ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 627 หยกสลาย
บทที่ 627 หยกสลาย
เจตจำนงก็คือวิทยายุทธ!
นับแต่เข้าใจ ‘หยกสลาย’ วิทยายุทธของเขาก็ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อย
จะวิจารณ์ ‘เจตจำนง’ ที่เผด็จการที่สุดในโลกนี้ ‘การทำลายแนวข้าศึก’ ของเว่ยเยวียนก็นับเป็นหนึ่งในนั้น
ทว่าจะวิจารณ์วิทยายุทธของใครในโลกว่าเป็นของแท้และสุดยอดที่สุด หยกสลายของสวี่ชีอันถูกจัดอยู่ในแนวหน้าแน่นอน
‘เจตจำนง’ ที่จอมยุทธ์คนอื่นเข้าใจคือเพื่อสู้รบ เพื่อฆ่าศัตรู
‘เจตจำนง’ ของสวี่ชีอันไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรี เพียงเพื่อหยกสลาย และล่มหัวจมท้ายถึงที่สุด
ก็เพื่อเดิมพันชีวิต
เมื่อมองแวบแรก สถานการณ์แต่ละก้าวบีบให้เขาเข้าใจ ‘เจตจำนง’ ถึงที่สุดเพราะการตายของเว่ยเยวียน ทว่าหากไม่มี ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ปูทางล่ะ
หากไม่มีสุดยอดเคล็ดวิชา ‘หลังจากดาบนี้ เจ้าตายข้ารอด’ ส่วนนี้ปูพื้นฐาน แล้วเขาเผชิญหน้าในสภาพอับจนที่ด่านอวี้หยางในวันนั้น จะเข้าใจ ‘หยกสลาย’ ได้จริงหรือ
เมื่อนึกถึงตอนนี้ เริ่มจากเขาเลือกสุดยอดเคล็ดวิชา ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ในตอนแรก เส้นทางวิทยายุทธของเขาก็ถูกกำหนดแล้ว
เมื่อนึกถึงตอนนี้ เขาเข้าใจ ‘เจตจำนง’ ได้อย่างรวดเร็ว แล้วย่างเข้าสู่ขั้นสี่ก็เพราะเขาฝึกฝน ‘เจตจำนง’ นี้มาโดยตลอด เริ่มจากหลอมปราณขั้นแปด เขาก็กำลังฝึกต้นแบบของ ‘หยกสลาย’ อยู่
สวี่ชีอันตะโกนนอกไปว่า ‘เดิมพันชีวิต’ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือคำพูดสวยหรู ทว่ามีเหตุผล
นับแต่สังหารเจินเต๋อเข้าสู่ยุทธภพแต่นั้นมา สถานการณ์ของสวี่ชีอันเหมือนเหยียบน้ำแข็งแผ่นบางอยู่เสมอ
ต้องเตรียมรับมือแผนของสวี่ผิงเฟิงพลางรับมือการไล่ฆ่าจากสำนักพุทธ
การดิ้นรนในความทุกข์ยากแบบนี้ เขาก็ยิ่งรู้ซึ้งใน ‘หยกสลาย’ มากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งการต่อสู้ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงครั้งนี้ ถูกผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมทั้งสามรุมโจมตีในสภาพอับจนอย่างแท้จริงที่ตายได้ทุกเมื่อ หยกสลายในที่สุดก็มาถึงอุปสรรค…
…
เดิมพันด้วยชีวิต?!
