ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 623 ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
บทที่ 623 ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
“ศัตรูกำลังโจมตีที่ภูเขาด้านหลัง ทำไมไม่ให้พวกเราไปช่วยท่านผู้นำเล่า?”
“หรือการมาที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงของพวกเราเป็นเพียงแค่การดูอยู่ข้างสนามงั้นรึ”
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตั้งตระหง่านอยู่ที่เจี้ยนโจวมาหกร้อยปี อายุเท่ากับอาณาจักรแห่งนี้ พวกเราเคยกลัวศัตรูภายนอกที่ไหนกัน ถึงแม้ร่างจะถูกบดขยี้จนกระดูกแตกเป็นผุยผงก็ต้องสู้รบกับศัตรูจนกว่าจะตายกันไปข้าง”
“พอไม่มีผู้อาวุโสคอยกันศัตรูอยู่เบื้องหน้า คนวัยหนุ่มอย่างพวกเรากลับกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตายงั้นรึ”
ความเคลื่อนไหวที่ภูเขาด้านหลังดึงดูดความสนใจของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และลูกศิษย์นิกายเดียวกันได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกคนวัยหนุ่มที่เป็นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือได้ยินว่ามีศัตรูบุกโจมตีก็รีบหยิบอาวุธเพื่อเตรียมไปสู้รบที่ภูเขาด้านหลังด้วยความกระตือรือร้นทันที
เรื่องนี้เฉาชิงหยางได้เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เวินเฉิงปี้รองผู้นำพันธมิตรที่จัดการกิจการภายในเป็นผู้นำสมาชิกในกลุ่มไปปิดล้อมทางที่ต้องผ่านไปยังภูเขาด้านหลัง
ในสนามการสู้รบของระดับบรรลุธรรมนั้นไม่ต้องพูดถึงคนวัยหนุ่ม แม้แต่การสำแดงความสามารถของยอดฝีมือขั้นสี่ก็ยังมีข้อจำกัดอย่างมาก
เฉาชิงหยางจึงไม่สามารถปล่อยให้พวก ‘ตุ่นและมด’ เหล่านี้เข้าร่วมในการสู้รบที่ภูเขาด้านหลังได้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่จีเสวียนและคนอื่นๆ บุกโจมตีศัตรูที่ภูเขาด้านหลังและพุ่งเป้าไปที่ผู้นำพันธมิตรเฒ่าโดยตรง
ตราบใดที่ตาแก่นั่นตาย การตัดรากถอนโคนศัตรูในเวลาต่อมาก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายมาก
“ท่านรองผู้นำ สมาชิกในภูเขาทั้งหญิงชราและหญิงสาวเตรียมลงจากเขาไปพักอยู่ที่กองทหารรักษาชายแดนชั่วคราวแล้ว ที่นั่นมีกำลังทหารคอยปกป้องพวกนางขอรับ”
เวินเฉิงปี้ฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ถอนหายใจเบา สีหน้าและท่าทางผ่อนคลายลงพลางกล่าวกำชับว่า “ให้เมืองเตรียมม้าและรถม้าให้พร้อม ให้ทหารม้าเตรียมตัวให้ดี หากเห็นสัญญาณเตือนจากในภูเขา ให้พาพวกผู้หญิงและคนแก่ไปหาสมุหเทศาภิบาลที่เมืองเจี้ยนโจวทันที”
ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งแล้วก็จากไป
ในเวลานี้เอง ชายวัยกลางคนในชุดเกราะอ่อนที่มาพร้อมกับดาบยาวคนหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านรองผู้นำ ความปั่นป่วนภายนอกจวนจะควบคุมไม่อยู่แล้วขอรับ”
“มีคนจำนวนไม่น้อยออกจากป่าและหลังหน้าผาไปยังสถานที่ที่ผู้นำพันธมิตรเฒ่าปิดด่านกักตนแล้วขอรับ”
เวินเฉิงปี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเบาๆ “ไม่ต้องสนใจพวกเขา เตรียมตัวปลอบขวัญให้พร้อม”
หน้าที่ที่เฉาเหมิงจู่มอบให้เขาคือคุ้มกันผู้หญิงและเด็กออกไป กันไม่ให้สมาชิกในกลุ่มเข้าใกล้ด้านหลังภูเขา
คนจำพวกแรกนั้นไม่ได้มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร แต่คนจำพวกหลังนั้นเป็นอุปสรรคที่ยากยิ่ง เพราะอย่างไรกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็เป็นกองกำลังที่ประกอบด้วยชาวยุทธภพ ถึงแม้จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ในแง่ของระเบียบวินัย นักรบบนภูเขาย่อมไม่สามารถเทียบกับทหารในกองทัพได้อย่างแน่นอน
ลักษณะของนักรบชาวยุทธภพคือ ดื้อดึง มั่นใจในตัวเองและเชื่อฟังแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้น (ซึ่งไม่เสมอไป)
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงพบการโจมตีของศัตรู นักรบชาวยุทธภพที่ดื้อด้านเหล่านี้จะทนอยู่เฉยๆ ได้รึ?
