ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 625 การต่อสู้ที่ชุลมุนอันเหนือมนุษย์
บทที่ 625 การต่อสู้ที่ชุลมุนอันเหนือมนุษย์
การปรากฏของกระบี่ทองเหลืองเล่มนี้ทำให้สีหน้าที่ยังคงนิ่งสงบของอสูรเทพอารักษ์ขณะถูกขวางอยู่นอกภูเขาเฉวี่ยนหรงเกิดการผันแปรอันชัดเจนในท้ายที่สุด
เขาหวาดกลัวสุดขีด และล่าถอยไปก้าวหนึ่งอย่างเคร่งขรึม
ในฐานะเทพอารักษ์ที่เคยเข้าร่วมการโจมตีเมืองหลวงและล้อมสังหารราชนิกุลเมื่อห้าร้อยปีก่อน ความทรงจำของเขาต่อกระบี่เล่มนี้ลึกซึ้งอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ
การป้องกันด้วยเนื้อหนังมังสาที่จอมยุทธ์ขั้นสามภูมิใจกับมัน เปรียบเสมือนคนธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่เล่มนี้
และร่างกายของเทพอารักษ์ที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่กล้าบอกว่าสามารถต่อต้านความแหลมคมอันไม่เป็นสองรองใครจากของวิเศษชิ้นนี้ได้
ระหว่างความวุ่นวายของการช่วงชิงราชบัลลังก์ครั้งนั้น อสูรเทพอารักษ์เคยเห็นศิษย์ร่วมสำนักถูกชินอ๋องของราชวงศ์ต้าฟ่งในปีนั้นสะบั้นนับหลายสิบกระบี่จนเต็มไปด้วยรอยแผลจากกระบี่ทั้งตัว และตายลงในท้ายที่สุดเนื่องจากปราณกระบี่กัดกินอวัยวะภายใน
ศิษย์ร่วมสำนักคนนั้นเป็นเทพอารักษ์ที่เก่งสมราคา
ฉากที่กระบี่เล่มนั้นปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าและบีบให้อสูรเทพอารักษ์ล่าถอยมีการตีความที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคนในสายตาของผู้รับชมจากทั้งสามฝั่ง
“นี่มันกระบี่อะไร ขู่เทพอารักษ์จนถอยเสียอย่างนั้น”
“นี่มันเกี่ยวกับกระบี่หรือ นี่หมายความว่าฆ้องเงินสวี่มาแล้ว”
“ใช่แล้ว กระบี่เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แต่เจ้าของเบื้องหลังกระบี่คือฆ้องเงินสวี่ ต้องเป็นเขาแน่ ท่านรองประมุขเคยกล่าวว่า ฆ้องเงินสวี่จะสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเรา”
“ในที่สุดก็มาแล้วสินะ…”
ผู้ล้อมชมที่ยอดเขาทางใต้ไม่รู้จักดาบสยบดินแดน จึงไม่คิดว่ากระบี่เล่มเดียวสามารถขู่ให้อสูรเทพอารักษ์ถอยได้ สิ่งที่บีบให้อีกฝ่ายถอยที่แท้จริงคือเจ้าของเบื้องหลังกระบี่เล่มนั้น
และเจ้าของคนนี้ก็คือฆ้องเงินสวี่ที่รองประมุขเคยกล่าวอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด
‘ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็มาแล้ว’…คุณชายหลิ่วผ่อนคลายเล็กน้อยในใจ เงามืดภายในจิตใจที่ถูกเสาอัสนีสร้างขึ้นเมื่อครู่นี้เบาบางลงไปมาก
เขาอดมองแม่นางหรงหรงไม่ได้ พบว่าดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ แก้มแดงก่ำ ลักษณะของสาวน้อยที่มีอารมณ์รักแจ่มชัดเช่นนี้เอง
และศิษย์น้องหญิงหอหมื่นบุปผาข้างกายนางก็มีสีหน้าท่าทางละม้ายคล้ายนาง ต่างคนต่างตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในฉับพลัน
“ท่านอาจารย์”
คุณชายหลิ่วเห็นท่านอาจารย์ของตนทำสีหน้าเคร่งขรึม และจับจ้องกระบี่ทองเหลืองด้วยแววตาที่แข็งขัน
มือกระบี่หนุ่มตั้งสติได้ในฉับพลัน และเอ่ยด้วยความงุนงงเล็กน้อยว่า
