ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 622 เทพอารักษ์
บทที่ 622 เทพอารักษ์
‘พลังเทพวชิระเป็นศาสตร์ลับเฉพาะของสำนักพุทธ ผู้นำพันธมิตรจะเรียนรู้ได้อย่างไร? ถ้าเขาได้บำเพ็ญถึงพลังเทพวชิระแล้วล่ะก็ ปัญหายิ่งบานปลายเป็นแน่…อ่า รู้สึกคุ้นๆ ขึ้นมาหน่อยแล้วสิ… ‘
‘หรือจะเป็น…’ หยางชุยเสวี่ยผู้สุขุมเยือกเย็นใจเต้น จนเผยสีหน้าตื่นเต้นพลางเอ่ยว่า
“ท่านผู้นำ หรือนี่จะเป็นแก่นโลหิตฆ้องเงินสวี่?”
ดั่งคำพูดแทงใจดำ
เฉาชิงหยางฉีกเสื้อคลุมที่ขาดวิ่น หยุดยืนหน้าประตูหิน ค่อยๆ เอี้ยวคอแล้วเอ่ยว่า “ใช่ แก่นโลหิตของเขา”
แก่นโลหิตจอมยุทธ์ขั้นสาม ถือได้ว่าเป็นยาโลหิตที่เจือจางแล้ว เวลาการเก็บรักษาขึ้นอยู่กับหลักบำเพ็ญของผู้บริจาคแก่นโลหิต
แต่กระนั้นยาโลหิตที่เจือจาง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นสี่จะสามารถทนได้ เช่นเดียวกับเฉาชิงหยาง เซลล์ภายในร่างกายเริ่มลอกคราบระยะแรก พลังชีวิตจะค่อยๆ สูงกว่าคนทั่วไปจนก้าวข้ามขั้นสาม เพื่อให้ทนต่อผลกระทบจากแก่นโลหิต
จอมยุทธขั้นสี่ส่วนใหญ่หรือแม้แต่ขั้นสี่สูงสุด ใช้แก่นโลหิตจอมยุทธขั้นสามเพียงหยดเดียว ก็อาจทำให้ร่างกายเสื่อมสลายจนถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
บางคนเผยสีหน้า ‘เป็นเช่นนี้เอง’ ออกมา ส่วนคนอื่นที่เหลือกลับเข้าใจได้ในทันที เพราะ ‘ฆ้องเงินสวี่’ สามคำก็ทำให้ใจเบิกบาน
“ฮ่าๆๆ”
ฟู่จิงเหมินดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง กำปั้นทั้งสองปะทะกันอย่างแรง พลางเอ่ยว่า “ในที่สุดก็สู้ได้แล้ว แม่เจ้าโว้ย ข้ากลั้นหายใจจนปอดแทบระเบิด”
หยางชุยเสวี่ย เซียวเยว่หนู ไต้จงและคนอื่นๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงเผยรอยยิ้มเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดยอมปริปากพูดก่อน แต่ความจริงแล้วพวกเขาอยากถามว่า
เหตุใดผู้ช่วยถึงยังไม่มา
ครั้นผู้นำพันธมิตรเฒ่าปิดด่านกักตน พันธมิตรจอมยุทธ์ก็ยากที่จะต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในภาวะวิตกกังวลในใจและไม่มีความมั่นใจในใจ
แต่ตอนนี้ ได้เห็นฆ้องเงินสวี่ลงมืออย่างจริงจังและเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้นำพันธมิตรมานมนาน ด้วยเหตุนี้เอง หัวใจที่หนักอึ้งก็เบาลงในที่สุด เริ่มมองเห็นความหวัง
หลิ่วหงเหมียน ฉีฮวนตานเซียงและไป๋หู่ได้ เมื่อได้ยิน “ฆ้องเงินสวี่” สามคำพลันเกิดความกลัวตามสัญชาตญาณ สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนและจิ้งซินสบตากัน ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งขรึม
โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย จนอดไม่ได้ที่จะยกสองมือประนม ภาวนาให้จิตใจสงบ
‘เอ๋…ดูเหมือนพวกเขาจะกลัวฆ้องเงินสวี่จนออกนอกหน้า…’ เซียวเยว่หนูผู้รอบคอบ ลอบสังเกตพฤติการณ์นี้อย่างชาญฉลาด
รวมถึงศิษย์น้องหลิ่วหงเหมียน ปฏิกิริยาตอบสนองต่อฆ้องเงินสวี่ของคนเหล่านี้ ทำให้รู้สึกถึง การสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของฆ้องเงินสวี่