พวกเขาจะยอมที่จะไม่ทำอะไรทั้งนั้นโดยสมัครใจและหันหลังกลับไปอย่างว่าง่ายงั้นรึ?
การแถลงความแข็งแกร่งของศัตรูให้พวกเขารับรู้โดยตรงอาจทำให้จิตใจที่รุ่มร้อนของนักรบที่ดื้อด้านเหล่านั้นตื่นตัวได้ แต่ด้วยวิธีนี้ก็จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นเช่นกัน
มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะถูกศัตรูที่แฝงอยู่ในกลุ่มพันธมิตรฉวยโอกาสนี้ในการปลุกระดมให้เกิดความตื่นตระหนกและสร้างความวุ่นวาย
หลังจากนั้น พวกคนที่มีเจตนาร้ายก็จะเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟอีกครั้ง…
เมื่อเรื่องนี้ดำเนินไปถึงขั้นนั้น เกรงว่าแม้แต่เวินเฉิงปี้ก็ต้องมีแผนการตอบโต้เช่นเดียวกัน
…
คุณชายหลิวติดตามพระอาจารย์ไป ทั้งสองเดินตามผู้คนไปทางเข้าป่า ซึ่งนำไปสู่ที่ด้านหลังภูเขา
มีผู้คนในสถานที่แห่งนี้จำนวนมาก สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังถืออาวุธทุกชนิดอย่างอึกทึก เพื่อที่จะไปสนับสนุนผู้นำพันธมิตรที่ภูเขาด้านหลัง
คุณชายหลิวกวาดสายตามอง เห็นแม่นางหรงหรงและยังมีหญิงอื่นๆ ของหอหมื่นบุปผา พวกนางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าวิตกกังวลและงุนงง
“แม่นางหรงหรง…”
คุณชายหลิวเข้าไปต้อนรับและทักทายคนจากหอหมื่นบุปผา จากนั้นก็ถามอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น ที่ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่ที่ท่านผู้นำพันธมิตรเฒ่าปิดด่านกักตนไม่ใช่รึ? หรือว่า…”
หรือว่าท่านผู้นำอาวุโสถูกโจมตีงั้นรึ? นี่คือเหตุผลที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เรียกพวกเรามาใช่หรือไม่?
