ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 634 คิดบัญชีย้อนหลัง
สิ้นสุรเสียง เหล่าองค์หญิงและท่านหญิงต่างมีสีหน้าเป็นกังวล
ในบรรดาพวกนาง บางคนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองจึงไม่ใส่ใจนัก บ้างก็แอบดีใจที่ผู้เป็นบิดาและพี่น้องต่างจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ บ้างก็กลัวว่าชีวิตอันผาสุกที่กินดีอยู่ดีจะได้รับผลกระทบ
มีเพียงหลินอันผู้เดียวที่เป็นห่วงเป็นใยผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดด้วยใจจริง
ฮว๋ายชิ่งเองก็เป็นกังวลห่วงใยอย่างจริงใจเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของจักรพรรดิหย่งซิ่ง แต่เป็นมุมมองภาพรวมในระดับสูงกว่า
“ถ้าหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ข้าราชการทั้งหลายจะไม่บังคับให้ฝ่าบาทออกพระราชกฤษฎีกาสำนึกโทษหรือ?”
“บางคนอาจฉกฉวยโอกาสกล่าวหาว่า ฝ่าบาททรงเรียกร้องเงินบริจาคจึงทําให้เหล่าบรรพบุรุษพิโรธ” บรรดาขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นที่ไม่พอใจพระองค์เหล่านี้ย่อมมีเหตุผลโจมตีฝ่าบาทอยู่แล้ว”
“ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถือเป็นการทำลายเกียรติยศของพระองค์อย่างใหญ่หลวง”
พวกนางโต้เถียงกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ฮว๋ายชิ่งเห็นใบหน้าของหลินอันแล้วก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวขมวดมุ่น ในใจทุกข์ร้อน
ตั้งแต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ หลินอันมีความกังวลเรื่องกิจการบ้านเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และให้ความสนใจทั้งเรื่องสำคัญและเรื่องเล็กน้อยทั้งหมด
แน่นอนว่านางไม่ได้มุ่งมั่นในด้านการเมืองและเริ่มกระหายอำนาจในทันที
ก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเรืองอำนาจ นางต้องแสร้งเป็นนกขมิ้นที่ไร้กังวลเท่านั้น สำหรับเรื่องทางการเมือง นางไม่อาจข้องเกี่ยวและไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
ปัจจุบันจักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นครองราชย์แล้ว ภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นเปรียบเหมือนโรคภัยร้ายแรง ล้มล้างราชวงศ์ที่กำลังสูญสิ้น
ในฐานะพี่น้องของจักรพรรดิก็ต้องเป็นหนังหน้าไฟ เผชิญหน้ากับความกดดันนี้โดยตรง ราวกับเหยียบย่ำอยู่บนธารน้ำแข็งแผ่นบาง
เมื่อครองบัลลังก์ช่วงแรกๆ ทรงบริหารจัดการบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแข็งขัน บัดนี้แรงกำลังฮึกเหิมนั้นหมดลง จักรพรรดิองค์ใหม่เริ่มเผยความอ่อนแอให้เห็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมุหราชเลขาธิการหวางเจ็บป่วยด้วยโรคภัย ไม่สามารถก้มหน้าก้มตาร่างหนังสือราชการได้ตลอดทั้งคืนเหมือนแต่ก่อน ความกดดันของจักรพรรดิก็ยิ่งมากขึ้น
ในฐานะน้องสาวของจักรพรรดิหย่งซิ่ง หลินอันไม่สามารถทำอะไรไม่รู้จักคิด เป็นองค์หญิงผู้ไร้ความกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นางได้ นางจะกังวลและเป็นห่วงพี่ชายของนางเสมอ
