรองผู้นำพันธมิตร จากนั้นก็หันไปมองทุกคน
“พวกเจ้าเก้าคนตามข้าไปต้านศัตรูที่ภูเขาด้านหลัง คนที่เหลือเรียกลูกศิษย์มารวมตัวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูคนอื่นฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายได้”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็กระโดดขึ้นหลังคาแล้วมองลูกศิษย์ของแต่ละสำนักที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ในลานกว้างนอกจวน
ถ้าหากจำนวนของศัตรูไม่มาก แต่ล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นสูง เช่นนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ยังสามารถรักษาชีวิตได้ เพียงแค่ดูอยู่ข้างๆ ก็พอ
จากนั้นไม่ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับลูกศิษย์ระดับล่างพวกนี้แล้ว
ถ้าหากผู้ที่อยู่บนเรือบินได้นั่นคือกลุ่มแนวหน้าระดับสูง และเบื้องหลังยังมีกองกำลังศัตรูขนาดใหญ่อยู่อีก เช่นนั้นเหล่าศิษย์ที่อยู่นอกลานกว้างและศิษย์สายตรงของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ก็ต้องเผชิญกับหายนะความเป็นความตายเสียแล้ว
ฟู่จิงเหมิน เซียวเยว่หนู และเจ้าสำนักต่างๆ ทั้งเก้าคนพุ่งไปทางภูเขาด้านหลังตามเฉาชิงหยาง
พวกเขาล้วนแต่สามารถบินกลางอากาศได้ในเวลาสั้นๆ แต่ผู้ที่มีทักษะร่างกายคล่องแคล่วว่องไวที่สุดคือเจ้าสำนักครรลองเทพ เจ้าสำนักผู้นี้มีร่างกายผอมบาง เขาไม่ได้บินกลางอากาศ แต่ใช้การเหยียบยอดไม้แทน
ทุกครั้งที่ปลายเท้าแตะลงบนยอดไม้อย่างแผ่วเบา ร่างกายก็จะพุ่งไปราวกับลูกศรคมกริบ เมื่อแรงส่งอ่อนกำลังลง ก็แตะปลายเท้าที่ยอดไม้ เป็นเช่นนี้วนเวียนไป ความเร็วจึงไม่น้อยไปกว่าการบินกลางอากาศของเหล่าจอมยุทธ์ขั้นสี่เลย
ไม่นานนัก ในที่สุดก็มาถึงด้านหลังเขา เสียงร้องของสัตว์ดังลั่นไม่หยุด พร้อมกับเสียงระเบิดของพลังปราณที่ดังมาเป็นระลอกๆ
พวกเฉาชิงหยางยืดตัวสูงขึ้นและพาร่างกระโดดขึ้นไปบนฟ้าเพื่อมองดูสถานการณ์ที่ด้านหลังเขา
พวกเขาเห็นด้านหน้าประตูหินผามีสัตว์ประหลาดลำตัวยาวประมาณสี่จั้ง รูปร่างเหมือนสุนัข กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับมนุษย์ร่างสีทองผู้หนึ่ง
มันมีใบหน้าเหมือนมนุษย์ แต่ทั่วกายปกคลุมด้วยขนสั้นๆ สีดำ นัยน์ตาสีแดงก่ำทั้งสองข้างเหมือนกับโคมมังกรสีแดงสองดวง
‘โฮก!’
เฉวี่ยนหรงพุ่งเข้าใส่เงาร่างสีทองและพยายามจะฉีกทึ้งร่างของเขา
ร่างสีทองนั้นว่องไวไม่สามัญเหนือความคาดหมาย ในขณะที่เหวี่ยงและหมุนตัว เขาก็สามารถหลบพ้นคมเขี้ยวที่กัดและมือที่ตะปบในแต่ละครั้งของเฉวี่ยนหรงได้
‘ปัง ปัง ปัง…’
หินแข็งแตกหักเป็นชิ้นๆ เมื่อถูกเฉวี่ยนหรงตะปบเข้า เงาร่างสีทองนั้นสบโอกาสได้ จึงไถลร่างของตนผ่านใต้ท้องของเฉวี่ยนหรงแล้วมาโผล่อยู่ข้างตัวมันในชั่วพริบตา
‘แคร่ก!’
เงาร่างสีทองเหยียบลงบนพื้นแล้วกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปยังประตูหิน ราวกับจะทุบมันออกเป็นเสี่ยงๆ
‘โครม!’