แม้จะในใจจะรู้สึกสนใจใคร่รู้ แต่นางก็ไม่อาจถามคำถามนี้ออกมาได้ จึงตั้งสติแล้วเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เฉาชิงหยาง
เฉาชิงหยางในเวลานี้ สภาพเขาเริ่มมั่นคงแล้ว
ลมปราณอยู่ในระดับการเข้าสู่ขั้นสาม ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างจากมังกรครามทั้งเจ็ดเท่าไร ไม่ได้ด้อยกว่านัก
‘ความรู้สึกขั้นสามนี่มันดีจริงๆ’ …เฉาชิงหยางกำหมัดแน่น ในแววตาทอประกายสงบ ฉายแววจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เขายกมือขึ้น
หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ ทราบดีเป็นอย่างยิ่ง รีบถอยกลับไปอยู่ในระยะไกล
ที่นี่ไม่ใช่สนามศึกที่พวกเขาเข้าแทรกแซงได้อีกต่อไป
ด้วยความที่ใจตรงกัน หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ ก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ในทิศทางตรงกันข้ามกับพวกจอมยุทธ์ขั้นสี่ในกลุ่มพันธมิตร
สองฝั่งเผชิญหน้ากันห่างออกไป ตรงกลางคือเฉาชิงหยางกับมังกรครามทั้งเจ็ด
…
“เฉาชิงหยางดูดซับแก่นโลหินจอมยุทธขึ้นสามได้ ก้าวเข้าสู่ขั้นบรรลุธรรมในช่วงเวลาสั้นๆ นี่คงเป็นภูมิหลังอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจอมยุทธขึ้นสามครึ่งสินะ”
บนเรืออวี่เฟิง จีเสวียนเห็นภาพเหตุการณ์นี้จากด้านบน ฟังคำอธิบายจากเทพอารักษ์ตู้หนานในใจทันที
เมื่อเฉาชิงหยางระเบิดลมปราณขั้นสาม เขารู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เพราะอยู่ห่างกันเกินไปที่จะได้ยินการสนทนาด้านล่าง เขาจึงคิดว่าเฉาชิงหยางก้าวล้ำจนเข้าสู่ขั้นสามแล้ว
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับแผ่นดินนี้มีอายุเท่ากัน แต่หลายร้อยปีมานี้ ไม่เคยมีผู้เหนือมนุษย์” พรสวรรค์ของเฉาชิงหยาง ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
จีเสวียนถอนหายใจ มองตู้หนานผู้มีร่างสูงใหญ่ มีผิวสีทองอำพัน แล้วถามว่า
“ท่านเทพอารักษ์ตู้หนาน นี่ใช่สาเหตุที่ผิวหนังและสีเลือดของพวกเจ้าเปลี่ยนเป็นสีทองหรือไม่”
เขาถามคําถามนี้อย่างฉับพลัน แต่เทพอารักษ์ตู้หนานเข้าใจความหมายของเขา ตอบกลับว่า
“การบำเพ็ญพลังเทพวชิระ หลังจากได้รับการเลื่อนสู่ขั้นบรรลุธรรม แก่นโลหิตจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของพลังเทพวชิระ ทำให้สีผิวและเลือดเปลี่ยนเป็นสีทอง เฉาชิงหยางดูดซับแก่นโลหิตของสวี่ชีอัน ดังนั้นจึงเทียบเท่ากับการมีพลานุภาพของพลังเทพวชิระในช่วงเวลาอันสั้น”
เวลานั้น ตงฟางหว่านหรงพลันเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์บอกว่า ภูมิศาสตร์เขาเฉวี่ยนหรงมีบางอย่างผิดปกติไป”
…
เฉาชิงหยางเอี้ยวตัวเล็กน้อย หลังจากขัดเกลาพลังระยะสั้นๆ เขาพุ่งไปทางมังกรครามทั้งเจ็ดด้วยท่าทีเยี่ยงกระทิงไล่ขวิด
คนชุดดำทั้งแปดขยับแยกตัว จงใจเปิดทางเข้าให้เฉาชิงหยางเข้าไปในค่าย ต่อจากนั้นจึง ‘ปิดล้อม’ เขาไว้ด้านใน