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วใต้หล้า แม้แต่กองทหารชายแดนใต้ภูเขาเฉวี่ยนหรง พลทหารกองทหารม้าในนั้นก็ได้ยินแจ่มแจ้ง
แม้จะอยู่ห่างไกล การเคลื่อนไหวในสงครามที่เกิดในภูเขาเฉวี่ยนหรงใหญ่เพียงนี้ แม้แต่ทางด้านกองทหารชายแดนก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน
รู้แก่ใจว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พบกับภยันตรายครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ประวัติศาสตร์เป็นต้นมา
สวี่ชีอันกับสามผู้แกร่งเหนือมนุษย์สู้จากภูเขาขึ้นสู่ฟ้าเป็นครั้งครา ทางด้านกองทหารชายแดนก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
วิธีการเรียกพายุของน่าหลันเทียนลู่
“เดิมพันด้วยชีวิตหรือ ฆ้องเงินสวี่ถูกบีบให้เดิมพันด้วยชีวิตแล้วหรือ…”
จอมยุทธ์ลูบหน้าด้วยริมฝีปากสั่นเทาท่ามกลางพายุ
“ต่างเล่าว่าฆ้องเงินสวี่คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า แต่ก่อนเพียงเคยได้ยิน ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้ถึงได้รู้ว่าคำเล่าลือเป็นจริง เพื่อให้ข้าได้ออกรบ เขาไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตาย”
ทหารชั้นล่างนายหนึ่งจับดาบคาดเอวแน่น อยากขึ้นไปเสริมทัพด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านใจจะขาด
…
“ฆะ ฆ้องเงินสวี่ถูกบีบให้เข้าตาจนแล้ว…”
หญิงสาวหอหมื่นบุปผานางหนึ่งปิดหน้า นัยน์ตาเคล้าน้ำตา
ทุกคนสีหน้าโศกเศร้า เคียดแค้น และกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่งและพลังดุจเทพเจ้าเช่นนี้ ฆ้องเงินสวี่ก็ทุ่มสุดตัวจะสู้ด้วยชีวิตกับฝ่ายตรงข้าม
เสียงตะโกนนี้ยิ่งคล้ายกับคนที่อับจนกำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้น
สีหน้าของหรงหรงซีดขาว กำปั้นสวยกำแน่น หัวใจดิ่งลงอย่างเงียบๆ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้! ”
คุณชายหลิ่วได้ยินเสียงพึมพำของท่านอาจารย์จึงหันหน้ามอง มือที่ท่านอาจารย์กำกระบี่สั่นเทาเล็กน้อย
เมื่อออกจากสัญญาลับระหว่างศิษย์และอาจารย์ คุณชายหลิ่วก็เข้าใจเจตนาของท่านอาจารย์
เพราะเหตุใดจึงสู้เพื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ถึงขั้นนี้
เพราะเหตุใดถึงต้องปกป้องภูเขาเฉวี่ยนหรง
เฉาชิงหยางที่อยู่ไม่ไกลหันกลับมามองจอมกระบี่วัยกลางคน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“ท่านบรรพชนปลีกวิเวกอยู่ในนั้นก็เพื่อท่านบรรพชน”
เมื่อปะทะกับสายตาฉงนของทุกคน เฉาชิงหยางจึงอธิบาย
“เพราะสงครามในเมืองหลวงครั้งนั้น ท่านบรรพชนได้ช่วยเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจะปกป้องกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ถอยโดยเด็ดขาด”
ท่านบรรพชนก็ลงมือในสงครามเมืองหลวงครั้งนั้นเช่นกันหรือ
ดังนั้นที่วันนี้ฆ้องเงินสวี่ต่อสู้เพื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ สู้โดยไม่เสียดายชีวิต เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือในวันนั้น…ทุกคนต่างเงียบ
