ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 624 เจ้าแห่งวัสสาน
บทที่ 624 เจ้าแห่งวัสสาน
“ระยะห่างระหว่างข้ากับเจ้าไม่ถึงหนึ่งจั้ง”
อสูรเทพอารักษ์ตู้ฝานก้มศีรษะมองคนรูปร่างเตี้ยสวมชุดขาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาสูงเพียงอกของตน
“นอกจากเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว ในระดับบรรลุธรรมขั้นสามนี้ ไม่ว่าระบบใดๆ ก็ตามหากถูกจอมยุทธ์เข้าใกล้ภายในหนึ่งจั้ง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
เขาชายตามองโหรชุดขาว พร้อมกระดกริมฝีปากอันหนา
ในระยะนี้ ต่อให้อีกฝ่ายคิดส่งตัวหนี เขาก็สามารถขัดขวางล่วงหน้าได้
ส่วนอาวุธเวทมนตร์คุ้มกายา ในสายตาของเทพอารักษ์ขั้นสาม เขาไม่สามารถทำลายค่ายกลคุ้มเมืองที่ประสานกันจากค่ายกลเล็กๆ นับไม่ถ้วนได้ ยกเว้นบางส่วนที่สลักไว้บนกำแพงเมือง
ค่ายกลที่สลักไว้บนอาวุธเวทมนตร์ถูกจำกัดด้วยน้ำหนักและวัสดุ ไม่อาจต้านทานกำปั้นเหล็กของเขาอยู่
ต่อให้เป็นอาวุธเวทมนตร์อย่างเจดีย์พุทธะ หากนำออกมาในตอนนี้ก็คงสายเสียแล้ว
“หรือว่า เจ้ากำลังส่งตัวประกันให้สำนักพุทธ เพื่อแลกตัวกับพระอรหันต์ตู้ฉิง”
พริบตาที่กล่าวประโยคนี้ออกมา มือขนาดใหญ่ประหนึ่งพัดใบปาล์มของอสูรเทพอารักษ์ก็ลงมาปกคลุมเหนือศีรษะของซุนเสวียนจี
‘ปัง!’
มือขนาดใหญ่สีทองมืดตบลงบนเขตปราณ อากาศสั่นสะเทือนจนส่งเสียงแสบหู
เทพอารักษ์ตู้ฝานสีหน้าเปลี่ยน เขารับรู้ได้ถึงการยับยั้งที่เผชิญจากกลางฝ่ามือ
ขณะนี้ เขารู้สึกราวตนเองเป็นศัตรูกับฟ้าดิน โลกฟากนี้กำลังขับไล่เขา
ซุนเสวียนจียืนตระหง่านโดยไม่ขยับ พร้อมเงยตามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างกระชับใจความว่า
“ไสหัวไป! ”
เขายื่นฝ่ามือมาแนบอกเทพอารักษ์ตู้ฝาน มีการชะงักประมาณหนึ่งวินาที หลังจากเสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้น เทพอารักษ์ตู้ฝานก็ถูกยิงปลิวออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ที่ออกจากทรวงอกท่ามกลางระลอกการระเบิดของคลื่นอากาศ
เขาชนต้นไม่หักตามทางนับไม่ถ้วน และถางจนเป็นเขต ‘สุญญากาศ’ กลางป่าทึบ
เมื่อเขาทรงตัวได้ก็ถูกยกขึ้นบนยอดเขาอย่างไม่รู้จบ และล่องลอยกลางอากาศ โดยใต้เท้าเป็นเหวลึก
“…”
บนสนามเงียบสงัด เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ทั้งสองฝ่ายราวกับสูญเสียความสามารถในการถ่ายทอดภาษา
โหรของสำนักโหราจารย์แข็งแกร่งเช่นนี้เลย…
สมกับเป็นคนของสำนักโหราจารย์ สมกับเป็นศิษย์รองของท่านโหราจารย์ น่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้…
เกิดคำอุทานและคำชมเชยขึ้นในใจของฟู่จิงเหมินและมวลชนจอมยุทธ์ กล่าวตามจริง ในตอนแรกสุดพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญ ‘ศิษย์รองท่านโหราจารย์’ จากปากเฉาชิงหยางเลย
ได้ยินมาไม่มากนัก ไม่รู้ตบะ ไม่มีผลงานการต่อสู้ และเป็นโหรที่กระทั่งต่อสู้ระยะประชิดก็ทำไม่ได้ จะแสดงประสิทธิภาพได้เท่าใดนัก
ที่ใดมีชื่อ ‘ฆ้องเงินสวี่’ สามคำนี้เป็นที่สะดุดตา
ทว่าฉากตรงหน้านี้ทำให้พวกเขารู้ว่าโหรชุดขาวคนนี้แกร่งจนน่ากลัว
ฝ่ามือที่สัมผัสเบาๆ ตีร่นเทพอารักษ์สำนักพุทธ
เทพอารักษ์ผู้นี้ เพิ่งจะระบายความป่าเถื่อนและแสดงความทรงพลังของตนเองก่อนหน้านี้
หลิ่วหงเหมียนทำปาก ‘โอ้’ นางคบค้าสมาคมกับโหรไม่น้อยหลังจากเข้าเมืองเฉียนหลง เด็กผู้หญิงในกลุ่มเองก็เป็นโหรเช่นกัน
