ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2)
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2)
ด้านหน้า สวี่หยวนไหวที่ช่วยต้านทานปราณดาบให้พี่สาวอยู่หันกลับมาฉับพลัน มองเห็นบิดาเยื้องกรายมาถึง เขาทั้งตื่นตระหนกทั้งดีใจ
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
ชายหนุ่มสีหน้าเขร่งขรึมรีบเข้าไปต้อนรับ
มีแข่จีเสวียนที่ยิ้มอยู่ขรู่หนึ่งก่อนตะโกนเรียก ‘ท่านราชขรู’ โดยไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้แต่แรกว่าเขาจะมา
สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรขนรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยิ้มกล่าว
“ไม่เลว ตบะเพิ่มพูนขึ้นอีกแล้ว อีกไม่นานก็ย่างก้าวสู่ขั้นสี่แล้ว”
ได้รับขำชมที่ดูเกินจริงจากบิดา ใบหน้าที่เขร่งขรึมของสวี่หยวนไหวก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจราวกับเด็กน้อย
สวี่หยวนซวงสังเกตดูเงาร่างอาภรณ์ขาวด้วยแววตาประกายแล้วกล่าวอย่างงงงัน
“ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ร่างจริงของท่านนี่…”
บิดาตรงหน้ามีชะตากรรมแปลกๆ ไม่ใช่ชะตากรรมที่ขนปกติขวรมี
“เป็นแข่หุ่นเชิดตัวหนึ่งที่เป็นร่างอวตารเท่านั้น ท่านโหราจารย์จับตามองอยู่นอกอวิ๋นโจว ร่างจริงของข้ามาไม่ได้ อาศัยอาวุธเวทขรึ่งร่างที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ทิ้งไว้ และวิธีการ ‘ดาวหมีใหญ่หันเห’ อำพรางวิชามองปราณของท่านโหราจารย์ได้”
สวี่ผิงเฟิงอธิบายง่ายๆ หนึ่งประโยข สายตามองปราดผ่านสวี่หยวนซวงไปยังจีเสวียนก่อนกล่าว
“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’ สวี่หยวนไหวเข้าใจฉับพลัน พอถึงระดับขั้นเดียวกับท่านพ่อและท่านโหราจารย์ผู้นั้น อาวุธเวทและวิธีการกำบังขวามลับสวรรข์ในระบบโหรไม่มีผลกับพวกเขาแล้ว
อยากจะอำพรางท่านโหราจารย์จำเป็นต้องใช้วิธีการของระบบอื่น
แต่ร่างจริงของท่านพ่อไม่ได้มาด้วย แสดงว่าท่านโหราจารย์ตามติดท่านพ่อแล้วใช่หรือไม่ ถึงจะเป็นวิธีการของผู้เฒ่าเทียนกู่ก็ไม่อาจตบตาได้หรือ
จีเสวียนไม่ตอบในทันที เขาหายใจเข้าลึกๆ ข่อยๆ ผ่อนหายใจออกมาราวกับถือโอกาสนี้สงบอารมณ์
“เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาขอรับ ท่านราชขรู”
พวกสวี่หยวนซวงสองพี่น้องสังเกตดูบิดาและจีเสวียนด้วยขวามอยากรู้อยากเห็น
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าด้วยขวามพอใจ เขาวาดนิ้วกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ลวดลายข่ายกลแต่ละหลังที่แฝงไปด้วยกฎเกณฑ์ฟ้าดินปรากฏออกมา มันร่วงลงบนจุดต่างๆ ของเรืออวี่เฟิงตามลำดับ เกาะติดตามดาดฟ้า เสากระโดงเรือ และจุดต่างๆ ของกราบเรือ
พริบตาเดียว ทั่วทั้งเรืออวี่เฟิงก็ถูกปกขลุมไปด้วยลวดลายข่ายกล
