ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 632 ร่างธรรมจักรพรรดิ
ใต้ท้องฟ้าสีคราม ดวงตาคู่หนึ่งที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และก้มมองแผ่นดินขนาดใหญ่
ราวกับเจตจำนงค์ของวิถีสวรรค์เป็นจริงขึ้นมา
อีกทั้งยังดูเหมือนมนุษย์ยักษ์บรรพกาลลืมตาฟื้นขึ้นมา
ดวงตาคู่นี้ ตอนแรกดูราวกับหมึกจางๆ บนกระดาษเซวียนจื่อ ไม่ค่อยชัดเจน ต่อมาค่อยๆ แข็งตัว
หลังจากที่ดวงตาทั้งคู่ปรากฏขึ้น เส้นของใบหน้าก็เริ่มถูกวาด ราวกับว่ามีพู่กันที่มองไม่เห็นกำลังวาดอยู่ ระหว่างที่กำลังเดินลายเส้นอยู่นั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเด็ดเดี่ยวก็วาดออกมาสำเร็จ
พอหมุน ‘ปลายพู่กัน’ ลำตัวก็ปรากฏขึ้น
เงาร่างนี้สูงถึงร้อยจั้ง ศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิ สวมชุดมังกร ใส่รองเท้าทองคำ ในมือถือเงากระบี่เล่มหนึ่ง
พลังห้าธาตุปั่นป่วนท่ามกลางสวรรค์และโลกในทันที ลมแรงกลายเป็นชุดคลุมยาวของเขา ดินศักดิ์สิทธิ์หล่อหลอมเป็นร่าง น้ำใสกลายเป็นโลหิต ไม้ศักดิ์สิทธิ์ปลุกพลังชีวิตของเขา พลังทองหล่อหลอมกระบี่เพื่อเขา
สายฟ้าสองเส้นฟาดใส่ดวงตาทั้งคู่ของเขา
จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่ง!
สวี่ชีอันอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษของจักรพรรดิเกาจู่มา
บนเรืออวี่เฟิง สีหน้าของสวี่ผิงเฟิงแข็งทื่อในฉับพลัน
จีเสวียนพูดพึมพำ
“จักรพรรดิเกาจู่…”
จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าโมโหหรือริษยา และกัดฟันพูด
“เขาถือสิทธิ์อะไรอัญเชิญจักรพรรดิเกาจู่มา ถืออะไร ถือสิทธิ์อะไร! นี่เป็นบรรพบุรุษตระกูลจีของข้า”
สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวอ้าปากค้าง พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร เพราะเห็นมือที่อยู่ด้านหลังของบิดากำหมัดแน่น
ขณะนี้ ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ บิดากำลังเสียใจในภายหลัง
ไม่ได้เสียใจที่เป็นศัตรูกับบุตรคนโต แต่กำลังเสียใจกับเรื่องราวบางอย่างเป็นแน่แท้
…
วัดหย่งเจิ้นซานเหอ
ทันใดนั้น ทั่วทั้งทะเลสาบซังผอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นกระเพื่อมบนผิวทะเลสาบ
‘ครืนๆ ครืนๆ…’
ป้ายวิญญาณบนโต๊ะใหญ่ที่เรียงลำดับบรรพบุรุษราชวงศ์แต่ละอันพากันล้มลงและร่วงลงพื้น
รูปปั้นแกะสลักของจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งเกิดรอยแยกดัง “เปรี๊ยะๆ” รอยแยกลากยาวจากระหว่างคิ้วไปถึงทรวงอก
…
สำนักโหราจารย์ แท่นแปดทิศ
โหราจารย์ที่ดวงจิตล่องลอยยังคงหลับตาอยู่ แต่เขาชูจอกสุรายกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
‘เพล้ง!’
