ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 621 ผู้นำพันธมิตรเลื่อนสู่ขั้นสามแล้วหรือ (1)
บทที่ 621 ผู้นำพันธมิตรเลื่อนสู่ขั้นสามแล้วหรือ (1)
ภายในป่าทึบด้านหลังเขาห่างออกไป
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ มือถือกระจกทองเหลืองครึ่งบาน
ในกระจกสะท้อนฉากต่อสู้อันดุเดือด
จิ้งหยวนไม่ได้ตาบอดเพราะข้าวางยาไปแล้วรึ เหตุไฉนจึงฟื้นขึ้นมาอีก เขาใช้พลังสร้างเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ คงจะพึ่งยาอายุวัฒนะหรือวิธีการพิเศษกระมัง…
ทุกซอกหลืบในเขาเฉวี่ยนหรงไม่มีศัตรูแฝงตัวอยู่ กองทหารรักษาการณ์แถบนั้นก็ไม่ถูกโจมตี สวี่ผิงเฟิงจะส่งพวกจีเสวียนไปโจมตีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จริงรึ
…ดูเหมือนเซียวเยว่หนูกับหลิ่วหงเหมียนจะมีความแค้นกัน? โฉมงามผู้ปราดเปรียวเช่นนั้นไฉนจึงเสียเปรียบแก่นพยัคฆ์ จริงสิ คนสนิทของหลี่หลิงซู่ไม่น่าใช่เซียวเยว่หนูหรอก
จุ๊ๆ ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ในบรรดาสาวๆ ของเทพบุตรผู้นั้น จะได้มีคนงามๆ เทียบชั้นมัจฉาตัวน้อยในบ่อของข้าได้เสียที
“ไม่รู้พวกหลี่หลิงซู่จะเป็นอย่างไรบ้าง”
…
‘ตัดขาดการติดต่อระหว่างพวกเขา…หัวหน้าพันธมิตรตั้งใจจะใช้ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์งั้นสิ?’
จอมยุทธ์ขั้นสี่ผู้มากประสบการณ์ ณ ที่แห่งนี้ เข้าใจความหมายของเฉาชิงหยางทันใด
การเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังระเบิดกล้ามเนื้อเทียบเท่ากับขั้นสามโดยใช้ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์ นี่หมายความว่าหนึ่งในพวกเขาอาจต้องตาย
เฉาชิงหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ไต้จง เจ้านำแนวหน้า!”
หนังศีรษะเจ้าสำนักครรลองเทพวูบชา ครั้นเสียงตะโกนออกมาจากแถว ท่าร่างตื่นตัวล่องลอย เฉกเช่นใบไม้ล้อลู่ลม บิดพลิ้วปลิวไปทางซ้ายทีขวาที
“อมิตตาพุทธ ถอยกลับไปที่ฝั่ง!”
ขณะเดียวกันนี้ จึงประนมสองมือด้วยใจตั้งมั่น สวดภาวนาพุทธคุณ
เสียงสวดแห่งความกรุณาแผ่ไปฉันใด พลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีศีลก็แผ่ไปฉันนั้น
ท่าร่างพลิ้วไหวของเจ้าสำนักครรลองเทพพลันติดแหง็ก เขาอยู่ด้านหน้าศัตรู จำต้องถอยกลับ หันหลังให้ศัตรูอย่างช่วยมิได้
สถานการณ์ในเขตแดนเดียวกัน การควบคุมด้วยศีลนั้นสั้นมาก ชั่วพริบตาเดียวที่เจ้าสำนักครรลองเทพกำลังหมุนกายมา ก็ถูกกำจัดแล้วสิ้น
แต่ในเวลานี้ ตงฟางหว่านชิงตัวลอยเหมือนดั่งว่าว พุ่งทะยานอยู่เหนือศีรษะเจ้าสำนักครรลองเทพ ก่อนใช้ฝ่ามือกดแผ่วเบา
เทพประคองมุรธา!