เสียงกระแทกที่ทำให้ใจของทุกคนตกไปอยู่ที่ตาตุ่มดังขึ้น เงาร่างสีทองกระเด็นออกมา และสิ่งที่โจมตีเขาก็คือหางหนาหนักทั้งหกของเฉวี่ยนหรงนั่นเอง
จิ้งหยวนกระเด็นจนทุบทำลายต้นไม้ใหญ่หลายต้น สุดท้ายก็ยั้งร่างของตัวเองไว้ได้ เขาฉีกเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งออกอย่างลวกๆ เผยให้เห็นร่างกายงดงามแข็งแรงราวกับรูปหล่อทองคำ
หลังจากเฉวี่ยนหรงโจมตีศัตรูแล้ว มันก็เงยหน้าขึ้นกู่ร้องก้อง ประกาศความเกรี้ยวโกรธาออกมา คลื่นเสียงสะเทือนไปทั่วทั้งเทือกเขาภูเขาเฉวี่ยนหรง
‘พลั่ก พลั่ก’…พวกเฉาชิงหยางลงมาบนพื้นแล้วมายืนอยู่ข้างตัวเฉวี่ยนหรง ด้านหนึ่งปลอบโยนสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ อีกด้านก็เอ่ยพูดว่า
“พลังเทพวชิระ เป็นคนจากสำนักพุทธจริงๆ ด้วย”
“อ่า จอมยุทธ์ภิกษุขั้นสี่อย่างนั้นหรือ หัวหน้าใหญ่ยังไม่ลงมา เช่นนั้นจะให้ใครไปจัดการเขาดี”
เจ้าสำนักครรลองเทพก้าวออกมาแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง
“วิชาของข้าสามารถต่อต้านเขาได้ ข้าจะไปเอง…”
พูดยังไม่ทันจบ เจ้าลัทธิในชุดเหล็กก็เอ่ยแทรกอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ล้อมเขาไว้เลยดีกว่า พวกเจ้าสำนักครรลองเทพหนีเอาชีวิตรอดเก่งนัก แต่สู้กันไม่เก่ง คนอื่นเขายืนนิ่งปล่อยให้เจ้าตี ต่อให้เจ้าหัวโล้นก็ยังทำลายเส้นผมของคนอื่นเขาไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว”
นี่คือวีรบุรุษที่ราวกับหอเหล็ก ขนาดตัวไม่สูงนัก แต่พลังในแนวราบน่ากลัวไม่น้อย
‘เดิมทีภิกษุก็ไม่มีผมอยู่แล้ว’…เจ้าสำนักครรลองเทพเอ่ยพึมพำอยู่ในใจแต่ไม่ได้ดึงดันกับความคิดของตัวเอง เพราะสิ่งที่คนเหล็กผู้ไม่เป็นสองรองใครกล่าวมานั้นเป็นความจริง
“โหยวสือ ระวังด้วย”
เฉาชิงหยางกล่าวคำหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองเรืออวี่เฟิงที่อยู่บนฟ้าอย่างระแวดระวัง
มีเรื่องน่าอึดอัดมากอยู่เรื่องหนึ่ง แม้ว่าจอมยุทธ์ขั้นสี่จะสามารถบินอยู่บนอากาศได้เป็นเวลาสั้นๆ แต่ระดับความสูงและความเร็วนั้นมีจำกัด เห็นได้ชัดว่าเรืออวี่เฟิงมีความสูงอยู่เหนือขีดจำกัดที่จอมยุทธ์ขั้นสี่จะเอื้อมไปถึงได้
“ท่านผู้นำพันธมิตรวางใจเถิด ข้าอยากจะรู้มานานแล้วว่าพลังเทพวชิระของสำนักพุทธแข็งแกร่ง หรือว่าพลังเทพคุ้มกายาจากสำนักอาภรณ์เหล็กของข้าแข็งแกร่งกว่า”
โหยวสือผู้แข็งแรงกำยำและมีดวงตาเป็นประกายจ้องเขม็งไปยังเงาร่างสีทองที่อยู่ในป่าทึบไกลๆ
จิ้งหยวนยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่แตกหักพลางจ้องมองคนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาเย็นชาและเย่อหยิ่งราวกับมองไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
‘ช่างเป็นภิกษุที่บ้าบอสิ้นดี…’ พวกเซียวเยว่หนูพากันขมวดคิ้ว
เสียงตึงๆๆ ดังขึ้น โหยวสือวิ่งตะบึงออกไปแล้วกระโดดขึ้นมากลางอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าหาจิ้งหยวนราวกับเป็นอุกกาบาตลูกหนึ่ง
‘โครม!’