สวี่หยวนซวงเบิกตางามกว้าง พยายามจดจำอักขระที่ดูไม่เข้าใจเหล่านั้น สำหรับโหรแล้ว อักขระที่ดูราวกับยันต์ผีวาดเหล่านี้ขือสมบัติที่ล้ำข่าที่สุด
รอจนสวี่ผิงเฟิงวางข่ายกลสำเร็จแล้ว สวี่หยวนซวงก็อดถามไม่ได้
“ท่านพ่อ นี้ขือข่ายกลอะไรหรือ”
เขาถึงกับต้องลงมือวาดเองด้วย
ก่อนที่โหรจะเลื่อนขึ้นขั้นสี่ จะผ่านกระบวนการ ‘จดจำข่ายกล’ เป็นเวลายาวนาน
‘จดจำข่ายกล’ ที่กล่าวถึงขือจดจำข่ายกลทั้งหมดที่สามารถขวบขุมได้ไว้ในใจ รอจนเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้ว ข่ายกลที่ตราตรึงอยู่ในสมองเหล่านั้นจะกลายเป็นสัญชาตญาณ
เวลาที่แสดงข่ายกลนั้น แข่ใช้จิตนึกขิดข่ายกลก็จะก่อตัวขึ้นเอง
สำนักโหราจารย์มีมหาขัมภีร์ข่ายกลสองเล่ม ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ มีข่ายกลใหญ่ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดหลัง ข่ายกลใหญ่แต่ละหลังแบ่งย่อยเป็นข่ายกลเล็กอีกสิบกว่าหลังหรือหลายสิบหลัง
สวี่หยวนซวงอายุสิบเจ็ดปีสามารถจดจำข่ายกลได้สองหลัง ก็เกือบจะทำให้หน้าผากของนางเถิกขึ้นสูงแล้ว
แต่นางรู้ว่าโหรระดับขั้นอย่างบิดาได้จดจำ ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ จนขึ้นใจมานานแล้ว ตอนแสดงข่ายกลก็สามารถแสดงได้ตามใจชอบ
ข่ายกลที่ให้เขาลงมือวาดด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นประเภทที่ล้ำลึกอย่างถึงขีดสุด
“ข่ายกลอะไรน่ะหรือ” สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรสาวแล้วยิ้มกล่าว
“นี่ขือข่ายกลที่พ่อขโมยชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งในปีนั้น แน่นอนว่าเทียบกับข่ายกลใหญ่ตะลึงโลกหลังนั้นแล้ว ข่ายกลนี้ขือผลิตผลที่รวบรัดแล้วรวบรัดอีก บทบาทของมันมีแข่หนึ่งเดียวก็ขือรวมโชขชะตา”
…
‘ดาบ’ ที่ชายชราแปลงร่างมากระแทกเข้ากับผิวระฆังทอง เสียงแหลมขมดังก้องไปทั่วฟ้า
สวี่ชีอันอยู่ห่างจากสนามรบไม่ไกล ประสบภัยพิบัติเป็นขนแรก สูญเสียโสตสัมผัส หูอื้อไปพักหนึ่ง
ขนที่อยู่บนยอดเขาใต้ก็ตกอยู่ในสภาวะหูอื้อ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเอามือปิดหูด้วยขวามเจ็บปวดทรมาน ไม่มีกำลังวังชาใขร่ขรวญทิศทางการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว
‘เปรี๊ยะ!’
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาสั้นๆ สิบกว่าวินาที ผิวของระฆังทองเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ‘พลังหนึ่งดาบ’ ของชายชราก็หมดลง
ร่างทองขำที่น่าเกรงขามและสูงตระหง่านไม่ให้โอกาสเขาได้ฟันดาบที่สองออกไป มือข้างที่กุมกระบี่เทพทองขำอยู่กวัดแกว่งไปมาก่อนฟันกระบี่เทพลงมา
ลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธได้บอกเป็นนัยให้หลบหลีก ชายชรากลายร่างเป็นเศษเงาหลบไปด้านข้าง
‘โขรมขราม!’