“ความรู้สึกที่กระบี่เล่มนี้มอบให้ข้ามันแปลกมาก โดยรูปธรรมแล้วเป็นเช่นไร อาจารย์ไม่อาจบอกได้ เอ่อ…นี่คือการบ่มเพาะตนเองของมือกระบี่”
‘ทำไมข้าไม่รู้สึก’…คุณชายหลิ่วกระจ่างในทันทีและเอ่ยว่า
“มิน่าล่ะข้าเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้”
มือกระบี่หนุ่มเอ่ยด้วยความปลื้มใจว่า “เยี่ยม ดูท่าเจ้าบำเพ็ญอย่างทุ่มเทมากในช่วงนี้”
‘เจ้าเด็กชั่วนี่ เสแสร้งอะไรกับข้า ข้าเพิ่งจะรู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นคุ้นตามากเท่านั้นเอง เหมือนเคยเจอที่ใด’…มือกระบี่หนุ่มซุบซิบในใจ
…
หลิ่วหงเหมียน ไป๋หู่ ฉีฮวนตานเซียงรวมไปถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องจิ้งซินกับจิ้งหยวนก็ไม่รู้จักอาวุธวิเศษที่ระบือนามทั่วจิ่วโจวเล่มนี้เช่นกัน ความสนใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่กระบี่ทองเหลืองเลย
พวกเขามองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตัว มีสีหน้าระแวดระวังและเคร่งขรึม เพราะรู้ว่าคนสกุลสวี่มาแล้ว
ในที่สุดเขาก็มาแล้ว
ด้วยการปรากฏตัวของเขา จะมีตัวช่วยใดบ้างหรือไพ่ตายแบบใด ต่อไปจะออกโรงแล้ว
เจ้าแห่งวัสสาน เทพอารักษ์ตู้หนานบนเรืออวี่เฟิงก็จะลงมือเต็มกำลัง
การต่อสู้ที่แท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว
การประมือก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
พวกเขาที่ประสบเคราะห์ในชานเมืองยงโจวมีความรู้สึกในจิตใจที่ยุ่งเหยิงอย่างยิ่งต่อสวี่ชีอัน
ทั้งหวังให้เขาปรากฏตัวเพื่อแก้แค้นเขาหลังจากนั้น และยังกลัวว่าเขาจะปรากฏตัว เพราะกลัวว่าเรือจะล่มอีกครั้ง
….
‘กระบี่เล่มเดียว’…มวลชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เฉาชิงหยางเป็นตัวแทนไม่รู้จักดาบสยบดินแดน แต่พอเห็นว่ากระบี่ทองเหลืองเล่มนี้บังคับให้อสูรเทพอารักษ์ถอยได้ พวกเขาทั้งตื่นตระหนกทั้งประหลาดใจ
“ฆ้องเงินสวี่ มาถึงแล้ว…” เซียวเยว่หนูกล่าวไม่กี่คำ
เฉาชิงหยางส่งเสียง “อืม” ครั้งหนึ่ง สีหน้าที่ขึงตึงผ่อนลงเล็กน้อย และเอ่ยทอดถอนใจเบาๆ ว่า
“แม้จะเป็นเทพอารักษ์สำนักพุทธ ก็ยังหวาดกลัวฆ้องเงินสวี่เช่นนี้”
เขาเข้าใจว่าท่าทางหวาดกลัวและล่าถอยของอสูรเทพอารักษ์เป็นการที่อีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวป้องกันสวี่ชีอัน คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกลัวคือเจ้าของเบื้องหลังกระบี่ทองเหลือง
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ ก็คิดอย่างนี้เช่นกัน พวกเขาดีอกดีใจกับความแข็งแกร่งของสวี่ชีอัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความมั่นใจภายในจิตใจ
ใครๆ ก็ล้วนไม่ได้ให้ความสนใจกระบี่เล่มนั้นเป็นพิเศษ
หยางชุยเสวี่ยเจ้าสำนักโม่จ้องกระบี่ทองเหลืองเล่มนั้นสักพักหนึ่ง ดวงตาของเขาสะท้อนแสงที่แหลมคมราวเข็มเฉียบบางนับไม่ถ้วน เขาป้องตาในฉับพลันและร้องออกมาเบาๆ อย่างกลัดกลุ้ม
เลือดแดงสดไหลนองออกมาจากซอกนิ้วเขา
“ท่านเจ้าสำนักหยาง!”