เซียวเยว่หนูเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ก่อนจะสูดหายใจลึกพร้อมเอ่ยเสียงดัง
“วีรบุรุษหนุ่มมีศีลมีสัตย์ คบหามิตรผู้องอาจ มีน้ำใสใจจริงต่อกัน ถึงยามโกรธเคืองเดือดดาล ลุกขึ้นมาพูดเพื่อความเป็นธรรม สามารถร่วมเป็นร่วมตาย คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”
นางทอดมองเด็กหนุ่มที่ยืนท่ามกลางพายุ แล้วพึมพำเสียงเบา
“คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”
ทุกคนนึกขึ้นได้โดยพลัน นี่เป็นหนึ่งในผลงานชั้นยอดของฆ้องเงินสวี่ เล่ากันว่าประพันธ์ขึ้นยามสกัดกั้นกองทัพกบฏ สองหมื่นคนที่อวิ๋นโจวโดยลำพัง ภายหลังก็ขับร้องกันอย่างแพร่หลายในเมืองหลวง นักเล่านิทานเผยแพร่ไปทั่วประเทศ
ฆ้องเงินสวี่ คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง…
…
เรืออวี่เฟิง
สวี่หยวนไหวเปียกชุ่มสายฝนไปทั้งตัว กราดมองเงาด้านล่างด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ต้องสู้ด้วยชีวิต…ในที่สุดเขาก็ถูกบีบให้เข้าตาจนเสียแล้ว”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วไม่เอื้อนเอ่ย
จีเสวียนยืนอยู่ที่ข้างเรือ โค้งตัวเล็กน้อยคล้ายอยากมองให้ชัดขึ้น
“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ระดมกำลังใต้หล้า ข้าพูดไม่ได้ว่าอานุภาพถึงขั้นหนึ่งหรือไม่ ทว่าอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสองแน่นอน”
จีเสวียนสูดหายใจลึก “นี่สูงกว่าสวี่ชีอันทุกระดับ หากเขาไม่มีผู้ช่วยระดับเดียวกันหรือไพ่ตายก็ไม่มีทางรอดแน่นอน”
…
“เดิมพันด้วยชีวิตหรือ”
‘ตงฟางหว่านหรง’ นัยน์ตาห้าสีหมุนเวียน นี่คือสัญญาณของพลังห้าธาตุที่เปี่ยมล้นในร่างกาย
น้ำเสียงของนางราบเรียบถึงขั้นดูถูกเล็กน้อย แล้วถามกลับ
“แค่จอมยุทธ์ขั้นสามก็คู่ควรจะเดิมพันชีวิตกับข้างั้นหรือ”
นางยกมือขวาขึ้นสูงระหว่างที่พูด ฝ่ามือเล็งขึ้นฟ้า
‘เปรี้ยง…’
อสนีบาตฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ‘ฟาด’ ออกมาเป็นหอกยาวลงบนฝ่ามือของนางช้าๆ
หอกยาวก่อตัวจากสายฟ้าบริสุทธิ์ สีฟ้าขาวอันเจิดจ้า งูอสนีบาตเลื้อยอยู่บนผิวนอก ส่งเสียง ‘ฟ่อๆ’ ออกมา
‘ตงฟางหว่านหรง’ รับพลังไร้รูปบรรจบเข้าไปในหอกยาวอสนีบาต สีฟ้าขาวอันเจิดจ้าไหลเวียนกับสีทั้งห้าในบัดดล
มือของนางเริ่มสั่นเทาคล้ายจะควบคุมพลังนี้ไม่อยู่
“ตราบใดที่ข้าขว้างหอกอสนีบาตนี้ออกไป เจ้าไม่มีทางรอดแน่ เดิมพันชีวิตงั้นหรือ สกุลสวี่เช่นเจ้าคู่ควรหรือ”
แม้จะพูดประโยคถากถางรุนแรง ทว่าน้ำเสียงกับสีหน้าของ ‘ตงฟางหว่านหรง’ กลับดูไม่ประชดประชันสักนิด ราบเรียบราวกับกำลังเอ่ยถึงสัจธรรมโลกอยู่
เทพอารักษ์ตู้หนานกับเทพารักษ์อสูรถอยหลังเงียบๆ พนมมืออยู่ห่างๆ
หอกอสนีบาตที่มีห้าธาตุไหลเวียน มอบแรงกดดันอันรุนแรงหาใดเทียบให้พวกเขา ร่างกายของเทพารักษ์ที่ดูโอหังไร้ซึ่งกำลังและความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
หอกอสนีบาตในมือของน่าหลันเทียนลู่รวบรวมพลังใต้หล้าและอสนีบาตของที่แห่งนี้ สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นสามได้