จอกสุราในมือแตกกระจายทันที หน้าอกของโหราจารย์แตกร้าวตาม โลหิตสดๆ แปดเปื้อนอาภรณ์ขาว
“อัญเชิญเทพนั้นง่าย ส่งเทพนั้นยากเสียจริง…”
โหราจารย์กล่าวเบาๆ บาดแผลค่อยๆ สมานเข้าด้วยกัน
แต่ใบหน้าซีดเผือดราวกับไม่มีเลือด
…
ห้องทรงอักษร
จักรพรรดิหย่งซิ่งที่กำลังยุ่งอยู่กับงานราชการได้ยินเสียงฝนเท้าที่เร่งรีบ
ขันทีผู้หนึ่งบุกเข้าห้องทรงอักษรโดยไม่แจ้ง เขาคุกเข่าก้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด และตะโกนเสียงดัง
“ฝ่าบาท ป้ายลำดับของบรรดาบรรพบุรุษร่วงหมดแล้ว”
จักรพรรดิผลักโต๊ะใหญ่ออกและลุกขึ้นทันที สีหน้าเปลี่ยนไปมาก
…
ภูเขาชิงอวิ๋น
จ้าวโส่วยืนอยู่บนยอดหน้าผา และมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างเงียบๆ
“อัญเชิญจักรพรรดิวิถีมนุษย์เยื้องกรายมาถึง วีถีสวรรค์แว้งกัด ราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยไปกว่าตอนที่เว่ยเยวียนอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เลย”
ตอนที่พูดประโยคนี้ จ้าวโส่วมองไปทางเมืองหลวงและพูดเบาๆ
“ท่านโหราจารย์ ไม่คิดเลยว่าท่านจะยอมรับการแว้งกัดของวิถีสวรรค์ คนที่ท่านเลือกเป็นเขาจริงๆ”
…
จักรพรรดิเกาจู่?!
สายตาแต่ละดวงมองดูร่างธรรมจักรพรรดิด้วยความตกตะลึง หลังจากผู้คนทั้งหมดงงงันอยู่ครู่หนึ่ง คำอัญเชิญของสวี่ชีอันก็ดังก้องในสมองพร้อมกัน
ศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิ สวมชุดมังกร ใส่รองเท้าทองคำ พลังห้าธาตุหมุนวนรอบๆ ร่างธรรมเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีคำพูดของสวี่ชีอันในเมื่อครู่ พวกเขาก็ได้สังเกตได้ว่าเป็น ‘จักรพรรดิ’
บนยอดหน้าผาทางตอนใต้ เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ตะลึงงันไปหมด มีความรู้สึกแบบซึมกะทือ ‘เพราะข้อมูลมากเกินไปไม่อาจเข้าใจได้หมด’
“นี่คือจักรพรรดิเกาจู่หรือ”
“ฆ้องเงินสวี่เขาอัญเชิญจักรพรรดิเกาจู่ออกมาหรือ”
“ฆ้องเงินสวี่คือจักรพรรดิเกาจู่กลับชาติมาเกิดหรือ”
ความสงสัยทั้งสามนี้ อัดแน่นอยู่ในสมองของพวกเขา แต่ละคำถามล้วนเหลือเชื่อ ยากจะเข้าใจได้หมด
ผู้ที่ไม่อาจยอมรับและเข้าใจข้อมูลตรงหน้าได้ยังมีฉี่ฮวนตานเซียงและคนอื่นๆ ที่ไม่อาจยอมรับได้เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าสถานการณ์ดีมาก ในที่สุดก็สามารถจับหรือสังหารสวี่ชีอันได้สมความปรารถนาแล้ว
ใครจะคิดล่ะว่า พริบตาเดียวสถานการณ์กลับเปลี่ยนไปมาก สวี่ชีอันกลับอัญเชิญร่างธรรมของจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งออกมา
“จักรพรรดิเกาจู่หรือ จักรพรรดิเกาจู่ที่บุกเบิกอาณาจักรร่วมกับบรรพชนผู้นั้นหรือ” หลิ่วหงเหมียนตัวสั่นเทาเล็กน้อย คำพูดขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ
ฉี่ฮวนตานเซียงที่เป็นปรมาจารย์ซินกู่พูดเสียงแหลม “จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งสวรรค์คตไปแล้วมิใช่หรือ เขาถือสิทธิ์อะไรในการอัญเชิญจักรพรรดิเกาจู่ออกมา เขาก็แค่ทหารหยาบคายคนหนึ่งนี่”
ไม่มีคนตอบเขา
การเคลื่อนไหวของสวี่ชีอันในเมื่อครู่ฝูงชนเห็นกับตา ล้วนเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เหตุใดจะไม่รู้ว่าเขาอัญเชิญจักรพรรดิเกาจู่มาได้อย่างไร
ฉี่ฮวนตานเซียงก็แค่ระบายความท้อแท้และความโกรธในจิตใจเท่านั้น
‘เอื๊อก!’ ไป๋หู่กลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกและพูดเบาๆ
“ไป! ถอนทัพไปก่อน ทุกอย่างค่อยว่ากันทีหลัง”
เขามีประสบการณ์มาพอประมาณแล้ว พบกับสถานการณ์เช่นนี้ การวิ่งหนีก่อนถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากผลลัพธ์คือฝ่ายของตนเองชนะ ค่อยทำการติดต่อในภายหลัง หากพ่ายแพ้ ถอนทัพในตอนนี้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาถูกสวี่ชีอันโจมตีจนกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
…
สวี่ชีอันที่ควบคุมร่างธรรมจักรพรรดิเกาจู่นั้นไม่สบายเลยจริงๆ สีหน้าแดงก่ำแปลกๆ ผิวหนังทั้งตัวราวกับกุ้งต้มสุก
ไม่ใช่ พูดให้ถูกต้องก็คือร่างธรรมกำลังควบคุมสวี่ชีอันอยู่
เขาค้นพบอย่างฉับพลันว่ามือเท้าของตนเองไม่ถูกควบคุม ท่าทางที่ถือดาบเปลี่ยนเป็นยืนถือกระบี่ยันพื้น
“สำนักพุทธ พวกหนูสวะ กล้าล่วงล้ำดินแดนต้าฟ่งของข้าหรือ”
ปากของเขาเปล่งเสียงน่าเกรงขามออกมาโดยไม่ตั้งใจ ราวกับว่าคำพูดของเขาสามารถตัดสินความเป็นความตายของผู้คนได้
เมฆดำปกคลุมยอดเขาเฉวี่ยนหลงราวกับฟ้าดินพิโรธอย่างหนัก
ร่างธรรมเทพอารักษ์ที่สง่างามน่าเกรงขาม จ้องมองร่างธรรมจักรพรรดิที่อยู่ไกลๆ อย่างเงียบๆ แขนทั้งยี่สิบสี่กางออกราวกับนกยูงรำแพน และทำท่าจู่โจม
ร่างธรรมจักรพรรดิยังคงยืนเอากระบี่ยันพื้นอย่างยโสโอหัง
แสงสว่างพุ่งขึ้นจากใต้เท้าร่างธรรมเทพอารักษ์ กายทองคำที่สูงตระหง่านร้อยจั้งหายไป ทิ้งไว้เพียงระฆังหนึ่งใบกับเจดีย์หนึ่งองค์ที่กำราบชายชรา
ครู่ต่อมา ร่างธรรมกายทองคำก็ปรากฏตัวด้านหลังร่างธรรมจักรพรรดิอย่างไร้สุ้มเสียง
แขนทั้งสิบสองร่วงลงมาพร้อมกัน สากเทพอารักษ์ที่ปล่อยสายฟ้า มีดพระที่ปกคลุมด้วยธาตุทอง กระบี่เทพที่มีพลังวารีไหลอยู่ กระบองสยบมารที่ดูเหมือนจะบดขยี้ความว่างเปล่าได้…
อาวุธเวทเหล่านี้ตอบสนองกัน สับเปลี่ยนพลังกันจนปรากฏรอยแยกแสงขนาดใหญ่ออกมาเป็นเส้นๆ
‘หวึ่ง!’
คลื่นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่สะเทือนไปกลางอากาศ พลังไร้รูปชนิดหนึ่งต้านทานการโจมตีของแขนทั้งสิบสองไว้ได้ ราวกับม่านอากาศที่มองไม่เห็น
ระลอกคลื่นยี่สิบสี่ลูกปะทะและสั่นสะเทือนซึ่งกันและกัน
ความน่าเกรงขามของจักรพรรดิไม่อาจล่วงละเมิดได้!