โหยวสือชกจิ้งหยวนเข้าที่แก้มจนร่างของเขาถูกเหวี่ยงกระเด็นไปข้างหลัง เมื่อเขากำลังจะล้มลงบนพื้น จิ้งหยวนก็งอหลังแล้วเอนตัวด้วยท่าทางเหนือจริงราวกับเป็นตุ๊กตาล้มลุก จากนั้นก็เด้งกลับมายืนตรงเหมือนเดิม
‘โครม!’
เสียงก้องสนั่นดังขึ้นอีกแล้ว โหยวสือรู้สึกเจ็บที่หน้าผาก สมองเข้าสู่สภาวะมึนงงในชั่วพริบตา จากนั้นร่างก็กระเด็นไปข้างหลัง
ส่วนจิ้งหยวนที่ต่อยคู่ต่อสู้กระเด็นก็เพียงแค่ลูบหน้าผากของตัวเองเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยสำเนียงภาษากลางไม่ค่อยได้มาตรฐานนัก
“อีกแค่นิดเดียว”
พวกหยางซุยเสวี่ยและจอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งหลายเผยสีหน้าจริงจังขึ้น แค่เพียงการประมือเมื่อสักครู่ก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าร่างกายของโหยวสือนั้นด้อยกว่าจอมยุทธ์ภิกษุจากสำนักพุทธเป็นเท่าตัว
แน่นอนว่าโหยวสือยังการออมมืออยู่และไม่ได้พุ่งพรวดไปด้วยพลังเต็มที่ แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจอมยุทธ์ภิกษุผู้นี้ใช้พลังทั้งหมดแล้วหรือยัง
‘เป็นแค่จอมยุทธ์ภิกษุที่มารบในแนวหน้าเท่านั้น แต่ก็มีพลังฝึกตนถึงขั้นนี้แล้ว…’ เฉาชิงหยางเงยหน้ามองแล้วเอ่ยเสียงกระจ่างชัด
“สหายบนเรือ ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงทำตัวซ่อนหัวโผล่หางเช่นนี้ด้วยเล่า”
เสียงกระจ่างใสสะท้อนก้อง
ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับเป็นการตอบรับเสียงเรียกของเขา เงาร่างห้าร่างจึงกระโจนลงมาจากเรืออวี่เฟิง
พวกเขาบางคนเป็นภิกษุหนุ่มที่สวมชุดนักบวช หว่างคิ้วอ่อนโยน ใบหน้าราวกับรูปสลัก ดูมีลักษณะพิเศษแบบชาวดินแดนประจิมทิศอย่างชัดเจน และยังมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่แขนขาด ใบหน้าเหลี่ยมดวงตาดั่งเสือ ท่าทางดุดันเป็นอย่างยิ่ง รอบกายมีสายลมแผ่วเบาวนล้อมอยู่
นอกจากนั้นยังมีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีสันสดใส ผมหยิกม้วนเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้า ผิวสีน้ำตาล ลักษณะดั่งคนจากซินเจียงตอนใต้
และหญิงสาวงดงามใบหน้างามสล้างเย็นชา ในมือถือมีดดาบ และยืนมองมาจากกิ่งไม้อย่างเยือกเย็น
รวมถึงสตรีใบหน้างดงามที่สวมชุดกระโปรงสีแดง ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น เรือนกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคน
“หลิ่วหงเหมียน?!”