บรรดาพรรคพวกตกตะลึง และรีบตรวจสอบสถานการณ์ของเขา
หยางชุยเสวี่ยป้องตาโดยไม่สนใจความเป็นห่วงจากผู้คนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยร้องด้วยเสียงออกโทนแหลมว่า
“ดาบสยบดินแดน มันคือดาบสยบดินแดน นี่มันดาบสยบดินแดน! ”
เสียงของเขาทั้งสูงและดัง มีน้ำเสียงบ้าคลั่ง เขาร้องซ้ำๆ คราแล้วคราเล่า คนทั้งคนเหมือนมีพฤติกรรมผิดแผกไป
สำนักโม่เป็นสำนักฝึกฝนกระบี่ ผู้คนในสำนักแต่ละยุคสมัยชอบเก็บรวบรวมกระบี่ชื่อดังทั่วใต้หล้า และบันทึกไว้ในตำรา
เริ่มตั้งแต่ปรมาจารย์ยุคแรกจวบจนปัจจุบัน มีบันทึกกระบี่เลื่องชื่อสามเล่ม ‘สวรรค์ พิภพ มนุษย์’
แต่โดยทั่วไปกระบี่ที่สามารถบันทึกลงในตำรากระบี่ทั้งสามเล่มล้วนมีสามองค์ประกอบ คือ
หนึ่ง ทรงพลังในตัวมันเองและเป็นอาวุธเวทมนตร์ สอง มีเรื่องราวหรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา สาม มีพร้อมทั้งข้อหนึ่งและข้อสอง
กระบี่อันดับหนึ่งในบันทึกกระบี่เลื่องชื่อ ในสามร้อยปีมานี้ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันก็คือกระบี่คู่กายของจักรพรรดิที่สถาปนาตาฟ่ง ซึ่งก็คือดาบสยบดินแดน
และถูกบันทึกไว้ในบันทึกกระบี่เลืองชื่อว่า ‘ดาบสยบดินแดน’
กระบี่คู่กายของจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่ง ถูกกล่าวตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ว่า กระบี่เล่มนี้สร้างจากทองเหลืองจากภูเขาไฉ่หยา ตัวกระบี่มีลายคล้ายกระดองเต่า ด้วยเหตุนี้จึงมีตำนานว่ากระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่เต่าเทพซังผอมอบให้จักรพรรดิเกาจู่
ปรมาจารย์สำนักโม่เองก็ไม่เคยเห็นดาบสยบดินแดน เพราะว่ามันถูกผนึกอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอตลอดทั้งปี
แต่ในฐานะอาวุธเทพสยบดินแดนแห่งต้าฟ่ง จะมีบันทึกรายละเอียดค่อนข้างมากในเอกสารทางประวัติศาสตร์
บันทึกกระบี่เลื่องชื่อของสำนักโม่ก็ตัดตอนมาจากคำบรรยายในบันทึกทางประวัติศาสตร์
ที่หยางชุยเสวี่ยสามารถสรุปว่ากระบี่เล่มนี้เป็นดาบสยบดินแดนได้ อย่างแรกเพราะ ตัวเขาเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นสี่ เขามีความรู้สึกที่เฉียบไวต่ออาวุธกระบี่มาก เขาจึงรู้ว่านี่คืออาวุธวิเศษ อย่างที่สอง ลวดลายบนตัวกระบี่ทองเหลืองคล้ายกระดองเต่า
สุดท้ายคือ กรรมวิธีในการตีขึ้นรูปของกระบี่เล่มนี้ไม่เหมือนกับในปัจจุบัน หยางชุยเสวี่ยรักกระบี่เท่าชีวิต จึงสามารถแยกแยะได้ว่านี่เป็นรูปแบบการหลอมกระบี่ที่แพร่หลายที่สุดของต้าฟ่งในยุคเริ่มต้นสถาปนา
และรูปแบบกับกรรมวิธีนี้อย่างนี้ก็เลียนแบบดาบสยบดินแดนนี่เอง
“ดาบสยบดินแดน”
ไม่รู้ว่าใครตกใจร้อง บรรดาจอมยุทธที่รุมล้อมหยางชุยเสวี่ยลิ้นพันตาค้าง
“กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่คู่กายของจักรพรรดิเกาจู่นี่”