เขาไม่กล้าถามออกไป เพราะตอนนี้ทุกคนล้วนอยู่ในอารมณ์เคร่งเครียดอย่างมาก
หรงหรงชายตามองพลางกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าคิดว่านี่คือเหตุผลที่ท่านผู้นำเรียกพวกเรามา”
เหล่าหญิงสาวหอหมื่นบุปผาที่อยู่ข้างๆ ต่างก็เงียบกริบไม่พูดไม่จาราวกับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เห็นได้ชัดว่าตราบใดที่เป็นคนมีสมอง ก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
ท่านอาจารย์ของหรงหรงกล่าวพึมพำว่า “อย่ากังวลไป ถึงแม้จะไม่มีท่านผู้นำพันธมิตรเฒ่า ความสามารถของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเราก็อยู่ในอันดับต้นๆ เว้นแต่ว่าราชสำนักจะตัดสินใจปราบกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มิฉะนั้นก็จะไม่มีศัตรูอื่นในที่ราบลุ่มกลางอีก”
สำหรับด้านนอกที่ราบลุ่มกลาง นางคิดไม่ออกว่าศัตรูภายนอกที่ราบลุ่มกลางจะมีเหตุผลอันใดที่จะเพ่งเล็งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
เวลานี้เอง ในป่าทึบที่จะนำไปสู่ด้านหลังภูเขา จู่ๆ ก็มีชายชาตรีถือดาบจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับนายพรานที่ขึ้นไปตัดฟืนบนเขาและพบเสือตัวใหญ่ แต่โชคดีที่รอดมาได้
“พวกเจ้าเข้าไปในสถานที่แบบใดกัน!”
ทหารทั้งสองที่สวมเสื้อเกราะและมีอาวุธคมกริบในมือตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ชายชาตรีจำนวนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากภูเขาด้านหลังไม่สนใจเขา แต่กลับตะโกนเสียงดังไปทางฝูงชนว่า “ขั้นสาม เป็นศัตรูระดับขั้นสาม”
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเรายั่วยุจอมยุทธ์ขั้นสาม”
“ยังมียอดฝีมือขั้นสี่อีกหลายคน มี มีปรมาจารย์สำนักพุทธด้วย…”
คำว่า ‘ขั้นสาม’ เป็นเหมือนก้อนหินยักษ์ที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ทำให้ฝูงชนที่ตกอยู่ในความกระวนกระวายอยู่แล้วกระสับกระส่ายขึ้นมาในทันที เสียงดังอึกทึกดังราวกับคลื่นลูกใหญ่
คุณชายหลิวเห็นอย่างชัดเจนว่าสีหน้าของท่านอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก เห็นดวงตาที่งดงามของหรงหรงเบิกโพลงขึ้น เห็นใบหน้าของหญิงงามแข็งทื่อ เห็นท่าทางที่หวาดกลัวและตกตะลึงของผู้คนโดยรอบ
“ทำไมจอมยุทธ์ขั้นสามต้องเพ่งเล็งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเรา?”
“มิน่าจู่ๆ สมาชิกทุกฝ่ายถึงถูกเรียกมาที่นี่ ไม่แปลกใจที่เฉาเหมิงจู่ออกคำสั่งธงแดง”
“นี่ นี่…นี่แหละที่ข้าบอกว่าทำไมความผันผวนของพลังปราณช่างน่ากลัวนัก รีบหนีเถอะ หากชักช้าพวกเราจะตายกันหมด”
“หนีอะไรกันเล่า ไปดูที่ภูเขาด้านหลังเถอะ หากได้เห็นการสู้รบ ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว”
สถานการณ์ควบคุมไม่ได้เล็กน้อย บรรดาคนที่หวาดกลัวก็เสนอให้หนีไปจากภูเขาเฉวี่ยนหรงเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ตามมา ส่วนคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นก็ใจร้อนจนไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย
คนที่มองโลกในแง่ร้ายก็เริ่มเผยแพร่ข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังตกอยู่ในหายนะและวิ่งไปบอกกันและกัน
แน่นอนว่ามีคนที่ไม่เชื่อเช่นกัน หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็อยากไปหาคำตอบที่ภูเขาด้านหลัง เริ่มพุ่งตัวไปที่ ‘ด่าน’ และต่อสู้กับทหารยาม
“ทุกคนเงียบ!”