อันตรายๆๆ…สวี่ชีอันเพียงรู้สึกว่าร่างกายเตือนภัยอย่างบ้าคลั่ง สัญชาตญาณเอาตัวรอดเร่งให้เขาหนีไปโดยไว
พลังที่หอกอสนีบาตรวบรวมขึ้นเพียงพอจะฆ่าเขาได้
“สวี่ชีอัน หากครั้งนี้เจ้ายังไม่ตาย จะต้องเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าแน่นอน ท่านพี่หยางของข้าก็ต้องตีอกชกหัวด้วยความอิจฉา แทบอยากจะสิงตัวเจ้าด้วยความริษยา…”
หลี่หลิงซู่เหยียบกระบี่บินมองดูอยู่จากที่ห่างไกล
จิ้งซินและคนอื่นในหน่วยพยัคฆ์ขาวที่ไล่ฆ่าเขา บัดนี้วางมือและไปสนใจสถานการณ์การต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป ใครต่างก็รู้ว่าเวลาสำคัญแห่งการชี้ขาดได้มาถึงแล้ว
เฉาชิงหยางและกลุ่มคนบนยอดเขาทางใต้กลั้นหายใจ แต่ละคนสีหน้าซีดขาว ต่างมองสบตากัน
พวกเขาราวกับกลายเป็นรูปปั้นในชั่วพริบตานี้
“เว่ยเยวียน…”
น่าหลันเทียนลู่พึมพำเสียงเบา ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วขว้างหอกอสนีบาตออกไปทันที
บัดนี้ต้าชิงอีก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา เด็กหนุ่มกลางพายุผู้นั้นค่อยๆ ซ้อนทับกับชายหนุ่มในความทรงจำ
น่าหลันเทียนลู่ไม่แยแสว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะเป็นหรือตาย ไม่ได้มาเพื่อปราณมังกรเพียงอย่างเดียว สาเหตุที่เขาเลือกร่วมมือกับเมืองเฉียนหลงและสำนักพุทธก็เพราะรู้ว่าจะต้องพบกับสวี่ชีอันในสักวัน
ไม่ว่าจะกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หรือชายชราก็ตาม น่าหลันเทียนลู่ก็ไม่สนใจอยู่ดี
เขาไม่แยแสแม้แต่สวี่ชีอันผู้นี้
หอกของเขาแทงทะลุปมในใจตลอดยี่สิบปีมานี้ แทงทะลุบุญคุณความแค้นและข้อพิพาทกับต้าชิงอี
‘เปรี้ยงปร้าง…’
หอกอสนีบาตกลายเป็นลำแสงอันงดงามท่ามกลางเสียงดังสนั่นอันน่ากลัว แทงทะลุม่านสายฝน
นัยน์ตาของทุกคนตรงนั้นสะท้อนลำแสงอันงดงามแพรวพราวออกมา
สวี่ชีอันจัดการอารมณ์ทั้งหมด ระงับทุกพลังปราณ ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำ กลืนกินพลังภายในร่าง
เมื่อเผชิญหน้ากับลำแสงนี้ เขาตัดดาบสยบดินแดนอย่างใจเย็นและตัด ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ออกมา
ดาบสีทองเหลืองส่องแสงแวววาว แสงสว่างอันเจิดจ้าอ่อนลงตามการตวัดดาบของสวี่ชีอัน เกาะตัวกันเป็นเส้นสีทองเรียวบาง ปรากฏเป็นเส้นโค้งแฉลบผ่านม่านสายฝน ทะยานผ่านความว่างเปล่า แล้วตัดไปที่ลำแสงห้าสี
แสงดาบที่รวบรวมพลังทั้งหมดของสวี่ชีอันนี้ราวกับเส้นด้ายอันเบาบาง แตกร้าวก่อนจะพังทลาย
ตามด้วยเสียงระเบิดดัง ‘ตูม’
เวลานี้เองยามที่ทุกคนได้ยินเสียงระเบิด หอกอสนีบาตก็แทงใส่สวี่ชีอันดุจพายุบุแคม
ดาบเดียวตัดฟ้าดินเพียงตัดกำลังของหอกอสนีบาต ไม่ได้สกัดทิศทางของมัน
ฝนพายุราวกับแข็งตัว เวลาคล้ายจะหยุดนิ่ง
แต่ละสายตาทอดมองสวี่ชีอันที่กำลังจะประสบกับเคราะห์ร้าย สีหน้าโศกเศร้าเอย กลัดกลุ้มเอย ยินดีเอย ไม่ก็กังวลฉายอยู่บนใบหน้าของพวกเขาอย่าง ‘เชื่องช้า’
เชื่องช้าเพราะความเร็วของหอกอสนีบาตเร็วกว่าอารมณ์บนใบหน้าของพวกเขาเสียอีก…
‘ฟู่! ฟู่! ฟู่!’