โลกทั้งแถบล้วนขับไล่ร่างธรรมเทพอารักษ์ ต่อต้านผู้ก่อวิบัติให้บ้านเมืองที่ยั่วโทสะจักรพรรดิผู้นี้
ตอนนี้เอง ‘จักรพรรดิเกาจู่’ ถึงค่อยๆ หมุนตัว เขายกเงากระบี่ทองเหลืองในมือขึ้น
สวี่ชีอันทำท่าทางแบบเดียวกัน
‘ตูม!’
ท่ามกลางชั้นเมฆาที่หมุนเป็นระลอกคลื่น สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงบนปลายกระบี่
พื้นที่บริเวณรอบๆ เขาเฉวี่ยนหรงในรัศมีหลายร้อยลี้ ปรากฏคลื่นกระเพื่อมที่ไม่เคยมีมาก่อน แม่น้ำม้วนตัว ดินแข็งแตกร้าว ภูเขาสั่นสะเทือน
สวี่ผิงเฟิงที่อยู่บนเรืออวี่เฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้าโดยฉับพลัน
สวี่หยวนซวงแหงนหน้ามองท้องฟ้าเช่นเดียวกับบิดา
ในสายตาของโหรแล้ว ชะตากรรมที่เป็นเส้นๆ อาจจะใหญ่หนา หรือเล็กละเอียดเหล่านั้น ดูราวกับแสงกะพริบวับแวมที่พาดผ่านท้องฟ้า และรวมเข้ากับกระบี่ทองเหลืองที่ยกขึ้นสูง
พลังแห่งเวไนยสัตว์!
นับแต่โบราณมา จักรพรรดิรับคำสั่งสวรรค์ บงการอาณาประชาราษฎร์
“ฟัน!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าเกรงขามเปล่งออกจากปากสวี่ชีอัน
เขาฟันกระบี่คุ้มเมืองออกไปโดยไม่รู้ตัว พร้อมเพรียงกับร่างธรรมจักรพรรดิที่อยู่ด้านหลัง
บนโลกใบนี้ไม่มีแสงกระบี่ที่ทรงพลังกว่านี้อีกแล้ว
ในสายตาแต่ละคู่ของผู้ที่ชมการต่อสู้เหล่านั้น จะเห็นว่าทัศนียภาพทุกอย่างในโลกค่อยๆ เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงแสงกระบี่ที่กะพริบผ่านอย่างรวดเร็วราวกับดาวหาง
ศีรษะของร่างธรรมเทพอารักษ์พังทลายลงก่อน ต่อมาเป็นต้นคอ หน้าอก และค่อยๆ สลายไปจนหมดทุกตารางนิ้ว แตกกระจายเป็นเศษแสงที่บริสุทธิ์ที่สุด
ร่างธรรมเทพอารักษ์ที่มีชื่อเสียงในด้านการป้องกัน ได้สูญเสียต้นทุนที่เขาภาคภูมิใจทั้งหมดแล้ว
พลังธาตุดินที่หนาแน่นก็ไม่อาจต้านทานความแหลมคมของกระบี่คุ้มเมืองได้ ค่ายกลแต่ละหลังพังทลายสลายไปจนหมด
‘ตูม!’
ร่างธรรมพังทลายอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นพลังงานที่ม้วนตัวเอาทุกสรรพสิ่งแผ่ขยายไปรอบทิศ
หินกลิ้งตกลงจากเขาเฉวี่ยนหรง ต้นไม้นับไม่ถ้วนถูกถอนรากถอนโคนอย่างต่อเนื่อง เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ บ้างก็วิ่งหนีชุลมุนด้วยความตื่นตระหนก บ้างก็นอนลงพื้นหลบเลี่ยงเศษคลื่นที่ม้วนเอาทุกสรรพสิ่งไปด้วย
ฐานที่มั่นทหารที่อยู่ไกลๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังคาปลิวว่อน บ้านเรือนพังทลายเป็นชิ้นๆ
ราวกับเป็นภัยธรรมชาติ
หลังจากร่างธรรมเทพอารักษ์ดับสลายไปแล้ว ยังมีเทพอารักษ์ตู้หนาน
เขาประนมมือท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ต้อนรับบทสรุปของตัวเอง
รัชสมัยของหย่งซิ่งในช่วงต้น เทพอารักษ์ตู้หนานแห่งสำนักพุทธแตกดับที่เขาเฉวี่ยนหรงในเจี้ยนโจว
ไม่ว่าจะเป็นต้าฟ่งหรือสำนักพุทธ ต่างก็เพิ่มสิ่งนี้ไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารของตนเอง
รอจนคลื่นลมสงบลงหมดแล้ว ภายใต้ท้องฟ้าสีครามเมฆาสีขาว มีเพียงเงาร่างของร่างธรรมจักรพรรดิที่ยืนอยู่อย่างยโสโอหัง
หลังจากสังหารศัตรูตัวฉกาจแล้ว ร่างธรรมจักรพรรดิไม่ได้หยุดนิ่ง เขายืนถือกระบี่และกระทุ้งเบาๆ
‘ฟู่!’