เวินเฉิงปี้มาพร้อมกับกองกำลังจำนวนหนึ่ง เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเปิดเส้นทางในฝูงชนเพื่อให้รองผู้นำพันธมิตรเดินผ่าน
“จงฟังคำพูดของข้า”
ในฐานะรองผู้นำพันธมิตร เวินเฉิงปี้มีอำนาจบารมีมากพอที่จะระงับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เหล่าฝูงชนเงียบลงเล็กน้อย ทุกสายตาจับจ้องไปที่รองผู้นำพันธมิตร
“ไม่นานมานี้ เฉาเหมิงจู่ได้รับการแจ้งเตือนจากฆ้องเงินสวี่ ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะต้องต้อนรับการมาของศัตรูตัวฉกาจ และศัตรูนั่นก็คือคนของสำนักพ่อมดและสำนักพุทธ ส่วนสาเหตุการโจมตีของศัตรูนั้นยังไม่ชัดเจน หลังจากเฉาเหมิงจู่ได้รับข่าวก็เรียกบรรดาพี่น้องจากพรรคพวกฝ่ายต่างๆ เพื่อร่วมกันยับยั้งศัตรู เรื่องนี้มิได้เปิดเผยต่อสาธารณะก็เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก ขอให้ทุกท่านโปรดวางใจ มีท่านผู้นำพันธมิตรเฒ่า ฆ้องเงินสวี่และเฉาเหมิงจู่อยู่ด้วย วิกฤตที่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องง่าย”
คำพูดของเวินเฉิงปี้มีเทคนิคอย่างมาก เขาไม่ได้ปิดบังหรือปฏิเสธสุ่มสี่สุ่มห้า แต่กลับยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกและนำไปสู่ความเคลือบแคลงใจของฝูงชน หลังจากนั้นก็ยกสวี่ชีอันออกมา
ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายของการโค่นทรราชในเมืองหลวง ชื่อเสียงของสวี่ชีอันก็เป็นเหมือนเปลวไฟที่คุโชนในน้ำมัน เขาแทบจะเป็นเหมือนเทพเจ้าในหมู่ผู้คนและยุทธภพ ที่ว่ากันว่าเขาเกิดขึ้นตามโอกาส เป็นผู้ช่วยชีวิตให้รอดพ้นแห่งต้าฟ่ง
หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งหมกมุ่นอยู่กับการฝึกลัทธิเต๋า ชื่อเสียงของเขาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ทุกวัน จากนั้นภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่อ่อนแอก็ฝังรากลึกลงในจิตใจของผู้คน เมื่อประชาชนประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติและมีชีวิตที่ยากลำบาก ความผิดจึงถูกโยนไปที่พระประมุขโดยปริยาย
นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดิหลายพระองค์ในประวัติศาสตร์จะออกกฤษฎีกาเพื่อระงับความคับข้องใจของประชาชนในปีที่เกิดภัยพิบัติ
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินว่าฆ้องเงินสวี่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวก็ลดลงอย่างมาก คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเปรียบเทียบกับท่านผู้นำพันธมิตรเฒ่าในตำนานแล้ว ฆ้องเงินสวี่เป็นตัวจริงและมีอยู่เพื่อประโยชน์ จึงสามารถทำให้ผู้คนใจชื้นขึ้นได้