“อ๋องสยบแดนเหนือเคยใช้มันขณะยุทธการด่านซานไห่”
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ กลืนน้ำลาย กลับมีความรู้สึกเหมือนแสวงบุญในใจเสียอย่างนั้น
หยางชุยเสวี่ยเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า
“ดาบสยบดินแดนปรากฏ เหตุใดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องกลัวศัตรูภายนอก ความคมของกระบี่เล่มนี้ผ่าผีสางเทวดาอย่างง่ายดาย เขาขอดาบสยบดินแดนมาแล้ว เขาสามารถควบคุมดาบสยบดินแดนได้ ข่าวลือเป็นความจริง”
ฆ้องเงินสวี่ขอของวิเศษในตำนานชิ้นนี้มาเพื่อให้การช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างคาดไม่ถึง
‘ดาบสยบดินแดน’
ไป๋หู่ ฉีฮวนตานเซียง จิ้งซินและจิ้งหยวนสื่อสารกันด้วยสายตาอย่างไม่ส่งเสียงด้วยความตกตะลึงและหนักอึ้ง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่ากระบี่ทองเหลืองที่ถูกทุ่มลงสนามไปก่อนเล่มนี้ ก็คือดาบสยบดินแดนในตำนาน
ดาบสยบดินแดนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว พวกเขาไม่รู้จักได้อย่างไรกัน
นี่ก็คือไพ่ตายของสวี่ชีอันหรือ
เขาเตรียมพร้อมมาจริงๆ ด้วย
“เอ๋ ท่านประมุข พวกเขาดูเหมือนฮึกเหิมมาก”
“ทำไมถึงกำลังมองกระบี่เล่มนั้นกัน กระบี่เล่มนี้ไม่มีจุดพิเศษอะไรเลย”
“เมื่อครู่จู่ๆ เจ้าสำนักหยางก็ปิดหน้าร้องไห้…”
ทางยอดเขาฝั่งใต้ไม่ได้ยินเสียง ทำได้เพียงคาดเดาอย่างคลุมเครือจากการกระทำของเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ
…
เงามืดใต้เท้าของซุนเสวียนจีเลื้อยขยุกขยิกและทะลุออกจากเงาของร่างกายมาพยุงบ่าของเขาไว้อย่างกะทันหัน
เขาไม่ได้หันกลับมาเพราะไร้เรี่ยวแรง แต่ขยับริมฝีปากเอ่ยเบาๆ ว่า
“เหลืออีก สิบห้านาที…”
“ข้ารู้ ต่อไปให้ข้าจัดการเอง ยาของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ”
สวี่ชีอันเอ่ยปากขณะคลำเอวของซุนเสวียนจี และค้นพบอย่างน่าผิดหวังว่า อาวุธเวทมนตร์คลังเก็บของของเขาเสียหายระหว่างการโจมตีด้วยสายฟ้าเมื่อครู่ไปแล้ว จึงเปิดไม่ได้
แต่โชคดีที่หลินอันเตรียมยารักษาอาการบาดเจ็บไว้มากมายให้ข้าก่อนหน้านี้ แถมล้วนเป็นยาเม็ดชั้นยอดที่กลั่นโดยราชครู…สวี่ชีอันนำยาสำรองของตนเองออกมา และยัดเข้าปากซุนเสวียนจีหลังจากบีบจนเป็นผง
ประสิทธิผลของยาเห็นผลในทันตา อาการบาดเจ็บของซุนเสวียนจีคงที่ในขั้นต้น
สวี่ชีอันยันเขาไว้ด้วยพลังปราณ แล้วส่งไปตรงหน้าเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ดูแลเขาให้ดี”
ฟู่จิงเหมินก้าวไปข้างหน้า และกอดซุนเสวียนจีที่ดูไม่มีอะไรผิดปกติไว้ พร้อมเอ่ยขณะมองสวี่ชีอันด้วยแววตาที่ร้อนแรงว่า
“ฆ้องเงินสวี่ รบกวนท่านแล้ว”
เซียวเยว่หนูจ้องสวี่ชีอันไม่นานนัก และยิ้มด้วยความสำรวมเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว