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หานเซียจากสำนักเฉียนจีตวัดแซ่หนัง พันรอบเอวเจ้าสำนักครรลองเทพ กระตุกมือเพียงครั้งเดียวก็รั้งร่างเขากลับมา
‘ตูม!’
ฝ่ามือกระแทกพื้นพสุธาดังสนั่นหวั่นไหว เกิดเป็นหลุมกว้างมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้ง
ไต้จงที่หนีรอดจากอันตรายได้ยังไม่ทันโล่งใจ ก็บังเกิดลมกระโชกแรง
ไป๋หู่ผู้แขนหักดูเหมือนอสุรกายท่ามกลางสายลม ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนักครรลองที่เพิ่งหยัดกายลุกขึ้น เขาแสยะยิ้มก่อนปล่อยหมัดพุ่งออกมา
‘ตึง ตึง ตึง’ …ฟู่จิงเหมินเบี่ยงหลบ แม้จะช้ากว่าแต่ได้เปรียบ เขาปะทะฝีหมัดกับไป๋หู่อย่างรุนแรง
พรึ่บ เกิดลมกระโชกแรงพัดวูบเข้ามาในป่า
ทั้งสองก้าวถอยพร้อมกัน ฟู่จิงเหมินกัดฟันแน่นกระทืบเท้าขวาหนักๆ ทันใดนั้นหมัดลุ่นๆ นับสิบก็ชกแผงอกไป๋หู่นับสิบ
ไป๋หู่แขนเดียวแทบไม่สามารถหลบกระบวนหมัดจากคู่ต่อสู้ได้เลย จนถดถอยไม่หยุด
ทันใดนั้น ฟู่จิงเหมินก็รู้สึกถึงจิตสังหารอย่างแรงกล้าจากด้านข้าง ด้วยสัญชาตญาณล่วงรู้อันตรายของชาวยุทธ
เขาจึงก้าวถอยหลังอย่างเด็ดเดี่ยว เลิกไล่ต้อนไป๋หู่ ก่อนเหวี่ยงหมัดเข้าด้านข้างปิดท้าย
ขณะเดียวกัน เขาเหลือบเห็นศัตรูเตรียมเข้าจู่โจมตน เป็นเสือดาวตนหนึ่งนอนมอบซุ่มในดงหญ้า
“หืม?”
ฟู่จิงเหมินนิ่งอึ้งชั่วขณะ ถ้าหากเป็นเสือดาว เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจแม้แต่น้อย
แต่จิตสังหารแฝงด้วยความกระหายเลือดเมื่อครู่ รวมถึงการล่วงรู้ถึงอันตราย ทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าศัตรูเป็นยอดฝีมือเขตแดนเดียวกัน
เสือดาวตัวกระจ้อย จะกล้าโจมตีเขาหรือ
นี่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก
ไป๋หู่ถือโอกาสถอยกลับไป พ่นลมปากผะแผ่วบรรเทาความเจ็บปวดในทรวงอก
“ปรมาจารย์ซินกู่?”