หึหึ…ดาบยาวแปดเล่มขัดเกลาปราณดาบ แผดเผาลมปราณจนลุกไหม้ ในเวลาเดียวกันก็พุ่งแทงหน้าอก ศีรษะ แผ่นหลังและส่วนอื่นๆ ของเฉาชิงหยาง ทั้งส่งเสียงแหลมคมจากทองเหลืองกระทบกัน
ใบหน้าเฉาชิงหยางไม่แปรเปลี่ยน ยื่นมือขวาสะท้อนสีทองอ่อนๆ คว้าคนชุดดำที่ใกล้ที่สุดคนหนึ่ง
ลมปราณของชายชุดดำระเบิดขึ้น ออกหมัดท้าทายเฉาชิงหยางอย่างไม่เกรงกลัว
คิดหรือว่าเฉาชิงหยางจะยั้งมือเพียงครึ่งทาง เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือชายชุดดำที่แกว่งมีดโจมตีอยู่ด้านหลัง
พลังปราณระหว่างคนชุดดำทั้งแปดเปรียบเหมือนลมหายใจ เพิ่มขึ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง พลังปราณของคนชุดดำที่ไม่เกรงกลัวเฉาชิงหยางลดลง ส่วนคนที่กลายเป็นเป้าประสงค์ที่แท้จริงนั้นปะทุขึ้น
‘ตุ้บ!’
ทั้งสองแลกหมัดกันอย่างสูสี
ทว่าชั่วพริบตาเดียวเฉาชิงหยางก็ถูกดาบทั้งเจ็ดเล่มแทงในเวลาเดียวกันทั่วทุกทิศทาง
เป็นผลให้เฉาชิงหยางติดอยู่ในวิกฤต การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ดูเหมือนจะถูกกำหนดให้ไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ในเวลาอันสั้น
“พละกำลังระหว่างพวกเขาสามารถหมุนเวียนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีการหยุดชะงักระหว่างการเปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่า ไม่ว่าข้าจะเล็งจุดประสงค์ใด เขาก็สามารถบรรลุขั้นสามได้”
“เมื่อข้าลงมือกับขั้นสาม อีกเจ็ดคนจะร่วมโจมตีและกำจัดทิ้งเพื่อปกป้องข้า
“เว้นเสียแต่ว่า ข้าจะสามารถควบคุมสหายสองท่านได้ในเวลาเดียวกัน และบังคับให้พวกเขาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงจะทำลายการร่วมโจมตีด้วยค่ายกลกระบี่ได้ แต่ทั้งแปดคนนี้ร่วมมือกันและเป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสเช่นนี้กับข้า”
“ระยะเวลาของแก่นโลหิตจากสวี่ชีอันใช้ได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น หากจัดการพวกเขาไม่ได้ภายในเวลาเท่านี้ ข้าต้องพ่ายแพ้เป็นแน่”
เฉาชิงหยางเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างใจเย็น ในขณะที่เปลี่ยนความคิด
จอมยุทธขั้นสี่ทั้งสองค่ายแทบกลั้นหายใจระหว่างดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ
จิ้งซิน จิ้งหยวนและคนอื่นๆ พอรู้ว่าระยะเวลาของแก่นโลหิตขั้นสามอยู่ได้ไม่นาน ทั้งนี้ด้านหลังยังมีเทพอารักษ์ทั้งสองท่าน เจ้าแห่งวัสสานคอยสนับสนุนอยู่ จึงใจชื้นมากขึ้น
ส่วนหยางชุยเสวี่ย ฟู่จิงเหมิน เหล่าจอมยุทธขึ้นสี่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ ต่างรู้สึกหวั่นวิตกมากขึ้น
ถ้าหากผู้นำเฉาไม่อาจเอาชนะคนชุดดำทั้งแปดได้ก่อนที่ตบะลดลง เช่นนั้นพวกเขาคงฝากความหวังไว้กับสวี่ชีอันเพียงผู้เดียว
ในวงล้อม เฉาชิงหยางกวาดสายตามอง เล็งชายชุดดำทางด้านซ้าย แสร้งทำเป็นโจมตี เมื่ออีกฝ่ายเริ่มโจมตี ก็เปลี่ยนเป้าหมายไปครึ่งทางและปรี่ตรงไปยังชางหลง
“หึ!”