นางรู้ดีว่าร่างกายและวิญญาณของโหรอ่อนแอ จึงยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าด้วยการพึ่งการโจมตีด้วยอาวุธเวทมนตร์ที่เหมือนไม่ต้องเสียอะไร และพึ่งพาค่ายกลที่ดูอลังการ
หากต้องให้โหรต่อสู้ระยะประชิดกับจอมยุทธ์จริงๆ คงไม่ต่างกับการเปิดโคมไฟหาอุจจาระในห้องน้ำ
หรือว่าร่างกายและวิญญาณของโหรหลังจากขั้นสามจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ซึ่งมากพอจะเขย่าจอมยุทธ์ขั้นสาม
สีหน้าของพยัคฆ์ขาวฉีฮวนตานเซียงและคนอื่นไม่ต่างจากนางนัก
จิ้งซินและจิ้งหยวนซึ่งเป็นศิษย์ทั้งสองของสำนักพุทธคิ้วหมวด พวกเขามองไม่เห็นความลี้ลับที่อยู่ในนั้น
…
จีเสวียนแหงนศีรษะมองสวี่หยวนซวงอย่างฉับพลันพร้อมเอ่ยว่า “น้อง…”
แต่สวี่หยวนซวงกลับจ้องเขม็งไปยังตงฟางหว่านหรง ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า
“ท่านอาวุโสน่าหลันตาสว่าง ภูมิประเทศของภูเขาเฉวี่ยนหรงเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ”
นางหันกลับมามองจีเสวียนพร้อมอธิบายว่า
“ซุนเสวียนจีใช้ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นฐาน และสลักค่ายกลไว้ ตอนนี้พลังภูมิลักษณ์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงทั้งลูกเป็นของเขา”
นางเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาใหม่ ยังห่างชั้นกับปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่อีกไกล ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงในทันที จนกระทั่งซุนเสวียนจีลงมือเมื่อครู่ นางจึงมองออก
และเข้าใจคำพูดเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ของตงฟางหว่านหรงในทันใด
จีเสวียนเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วว่า “พลังภูมิลักษณ์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ”
สวี่หยวนซวงทำเสียง ‘อืม’ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเข้มขรึมว่า
“ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นภูเขาชื่อดังของเจี้ยนโจว อยู่ในลำดับที่เก้าของภูเขาที่มีทัศนียภาพอันสวยงามแห่งที่ราบกลาง เล่าลือกันว่าในปีนั้นเดิมทีปรมาจารย์นิกายสวรรค์มีแผนสร้างนิกายที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง และเกลี้ยกล่อมให้เฉวี่ยนหรงเป็นอสูรเทพคุ้มกัน”
“ตำนานนี้จริงหรือเท็จยากแยกแยะ แต่มากพอจะอธิบายว่าภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นภูเขาที่มีทัศนียภาพอันสวยงามแห่งหนึ่งที่มีไม่มากนัก และหาเทือกเขาใดมาเปรียบไม่ได้”
จีเสวียนกระจ่างในทันที และเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
“มิน่าล่ะซุนเสวียนจีจึงไม่เคยปรากฏตัวเลย ที่แท้ก็กำลังแอบวางค่ายกลอย่างลับๆ ”
ดังที่เห็นตรงหน้า จีเสวียนนึกถึงคำพูดที่ราชครูเคยกล่าวกับพวกเขาก่อนหน้านี้นานแล้วว่า
‘ภายในที่ราบกลาง ท่านโหราจารย์อยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น ทั้งภูเขาและแม่น้ำของที่ราบกลาง ล้วนเป็นสิ่งของในเงื้อมมือของท่านโหราจารย์’
“สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือเปลี่ยนมันเป็นสิ่งของในเงื้อมมือของข้า”
ขณะนั้นเขาไม่ได้คิดมาก จนถึงตอนนี้เขาจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง
ระบบมากมายจะวางรากฐานให้ระดับสูงขณะอยู่ในระดับต่ำ หรือตรงๆ ก็คือฉบับเลื่อนขั้นของระดับสูง