เจ้าอารามแห่งอารามกระเรียนขาว มองสำรวจฉีฮวนตานเซียง
ฉีฮวนตานเซียงกรีดร้องเสียงลั่น คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วเนินเขา
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผู้คนในสนามรบต่างได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ตามด้วยเสียง ‘กรอบแกรบ’ นับไม่ถ้วนจากพุ่มไม้ เสียงกระพือปีกของฝูงนกฝูงใหญ่ เสียงร้องวานรเกรียวกราวและเสียงคำรามลั่นของเหล่าพยัคฆ์…
บนท้องฟ้า นกป่าหลายสิบตัวรวมตัวกันเป็นฝูง บินวนเป็นวงกลมพร้อมหวีดร้องเสียงดัง บ้างก็ถลาลงมาโฉบกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ แสร้งทำเป็นโจมตี ก่อนบินสูงกลับไปใหม่
ทุกครั้งที่ฝูงนกบินโฉบลงมาโจมตี จอมยุทธ์กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างล่วงรู้ถึงอันตราย
ฝูงงูพิษเลื้อยผ่านออกมาจากพุ่มไม้ ตามด้วยฝูงแมลงพิษ ในป่ายังมีลิงค่าง เสือดาว หมูป่า เสือและสัตว์ป่าตัวอื่นๆ ก็ออกมาจ้องถมึงทึงคิดเขมือบกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
พวกมันล้อมรอบโดยไร้การโจมตี เพียงแต่แผ่คลื่นความเป็นปรปักษ์ออกมา
ดังนั้น จอมยุทธ์กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้รับคลื่นความเป็นปรปักษ์ การฝึกฝนจนถึงขั้นหลอมวิญญาณ ซ้ำยังล่วงรู้ถึงอันตราย ในเวลานี้จึงกลายเป็นความน่ารำคาญใจ
ฉีฮวนตานเซียงเอ่ยว่า “สำหรับข้า หากจะกำจัดการล่วงรู้อันตรายของชาวยุทธจักรนั้นง่ายมาก หากไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้าจากสัญชาตญาณ พวกเจ้าจะต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นเดียวกันได้อย่างไร”
สิ้นวาจา กระโปรงหลิ่วหงเหมียนก็ตวัดขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงิน
“ศิษย์พี่ ครานั้นเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับชายคนนอกสำนัก ปล่อยข่าวลือแพร่สะพัด ให้ชื่อเสียงข้าแปดเปื้อน”
“บุญคุณยิ่งใหญ่ คุณธรรมใหญ่ยิ่ง ศิษย์น้องไม่มีวันลืมเลือน วันนี้ให้ข้าตอบแทนบุญคุณเจ้าได้หรือไม่”
นางชักกระบี่อ้อนแอ้นออกมาจากข้างเอว ตวัดฟาดห่างออกไปหลายสิบจั้ง แทงเซียวเยว่หนู
เซียวเยว่หนูไม่สะทกสะท้าน ปล่อยกระบี่เล่มเล็กไหลออกมาจากแขนเสื้อ ‘แกร๊ง’ …ท่ามกลางประกายไฟสาดกระเซ็น สองโฉมสะคราญกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“ท่านผู้ดูแลเซียว ข้าจะช่วยเจ้า!”
โหยวสือจากสำนักอาภรณ์เหล็กย่างสามขุมเข้ามา ทำให้เกิดแผ่นดินสะเทือนเล็กน้อย ก่อนกระโดดสูง ทำตนให้เป็นก้อนหินกระแทกหลิ่วหงเหมียนเต็มแรง
บนทางลาดชัน มีลำแสงสีทองพุ่งชนโหยวสือจนกระเด็น
นั่นคือจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน
จอมยุทธ์สองคนที่ชำนาญในการป้องกันร่างกายพลิกตัวตีลังกา กวาดต้นไม้ยักษ์ล้มทีละต้น
เจ้าสำนักครรลองเทพปรี่ประชิดฉีฮวนตานเซียงอย่างไร้สุ้มเสียง กริชในมือพุ่งตรงไปข้างหน้า พร้อมกับอายสังหารพลันปะทุ
เสื้อคลุมสีสันแพรวพราวทะยานขึ้นสูง กลายเป็นกำแพงห้าสี
นี่เป็นเพียงการอำพรางตา ครั้นกริชเจาะทะลุผ่านเสื้อคลุมได้อย่างง่ายดาย ฉีฮวนตานเซียงใช้โอกาสหลบหนีจากการเล็งเป้า พลังปราณอันดุดันที่ระเบิดออกมาพากริชพุ่งไกลไปหลายสิบจั้ง จนเศษก้อนกรวดกระเด็นขึ้นจากหน้าดิน
อีกด้านหนึ่ง มังกรครามทั้งเจ็ดไม่รอช้า ค่อยๆ สืบเท้าเข้าใกล้ประตูศิลา
“โฮก!”