บนยอดเขาทางใต้ ระเบิดเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจดังกึกก้อง
“สวี่ชีอัน”
ไป๋หู่กัดฟันนึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกตัดแขน
ฉีฮวนตานเซียงและคนอื่นๆ หวาดกลัวปนเคียดแค้น หนึ่งในนั้นคนที่อารมณ์เดือดพล่านมากที่สุดคือจิ้งซินและจิ้งหยวน
พวกเขาประสบความทุกข์ยากและพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในกำมือของสวี่ชีอันตั้งแต่เหลยโจวเป็นต้นมา
สิ่งนี้ทำให้หนุ่มอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของสำนักพุทธแทบจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง
สิบห้านาที ทำได้เพียงแบกชีวิตไว้บนบ่า…สวี่ชีอันซุบซิบในใจ เขาเคยมามอบรากบัวเก้าสีให้ประมุขคนเก่าตามข้อตกลงที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างลับๆ เมื่อนานแล้ว
สถานการณ์ของประมุขคนเก่าย่ำแย่สุดขีด กายหยาบอยู่จุดที่แทบจะแตกสลายและพังทลาย
เขาจึงต้องหลับเพื่อยับยั้งการพังทลาย
หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากรากบัวเก้าสี เขาน่าจะถ่อได้อย่างมากที่สุดหนึ่งเดือน และก็คงสิ้นชีพพร้อมสูญเสียจิตเดิมไป
ประมุขคนเก่าต้องใช้เวลาย่อยรากบัวเก้าสีและทะลวงตบะเพื่อกลายเป็นจอมยุทธระดับผสานเต๋าขั้นสอง
จากแผนการที่สวี่ชีอันและซุนเสวียนจีหารือกัน ให้เขามอบแก่นโลหิตให้เฉาชิงหยางก่อน เพื่อช่วยให้เขาทะลวงขั้นสามได้ในระยะสั้นและควบคุมศัตรูได้ เป็นเพราะสวี่ชีอันรู้ว่า จีเสวียนและเทพอารักษ์สำนักพุทธที่หวาดกลัวเขาคงจะดำเนินการอย่างรอบคอบและค่อยๆ หยั่งเชิง
ระหว่างนั้น ซุนเสวียนจีจะวางค่ายกลเพื่อเป็นกำลังสำคัญในรอบที่สอง
หากประคับประคองรอบนี้ได้นานพอ ถ่วงเวลาจนประมุขคนเก่าหลุดพ้นจากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เช่นนั้นสวี่ชีอันก็จะสามารถร่วมมือกันต่อต้านศัตรูกับประมุขคนเก่าได้
ผสานเต๋าขั้นสองกับจอมยุทธ์ขั้นสามร่วมมือกัน ศึกนี้คงจะไว้เนื้อเชื่อใจได้
น่าหลันเทียนลู่ปล่อยอัสนีสวรรค์ทำลายค่ายกลคุ้มกันภูเขาตรงๆ โดยไม่สนคุณธรรมในการต่อสู้อย่างเลยตามเลย
สวี่ชีอันยื่นมือขวาออกไป จากนั้นดาบสยบดินแดนก็บินส่งตนเองกลับมาอยู่ในฝ่ามือโดยอัตโนมัติ
ตามด้วยยื่นมือขวาออกไป ดาบไท่ผิงในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตรงหน้าอกตอบรับและออกมา แล้วส่งตนเองเข้าไปอยู่ในฝ่ามือซ้ายของเจ้าของ
เขายืนอยู่กลางสนามอย่างทะนงองอาจโดยถือดาบไว้ซ้ายมือและถือกระบี่ไว้ขวามือ พร้อมเอ่ยเยาะเย้ยว่า
“เจ้าลิง กล้าฆ่าฟันกับข้าตัวๆ ไหม”
‘เจ้าลิง’…อสูรเทพอารักษ์มองเขาครู่หนึ่งอย่างลึกซึ้ง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสูงว่า