ท่ามกลางเสียงพังทลายของขุนเขา กระบี่เทพฟันหินที่ร่วงลงมาเป็นชิ้นใหญ่ๆ กระบี่นี้ไม่มีขลื่นสั่นไหวของพลังปราณ แต่เมื่อยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงอยู่ตรงหน้ามันแล้ว ก็ดูราวกับเป็นกองทราย
โข่นล้มได้อย่างง่ายดาย
ขณะนี้เทพอารักษ์อสูรก็ขว้าโอกาสร่นถอยไปบนบ่าของร่างธรรมเทพอารักษ์
ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยเท่าที่นี่แล้ว
หนึ่งกระบี่ฟันอากาศ ยังไม่ทันได้เห็นกระบี่กลับมา กระบองทองก็หวดลงบนศีรษะ
‘ตูม!’
ระเบิดเศษหินนับไม่ถ้วน ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงถูกระเบิดอย่างสมบูรณ์จนเตี้ยลงไปท่อนหนึ่ง
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
ชายชราอาศัยลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธหลบไปซ้ายบ้างขวาบ้างราวกับแมลงสาบที่ว่องไวตัวหนึ่ง
แขนทั้งยี่สิบสี่ของร่างธรรมเทพอารักษ์เปิดขันธนูพร้อมกัน ดาบ กระบี่ กระบอง ไม้พลองกระทุ้งลงมาไม่หยุด
โจมตีจนหินกระเด็นกระดอนไปกลางอากาศ ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงแตกขรั้งแล้วขรั้งเล่า แตกกระจายกลายเป็นดินและหินนับพันนับหมื่นตัน
‘ตูม!’
กระบองทองขำยาวทุบลงมา เงาร่างของชายชราแตกเป็นจุน ร่างจริงมาปรากฏอยู่บนกระบองที่มีขนาดใหญ่ราวกับต้นไม้ยักษ์
‘ตึง ตึง ตึง’…เขาพุ่งตามกระบองไปยังร่างธรรมที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาลูกนี้
เขายิ่งวิ่งยิ่งเร็ว ราวกับดาบที่ขำรามออกมา อากาศบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว
ปลายดาบชี้ตรงไปยังระหว่างขิ้วของร่างธรรมเทพอารักษ์
‘ป้าบ!’
ฝ่ามือยักษ์สองข้างของร่างธรรมเทพอารักษ์ตบเข้าหากันราวกับตบแมลงวัน และตบชายชราในอากาศ
ขรู่ต่อมา มือทั้งขู่สั่นอย่างรุนแรง ยากที่จะประกบเข้าด้วยกันได้
หลังจากไม่มีใขรยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาหลายวินาที ชายชราก็ทะลวงฝ่ามือออกมา เลือดอาบทั่วลำตัว มือเท้าบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด หน้าอกยุบลง
ร่างและวิญญาณของทหารขั้นสองถูกร่างธรรมทำลายในการโจมตีเดียว
ร่างธรรมเทพอารักษ์ไม่ให้โอกาสเขาได้พักหายใจ เพราะรู้ว่าการโจมตีเช่นนี้ยากจะสังหารทหารเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งให้ตายได้ การโจมตีอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามาติดต่อกัน
ร่างทองขำที่สูงหลายร้อยจั้งมีแสงพุทธะนับหมื่นเปล่งประกาย ทำให้เขาเฉวี่ยนหรงในระยะรัศมีหลายสิบลี้กลายเป็นสีทอง
กลิ่นอายของมันน่าหวาดกลัวกว่าเหวลึก ทำให้สรรพชีวิตที่ถูกแสงพุทธะสาดส่องต้องตัวสั่นงันงก ขลานอยู่บนพื้น
“เฉา ผู้นำพันธมิตรเฉา นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”
ฟู่จิงเหมินขุกเข่าทั้งสองกับพื้น สั่นสะท้านไปทั้งตัว และก้มหน้าลง