เสียงเยาะเย้ยเหยียดหยามของชางหลงดังมาจากภายในเสื้อคลุม พลังปราณเขาพลันปะทุเดือดพล่าน ฟันเฉาชิงหยางหนึ่งดาบ
ในกระบวนการนี้ สหายทั้งเจ็ดโบกสะบัดคมดาบ ร่วมมือกันโจมตีศัตรูอย่างพร้อมเพรียง
‘ฉึก!’
ดาบคมทั้งแปดเล่มฟันลงบนร่างเฉาชิงหยาง ชางหลงกลับตกตะลึง ประหลาดใจที่คนสกุลเฉาไม่ยอมหลบ
‘ตุ้บ!’
ในเวลาเดียวกัน หมัดของเฉาชิงหยางก็กระทบเข้าหน้าอกเขา
‘ตุ้บ ตุ้บ!’
กำปั้นซ้ำลงอีกสองหมัด และระหว่างสองหมัดนี้ เฉาชิงหยางได้รับบาดเจ็บยิ่งขึ้น
ชางหลงขมวดคิ้ว พลางผละออกอย่างรวดเร็ว เข้าไปรวมตัวกับสหายทั้งเจ็ด
“มานี่”
เฉาชิงหยางแบฝ่ามือขวา เปลี่ยนพลังปราณให้กลายเป็นกระแสน้ำวน ดึงดูดชางหลงกลับมา
ชางหลงที่ถูกบังคับให้กลับมาทุ่มหมัดใส่เฉาชิงหยางอย่างโกรธแค้น ในแง่ของทักษะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เขาก็เป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งไม่แพ้เฉาชิงหยาง
แต่ว่า…
“ช่องโหว่ของเจ้าคืออาวุธวิเศษ”
เฉาชิงหยางยังคงสงบ พลางเอื้อนเอ่ยเนิบๆ “อาวุธวิเศษสร้างความสำเร็จให้แก่พวกเจ้า แต่กระนั้นความสำเร็จเองก็เป็นอาวุธวิเศษ ส่วนความล้มเหลวก็เป็นอาวุธวิเศษเช่นกัน เพียงแค่ข้าทำลายมัน การโจมตีด้วยค่ายกลกระบี่ของพวกเจ้าก็จะพัง และนี่ก็ไม่ยากเลย เพราะเจ้าไม่ใช่จอมยุทธขั้นสาม การป้องกันตัวของพวกเจ้าก็แย่กว่าข้ามาก มีเพียงอาวุธวิเศษเท่านั้น ที่จะเอาชนะจอมยุทธขั้นสามได้”
แต่ด้วยขนาดจิ่วโจวนั้นใหญ่ ไม่มีพลังใดที่จะนำอาวุธวิเศษออกมาได้ถึงแปดชิ้น
‘เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!’