เวินเฉิงปี้กล่าวต่อไปว่า “มีคนจำนวนมากที่ได้เห็นการต่อสู้ของขั้นสาม ภูเขาด้านหลังกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ทุกท่านอย่าเข้าใกล้ รีบแยกย้ายกันไป รอให้เรื่องสงบลงก่อนแล้วค่อยกลับมา”
ณ สถานที่นี้ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจากไป มีบางคนก็กลับไปเก็บทองคำและเงิน หนีออกจากภูเขาเฉวี่ยนหรงเพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายที่จะตามมา
แต่เวินเฉิงปี้รู้ดีว่ามีคนกลุ่มใหญ่จากสถานที่อื่นแอบไปที่ด้านหลังภูเขา
เป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามปรามได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยสิ้นเชิง ผลของคำพูดของเขาเมื่อครู่คือการทำให้สมาชิกที่การฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำรู้จักถอยเมื่อเห็นสถานการณ์ลำบาก ต่อให้พวกเขาจะเป็นลูกวัวเพิ่งเกิดที่ไม่กลัวเสือ ผู้อาวุโสของพวกเขาก็ต้องขัดขวางเช่นกัน
…
“ท่านอาจารย์ ข้า ข้าอยากไปดู”
ดวงตาของคุณชายหลิวเป็นประกาย ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว
นักดาบวัยกลางคนเหลือบตามองเขาพลางกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอยากตาย ข้าก็จะไม่ห้าม ดาบเล่มนี้คงถูกส่งต่อให้ลูกชายของข้าในอนาคตพอดี อยากไปด้านหลังภูเขาก็ย่อมได้ แต่พาเหล่าลูกศิษย์ของสำนักโม่ลงจากภูเขาก่อน”
คนที่ไม่มีภรรยาพูดถึงลูกชายได้ด้วยรึ…คุณชายหลิวตำหนิในใจ เห็นในดวงตาของหรงหรงก็มีประกายเช่นกัน ราวกับหวาดกลัวแต่ก็เหมือนจะตื่นเต้นเช่นกัน
สำหรับคนยุทธภพแล้ว การต่อสู้เหนือมนุษย์นั้นมีพลังดึงดูดที่ร้ายแรงเกินไป
หลังจากจัดการลูกศิษย์สำนักโม่แล้ว คุณชายหลิวก็ตามท่านอาจารย์ไป อ้อมจากยอดเขาด้านข้างไปยังภูเขาด้านหลังและยังพบชาวยุทธจักรจำนวนมากที่มีจุดประสงค์เดียวกันตลอดทาง
ถ้าไม่พึ่งพาคนที่มีฝีมือเหนือชั้นเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง ก็เป็นการรวมตัวกันระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์
นักดาบวัยกลางคนกล่าวเสียงทุ้มว่า “สามารถมองเห็นภูเขาด้านหลังจากยอดเขาทางใต้ ระยะห่างค่อนข้างไกล จึงนับว่าปลอดภัย แต่เนื่องจากท่านอาจารย์ไม่รู้ว่าพลังต่อสู้ของขั้นสามเป็นอย่างไร ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ข้างข้าตลอดเวลา ห้ามเพ่นพ่าน หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะพาจากไปทันที”
เขายังคงมั่นใจกับวิชาตัวเบาของตนเองอย่างมาก
ในขณะที่คุณชายหลิวกำลังจะตอบ จู่ๆ ก็เห็นแสงสีทองพุ่งลงมาจากฟากฟ้าและกระทบกับภูเขาด้านหลัง
ชาวยุทธภพที่กำลังรีบไปยังยอดเขาทางใต้ต่างก็หันไปมองและสนใจลำแสงสีทองนั้น
…
“เฉาเหมิงจู่!!!”