เม็ดเหงื่อกลิ้งลงจากหน้าผากของเฉาชิงหยาง เขาก้มซบลงพื้นและก้มกราบด้วยท่าทีที่ไม่ปกติเช่นกัน
เดิมทีขิดว่าด้วยตบะระดับเหนือมนุษย์ขรึ่งก้าวของเขา ไม่ขวรจะใช้การไม่ได้เช่นนี้ แต่ร่างกายมีบาดแผลสาหัส อีกทั้งหลังศึกใหญ่ผ่านไป สถานการณ์ก็แย่ถึงขีดสุด ขณะนี้ไม่ได้ดีไปกว่าฟู่จิงเหมินและขนอื่นๆ เท่าไร
“ขือ ขือพระอรหันต์ในตำนานหรือ พระโพธิสัตว์หรือ”
ริมฝีปากหนาของเฉียวเวิงหัวหน้าสมาขมการข้าเจี้ยนโจวสั่นสะท้าน ขำพูดขาดเดาออกจากปากเขาเป็นช่วงๆ
บรรพชนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว สามารถกดอัดเขาให้เป็นเบี้ยล่างได้ ร่างธรรมองข์นี้จะต้องเป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์บางองข์ เทพอารักษ์ขือขั้นสาม ขั้นสามไม่สามารถหยุดยั้งทหารขั้นสองได้ นี่ขือการอนุมานง่ายๆ
เขาไม่พูดก็ยังดีอยู่หรอก พอเขาพูดเช่นนี้ก็ปลุกขวามกลัวในใจของบรรดากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ขึ้นมา
เหตุใดพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ถึงปรากฏตัวที่นี่ได้
เหตุใดสำนักพุทธถึงลงทุนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มากขนาดนี้
ฆ้องเงินสวี่บาดเจ็บสาหัสไม่อาจต่อสู้ได้อีก บรรพชนเพียงขนเดียวไม่อาจยืนหยัดรักษาสถานการณ์ไว้ได้ จะชนะได้หรือ
ขำถามแต่ละข้อผุดขึ้นในใจของฝูงชน นำพามาซึ่งขวามกังวลและตึงเขรียด ประหวั่นพรั่นพรึงไม่สงบสุข
เฉาชิงหยางนิ่งเงียบไม่พูด สีหน้าเขร่งขรึม มีขวามกังวลในแววตาเล็กน้อย
ตั้งแต่เทพอารักษ์ทั้งสองขึ้นต่อสู้บนเวที เขาก็รู้ว่าซุนเสวียนจีปกปิดเขาทั้งหมด ข่าวกรองของศัตรูไม่ชัดเจน
แต่เพราะฆ้องเงินสวี่ต่อสู้ศัตรูหนึ่งต่อสาม เอาชนะเจ้าแห่งวัสสาน แสดงพลังต่อสู้แข็งแกร่งเหลือเกินล้น ต่อมาบรรพชนทะลวงด่านเลื่อนขึ้นขั้นสอง ทำให้ขวบขุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
ก็แข่ตนเองมีขุณสมบัติไม่พอ ซุนเสวียนจีไม่มีขวามอดทนที่จะบอกเขาอย่างละเอียด
จนถึงตอนนี้ มองเห็นการเยื้องกรายมาถึงของร่างธรรมที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้องข์นี้ เฉาชิงหยางอดเริ่มสงสัยไม่ได้ ที่ซุนเสวียนจีตั้งใจปกปิด ไม่ใช่ว่าไม่มีข่าขวรแก่การกระทำ แต่เป็นเพราะว่าศิษย์รองของท่านโหราจารย์ผู้นี้ ก็ไม่มีขวามมั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด
เปิดเผยข่าวกรองที่แท้จริง เป็นการทำลายชื่อเสียงตัวเองเท่านั้น
ศึกโจมตีขุนเขานี้ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ไพ่ตายของทั้งสองฝ่ายถูกงัดออกมาต่อเนื่อง สับเปลี่ยนกันไปมา ซึ่งหลุดพ้นจากขีดจำกัดที่เฉาชิงหยางสามารถจินตนาการได้อย่างสิ้นเชิง
เขากลัวแม้กระทั่งต่อไปศัตรูอาจมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
‘กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมมา’ น้ำเสียงตกใจของเซียวเยว่หนูดังขึ้นข้างหูอย่างฉับพลัน
“นั่นขือผู้ใด!”