น้ำเสียงของเซียวเยว่หนูเปลี่ยนไป
หลิ่วหงเหมียนบิดเอวเดินเข้ามาหัวเราะร่า “ศิษย์พี่ ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่”
เซียวเยว่หนูเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าทรยศหอหมื่นบุปผานานแล้ว เรียกข้าว่าศิษย์พี่เช่นนี้ ผู้ดูแลหออย่างข้าคงรับไม่ไหว”
แววตาของหลิ่วหงเหมียนสาดประกายเคียดแค้น จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็น
“หากมิใช่เพราะศิษย์พี่แสนดีอย่างเจ้ามาเป็นอุปสรรค ศิษย์น้องคนนี้จะทรยศหอหมื่นบุปผาได้อย่างไรเล่า บัญชีในครั้งนั้น ถึงเวลาชำระคืนให้หมดแล้ว ไป๋หู่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนี่ว่าเซียวเยว่หนูเป็นหญิงงามล่มเมือง ไม่ได้โกหกใช่ไหมล่ะ”
ไป๋หู่ที่แขนขาดมองพิจารณาเซียวเยว่หนู จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“ถึงจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ก็เป็นหญิงงามชาวมนุษย์ที่หาได้ยากจริงๆ ข้าพอใจ”
หลิ่วหงเหมียนแย้มยิ้มทรงเสน่ห์
“ได้ เช่นนั้นข้าจะจับนางมาทำเป็นทาสหญิงให้เจ้าเล่นสนุก เฮ้อ นายน้อยจีเสวียนกับฉีฮวนตานเซียงไม่ชอบอิสตรี สวี่หยวนไหวก็ไม่รู้จักความรัก เจ้าได้เปรียบมากเลยนะ”
ไป๋หู่พยักหน้า “ขอบใจมาก ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้า”
ในฐานะที่เป็นราชาแห่งพยัคฆ์ ในสายตาของเขา ผู้หญิงก็เป็นเหมือนเครื่องมือระบายความใคร่ เขาถึงขั้นขี้เกียจแม้แต่จะทำท่าทางน้ำลายสอหรือแสดงออกอย่างหื่นกระหาย
เช่นนี้ทำให้หลิ่วหงเหมียนไม่พอใจนัก นางต้องการคนหื่นกระหายสักคนมาทำลายเซียวเยว่หนู
สายตาเคร่งขรึมของเฉาชิงหยางกวาดมองระดับขั้นสี่ทั้งห้าคน ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญ และไม่ได้ดูแคลน จากนั้นก็หยุดอยู่บนร่างของหลิ่วหงเหมียน
หลิ่วหงเหมียน…บุคคลระดับสูงของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในที่นั้นล้วนรู้จักนาง
ในปีนั้น เป็นเพราะตำแหน่งผู้ดูแลหอของหอหมื่นบุปผา จึงก่อให้เกิดคลื่นลมไม่น้อย
เดิมทีก็เป็นเรื่องปกติที่ลูกศิษย์ในสำนักจะแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้ดูแลหออยู่แล้ว จากสหายกลายเป็นศัตรูก็มีไม่น้อย
แต่การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้ดูแลหอรุ่นก่อนหน้าของหอหมื่นบุปผานั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง หลิ่วหงเหมียนและเซียวเยว่หนูล้วนเป็นศิษย์ของผู้ดูแลหอคนก่อน และเป็นตัวเต็งที่จะมาชิงตำแหน่งผู้ดูแลหอคนต่อไป
เซียวเยว่หนูเป็นที่รู้จักในนามหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเจี้ยนโจว หลิ่วหงเหมียนที่สามารถแย่งชิงกับนางได้ก็ย่อมไม่ด้อยกว่า
แต่ต่อมา หลิ่วหงเหมียนกลับถูกกีดกันออกจากการเป็นผู้เข้าแข่งขันเพราะความสำมะเลเทเมาของตน
ในฐานะที่เป็นสำนักสตรี หอหมื่นบุปผาจึงให้ความสำคัญกับศีลธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะให้สตรีประพฤติตัวสำมะเลเทเมามาควบคุมสำนัก
แต่หลิ่วหงเหมียนไม่ยินยอม บอกว่าตนถูกปรักปรำ
จากนั้นไม่นาน นางก็ทรยศหอหมื่นบุปผาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราว
ไม่คิดเลยว่าวันนี้นางจะกลับมาที่เจี้ยนโจวอีก พร้อมกับศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง
“จิ๊!”