“ตู้หนาน ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ หากไม่ลงมือตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน”
หลังสิ้นสุดเสียง ลำแสงสีทองลงมาอีกครั้งกลางท้องฟ้า เสียง ‘โครม’ กระแทกลงบนยอดเขา มีคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองมืด ไร้เครา เส้นผมและคิ้วเหมือนรูปปั้นทองเหลือง
‘เป็นเทพอารักษ์อีกองค์’
‘ยังมีอีกคนหรือ’
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มองไปยังเฉาชิงหยางโดยพร้อมกัน พบว่าสีหน้าของประมุขเหมือนกับพวกเขา
เหมือนคาดไม่ถึงว่าจะมีเทพอารักษ์สองคน
“เทพอารักษ์สองคนกับเจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมด…”
เฉียวเวิงเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มว่า “ประมุขเฉา ท่าน ท่าน…”
เขาพูดไม่ออก
คนอื่นๆ เองก็เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มบนใบหน้า หากรู้ว่าศัตรูมีขนาดนี้ พวกเขาเกินกวาครึ่งคงไม่กล้ามาหลังภูเขา
ขั้นสามเป็นผู้ไร้เทียมทานที่ไม่อาจพบได้ในร้อยปีของยุทธภพ กลับมีถึงสามคนเพียงครู่เดียว ข้างหลังยังมีเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองคอยหนุนหลังอยู่อีก
เฉาชิงหยางไม่รู้จริงๆ ว่าซุนเสวียนจีมีเรื่องปิดบังเขา เขากล่าวว่ามีศัตรูเพียงเทพอารักษ์สำนักพุทธและสำนักพ่อมด
ซุนเสวียนจีเองก็กลัวว่าประมุขเฉาจะกลัวจนฉี่ราด จึงพาน้องสาวภรรยาหนีไปหลังจากนั้น และทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้โดยไม่สนใจ
ฟู่จิงเหมินกระตุกมุมปากเอ่ยว่า
“แบบนี้จะให้ฆ้องเงินสวี่สู้อย่างไร สู้กับเทพอารักษ์สองคนเพียงคนเดียวยังพอมีความหวัง ไหนจะเจ้าแห่งวัสสานอีกล่ะ”
ไต้จงสีหน้าซีดขาวเพราะสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้และความมั่นใจในตนเอง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า
“พวก พวกเราถอยกันก่อนเถอะ รักษาคลื่นลูกใหม่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สำคัญที่สุด…”
เซียวเยว่หนูเอียงมองเขาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “หากเจ้ากลัวตาย ก็ไปเสีย”
ไต้จงสำลักขณะอ้าปาก
ระหว่างพูด สตรีผู้สวยหยาดเยิ้มที่สวมชุดไหมและม้วนจอนผมสูงก้าวเข้ามาโดยย่ำอยู่บนอากาศ
บนศีรษะของนางปกคลุมด้วยเมฆดำที่ไหลล่องไม่ขาดสาย พร้อมด้วยสายฟ้าแลบกะพริบเป็นครั้งคราวระหว่างชั้นเมฆหนา ซึ่งพร้อมที่จะปลดปล่อยตลอดเวลา
ราวกับนางเป็นผู้ครองฟ้าดิน เรียกใช้ลม ฝนและสายฟ้าได้อย่างเต็มที่
‘นี่คือเจ้าแห่งวัสสานแห่งสำนักพ่อมดเองหรือ’ เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ มองเพียงครู่ก็รู้สึกว่าสารแห่งความบ้าดีเดือดพลุ่งพล่าน หัวใจเต้นเร็วและหายใจติดขัด
ไม่สามารถมองผู้แข็งแกร่งระดับนี้ได้ตรงๆ