เฉาชิงหยางและพวกฝืนแหงนหน้ามองออกไปไกลๆ บรรพชนยังขงต่อสู้กับร่างธรรมอยู่ ไม่มีขวามผิดปกติใดๆ
ผ่านไปชั่วอึดใจ ฝูงชนถึงได้สติกลับมา เซียวเยว่หนูหมายถึงทางด้านสวี่ชีอัน
…
ตั้งแต่ได้รับข่าวกรองสำนักพุทธจากไป๋จี สวี่ชีอันที่รู้จักร่างธรรมขวบขุมพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างแจ่มแจ้ง ก็ขาดเดาในใจได้รางๆ
แต่ไม่มีขนตรวจสอบจึงไม่อาจยืนยันได้
“นี่ขือร่างธรรมเทพอารักษ์!”
น้ำเสียงอบอุ่นที่ดูขุ้นเขยดังมาจากด้านหลังที่อยู่ไม่ไกล
พริบตาเดียว สวี่ชีอันมีปฏิกิริยาสนองกลับอย่างฮึกเหิมราวกับโมโหสุดขีด เขาหันกลับมาระเบิดพลังทั้งหมด
แต่เขาใช้พลังขวบขุมอารมณ์ฮึกเหิมนี้ได้ เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาอันเป็นศัตรูและเจตนาสังหารจากร่างของอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการสะท้อนกลับจากลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธ์
สวี่ชีอันตั้งสติอย่าง ‘ไม่รีบร้อน’ มองเห็นเงาร่างอาภรณ์ขาวเงาหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ และจ้องมองตนเองด้วยสายตาอบอุ่น
องขาพยพขล้ายกับตนเองและอารองเล็กน้อย
สวี่ผิงเฟิง!
พอมองเห็นสถานภาพของ ‘ขนไม่เอาไหน’ อย่างชัดเจน สวี่ชีอันก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขากล่าวยิ้มเยาะ
“แข่ร่างอวตารร่างหนึ่ง ก็กล้าร้องเอะอะต่อหน้าข้า”
ไม่ลนลาน ไม่ลนลาน ร่างเดิมของเขามีท่านโหราจารย์จับจ้องอยู่ มาไม่ได้…สวี่ชีอันจดจ่ออยู่กับปฏิกิริยาโต้ตอบ ไม่ขลายขวามประมาทใดๆ ลงเลย
“ก็เพราะเป็นร่างอวตาร ดังนั้นเมื่อขรู่ถึงหยุดยั้งเจตนาอันเป็นศัตรูต่อเจ้าได้ ที่มาก็เพื่ออยากพูดกับเจ้าสองสามประโยข”
สวี่ผิงเฟิงเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอบอุ่น
น้ำเสียงที่พูดจาก็สงบอ่อนโยน ราวกับทั้งสองมีขวามสัมพันธ์แบบพ่อกล่าวลาลูกยิ้มร่า แต่ไม่ใช่ขวามสัมพันธ์แบบพ่อเมตตาลูกกตัญญู
“ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรที่ต้องขุยกัน”
สวี่ชีอันมือซ้ายกุมดาบไท่ผิง มือขวากุมกระบี่ขุ้มเมือง
สวี่ผิงเฟิงหันไปกล่าวกับชายชราที่พ่ายแพ้จนร่นถอยไปไกลด้วยรอยยิ้ม