ในช่วงรัชสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่ง แม้ว่าสถานการณ์ของราชวงศ์จะไม่ค่อยดี ความแข็งแกร่งของประเทศชาติก็ลดลงทุกคืนวัน แต่กระนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เป็นกษัตริย์ที่ปราบปรามขุนนางได้
เวลานี้ ขันทียกชาร้อนมาให้องค์หญิงใหญ่
ฮว๋ายชิ่งหยิบติดมือขึ้นมา จิบอย่างไม่ตั้งใจนัก ต่อจากนั้นจึงสังเกตเห็นความสงสัยและความประหลาดใจสะท้อนในดวงตาของขันที
นางหรี่ตาเล็กน้อย วางแก้วน้ำชาลงโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ร้อนจัง”
ขันทีกราบบังคมทูลว่า “ข้าน้อยสมควรตาย”
ฮว๋ายชิ่งขานรับ “อืม” ไม่มีเจตนาที่จะลงโทษ สองมือวางประสานกันบนหน้าท้องแบนราบ จดจ่ออยู่กับการครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาของวัดหย่งเจิ้นซานเหอ
‘ตึก ตึก’ …นางเคาะโต๊ะชาอยู่หลายครั้ง เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ของเหล่าสตรีชนชั้นสูงพลันหยุดลง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดแผ่นดินไหว?” นางถาม
หลินอันส่ายหน้า “ตามรายงานกองทหารรักษาวัง พวกเขาไม่รู้ว่ามีแผ่นดินไหว ภายในวังก็ไม่มีแผ่นดินไหวเช่นกัน มีเพียงที่ซังผอเท่านั้น”
ซังผออยู่ใกล้พระราชวังและกองกำลังรักษาวัง ถ้าเกิดแผ่นดินไหวจริง เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่รับรู้แม้แต่น้อย
หลินอันลังเลเล็กน้อย เอนแนบข้างหูฮว๋ายชิ่ง กระซิบว่า
“ข้าได้ยินจ้าวเสวียนเจิ้นบอกว่ารูปปั้นของจักรพรรดิเกาจู่ถล่ม
“ดาบสยบดินแดนหายไปแล้ว”
รูม่านตาฮว๋ายชิ่งหดตัวลงเล็กน้อย จ้องนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ใบหน้าไข่หงส์ของหลินอันก็จริงจังมากเช่นกัน จิกกระชากหัวนางอย่างแรง
ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์เป็นส่วนใหญ่ นอกจากโหราจารย์แล้ว บนโลกไม่มีใครสามารถควบคุมกระบี่สยบดินแดนได้ตามต้องการ...พอท่านโหราจารย์เอากระบี่สยบดินแดนไป หลังจากนั้นในวัดหย่งเจิ้นซานเหอ เกิดเหตุแผ่นป้ายบรรพบุรุษทั้งหมดล้มลงและรูปปั้นของจักรพรรดิเกาจู่ก็ถล่ม…
เวลานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงต้องให้ท่านโหราจารย์ใช้กระบี่สยบดินแดน? ไม่สิ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เอง ด้วยสถานะของท่านโหราจารย์ อาจไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่สยบดินแดนเสียด้วยซ้ำ…
สวี่ชีอันงั้นหรือ!
ใบหน้าชายเจ้าชู้มากรักผุดขึ้นในสมองฮว๋ายชิ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก สลัดใบหน้านั้นออกไปจากความคิดของนาง
ต่อมา นางจึงใช้ข้ออ้างว่าจะไปห้องพระบังคน จึงออกจากห้องโถงด้านข้าง มาถึงภายในห้องสะอาดกว้างขวางและเงียบสงบมีม่านทอไหมสีเหลืองห้อยลงมา นางดึงถุงบุหงาจากสายคาดเอว หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากในถุง
หมายเลขหนึ่ง “กระบี่สยบดินแดนหายไป ทุกคนรู้รายละเอียดหรือไม่?”