เมื่อครู่มีความมั่นใจมาก แต่ตอนนี้หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็หวาดกลัว
เฉาชิงหยางขั้นสามตกลงมาจากฟากฟ้าและจมลงสู่ดินด้วยฝ่าเท้าเพียงข้างเดียว ความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามของเทพอารักษ์สำนักพุทธเกินความคาดหมายของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างมาก
แต่ท่าทีผ่อนคลายของเทพารักษ์ที่น่าเกลียดตนนั้น ราวกับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ที่แท้ขั้นสามก็มีความแตกต่างเช่นกัน…ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในใจของยอดฝีมือขั้นสี่อย่างฟู่จิงเหมินโดยอัตโนมัติ
“โอ้…”
เสียงราวกับกล่องสูบลมแตกดังออกมาจากลำคอของเฉาชิงหยาง เหมือนกับมังกรที่เพิ่งตายไปเมื่อครู่
ฝ่าเท้าข้างเดียวของเทพอารักษ์อสูรทำให้อวัยวะภายในทั้งห้าของเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก กระดูกที่แตกหักแทงทะลุหัวใจของเขา
หากไม่ใช่เพราะยังมีประสิทธิภาพแก่นโลหิตของสวี่ชีอัน เมื่อครู่เขาก็คงตายอยู่ใต้ฝ่าเท้าไปแล้ว
“ไม่มีระดับเหนือมนุษย์ปรากฏตัวในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งที่ราบลุ่มกลางมาหลายร้อยปีแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวจริงๆ”
เทพอารักษ์อสูรก้มศีรษะลงไปมองเฉาชิงหยางพลางพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความเห็นด้วยในพรสวรรค์ของเขา ก่อนจะกล่าวว่า “หากเจ้ายึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง สอนพลังเทพวชิระให้แก่เจ้า ภายในห้าปี เจ้าจะเข้าสู่ขั้นสาม กลายเป็นผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร ได้รับการเซ่นไหว้จากผู้คนนับหมื่นในแดนประจิม”
เฉาชิงหยางจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำและไม่พูดไม่จาใดๆ
“ศาสนาพุทธของข้ามีเมตตาธรรม แต่ข้าไม่ใช่ฉานซือ หน้าที่ของข้าคือต่อต้านโจรและขโมย ไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางศีล”
เทพอารักษ์อสูรทวีความรุนแรงขึ้น เสียง ‘คลิก’ ของกระดูกที่แตกหักดังขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาของเฉาชิงหยางดำมืด เลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากลำคอของเขา เลือดสีแดงจากหน้าอกเปื้อนเท้าสีทองเข้มที่ไร้รองเท้าของเทพอารักษ์อสูร
เทพอารักษ์อสูรกล่าวเสียงเบาว่า “การบำเพ็ญนั้นไม่ง่าย โยมเฉาอย่าเข้าใจผิด ตบะเช่นนี้ กี่ชั่วชีวิตของคนธรรมดาก็ยังบำเพ็ญไม่ถึง”
เฉาชิงหยางกลอกตาไปมองประตูหินที่อยู่ด้านหลังด้วยความยากลำบาก
เทพอารักษ์อสูรอุทาน ‘โอ้’ พลางชำเลืองมองตามไปที่ประตูหิน
“สำนักพุทธไม่สามารถฝืนใจผู้ใดได้ ในเมื่อเจ้ามีความกังวลใจ อาตมาจะช่วยคลายความกังวลทางโลกแทนเจ้าเอง”
เขาถอนฝีเท้ากลับและไม่มองเฉาชิงหยางอีก ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทางประตูหินช้าๆ
…
“ท่านผู้นำ!”
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กรีดร้องด้วยความตกตะลึงพลางมองไปที่แววตาของเทพอารักษ์อสูรด้วยความโกรธระคนเสียใจ
ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรท่านนี้ต้องการชักจูงท่านผู้นำเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ต่อหน้าสถานที่ที่ท่านผู้นำพันธมิตรเฒ่าปิดด่านกักตนต่อหน้าพวกเขางั้นรึ?
ช่างเย่อหยิ่งนัก!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น นอกจากความเดือดดาลที่อยู่ในใจของพวกเขาแล้ว ความจริงก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านแต่อย่างใด เพราะผลสุดท้ายเทพอารักษ์ตู้ฝานเพียงแค่วาดฝ่ามือเบาๆ ก็ทำให้ขั้นสี่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แหลกเป็นชิ้นๆ
การกระทำราวกับตั๊กแตนห้ามรถเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทำให้ฟู่จิงเหมินที่ใจร้อนและโหดเหี้ยมไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะต่อต้านได้
ในอีกด้านหนึ่ง คุณชายหลิวและคนอื่นๆ ที่ปีนขึ้นไปบนยอดเขาทางใต้อย่างรวดเร็วก็รวมตัวกับเป็นกลุ่มบนยอดหน้าผา ทอดสายตาออกไปไกล และสถานการณ์ที่ด้านหลังภูเขาก็ปรากฏอยู่ในสายตา
“นั่นคือเฉา…เฉาเหมิงจู่รึ?”
คุณชายหลิวหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองอย่างสุดกำลัง เห็นร่างยักษ์สีทองเข้มราวกับหอคอยเหล็กกำลังเหยียบคนอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ใบหน้าของบุคคลนั้นเต็มไปด้วยเลือด คลับคล้ายว่าจะเป็นท่านผู้นำเฉาเหมิงจู่
สายตาของเขายังไม่แข็งแกร่งจนถึงขั้นนั้น เขาหันไปมองท่านอาจารย์ที่อยู่ด้านข้างและยอดฝีมือคนอื่นๆ ทันทีราวกับกำลังหาข้อพิสูจน์
คุณชายหลิวเห็นความกลัวและความไม่สบายใจจากแววตาของพวกเขา
คือเฉาเหมิงจู่จริงๆ…คุณชายหลิวไม่ได้ออกตัว ดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย ปล่อยให้ความตกใจและตื่นตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาอย่างอิสระ
“ฆ้องเงินสวี่เล่า?”
จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ไหนว่าฆ้องเงินสวี่ก็เข้าร่วมไม่ใช่รึ ทำไมมีเพียงคนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของข้า ทำไมฆ้องเงินสวี่ไม่อยู่ด้วยเล่า?”
นี่คือผู้หญิงจากหอหมื่นบุปผา ใบหน้าอันบอบบางซีดลงเล็กน้อย
ไป๋หู่ที่แขนหักส่ายศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้อบกพร่องในการฝืนใจผู้คนของสำนักพุทธ ไม่ว่าจะผ่านไปนานหลายปีก็ยังไม่เปลี่ยน”
“หากเฉาชิงหยางเปลี่ยนไปพึ่งพาสำนักพุทธจริง เขาจะหันกลับมาแก้แค้นพวกเราหรือไม่?”
หลิ่วหงเหมียนสนใจเรื่องนี้มากขึ้น
“ไม่หรอก”
ฉีฮวนตานเซียงส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เปลี่ยนไปพึ่งพาสำนักพุทธ ต้องฟังพระไตรปิฎกเป็นเวลาสามวันก่อน หลังจากนั้นสามวัน แม้จะเป็นคนเลวมาก ในใจก็จะนึกถึงแต่คุณงามความดีของสำนักพุทธและจงรักภักดีมาก”
“เฮอะๆ นี่คือสิ่งที่สำนักพุทธเรียกว่าบรรลุญาณ”
เวลานี้เอง จิ้งหยวนกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์อาตู้ฝานลงสนามเช่นนี้ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สวี่ชีอันปรากฏตัว”
ในอีกด้านหนึ่ง เทพอารักษ์อสูรก็เข้าใกล้ประตูหินแล้ว ฝีเท้าของเขามั่นคงและทรงพลังอย่างยิ่ง ทุกย่างก้าวล้วนทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้น ราวกับยักษ์ที่ไม่มีทางหยุดยั้งได้
แต่เมื่อร่างราวกับเหล็กนั้นอยู่ห่างจากประตูหินไม่ถึงสิบจั้ง จู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างจ้า พร้อมกับร่างในชุดขาวที่ยืนขวางเทพอารักษ์อยู่ที่หน้าประตูหิน
บุคคลนี้มีรูปร่างและส่วนสูงเหมือนคนธรรมดา หน้าตาและออร่าก็ธรรมดามาก ราวกับคนที่ไม่เตะตาที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
หากไม่ใส่ใจให้ดี เขาก็จะกลมกลืนไปกับฝูงชนจนหาไม่เจออีกเลย
“ท่านสมุ…”
ซุนเสวียนจีมองเฉาชิงหยางที่อยู่ในระยะไกล ราวกับต้องการอธิบายอะไรบางอย่าง
เฉาชิงหยางกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวด้วยความยากลำบาก
“ข้าเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องอธิบาย…”
ผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวที่เฉาชิงหยางเข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดแม้แต่คำเดียว
……………………………….……………