จิตหมัดของเฉาชิงหยางระเบิดขึ้น จนส่งเสียงระเบิดดังขึ้นทีละครั้งเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ หมัดหนักๆ กระแทกหน้าอกของชางหลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ชางหลงสู้กลับเท่าที่สู้ไหว หากพูดถึงภาพที่เห็น แท้จริงแล้วทั้งแปดคนกำลังถือดาบฟันเฉาชิงหยางอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มที่ถูกฟันไม่อาจต้านทานได้ จึงทำได้แค่จับหนึ่งในนั้นแล้วตอบโต้อย่างอ่อนแรง
แต่อย่างที่เฉาชิงหยางกล่าวไว้ การป้องกันทางกายภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
เขาดูดซับแก่นโลหิตจากสวี่ชีอัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากขั้นสามแท้ๆ มิหนำซ้ำยังใช้พลังเทพวชิระเป็นสิ่งป้องกัน
ในขณะที่มังกรครามทั้งเจ็ดไม่มีแม้แต่การฟื้นตัวขึ้นสาม ไหนจะเนื้อหนังมังสาที่คงกระพันของจอมยุทธขั้นสาม
‘ตึง ตึง ตึง…’
คลื่นพลังปราณระเบิดขึ้นในทรวงอกของชางหลง ทันใดนั้น เกิดเสียงโลหะเสียดสีจนเสียวฟัน ตามด้วยลมปราณของชายชุดดำทั้งแปดอ่อนกำลังลง
เสื้อคลุมถูกฉีกขาด เผยให้เห็นร่างของชางหลงหุ้มด้วยชุดเกราะ
เกราะถูกแกะสลักลวดลายที่ลึกลับและคลุมเครือ วัสดุหมองคล้ำมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโลหะที่สกัดจากการเล่นแร่แปรธาตุ มีคุณภาพดีกว่าโลหะธรรมดาทั่วไป
ในเวลานี้ ชุดเกราะมีรอยบุบเป็นบริเวณกว้าง และลวดลายได้รับความเสียหายอย่างหนัก
‘ตึง!’
เฉาชิงหยางปล่อยหมัดออกไป ท่ามกลางคลื่นลมปราณแพร่กระจาย ชางหลงถูกต่อยลอยปลิวไปชนประตูศิลาอย่างแรง จนหน้าผาที่ถูกปะทะเกิดเสียง ‘ตูม’ ดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมเศษหินกลิ้งลงมา
“อึก…”
ชางหลงส่งเสียงไร้ศัพท์ เลือดไหลทะลักจากเกราะบนหน้าอกย้อยลงมา
หัวที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกขยับเบาๆ เหมือนพยายามที่จะยกหัวขึ้น แต่แล้วในไม่ช้าก็สงบนิ่ง ปราณชีวิตอันตรธานหายไป
เฉาชิงหยางออกหมัดขวาอย่างดุเดือด
‘กึก กึก กึก’ …ท่ามกลางเสียงกระดูกแตกร้าว ทรวงอกคนชุดดำทั้งเจ็ดระเบิดขึ้นพร้อมกับเลือดกระเซ็น ขั้วหัวใจฉีกขาด
หากปราศจากแรงหนุนจากอาวุธวิเศษ พวกเขาก็เป็นคนผู้อ่อนแอต่อหน้าจอมยุทธขั้นสาม
ชนะแล้ว!
ผู้นำเฉาสังหารศัตรูขั้นสามแล้ว!