ผ่านไปสักครู่ก็ยังไม่มีคนตอบกลับมา
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว ส่งกระแสจิตกลับไป
หมายเลขหนึ่ง “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ”
ยังไม่มีเสียงตอบรับ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลย
หมายเลขห้า “กระบี่สยบดินแดนหายหรือ งั้นก็รีบไปหามันสิ”
ในที่สุดก็มีคนตอบรับ แต่น่าเสียดายที่เป็นลี่น่า
หมายเลขห้า “หมายเลขหนึ่ง พระราชวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ กระบี่สยบดินแดนแห่งต้าฟ่งถูกผนึกไว้ในซังผอไม่ใช่รึ มาบอกว่าหายก็หายเลยหรือไร? ที่นั่นคือซังผอเชียวนะ”
หมายเลขห้า “กระบี่สยบดินแดนก็ยังสูญหายได้ เช่นนั้นจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งก็ต้องระมัดระวัง โจรยังขโมยกระบี่สยบดินแดนไปได้ ย่อมขโมยพระเศียรของพระองค์ได้เช่นกัน”
‘เอาเถอะ ข้าพูดไปเสียยกใหญ่’
‘ไม่คุ้มที่จะต้องเสียเวลากับนาง พูดจาไม่ชัดเจน...’ ฮว๋ายชิ่งจำใจตอบกลับ
“ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง”
เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีใหม่อีกครั้ง
…
ภายในห้องทรงอักษร
สมาชิกราชวงศ์มารวมตัวกัน ที่แห่งนี้รวบรวมคนสามชั่วอายุไว้ด้วยกัน มีทั้งเสด็จอาลี่หวาง เสด็จอาอวี้อ๋องของจักรพรรดิหย่งซิ่งและพี่น้องของเขา
บรรยากาศภายในห้องโถงจริงจังกันมาก ท่านอ๋องในชุดไปรเวทท่านหนึ่งขมวดคิ้วแน่น
“สำนักโหราจารย์สามารถตอบกลับได้หรือไม่?”
“ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้ตอบกลับมา”
ชินอ๋องทุกคนค่อนข้างผิดหวัง โกรธและไม่มีทางเลือก แม้แต่ในช่วงที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงครองราชย์ ท่านโหราจารย์ก็ยังไม่สนใจเขาและจงรักภักดีต่อรักราชวงศ์เลย
“กระบี่สยบดินแดนอยู่ที่ใดกัน?”
“กระบี่สยบดินแดนถูกท่านโหราจารย์นำไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เรื่องเขารู้ดีกว่าเรา”
เสียงถามตอบดําเนินไปครู่หนึ่ง จากนั้นเหล่าชินอ๋องและจวิ้นอ๋องก็สงบ
“ถ้าไม่ใช่เพราะแผ่นดินไหว แล้วอะไรทำให้บรรพบุรุษพิโรธได้เล่า?” อย่างที่บอกไว้แต่ไหนแต่ไรว่าไม่ต้องเรียกร้องรับเงินบริจาค จะทำให้ทรงเสียพระทัย ฝ่าบาทไม่ฟังคำเตือนจากเราเลย พาลให้ตอนนี้พวกบรรพบุรุษพากันกริ้วใหญ่ เฮ้อ…” ชินอ๋องอีกท่านกล่าวเสียงขรึม
ได้ยินเช่นนี้ ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องต่างชำเลืองมองจักรพรรดิหย่งซิ่ง ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา
แผ่นป้ายบรรพบุรุษทุกท่านแตกหัก นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก
ถ้าหากเกิดเรื่องนี้ขึ้นในบางตระกูลใหญ่ๆ คนในตระกูลอาจจะถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์
แม้นคุณสมบัติของผู้ปกครองประเทศ กำหนดไว้ว่าไม่สามารถทดแทนกันได้ง่ายๆ แต่กระนั้น สายตาของสมาชิกราชวงศ์ที่มองจักรพรรดิหย่งซิ่งก็เต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
คิดว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา
หลังจากความเงียบปกคลุมชั่วขณะ จวิ้นอ๋องผู้มีผมเผ้าหงอกขาวก็กล่าวว่า
“เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับการประคับประคองชีพจรในอวิ๋นโจวหรือไม่?”