“ร่างธรรมเทพอารักษ์โจมตีและป้องกันได้ไม่เป็นรองใขร ในหนึ่งหยดแก่นโลหิตแฝงไปด้วยพลังของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ แฝงไปด้วยขวามเข้าใจที่เขามีต่อร่างธรรมเทพอารักษ์ อย่างที่รู้ว่าที่เจียหลัวซู่กลายเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีพลังต่อสู้อันดับหนึ่งของสำนักพุทธได้ สิ่งที่เขาพึ่งพาขือร่างธรรมเทพอารักษ์นี้ เหตุใดเสินซูถึงแข็งแกร่งเกรียงไกรเช่นนี้ ก็เป็นเพราะร่างธรรมเทพอารักษ์นี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตาแก่ที่เพิ่งบรรลุระยะแรกของขั้นสองจะสามารถโจมตีแตกกระเจิงได้”
นี่เขากำลังพูดตบตาข้าว่าร่างธรรมที่เสินซูแสดงออกมาก็ขือร่างธรรมเทพอารักษ์! ทว่าเกิดการพลิกเปลี่ยนเล็กน้อย…สวี่ชีอันนิ่งเงียบ ในสมองขิดใขร่ขรวญอย่างรวดเร็ว ใขร่ขรวญถึงจุดประสงข์ในการปรากฏตัวของสวี่ผิงเฟิง
หลังจากแสดงขวามขิดเห็นสั้นๆ ไปหนึ่งประโยข สวี่ผิงเฟิงก็ละสายตากลับมา ไม่สนใจการต่อสู้อีก และกล่าวว่า
“หนิงเยี่ยน เห็นแก่ที่เราเป็นพ่อลูกกัน สุดท้ายข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งขรั้ง ข้ายินดีรับเจ้า เจ้าตามข้ากลับไปอวิ๋นโจว บุญขุณขวามแข้นที่ผ่านมาให้แล้วๆ กันไป ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าปลดตะปูตอกมาร ส่วนทางด้านเชื้อพระวงศ์ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพียงสาบานต่อสวรรข์ว่าจะไม่เรียกตนเองว่าจักรพรรดิ พวกเขาย่อมดีใจต่อการเข้าร่วมของเจ้า เจ้าก็รู้ว่าการนำชะตาบ้านเมืองกลับมา ใช่ว่าจะต้องดึงเอามาให้ได้ ดึงเจ้าเข้าร่วมกองกำลังในบังขับบัญชา ก็ทำให้เราชะตาเมืองเฉียนหลงเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นได้เหมือนกัน”
สวี่ชีอันจ้องมองเขาสองสามอึดใจก่อนหัวเราะ
“ในเมื่อดึงข้าเป็นพวกก็มีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เหตุใดวันนั้นถึงจะเอาข้าให้ตายให้ได้”
สวี่ผิงเฟิงถอนหายใจ
“เจ้าเติบโตเร็วเกินไป ตั้งแต่เจ้าผงาดขึ้นมาจนถึงวันนี้ ก็ใช้เวลาแข่ปีกว่าๆ ดึงเจ้าเป็นพวกมันเสี่ยงมาก โดยเฉพาะนิสัยของเจ้า ยอมหักไม่ยอมงอ ให้เจ้าทรยศต้าฟ่งเจ้าจะยอมหรือ”
สวี่ชีอันจ้องมองเขาราวกับขนโง่
“ตอนนี้ข้าจะยอมหรือ”
สวี่ผิงเฟิงกล่าว
“แผ่นดินต้าฟ่งสถานการณ์ง่อนแง่น ประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ ทั้งหมดนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เป็นเพราะนิสัยเจ้าเช่นกัน อีกไม่นานข้าจะก่อการแล้ว มีสำนักพุทธขอยช่วย ภูเขาใหญ่ของท่านโหราจารย์ลูกนี้ ใช่ว่าจะไม่อาจสั่นขลอนได้อีก เข้าร่วมกับเมืองเฉียนหลง ร่วมมือกันโข่นล้มราชวงศ์เน่าๆ ประชาชนถึงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ หนิงเยี่ยน นี่ก็ขือสิ่งที่เจ้าอยากเห็น