มีเสียงโห่ร้องปราชัยสั้นๆ ดังมาจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เหล่าแกนนำหลักล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตา จึงยับยั้งตนเองได้ดี
อย่างไรก็ตามใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข ฟู่จิงเหมินหัวเราะเสียงดังลั่น หยางชุยเสวี่ยมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม เซียวเยว่หนูยิ้มจนตาหยี โหยวฉืออิ่มเอมจนล้นพ้น
อีกด้านในทางกลับกัน จิ้งหยวนกับจิ้งซินผิดหวังเล็กน้อย ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียนและเหล่าผู้คนในเมืองเฉียนหลง คงเจ็บปวดอยู่บ้าง
มังกรครามทั้งเจ็ดเป็นพวกพ้องของพวกเขา ซ้ำยังเป็นกองหนุนหลักสำหรับกองทัพของจีเสวียนในการท่องยุทธภพ
พวกเขาสูญเสียมังกรครามทั้งเจ็ดไปแล้ว ไม่ว่าผลการต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธจะออกมาเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะถูกเรียกตัวกลับเมืองเฉียนหลง เดินทางสู่ยุทธภพให้เสร็จสิ้น
หรือไม่ก็ถูกเมืองเฉียนหลงบีบบังคับให้กลับไปยังยุทธภพเพื่อตามหาปราณมังกรต่อ
ไม่ว่าจะเป็นหนทางใด ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
…
“ไม่เลวนี่”
ภายในป่าทึบ สวี่ชีอันที่กำลังสอดแนมภาพนี้ผ่านกระจกเทพฮุ่นเทียน พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“จอมยุทธขั้นสามน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก…”
เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่ข้างกัน ก็ยังร่วมเป็นสักขีพยาน
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นพวกไร้สมอง หากเป็นการต่อสู้เหนือธรรมดาจริง เจ้าคงมิอาจจินตนาการได้แน่”
ขณะที่สวี่ชีอันพูด ก็หวนนึกถึงการต่อสู้เหนือธรรมดาที่ทำให้เมืองฉู่โจวราบเป็นหน้ากลอง หากนับตัวเองร่วมด้วย ในเวลานั้นมียอดฝีมือเหนือมนุษย์ที่เข้าร่วมสงครามมีมากถึงเจ็ดคน
ทำลายเมืองหลักเมืองหนึ่งจนราบเป็นหน้ากลอง
ไม่ว่าสังหารเจินเต๋อหลังจากนั้นก็ดี การร่วมมือกับสวี่ผิงเฟิงก็ช่าง ยังไม่น่ากลัวเท่ากับการต่อสู้ครั้งนั้น
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ฉากสนุกๆ เพิ่งจะเริ่มต้น” สวี่ชีอันมองกระจกเทพฮุ่นเทียน พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
แยกไม่ได้ว่าตนพูดกับเหมียวโหย่วฟางที่อยู่ข้างกาย หรือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในกระจก
…
ณ เรืออวี่เฟิง
จีเสวียนทอดถอนใจ ‘การพึ่งพาสิ่งแปลกปลอม ย่อมไม่ใช่หนทางชอบธรรมนัก เมืองเฉียนหลงของข้าขาดแคลนผู้มีฝีมือเหนือมนุษย์’
สิ่งมีชีวิตหลายร้อยชีวิตในจิ่วโจว มีน้อยมากที่จะบรรลุขึ้นเหนือธรรมดา
ในช่วงเวลาห้าร้อยปี เหล่าราชวงศ์ของพวกเขา ปรากฏผู้บรรลุขั้นสามเพียงท่านเดียว
จอมยุทธ์ขั้นสามผู้นั้นดับลงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แม้ยาโลหิตก็ไม่อาจรั้งไว้ได้
ยาโลหิตบนร่างจีเสวียน มาจากตอนที่อู่จงก่อกบฏเมื่อห้าร้อยปีก่อน จอมยุทธสายขั้นสามสายเลือดบางคนถูกทอดทิ้งหลังตนลาลับ
“ขอคารวะ เทพอารักษ์ทั้งสอง”
จีเสวียนประนมมือ
ตู้หนานและตู้ฝานสบตากัน ฝ่ายหลังเอ่ยเสียงก้องกังวาน “อาตมาไปล่ะ”