เหตุใดจอมยุทธ์ภิกษุอย่างท่านจึงไม่สนคำยั่วยุ จอมยุทธ์ภิกษุไม่ควรหยาบคายเหมือนจอมยุทธ์ปกติหรือ เรื่องการยั่วยุคนต้องให้หยางเชียนฮ่วนมาจัดการจริงๆ เสียด้วย…สวี่ชีอันกุมดาบและกระบี่ในมือไว้แน่น พร้อมเอ่ยตะโกนว่า
“พวกเจ้าถอยไปอีก ถอยไปยิ่งไกลยิ่งดี ปกป้องภูเขาด้านหลังไว้ไม่อยู่แล้ว”
‘ปกป้องภูเขาด้านหลังไว้ไม่อยู่แล้ว’…หัวใจของเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ เต้นอย่างบ้าคลั่ง และถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร
“ท่านประมุข พวกเราไปยอดเขาทางใต้กันเถอะ ทางนั้นห่างไปไกลมาก หากพวกเราไม่จงใจเพ่งเล็งนาง พวกเราก็จะไม่โดนผลกระทบ”
ไต้จงเอ่ยเสนอแนะขณะแบกเฉาชิงหยางไว้บนบ่า
เฉาชิงหยางไตร่ตรองคร่าวๆ แล้วส่งเสียง “อืม” ก่อนลากร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสโดยที่ความเร็วกลับไม่ช้าไปกว่าคนอื่นๆ เท่าไร
ตงฟางหว่านหรงปล่อยวางการควบคุมร่างกายทั้งหมด ให้ควบคุมสิทธิ์การกระทำโดยอาจารย์ และกลายเป็นเจ้าของร่างกาย
นางร่ายคาถาด้วยมือเดียว และชี้ไปยังท้องฟ้าในทันใดนั้น
‘โครม’
ชั้นเมฆที่พร้อมจะปลดปล่อยตลอดเวลาผ่าลงเป็นเสาอัสนีที่หนาเท่าอ่างน้ำปกคลุมสวี่ชีอันในทันที
เสียงและพลังของเสาอัสนีสีน้ำเงินขาวทรงพลังยิ่ง และมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากระยะไกลหลายสิบลี้
‘หึ่ง’
ผุดแสงสีทองขึ้นเหนือศีรษะของสวี่ชีอัน เจดีย์พุทธะกางม่านปราณสีทองอ่อน และสกัดกั้นพลังสายฟ้าไว้ภายนอก
‘ตึงตึงตึง’ …เทพอารักษ์ตู้หนานวิ่งตะบึงชนทะลุม่านปราณเจดีย์พุทธะ แล้วทุบหมัดลงกลางหน้าอกสวี่ชีอัน
‘ตึง!’
พลังเทพวชิระปะทะกับพลังเทพวชิระ คลื่นเสียงดังราวระฆังต้าหลี่ว์
สวี่ชีอันปลิวคว่ำออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ เขาชนต้นไม้นับไม่ถ้วนจนหักและชนตัวภูเขาบางส่วนจนพัง จนทำให้หินร่วงกลิ้งไล่หลังมา
เขาผ่อนแรงดีดขณะกลิ้งคะมำ จึงถูกดีดขึ้นบนยอดเขาและคงตัวไว้กลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง ในหัวของเขาปรากฏภาพอสูรเทพอารักษ์โผล่ขึ้นเหนือศีรษะ เขาประกบหมัดทั้งสองข้างทุบลงไปที่ศีรษะเขา…ร่างกายของสวี่ชีอันเปลี่ยนระดับความเร็วโดยไม่เป็นไปตามหลักกลศาสตร์ และหลบไปด้านข้างพร้อมกับบิดเอวหมุนตัวกลับมาเคลื่อนแขนขวาตวัดดาบสยบดินแดน
ขณะนี้เอง ตงฟางหว่านหรงที่อยู่กลางท้องฟ้ายื่นแขนขวาเล็งไปที่สวี่ชีอัน
วิชาสาปสังหาร
ท่าทางของสวี่ชีอันที่กำลังแกว่งดาบชะงักลง เหมือนได้รับความเสียหายที่ไม่มองเห็น และมีเลือดไหลทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด
หมัดจากอสูรเทพอสุราทุบลงมา
สวี่ชีอันถูกทุบกลับไปเหมือนแปลงกายเป็นกระสุนปืนใหญ่อีกครั้ง ร่างทั้งร่างฝังติดในภูเขาท่ามกลางเสียงดัง ‘โครม’ จนภูเขาเฉวี่ยนหรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
………………………………………………