ร่างปราณแต่ละชั้นกระจัดกระจาย
“เจดีย์พุทธะ…”
สวี่ชีอันอ้าแขนรับหอกอสนีบาต
‘ฉึกๆ…’
ในพริบตาที่หอกอสนีบาตโจมตีใส่สวี่ชีอัน ไม่ได้แทงทะลุเหมือนกับอาวุธทั่วไป มัน ‘สลาย’ อยู่ภายในร่างของสวี่ชีอันโดยตรง
วินาทีถัดมา ประกายไฟฟ้าแสบตาก็พุ่งออกมาจากผิวกายของเขา ทุกอณูรูขุมขนปล่อยพลังห้าธาตุอันน่าตื่นตาออกมา
พลังของหอกอสนีบาตปะทุออกภายในร่างของเขา ทำลายปราณชีวิตของเขาอย่างพินาศย่อยยับ ทำลายปราณชีวิตเปี่ยมชีวิตชีวาของจอมยุทธ์ขั้นสาม
พลังสังหารเฉกเช่นนี้น่ากลัวกว่าทะลุผ่านร่างมากถึงมากที่สุด
แสงสว่างในดวงตาของสวี่ชีอันดับลงและตกอยู่ในความเงียบ
ร่างกายไหม้เกรียมของเขาตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ฆ้องเงินสวี่!!! ”
เสียงกรีดร้องอันเศร้าสลดพลันดังออกมาจากบนยอดเขาทางใต้ ไม่รู้ว่าผู้ใดกำลังร่ำร้อง
ร่างของสวี่หยวนซวงโซเซอยู่บนเรืออวี่เฟิง ของเหลวอันร้อนผ่าวสองสายไหลอาบแก้ม วิชามองปราณของนางบอกเขาว่าลมปราณของคนผู้นั้นดับสูญไปแล้ว
กระทั่งบัดนี้ นางยังไม่รู้ว่าตนควรจะยินดีหรือโศกเศร้าดี
“ตายแล้วหรือ”
จีเสวียนหรี่ตา สายมองผ่านม่านสายฝน จ้องร่างอันไหม้เกรียมที่ตกลงมาโดยไม่กะพริบตา
หลี่หลิงซู่ขี่กระบี่ออกมาด้วยใบหน้าแข็งทื่อ บินไปทางสวี่ชีอันคิดจะรับเขาเอาไว้ก่อนที่จะตกลงไป
ในป่าดงดิบอีกด้านหนึ่ง เหมียวโหย่วฟางกำลังวิ่งสุดฝีเท้าอยู่ในป่า พุ่งไปทางที่สวี่ชีอันตกลงมา สีหน้าของจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพที่ป่าเถื่อนเต็มไปด้วยความเดือดดาลและโศกเศร้า
…
อวิ๋นโจว!
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ด้านตะวันออกเฉียงเหนือเย็นเยือกถึงในกระดูก
ตั้งอยู่ที่ใต้สุดของแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ใกล้กับชายฝั่งอวิ๋นโจว หนาวชื้นและเย็นครึ้ม ทว่าอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่อื่นมาก
แล้วเป็นสถานที่ภัยหนาวไม่ร้ายแรงที่สุด
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนมองอยู่บนหอสังเกตการณ์ด้วยความเคยชิน วันนี้นั่งขัดสมาธิดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะชา ลิ้มลองรสชาติเลิศรสเฉพาะตัวของอวิ๋นโจว
สวี่ผิงเฟิงที่มักจะต้มชาและดื่มชาเพียงลำพังกำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ตลอดวัน
“เฮ้อ ข้าว่าสงครามกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในครั้งนี้ หากฆ่าสวี่ชีอันได้และฆ่าชายชราได้ก็คงจะดีไม่น้อย”
สวี่ผิงเฟิงพลันเอ่ยอย่างหดหู่
“พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่น้ำเสียงราบเรียบ
“หรือหากมีความหวัง แต่ทว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นเรื่องของชะตาลิขิต ข้าจะรอแผนการ ผลขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต”
สวี่ผิงเฟิงมือไพล่หลัง
“หากสวี่ชีอันตายที่เจี้ยนโจว เช่นนั้นชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งก็จะคืนให้ต้าฟ่ง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้ากับข้า”
เจียหลัวซู่มองเขาอย่างเงียบๆ
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้า แล้วตอบอีกประเด็นอย่างหดหู่