ห่างออกไปสิบกว่าลี้ เทพอารักษ์อสูรที่แอบหนีไปเงียบๆ ก็ถูกตรึงกับพื้น โลหิตสีทองเข้มไหลเปื้อนใต้ร่างของเขา
“อาตมา ไม่พอ…”
แสงในแววตาของตู้ฝานที่เป็นเทพอารักษ์อสูรมืดมิดลงอย่างถาวร
วิญญาณกับพลังชีวิตถูกตัดขาดไปพร้อมกัน
วิญญาณดับสลาย
ขณะนี้ สวี่ผิงเฟิงยื่นมือออกมาและคว้าผ่านอากาศไปสองที เหมือนกับการดึงขนแกะมาสองกำ
“ไป!”
น้ำเสียงของสวี่ผิงเฟิงราวกับลมหนาวในเดือนสิบสอง พอยกเท้าขึ้นเหยียบ ค่ายกลส่งตัวก็แผ่ปกคลุมเรืออวี่เฟิง
เรืออวี่เฟิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และในขณะนี้ น่าหลันเทียนลู่ไร้ร่องรอยไปนานแล้ว
ร่างไร้ศีรษะของชายชราลุกขึ้นยืน และก้มลงหยิบศีรษะของตนเองมาใส่ลงบนต้นคอ
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของเลือดเนื้อ ศีรษะก็เชื่อมติด นอกจากกลิ่นอายที่ดูอ่อนแอเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง
หลังจากหายใจออกเบาๆ อีกครั้ง กลิ่นอายก็ฟื้นฟูสู่จุดสูงสุด
ชายชราแหงนหน้ามองร่างธรรมจักรพรรดิด้วยแววตาเลื่อนลอย
กล่องความทรงจำถูกเปิดออก ช่วงเวลาที่ถูกเขาลืมเลือนไปนานแล้ว ขณะนี้ได้ปะทุขึ้นมาไม่หยุด
ครั้งแรกที่โค่วหยางโจวเจอเจ้านั่น คือตอนรวมพลครั้งหนึ่งในสนามรบของกองกำลังทหารก่อการแนวรบที่ยี่สิบหก เวลานั้นรอบตัวเขามีแค่ทหารเดนตายที่แก่หง่อม และอาวุธพังๆ
เข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ก็เพื่อยืมตำลึงเงินรวบรวมกำลังคน
ตอนนั้นเขาหน้าหนามาก พบใครก็คารวะสุรา และเรียกว่าพี่ใหญ่
โค่วหยางโจวก็เคยให้เขายืมสองร้อยตำลึงเงิน เจ้านั่นหน้าหนาจริงๆ ตอนนั้นเพิ่งออกจากเจี้ยนโจวไม่นานก็โอ้อวดตนเองว่าเป็นปรมาจารย์แห่งความชอบธรรม ไม่ทำเรื่องปล้นสะดมชาวบ้าน
ดังนั้นถุงเงินจึงว่างเปล่ามาก แน่นอนว่าไม่ได้ยืม ดังนั้นโค่วหยางโจวจึงพูดว่า
“ไสหัวไป เจ้าคนอ่อนแอ!”