จีเสวียนรู้สึกคลุมเครือว่า วิธีการควบคุมพลังแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ซุนเสวียนจีแสดงตรงหน้า อาจจะซ่อนความลับที่ลึกซึ้งที่สุดของโหรไว้
…
“นี่ไม่ใช่พลังของเจ้า เจ้าเพิ่งจะวางค่ายกลเมื่อครู่”
อสูรเทพอารักษ์ยืนขึ้นกลางอากาศ และพยายามกลับไปกลางภูเขา แต่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ‘ปิด’ ประตูใหญ่แล้ว ทุกครั้งที่เขาพยายามลงไป ล้วนถูกอาณาเขตปราณสกัดกลับมาเสมอ
ในฐานะเทพอารักษ์ผู้ปกปักรักษาสำนักพุทธ เขารู้เกี่ยวกับโหรเป็นอย่างดี และคาดการณ์สถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างกระจ่างชัดในใจ
ซุนเสวียนจีจ้องมองเขาเงียบๆ โดยไม่พูด
“เหตุใดจึงไม่พูด”
เหมือนอสูรเทพอารักษ์จะขุ่นเคืองเล็กน้อย
ซุนเสวียนจีขยับริมฝีปากเปล่งออกมาคำหนึ่ง “อย่า…”
หลังจากนี้ จะไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว
เฉาชิงหยางลากร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปใกล้ๆ หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ อย่างโซซัดโซเซ และได้ยินการคาดเดาที่ปรากฏขึ้นจากจิตใต้สำนึกของเขาในหัวว่า
สิ่งที่เขาอยากกล่าวคงจะเป็น “อย่าเลอะเทอะ”
ไต้จงลุกพรวดอย่างคล่องแคล่วมาข้างๆ เฉาชิงหยาง และประคองเขากลับไป
กลุ่มจอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งฟู่จิงเหมินและเซียวเยว่หนูรุมล้อมเพื่อคุ้มกันเฉาชิงหยางในทันที
“ท่านประมุข อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง”
เซียวเยว่หนูพลางหยิบยารักษาอาการบาดเจ็บ พลางถามไถ่
“จะตายไม่ได้ แก่นโลหิตของสวี่ชีอันปกป้องชีวิตข้าไว้”
เฉาชิงหยางรับยามาทานและดึงเสื้อท่อนบนออกให้มวลชนดูอาการบาดเจ็บของเขา
หน้าอกเปื้อนไปด้วยเลือดและเนื้อ พร้อมกับมีเดือยกระดูกยื่นออกมา แต่เลือดและเนื้อกำลังขยุบขยิบอย่างแข็งขันเพื่อพยายามรักษาตนเอง แต่ความเร็วในการฟื้นฟูช้ามาก และให้ความรู้สึกอันไร้เรี่ยวแรงหนุนเนื่องมาตลอดเวลา
“ข้าไม่อาจดูดซับแก่นโลหิตได้ในเวลาอันสั้น มิเช่นนั้นกายหยาบจะแตกสลาย บาดแผลนี้หนักจนข้าต้องบ่มเพาะถึงครึ่งเดือน”
สีหน้าของเฉาชิงหยางเริ่มมีเลือดฝาดหลังกลืนยา
“ท่านประมุข โหรคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เทพอารักษ์เข้ามาไม่ได้เลย บางทีพวกเราอาจจะใช้สิ่งนี้เพื่อให้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ อาจจะไม่ต้องให้ฆ้องเงินสวี่ลงสนาม”
สีหน้าของฟู่จิงเหมินล่องลอยไปด้วยความดีอกดีใจ
ขณะนี้เฉาชิงหยางเข้าใจแล้ว ซุนเสวียนจีมาช้าเพราะกำลังแอบวาดค่ายกลอยู่
“ยังมีอีกเรื่อง ประชาคมในพันธมิตรหนีไปยอดเขาทางใต้แล้ว”
เซียวเยว่หนูผู้ละเอียดรอบคอบเอ่ยเบาๆ
เฉาชิงหยางมองไปทางใต้อย่างงงงัน พบว่ามีคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่บนยอดผาจริงๆ และห่างจากพวกเขามากจนตัวเล็กเท่าเม็ดถั่ว แต่สายตาของเฉาชิงหยางสามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน
เฉาชิงหยางเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะเส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบๆ
“ไม่กลัวศัตรูจงใจสังหารหมู่เหรอ”
“เพียงตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจพวกเขาเท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถสร้างชีวิตของตนเองบนความเมตตากรุณาของศัตรูได้”
‘ปึง!’