เฉวี่ยนหรงอ้าปากเต็มไปด้วยเลือดเยิ้ม คำรามใส่มังกรครามทั้งเจ็ด ฝอยน้ำลายราวกับเม็ดฝน
ใบหน้าของมันแสดงให้เห็นถึงความกลัวมนุษย์ เมื่อเผชิญหน้ากับมังกรครามทั้งเจ็ดที่ก้าวเข้ามา ขณะก้าวถอยหนีก็คำรามข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัว
“เฉวี่ยนหรง ถอยไป”
เฉาชิงหยางรีบขับไล่อสูรร้ายออกจากสนามศึก ก่อนที่มันจะคลั่งจนสู้ไม่คิดชีวิต
พละกำลังอสูรร้ายอันมาจากรูปร่างที่ใหญ่โต ถือเป็นข้อได้เปรียบตามธรรมชาติ แต่ในเวลานี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่อาจถึงแก่ชีวิต
รูปร่างใหญ่โต สื่อถึงการหลบหนีได้ยาก เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดา เป็นไปได้มากที่อาจลงดาบสองสามครั้งก็ถูกสับหัว
ในด้านนี้ ความคล่องตัวของจอมยุทธ์กลับได้เปรียบมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ท่านผู้นำ สัตว์ป่าเยอะเกินไป ความเป็นปรปักษ์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อาจส่งผลต่อการตัดสินของพวกเรา”
หยางชุยเสวี่ย เจ้าสำนักโม่ถือดาบเหล็ก สีหน้าซุกซ่อนความหวั่นวิตกไว้ไม่อยู่
เฉาชิงหยางพูดเสียงขรึม “เจ้าเก็บกวาดพวกฝูงนกกับฝูงสัตว์ก่อน ส่วนเขาส่งมาให้ข้า…”
สิ้นเสียง หยางชุยเสวี่ยพลันตะโกนว่า “ระวัง!”
ไม่จําเป็นต้องให้เขาเตือน เฉาชิงหยางเบี่ยงตัวไปทางด้านข้างหนึ่งก้าว หลบหลีกแสงดาบจากชางหลง
แสงดาบพลาดไม่เป็นท่า จึงตัดผ่านตัวภูเขา ‘โครม!’ หินผารวดร้าวเป็นทางยาว ทำให้ก้อนหินกลิ้งลงมา
‘ตึง ตึง ตึง’ …หลังจากเฉาชิงหยางหลีกหนีจากคมมีดได้ ก็รีบพุ่งไปยังมังกรครามทั้งเจ็ดอย่างบ้าคลั่ง
‘ฟิ้ว!’
ภาพตรงหน้าคือแสงดาบกำลังลุกโชติช่วง
เฉาชิงหยางไม่ได้หลีกเลี่ยง มิหนำซ้ำยังเป็นฝ่ายพุ่งเข้าประชิด เพราะดาบเล่มนี้เล็งเป้าประตูหินด้านหลังเขาไว้
พลังปราณควบแน่นด้วยกำปั้นทั้งสองข้าง กระทั่งจิตหมัดมวยพลังปะทุ ประกบ ‘หนีบ’ แสงดาบได้พอดิบพอดี
เขาหนีบแสงดาบไว้ ทว่าแสงดาบผลักเขาให้ก้าวถอย
‘ตึง!’