โหยวสือเจ้าสำนักอาภรณ์เหล็กที่ถูกขัดจังหวะก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉาชิงหยางเงียบๆ
ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน
…
บนเรือบิน จีเสวียนมองดูภูเขาทอดยาวด้านล่างแล้วลูบคางของตน
“เหยื่อยังติดเบ็ดไม่พอ อาศัยแค่พวกเขา สวี่ชีอันไม่มีทางโผล่ออกมาหรอก”
ตงฟางหว่านหรงที่หัวเรือแสดงความเห็น
“อาจเป็นเพราะเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ได้”
จีเสวียนยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ ข้ากล้าพนันเลยว่าเขาจะต้องมาแน่ การทำลายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นคือความตั้งใจของราชครู ซึ่งหมายความว่ามันเกี่ยวข้องกับการเดิมพันระหว่างราชครูและท่านโหราจารย์ ท่านโหราจารย์ไม่มีทางปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ถูกทำลายหรอก ตอนนี้จอมยุทธ์ที่ใช้การได้ในต้าฟ่งมีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น หากเขาไม่มา แล้วใครจะมา อย่างมากก็แค่เพิ่มซุนเสวียนจีเข้าไปคนหนึ่ง”
ตงฟางหว่านหรงฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจีเสวียน
จีเสวียนเอ่ยต่อ
“บัดนี้กองกำลังทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันและลองเชิงกันอยู่ สวี่ชีอันหวาดเกรงราชครู เขาจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม และก่อนที่เขาจะรู้ไพ่ลับของพวกเรา เขาไม่มีทางรีบร้อนลงมืออย่างแน่นอน เราก็เช่นกัน ใครจะรู้ว่านอกจากสวี่ชีอันแล้ว ท่านโหราจารย์ยังมีเขี้ยวเล็บอีกมากน้อยเพียงใด”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มเจิดจรัส เสน่ห์ความงามสะกดใจคน นางหันหน้ามามองกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงด้านหลังของจีเสวียนแล้วกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นก็ลองล้ำเส้นของเขาแล้วบีบให้เขาออกมา”
จีเสวียนพยักหน้าแล้วหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ
“ชางหลง รบกวนท่านช่วยไปจัดการพวกยอดฝีมือจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยเถิด”
ชางหลงก้าวไปที่ข้างเรือแล้วกระโดดลงไป คนในชุดคลุมทั้งเจ็ดคนที่อยู่ด้านหลังก็พากันกระโดดตาม
คนในชุดคลุมแปดคนถลาลงมา ชายเสื้อคลุมพลิ้วไหวอย่างดุดัน
…
ด้านล่าง เฉาชิงหยางพลันเงยหน้าขึ้นมองเงาดำแปดร่างที่พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงเบาว่า
“แปดคน?”
‘เป็นขั้นสี่แปดคนอีกแล้วหรือ? กองกำลังทั้งสามรวบรวมยอดฝีมือขั้นสี่ตั้งมากมายขนาดนี้มาเพื่อโจมตีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างนั้นหรือ?’
เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมื่ออยู่ขั้นสี่ไม่ว่าในสายไหนก็ตาม ล้วนแต่เป็นเสาหลักชนชั้นปกครองที่แท้จริง
แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้ จอมยุทธ์ขั้นสี่เป็นเพียงแค่ส่วนเรียกน้ำย่อย เห็นได้ชัดว่าศึกครานี้เกี่ยวพันกับบุคคลระดับสามขึ้นไปด้วย
ส่งผู้นำขั้นสี่สิบสี่คนมาพร้อมกัน ไม่กลัวจะถูกสวี่ชีอันที่ซ่อนตัวอยู่ทำลายหมดในคราวเดียวหรือ
“ป้องกัน!”
เฉาชิงหยางสีหน้าผันเปลี่ยนฉับพลัน เนื่องจากเขาเดาได้ว่าในหมู่แปดคนนั้น อาจจะมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเหนือกว่าซ่อนตัวอยู่
และในตอนนี้เอง แปดคนที่ถลาลงมาก็ปรับเปลี่ยนท่วงท่า คนหน้าและคนหลังต่อกันจนกลายเป็นเส้นหนึ่งเส้น
พลังปราณพลันพวยพุ่งและกลายเป็นเงาร่างมังกรมายาที่แยกเขี้ยวแล้วกระโจนลงมา
แทบจะภายในครู่ต่อมา พลังปราณอันน่าสะพรึงก็ร่วงลงจากท้องฟ้าราวกับภูเขาถล่ม
“ขั้นสาม?”
เฉาชิงหยางกำหมัดแน่น เสื้อคลุมพองตัวราวกับลูกหนัง ปราณหลายสายล้วนมารวมกันอยู่ที่หมัดทั้งสองข้างแล้วเกิดเป็นพลังที่ร้อนระอุ
หมัดหนึ่งพุ่งสู่ฟ้า
ดาบเล็กๆ หนึ่งเล่มพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเซียวเยว่หนู มันห่อหุ้มด้วยพลังปราณแล้วติดตามกำปั้นของเฉาชิงหยางไปหากลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง
ผู้นำขั้นสี่คนอื่นๆ ก็ชกด้วยกำปั้นทั้งสอง หรือไม่ก็ชักดาบแทงไป บ้างก็ยิงธนูที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังปราณออกมาไม่ขาดสาย…ล้วนแต่พุ่งสู่ฟ้าไปหาศัตรู
‘ตึง!’
พลังปราณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ภูเขาระเบิดดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด พลังปราณกลายเป็นลมพายุจนทำให้ต้นไม้บนภูเขาทั้งลูกสั่นไหว
ภาพนี้หากผู้ที่อยู่ไกลๆ ได้เห็น จะเป็นภาพที่งดงามจับตาทีเดียว
เงาร่างมังกรชะงักไปแล้วอ่อนกำลังลงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้สลาย เมื่อเห็นว่าไม่อาจขวาง เฉาชิงหยางก็ตะโกนออกมา
“ถอย!”
ทุกคนกระจัดกระจายกันไปและปล่อยให้กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงตกลงมา
เมื่อเงาร่างของมังกรมายาร่วงหล่น ทั้งภูเขาก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงชักดาบยาวออกมาจากเอว แล้วหันไปมองประตูหินที่อยู่ไกลๆ ด้านในยังคงนิ่งเงียบไร้ความเคลื่อนไหว
“ท่าทีของเจ้าเฒ่านั่นผิดปกติจริงๆ พวกเจ้ารั้งขั้นสี่จากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พวกนี้เอาไว้ ข้าจะไปจัดการขั้นสี่เฒ่าผู้นั้นเอง”
เสียงแหบพร่าของชางหลงดังมาจากในชุดคลุม
“โฮก!”
เฉวี่ยนหรงส่งเสียงร้องลั่นแล้วพุ่งมาหา ก่อนจะตบลงมาด้วยอุ้งเท้าที่ใหญ่เท่าหัวของชายฉกรรจ์
ชางหลงพลิกดาบแล้วแทงขึ้นบน ประกายไฟเจิดจ้าจับตาอยู่ท่ามกลางเสียงที่ชวนให้รู้สึกเสียววาบ อุ้งเท้าของเฉวี่ยนหรงถูกคมดาบฟันเข้าให้
‘พลั่ก!’
เฉาชิงหยางถือโอกาสที่หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ประมือกันอยู่ ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังชายในชุดดำคนหนึ่งราวกับผีสาง จากนั้นก็ซัดหมัดลงไปอย่างโหดเหี้ยม
แต่ในตอนนี้เอง เขาพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเป้าหมายที่พวยพุ่งขึ้น ในพริบตาก็ทะลวงขั้นสี่ไปยังเขตแดนที่คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง
สัญญาณเตือนวิกฤตของจอมยุทธ์ร้องเตือนอย่างบ้าคลั่ง เฉาชิงหยางถอนหมัดออกมาทันใดแล้วไถลตัวไปด้านหลัง
แทบจะในขณะเดียวกันนี้เอง ชายในชุดคลุมดำก็ฟันดาบออกมา ปราณดาบตกลงบนตำแหน่งเดิมของเฉาชิงหยาง จนเกิดเป็นรอยแยกลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
‘เกิดอะไรขึ้น? นี่ก็เป็นขั้นสามเหมือนกันหรือ?’
สีหน้าของเฉาชิงหยางเปลี่ยนไป เขาหันไปมองชายในชุดดำที่เป็นหัวหน้าคนนั้น และพบว่าตอนนี้เขายังประมืออยู่กับเฉวี่ยนหรง ใบมีดที่สามารถตัดอุ้งเท้าคมกริบของเฉวี่ยนหรงได้อย่างง่ายดาย กลับเกิดแค่ประกายไฟบนตัวของสัตว์ยักษ์นั่นเท่านั้น
‘พลังอ่อนลงแล้ว…’ เฉาชิงหยางตอบสนองขึ้นมาทันที เขาตะโกนลั่น
“พวกเขาไม่ใช่ขั้นสามจริงๆ เพียงยืมพลังจากค่ายกลมาระเบิดพลังทะลวงขั้น ทุกคนพร้อมกัน ฉีกการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาเสีย”
พลังของคนทั้งแปดสามารถรวมเป็นหนึ่งได้และมีการไหลเวียนในระหว่างพวกเขา ทุกคนล้วนสามารถเป็นขั้นสามได้ แต่ไม่อาจเป็นขั้นสามพร้อมกันได้ทุกคน
ดังนั้น ขอเพียงมีการใช้กลยุทธ์คลื่นมนุษย์มาโจมตีศัตรูแปดคนพร้อมกัน ก็จะสามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้แล้ว
…………………………………………………………
—————————————————-