สุดท้ายเจ้านั่นก็ตะโกนออกมาคำหนึ่งว่า “ท่านพ่อ”
คำว่าท่านพ่อทำให้โค่วหยางโจวเสียเงินไปสองร้อยตำลึง ต่อมาเขาถึงรู้ว่าเจ้านั่นใช้เงินสองร้อยตำลึงที่เขาให้ไปซื้อม้าผอมที่งดงามมาสิบแปดตัว และมอบให้กับผู้นำทหารก่อการผู้หนึ่งที่มักมากในกามคุณ
เขายืมเงินจากผู้นำคนนั้นมาได้มากกว่าเดิมและได้พลทหารเดินเท้าติดอาวุธพร้อมพรั่งอีกสองร้อยนาย
โค่วหยางโจวรู้เรื่องนี้จากปากของเขาหลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว เขาเริ่มจากหัวหน้าเล็กที่ไม่เตะตาจนกลายเป็นกบฏยิ่งใหญ่ที่มีกองกำลังเข้มแข็งสองแสนนายอยู่ใต้คำสั่งของเขา
ข้างกายก็มีชายหนุ่มรูปงามเพิ่มมาคนหนึ่ง ซึ่งอยู่เคียงข้างตลอดไม่เคยจากไปไหน
ภายหลังชายหนุ่มผู้นั้นก็คือท่านโหราจารย์รุ่นหนึ่ง
เวลาหกร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนโบราณถูกดินกลบหน้าไปหมดแล้ว จิตเดิมก็กลายเป็นวิญญาณรบระหว่างสวรรค์และโลก
…
ดูเหมือนว่าวิญญาณบรรพชนของจักรพรรดิเกาจู่จะไม่ไปไหนแล้ว…ขณะนี้สวี่ชีอันกลายเป็น ‘มนุษย์โลหิต’ เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก ทำให้ตัวเขาแดงกว่ากุ้งต้มสุกเสียอีก
ตอนนี้เขาเหมือนกับเครื่องจักรที่ทำงานหนักเกินไป ถึงขอบเขตที่ใกล้จะพังแล้ว แต่ปุ่มปิดเครื่องกลับถูกหักทิ้งแล้ว เลยไม่อาจหยุดลงได้
จะส่งจักรพรรดิเกาจู่ไปอย่างไร!
เขาขมวดคิ้ว ไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ขณะนั้นเอง ร่างทรงจักรพรรดิก็ทำท่ายกแก้วราวกับถือจอกสุราอยู่ในมือ
สวี่ชีอันทำท่ายกแก้วเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ดื่มสุราที่มองไม่เห็นไปจนหมด
พอ ‘สุรา’ ลงท้องไปหนึ่งจอก ร่างธรรมจักรพรรดิก็ค่อยๆ สลาย
สิ้นสุดแล้ว…สวี่ชีอันพ่นหายใจออกมา และมองดูรอบๆ อย่างเยือกเย็น
น่าหลันเทียนลู่หายตัวอย่างไร้ร่องรอยไปนานแล้ว สวี่ชีอันไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาถอนทัพไปตอนไหน ก่อนหน้านั้นพยายามต้านทานร่างธรรมเทพอารักษ์อยู่ตลอด ไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น
บางทีอาจดอดหนีไปในตอนที่เขาอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษของจักรพรรดิเกาจู่
บางทีอาจถอนทัพไปหลังจากที่สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัว เพื่อป้องกันการแย่งผลประโยชน์ระหว่างกัน
น่าเสียดาย…
การหายไปของเรืออวี่เฟิงนั้นเขาเห็นกับตา สวี่ผิงเฟิงหนีเร็วมาก อีกอย่างวิญญาณวีรบุรุษของร่างธรรมจักรพรรดิก็มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ถูกควบคุมจากเขา
ดังนั้นจึงไม่สามารถไล่สังหารได้
เงาร่างของชาวยุทธกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทยอยกันปรากฏตัวบนขอบหน้าผาของยอดเขาใต้ พวกเขาดูเหมือนนกที่กลัวลูกธนู และกำลังสำรวจดูสถานการณ์อยู่
สวี่ชีอันกวาดตามองดูทีหนึ่ง มองหาเงาร่างของหลี่หลิงซู่กับเหมียวโหย่วฟางไม่พบในชั่วขณะ
เขาอดทนต่อความเหนื่อยล้าและอ่อนแรง ควบคุมเจดีย์พุทธะพุ่งบินไปทางศพของเทพอารักษ์อสูร
เขาต้องการถือโอกาสนี้ผลักดันพลังเทพอารักษ์ไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น
………………………………………