แผ่นหลังเฉาชิงหยางกระแทกประตูศิลาอย่างแรง จนเศษหินร่วงตกลงมา
“ท่านผู้นำพันธมิตร”
สีหน้าเซียวเยว่หนูและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความร้อนรนใจ พวกเขาถอยห่างจากฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว เบนความสนใจมองมาทางนี้
“แค่กๆ…”
เฉาชิงหยางไอโขลกรุนแรง ทั้งหมัดและหน้าอกมีเลือดไหลอาบ
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หัวใจสั่นสะท้าน แค่มีดเพียงเล่มเดียวก็ทำเอาเฉาชิงหยางผู้อยู่ขั้นสามครึ่งตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
“ยอดเยี่ยม ห่างไกลขั้นสามเพียงครึ่งก้าว พลังชีวิตและความทนทานค่อยๆ ก้าวพ้นจากขั้นสี่”
ชางหลงมองเฉาชิงหยาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเจือความริษยา “ข้าให้เวลาตั้งหลายปี เจ้าไม่อยากเลื่อนขึ้นขั้นสามหรือไร เฉาชิงหยาง เจ้าสมควรตาย”
เสื้อคลุมกระพือปลิวไสว เขาง้างมีดในมือขึ้นสูง
สหายทั้งเจ็ดที่อยู่เบื้องหลังทำท่าทางเดียวกัน โดยบิดพลังปราณในอากาศเชื่อมโยงคนทั้งแปดเข้าด้วยกันและรวมพลังทั้งหมดเข้ากับชางหลง
ดาบในมือของชางหลงร้อนระอุ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทนต่อพลังปราณที่กำลังหลอมละลายได้
ชางหลงไม่ลังเลอีกต่อไป สลัดปราณดาบที่สะสมไว้เนิ่นนานออกมา
หลังสลัดปราณดาบเล่มนี้ ชางหลงรวบรวมสมาธิเตรียมป้องกันทุกทิศทาง ความทนทานของเฉาชิงหยางเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ทั้งนี้ด้านหลังเขายังเป็นสถานที่ที่เฒ่าชราของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ปลีกวิเวกออกมา
ดังนั้นสวี่ชีอันหรือซุนเสวียนจีต้องปรากฏตัวเป็นแน่
แต่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่ชางหลงคาดหมายไว้เสียอีก ทั้งสวี่ชีอันกับซุนเสวียนจีไม่ได้ปรากฏตัวเพื่อลงมือ แขนทั้งสองข้างของเฉาชิงหยางผู้รนหาที่ตายไขว้กันบนอก พยายามใช้ร่างกายป้องกันตัวเองงั้นรึ
“ท่านผู้นำ หลีกไป!”
“เฉาชิงหยาง เจ้าอย่าตื่นตระหนก…”
เสียงหวีดร้องดังระงมอย่างต่อเนื่อง เซียวเยว่หนูโบกดาบเป็นสัญญาณให้หลิ่วหงเหมียน ทะยานไปที่ประตูศิลา
ไต้จงวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยสีหน้าอาฆาตมาดร้าย ดูเหมือนจะต้องการเทียบความเร็วกับปราณดาบ
หยางชุยเสวี่ย ฟู่จิงเหมิน เฉียวเวิงและยอดฝีมืออีกสี่คนยืนรอหนุนฝั่งประตูศิลา
‘ตู้ม!’
ครั้นปราณดาบระเบิดใส่เฉาชิงหยาง คลื่นพลังปราณเกือบฉีกแก้วหูทุกคน
‘ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!!!’ หน้าผาระเบิดอย่างต่อเนื่อง คลื่นระเบิดแผ่สะเทือนโดนเซียวเยว่หนู พลอยทำให้ฟู่จิงเหมินล้มลง แม้แต่กลุ่มยอดฝีมือพันธมิตรจอมยุทธ์เองก็ไม่อาจยืนอยู่ได้
“ไอ้สวะเวรตะไล!”
ชางหลงยืนตระหง่านด้วยความภาคภูมิใจ ชายเสื้อคลุมพลิ้วไหวท่ามกลางลมโหมกระหน่ำ
แม้ไม่ใช่ขั้นสาม การลงดาบครั้งนี้ก็เกือบคาดการณ์ล่วงหน้าได้แล้ว
ฉีฮวนตานเซียง ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ เก็บซ่อนความปีติยินดีไว้ ขณะจ้องเขม็งไปยังประตูศิลา
…………………………………………..
—————————————————-