จากนั้นจึงกระโดดลงจากเรืออวี่เฟิง
…
เกือบในเวลาเดียวกัน ผู้คนด้านล่างแหงนมองลำแสงสีทองพุ่งตกลงมาดั่งผีพุ่งไต้
สิ่งที่มาพร้อมกับลำแสงสีทองนี้คือ ทรงพลังอย่างยากจะต้านทาน ทั้งยิ่งใหญ่และสง่างามเหนือคณานับ ทำให้พูดคนก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นกึกๆ โดยไม่รู้ตัว
“เทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธ” มีคนอุทาน
แม้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นเทพอารักษ์สำนักพุทธมาก่อน และยิ่งไม่ถูกปลูกฝังถึงความน่ากลัวของเทพอารักษ์ หรือแม้กระทั่งได้รับข้อมูลข่าวสารมาก่อน อีกทั้งพลังอันมหาศาลไร้เทียมทาน คงทำให้เดาได้ไม่ยากว่า เทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธมาถึงแล้ว
เฉาชิงหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ข้ายังพอมีเวลาสำหรับชาหนึ่งถ้วย”
หยางชุยเสวี่ยถอนสายตา แล้วเอ่ยเสียงสูงด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ท่านผู้นำ ระวังตัวด้วย”
ไต้จงยิ้มยิงฟัน “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ท่านผู้นำเองก็อยู่ขั้นสาม มีพลังเทพวชิระคอยปกป้องเช่นเดียวกัน”
เฉียวเวิงชายอ้วนวัยกลางคน พยักหน้าเห็นด้วย
“ถึงแม้จะพ่ายแพ้ แต่คิดๆ ไปแล้วก็ยังประคับประคองได้ครู่หนึ่ง เพื่อให้เฉาชิงหยางทะลุถึงระดับพื้นฐานขั้นสาม”
วัดจากชัยชนะในสงครามเมื่อเร็วๆ นี้ ความเชื่อมั่นของฝ่ายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธจึงเพิ่มขึ้นสูง
ระหว่างพูดคุยกัน ลำแสงสีทองก็พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้า ลมปราณร้อนผ่าวโชยปะทะใบหน้า
เฉาชิงหยางสูดลมหายใจเข้าลึก ย่อตัวลงปลุกเร้าพลังปราณ เผาผลาญเอาพลังแก่นโลหิตขั้นสามภายในร่างกาย แต่เดิมแสงสีทองสว่างสลัวๆ ก็เริ่มสว่างไสวขึ้นหลายระดับ
ลมปราณทั้งส่วนบนและส่วนล่างที่เหนือธรรมดาปะทะกันล่วงหน้า
ลำแสงสีทองสะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคน ด้วยความเร็วพอๆ กับผีพุ่งไต้ที่ล่วงลับหายไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
ครู่ต่อมา แผ่นดินเกิดสั่นไหว
ทั่วทั้งภูเขาเฉวี่ยนหรงสั่นสะเทือน เกิดดินถล่ม หินก้อนมหึมากลิ้งลงมา ทำให้เหล่าสัตว์ป่าที่ชีฮวนตานเซียงเรียกมา วิ่งหนีเตลิด
ยอดฝีมือขั้นสี่ในสนามศึก ซวนเซไปมา ยืนไม่มั่นคง
หลังเซียวเยว่หนูทรงตัวแล้ว ทันใดนั้นจึงมองพวกพ้องทางด้านประตูศิลา เพื่อตรวจสอบสถานการณ์
พื้นที่โล่งพังทลาย แตกร้าวเป็นรอยแยกคล้ายใยแมงมุม
ซึ่งเกิดจากรอยแตกในชั้นหินใต้ดิน
บนสนามรบมีคนยืนอยู่เพียงผู้เดียว ร่างยักษ์ผู้นั้นสูงเก้าฉื่อ หน้าตาดูอัปลักษณ์
ผิวพรรณเป็นสีทองเข้ม ใบหน้าอัปลักษณ์น่ากลัวจนมิอาจจินตนาการได้ว่าผู้ใดในโลกจะอัปลักษณ์เช่นนี้
ร่างกายสูงใหญ่เหมือนหอคอยราวกับหล่อด้วยทองเหลือง มัดกล้ามที่มีรอยสักแสดงถึงความแข็งแกร่ง
เท้าของเขาเหยียบลงบนตัวเฉาชิงหยาง ร่างกายครึ่งหนึ่งล้มลงกับพื้น เลือดออกทางรูทวารทั้งเจ็ด ลมหายใจรวยริน
สนามศึกเงียบลงชั่วขณะ เซียวเยว่หนูได้ยินไต้จงหายใจหอบถี่ข้างกาย รวมถึงเสียงหอบหายใจของตนด้วย
……………………………………………