“หากไม่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของชายชราเป็นก้างขวางคอ วันนี้ก็จะเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะกอบกู้ชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งกลับมา ตอนนี้เริ่มต้นหมากที่เคยเดินในอดีตใหม่อีกครั้ง ข้าประมาทที่ปล่อยให้เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดในวันนั้น”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่วางถ้วยชาลง ราวกับเข้าใจบางอย่าง จึงหันหน้ามองแผ่นหลังของโหรชุดขาว
“เจ้ายังมีแผนการอื่นสินะ”
สวี่ผิงเฟิงหัวเราะขึ้น
“เล่นหมากรุกกับท่านโหราจารย์ จะวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกันตลอดไปไม่ได้ จะวิ่งเข้าหาเป้าหมายเพียงอย่างเดียวตลอดไปก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เจ้ารู้ไหมว่าข้าวางแผนที่อวิ๋นโจว สถาปนาเมืองเฉียนหลงและปกปิดท่านโหราจารย์มานานยี่สิบปีได้อย่างไร”
…
“อมิตตพุทธ! ”
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยนามพระพุทธ
อรัญตาแสดงท่าทีต่อสวี่ชีอันสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ภิกษุที่นำโดยกว่างเสียนกับพระโพธิสัตว์ มีแนวโน้มจะนำสวี่ชีอันเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
พวกเขาสนับสนุนนิกายมหายาน
ฝ่ายที่นำโดยพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สรรเสริญนิกายเถรวาท ด้วยเหตุนี้ท่าทีจึงดูไม่เป็นมิตรกับสวี่ชีอัน
ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรคือฝ่ายของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะพระโพธิสัตว์ผู้มีกำลังต่อสู้อันดับหนึ่งในสำนักพุทธควบคุมร่างธรรมเทพารักษ์หนึ่งในร่างธรรมทั้งเก้า
ด้วยเบื้องหลังนี้ ทัศนคติของสองเทพารักษ์ตู้หนานกับตู้ฝานจึงมีทั้งอยากช่วยเหลือและอยากสังหารสวี่ชีอัน
ความขัดแย้งและปะทะกันรุนแรงตลอดเส้นทางจากเหลยโจวไปถึงยงโจวนี้ได้บ่อนทำลายความอดทนของสองเทพารักษ์ไป
ทั้งไม่ยอมอุปสมบทและตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพุทธบ่อยครั้ง เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย
“เมื่อเป็นเช่นนี้อรัญตาก็ไม่ต้องเลือดตกยางออกจากการต่อสู้นี้ การปะทะกันระหว่างนิกายมหายานและนิกายเถรวาทก็จะนุ่มนวลขึ้นมาก”
ในใจเทพอารักษ์อสูรก็คิดเช่นนี้
ทันใดนั้นตงฟางหว่านหรงก็กรีดร้องเสียงแหลม เสียงร้องเจ็บปวดและเศร้าโศก ประกายไฟฟ้าแสบตาพุ่งออกมาจากผิวกายของนาง ผิวอันขาวผ่องไหม้เกรียมในชั่วพริบตา
แสงหลากสีพุ่งออกจากในปากของนางที่อ้ากว้าง ในดวงตา ในรูจมูก และในหู
พลังที่น่ากลัวปะทุอยู่ภายในร่างของนาง แล้วพรากปราณชีวิตส่วนใหญ่ของนางไปในชั่วพริบตา
หยกสลาย!
ไม่รอให้สองเทพารักษ์ตอบสนอง เสียง ‘ตูมตาม’ ก็ดังขึ้นจากที่ห่างไกล เจดีย์พุทธะทะลวงออกจากดินที่ฝังกลบ ลอยขึ้นฟ้าและบินไปหาสวี่ชีอันที่ตกลงมา
ยอดเจดีย์ก่อตัวเป็นร่างธรรมสีทอง มือหนึ่งถือบัว อีกมือหนึ่งรองขวดหยก ร่างกายอ้วนท้วนเล็กน้อย ใบหน้าโอบอ้อมอารี
ขวดหยกสาดส่องแสงกระดำกระด่างราวกับสายฝนฤดูใบไม้ผลิ แล้วไหลเข้าสู่ภายในร่างของสวี่ชีอัน
ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ
………………………………………