เสียงคลื่นปราณสั่นสะเทือนหยุดการสนทนาของพวกเขา เมื่อเงยศีรษะไปมอง พบว่าหลังศีรษะของเทพอารักษ์สำนักพุทธผู้อัปลักษณ์ลุกโชนไปด้วยวงแหวนเพลิงอันร้อนแรง ร่างกายสีทองมืดกลายเป็นสีทองที่สว่างไสว
เขายืนกลางอากาศเสมือนดวงอาทิตย์สีทองที่ลุกจ้าจนผู้ชมการต่อสู้ลืมตาไม่ขึ้น
อสูรเทพอารักษ์กำหมัดพร้อมเหวี่ยงแขนขวาไปด้านหลัง ทำให้ทั้งร่างเอนไปทางหลัง ตามด้วยกล้ามเนื้อที่บึกบึนปูดขึ้นเป็นก้อนๆ พร้อมกับท่าทางนี้
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ยักษ์สีทองตนนั้นแกว่งหมัดทุบเขตปราณซ้ำๆ อย่างไม่หยุดด้วยท่าทางราวกับตีเหล็ก
ทุกครั้งที่หมัดทุบลง เขตปราณก็ยิ่งสั่นรุนแรงขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนรูปร่าง มวลชนในภูเขารู้สึกเพียงว่าตีนภูเขาเฉวี่ยนหรงกำลังสั่นสะเทือนอยู่
ความรู้สึกราวแผ่นดินไหวนี้ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดหวั่นอย่างมาก กลัวว่าอีกชั่วประเดี๋ยวภูเขาเฉวี่ยนหรงจะพังทลายลงจนฝังกลบผู้คนทั้งหมดไว้ใต้ภูเขา
อสูรเทพอารักษ์จะต้องขย่มภูมิลักษณ์ภูเขาและแม่น้ำด้วยพลังของตนเอง
ซุนเสวียนจีคลำหาไซสีดำออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม้ช้าไม่เร็ว และชี้เหมือนดาบพร้อมลูบไปทั่วตัวไซ
อักขระยันต์สว่างขึ้นบนตัวไซตามปลายนิ้วที่พาดผ่าน จากนั้นไซสีดำก็เปล่งแสงสว่างไสวขึ้น
‘ฉึบ!’