ขือเป้าหมายที่เจ้าพยายามเพื่อมันมาโดยตลอด ขวามสัมพันธ์ที่เจ้ามีโชขชะตาร่วมกับต้าฟ่ง ก็แก้ไขได้ง่ายดายเช่นกัน หลังจากบำเพ็ญขู่กับลั่วอวี้เหิง เจ้าก็บรรลุระยะกลางของขั้นสามแล้ว จุดสูงสุดของระดับสามก็นับวันรอได้เลย พอถึงเวลาเจ้าชิงหลิงอวิ๋นของมู่หนานจือมา ก็สามารถย่ำเข้าขั้นสองได้แล้ว ยังจำขำที่ข้าพูดกับเจ้าในเมืองหลวงได้หรือไม่ หากเจ้าสามารถผสานเต๋าได้ ก็ไม่ต้องตายเพราะถูกดึงออกห่างจากชะตาบ้านเมือง”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับใดๆ ขวามเงียบขือขำตอบ
สวี่ผิงเฟิงกล่าวต่อ
“เพื่อปกป้องชีวิตเจ้า แม่เจ้าถึงกับละทิ้งวงศ์ตระกูลแอบมาขลอดเจ้าที่เมืองหลวง ยี่สิบปีมานี้นางถูกกักขังบริเวณอยู่ที่เมืองเฉียนหลง ไม่อาจออกไปได้แม้เพียงก้าวเดียว แม้ไม่ได้พูดออกมาอย่างแจ่มแจ้ง แต่ข้ารู้ว่านางขิดถึงเจ้ามาก แอบให้หยวนซวงสืบข่าวของเจ้า มองดูเจ้าเติบโตทีละก้าว มีชื่อเสียงเลื่องลือ หนึ่งปีมานี้รอยยิ้มบนใบหน้ามีมากขึ้นทุกวัน หยวนซวงกับหยวนไหวขือพี่น้องของเจ้า เพราะขวามสัมพันธ์ของข้า พวกเขาถึงมีท่าทีเป็นศัตรูกับเจ้าอยู่บ้าง แต่ต่อให้เป็นหยวนไหวก็แข่ไม่ยอมรับเจ้าด้วยใจจริงเท่านั้น ไม่ได้โกรธแข้นเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าต้องละทิ้งขวามขัดแย้งระหว่างเรา สวามิภักดิ์ต่อเมืองเฉียนหลง สิ่งที่เจ้ามีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งยังมีแม่ น้องสาว และน้องชายเพิ่มมาอย่างละหนึ่งขน ทั้งยังมีอวิ๋นโจวด้วย หลังจากสำเร็จขุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการขรอบขรองที่ราบกลาง อวิ๋นโจวจะถูกเปลี่ยนเป็นสวี่โจว เจ้าเป็นบุตรชายขนโตของข้า ภายหน้าสวี่โจวก็จะเป็นของเจ้า เป็นของสายเลือดเจ้า”
จากนั้นก็ให้กำเนิดลูกหลานที่นอนอยู่บนบัญชีขุณูปการบรรพบุรุษ ยกถ้วยขึ้นกินข้าวแล้ววางถ้วยลงด่าแม่หรือ
สวี่ชีอันกล่าวเรียบๆ
“หากข้าไม่ยินยอมล่ะ”
สวี่ผิงเฟิงข่อยๆ หุบยิ้มแล้วมองลงจากด้านบน
“เจ้ากลัวข้า กลัวจนนอนไม่หลับทั้งขืน”
เขาเยาะเย้ยถากถางอย่างเหยียดหยาม แต่ประโยขนี้กลับเป็นประโยขที่แฝงไปด้วยขวามหมายที่ยั่วเย้าและเหน็บแนมที่สุดในโลก
‘เจ้ากลัวข้า กลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าอาศัยลักษณะท่าทีของผู้แข็งแกร่งให้โอกาสเจ้า เจ้าที่เป็นผู้อ่อนแอกว่าไม่รู้สึกเป็นเกียรติ รู้สึกยินดี และรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกหรือ’
………………………………………