ซุนเสวียนจีเสียบไซดำลงไปที่พื้นโคลนใต้เท้า
เขตปราณที่ปกคลุมภูเขาเฉวี่ยนหรงทั้งลูกแน่นหนาขึ้นภายในช่วงเวลาอันสั้น กำปั้นของอสูรเทพอารักษ์นำมาเพียงความสั่นสะเทือนเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากทุบไปอีกหลายหมัด ตู้ฝานจึงล้มเลิกการโจมตีอย่างชาญฉลาด ตั้งแต่บำเพ็ญพุทธเป็นต้นมา เขาลบความบ้าคลั่งในเนื้อแท้ของอสูรไปนานแล้ว และกลายเป็นคนสุขุมและมีสติปัญญา ด้วยเหตุนี้เขาจึงสูญเสียการเพิ่มพลังรบที่มาจาก ‘ความบ้าคลั่ง’ แต่สามารถควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น
‘เขาเลิกแล้วหรือ’ เฉาชิงหยางที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นแหงนมองไปยังท้องฟ้า ผ่อนน้ำเสียงอย่างแผ่วเบาในความคิด
“สมกับเป็นศิษย์รองของท่านโหราจารย์…” มือกระบี่หยางชุยเสวี่ยลูบเครายิ้ม
ขั้นสี่กลุ่มหนึ่งหัวเราะขึ้นมา
ประชาคมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์บนยอดเขาทางใต้บันเทิงถึงอกถึงใจ แม้เป็นเพียงการแกว่งหมัดที่ซ้ำซาก แต่ความกระทบกระเทือนทางสายตาและการสั่นสะเทือนทางจิตใจรุนแรงมาก
โหรระดับสูงวาดค่ายกลในภูเขาเพื่อสร้างม่านพลังปกคลุมภูเขาเฉวี่ยนหรงทั้งลูก
พลังเพียงคนเดียวของเทพอารักษ์สำนักพุทธแทบจะขย่มภูเขาทั้งโลก
สิ่งเหล่านี้ฝากความประทับใจอันลุ่มลึกให้พวกเขา และสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจอันรุนแรง จนทำให้พวกเขาเห็นทัศนียภาพของระดับบรรลุธรรม
เมฆดำโผล่ขึ้นกลางท้องฟ้าในฉับพลันพร้อมด้วยสีของท้องฟ้าที่มืดครึ้มอย่างรวดเร็วระหว่างที่บรรดาจอมยุทธ์กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังชอบอกชอบใจ
เมฆเป็นชั้นๆ ที่มืดทึบไหลเชี่ยวกรากมาควบกัน แสงสายฟ้าแลบดับเป็นครั้งคราวราวกำลังเตรียมการท่ามกลางชั้นเมฆ
ชั่วเวลาอันสั้น เสาอัสนีที่ใหญ่และแข็งแรงพุ่งลงมายิงถล่มเขตปราณที่ปกคลุมภูเขาเฉวี่ยนหรงจากฟากฟ้า
เสาอัสนีเสานี้พร่างพราวเสียจนทำให้ฟ้าดินถูกย้อมไปด้วยสีครามขาวในทันใด ผู้คนนับไม่ถ้วนไม่ทันได้ตั้งตัว ต่างปิดตากรีดร้องอย่างน่าเวทนา และปวดแสบปวดร้อนลูกกะตาจนน้ำตาไหลพราก
‘ตูม!’ ‘โครม!’
อย่างแรกคือเสียงเขตปราณแตกสลาย จากนั้นเหมือนเสาอัสนีจะยิงถล่มกลางภูเขา และก่อให้เกิดเสียงดังคล้ายระเบิด
บรรดาจอมยุทธที่ดวงตาทั้งสองข้างสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ รับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าภูเขาเฉวี่ยนหรงสั่นสะเทือนเพราะมัน รับรู้ว่าเส้นผมและขนของตนเองตั้งชูชันเป็นเส้นๆ
สิ่งนี้เกิดจากอนุภาคประจุไฟฟ้าที่หนาแน่นนับหลายเท่ากระตุ้นผิวหนังในอากาศอย่างฉับพลัน
ผ่านไปพักใหญ่ เฉาชิงหยางและจอมยุทธ์ตบะสูงคนอื่นๆ คืนสภาพการมองเห็นนำไปก่อน และมองไปยังกลางสนามอย่างเร่งด่วน
เมื่อเห็นสถานการณ์ของซุนเสวียนจีชัดเจน พวกเขาจมดิ่งในทันใด
ทั่วทั้งชุดขาวของซุนเสวียนจีเต็มไปด้วยรอยไหม้ มงกุฎมัดผมแตกกระเจิง ผมยาวที่ดำสนิทม้วนเกรียมอมเหลือง ปกคลุมไปด้วยควันหม่น
ผิวหนังที่โผล่ด้านนอกบริเวณแก้ม แขนและอื่นๆ แทบจะเป็นถ่าน และในรอยดำยังมีรอยแดงสด
ลมหายใจของเขาอิดโรยราวเทียนไขที่เหลืออยู่น้อยนิดกลางสายลม จนทำให้กลัวว่าจะดับมอดลงในอีกไม่นาน
นี่มัน…หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ รูม่านตาหดลงอย่างฮวบฮาบ จิตใจตกตะลึงอย่างหนักและยากจะสงบจิตสงบใจ
ความพ่ายแพ้ยับเยินของซุนเสวียนจีทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับ ขณะเดียวกันก็เข้าใจความจริงที่ทำให้สิ้นหวังจากการประสบเคราะห์ของซุนเสวียนจี
และยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า บนเรือกลางอากาศลำนั้นยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า
แข็งแกร่งถึงขั้นเรียกฟ้าร้องและฟ้าผ่าได้ และสามารถปราบซุนเสวียนจีผู้ที่กระทั่งเทพอารักษ์สำนักพุทธก็จนปัญญาได้ในกระบวนท่าเดียว
นี่ นี่ยังเป็นคนที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สามารถต่อกรได้ไหม
“ท่าน ท่านประมุข…” เฉียวเวิงแห่งสมาคมการค้าเจี้ยนโจวเอ่ยพร้อมกล้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากว่า
“พวกเรายุแหย่ตัวตนแบบใดอยู่กันแน่”
เขาถามความในใจของมวลชน
เฉาชิงหยางทำสีหน้างุนงง เพราะเขาเองก็ไม่รู้ หลังจากซุนเสวียนจีหาเขาเจอ เขาบอกเพียงว่าศัตรูคือสำนักพุทธและสำนักพ่อมด พวกเขามีพลังต่อสู้ระดับบรรลุธรรม
ในหัวของเขาผุดการคาดเดาที่น่ากลัวขึ้นแวบหนึ่ง
‘ขั้นสองหรือ’
ใช่สิ คนที่สามารถปราบซุนเสวียนจีได้อย่างง่ายดายมีเพียงยอดฝีมือขั้นสอง
และขั้นสอง แท้แล้วก็คือระดับบรรลุธรรม
“จุ๊จุ๊”
ปรมาจารย์ซินกู่ฉีฮวนตานเซียงกวาดสายตามองเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลพร้อมเอ่ยว่า
“เจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ”
หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองเป็นที่พึ่งสูงสุดของพวกเขา และก็เป็นแหล่งความเชื่อมั่น
เจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง…เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองของสำนักพ่อมด…เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ จ้องมองซึ่งกันและกันด้วยความกลัดกลุ้มเต็มใบหน้า
เจ้าแห่งวัสสานของสำนักพ่อมดชื่อดังก้องหู
วัฒนธรรมการขอฝนมีเฉพาะสามแคว้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ สมัยโบราณประชาชนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของจิ่วโจวจะส่งเครื่องบรรณาการให้สำนักพ่อมดในช่วงหน้าแล้ง เพื่อขอให้เจ้าแห่งวัสสานบันดาลฝน
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความลับ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้มากมาย
ชื่อเสียงของเจ้าแห่งวัสสานเป็นข้อมูลที่ทุกคนรู้กันดีแบบเดียวกับพระอรหันต์สำนักพุทธ
“สายฟ้าเส้นนั้นเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
“ท่านอาจารย์ ตาข้า ตาข้ามองไม่เห็นแล้ว…”
ผู้ชมการต่อสู้ที่ยอดเขาทางใต้ยังไม่มีการตอบสนอง ยังคงจมดิ่งอยู่ในพลังแห่งสวรรค์เมื่อครู่ และดำดิ่งอยู่ในความหวาดกลัวที่ถูกช่วงชิงวิสัยทัศน์ไป
จนกระทั่งได้ยินคนตะโกนอย่างตกตะลึงว่า “โหรชุดขาวถูกสายฟ้าผ่าเป็นถ่านเกรียม”
พวกเขาจึงจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อีกที และเกิดความกลัวที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูดในชั่วประเดี๋ยวเดียว
‘ปึง!’
อสูรเทพอารักษ์ร่อนลงมายังกลางสนามอีกครั้ง เขามองซุนเสวียนจีอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมพยักหน้าเอ่ยด้วยความพอใจว่า
“ยังมีชีวิตอยู่ คนตายไม่อาจแลกตัวพระอรหันต์ตู้ฉิงได้”
เขาก้าวเดินไปหาซุนเสวียนจี ระหว่างนั้น เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ สั่นระริกราวจักจั่นที่หนาวสะท้าน และเบิ่งตาค้างมองเขาเข้าใกล้ประตูหินและซุนเสวียนจีที่จวนจะตาย
ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีทองอ่อนก็วาดลงมาจากขอบฟ้า ติ๊ง…ตอกลงตรงหน้าอสูรเทพอารักษ์พร้อมเสียงใส
นั่นเป็นกระบี่ทองเหลืองเล่มหนึ่ง
ดาบสยบดินแดนแห่งต้าฟ่ง
…………………………………………..