บรรดาชินอ๋องตกตะลึง
หลังจากสวี่ชีอันขจัดความวุ่นวายจากจักรพรรดิองค์ก่อน สวี่ผิงเฟิงก็ปรากฏตัว ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา ได้เผยให้เห็นภายใต้แสงอรุณแล้ว
บุคคลสำคัญในราชวงศ์ คนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นแกนนำหลักของอำนาจเช่นปราชญ์มหาสำนักราชเลขาธิการและบรรดาชินอ๋อง รู้ว่าห้าร้อยปีก่อนมีการประคับประคองชีพจรนั้นซุ่มซ่อนอยู่ในอวิ๋นโจว เพื่อก่อการกบฏ
“ความหมายของอวี้อ๋องก็คือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาบ้านเมืองงั้นหรือ”
“สวี่ผิงเฟิงเป็นลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์ และโหรย่อมใกล้ชิดกับชะตาบ้านเมือง…”
“สำหรับจักรพรรดิเกาจู่ ขบวนประคับประคองชีพจรห้าร้อยปีก่อน ก็ถือเป็นลูกหลานของตระกูลจีเช่นกัน…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ่งฟังความ สีหน้ายิ่งผันเปลี่ยนดูน่ากลัว
แววตาขององค์ชายสี่ทอประกาย ตรัสเสียงขรึมว่า
“เสด็จอา เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”
ยศฐานันดรศักดิ์ของเขาในตอนนี้คือเหยียนชินอ๋อง
โดยทั่วไปแล้วผู้ครองแคว้นต้าฟ่งมีเพียงชินอ๋องและจวิ้นอ๋องเท่านั้น จวิ้นอ๋องคือบุตรชายนอกสมรสโดยตรงจากชินอ๋อง นอกเหนือจากรัชทายาท
อวี้อ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
“ประการแรก เรื่องนี้ต้องปิดบังและรับสั่งให้ ผู้ใดที่เผยแพร่กระจายข่าวต้องถูกประหารโดยปราศจากความเมตตา
“การเรียกร้องให้บริจาค ทำให้เกิดความคับข้องใจในราชสำนัก จะให้คนพวกนั้นใช้ข้ออ้างมาโจมตีฝ่าบาทไม่ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาทเป็นอย่างมาก”
‘ตึก ตึก ตึก’ …เสียงของไม้เท้ากระแทกพื้นดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทุกคน ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องจึงหันไปมองชายชราที่นั่งอยู่บนตั่งไม้จันทน์ด้านข้างจักรพรรดิหย่งซิ่งอย่างอดไม่ได้
ชายชราในชุดไปรเวท ผมเผ้าหงอกขาว บนใบหน้าปรากฏริ้วรอยและจุดด่างพร้อยตามอายุ
ลี่หวาง
เสด็จอาของจักรพรรดิหยวนจิ่งองค์ก่อน ชายชราในวัยแปดสิบปี ปัจจุบันนี้เป็นคนที่อาวุโสที่สุดในสมาชิกราชวงศ์
ในช่วงเหตุการณ์อ๋องสยบแดนเหนือครั้งแรก ชินอ๋องเฒ่าผู้นี้ก็ยังร่วมแสดงละครกับจักรพรรดิหยวนจิ่งเช่นกัน
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพระเกียรติยศของฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวแม้กระทั่งด้ามปากกาที่ยังคงกินเสบียงหลวงเสียด้วยซ้ำ”
เสียงของลี่หวางแหบชรา ทว่าสะท้อนก้องห้องทรงอักษรอย่างน่าประหลาดใจ
ชายชราลุกขึ้นยืนร่างกายสั่นเทิ้ม กวาดมองรอบๆ กล่าวเสียงขรึม
“การประคองชีพจรห้าร้อยปีก่อนในอวิ๋นโจวที่หลับใหลกำลังรอเวลากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ทั้งป้ายบรรพบุรุษล้ม รูปปั้นจักรพรรดิเกาจู่แตกหัก…
“หย่งซิ่ง นี่คือความไม่พอใจจากบรรพชนเก่าแก่ที่มีต่อเจ้า รวมถึงจักรพรรดิเกาจู่เองก็ไม่พอใจเจ้า”
จักรพรรดิหย่งซิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก “เสด็จอา ท่าน...”
คำพูดของลี่หวาง ถ้าเปลี่ยนเป็นวาระอื่น หรือช่วงเวลาอื่น นั่นหมายถึงการก่อกบฏครั้งใหญ่
แต่ในโอกาสเช่นนี้ ในเหตุการณ์เช่นนี้ คําพูดของเขาไม่มีปัญหาใดๆ และบรรดาชินอ๋องซึ่งเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็คิดว่าเขาพูดถูก
ลี่หวางกล่าวต่อว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องในราชวงศ์ ต้องปกปิดมันไว้ แต่เจ้า ต้องต้องโทษประณามตน และหยุดรวบรวมเงินบริจาคจากพลเรือนหลายร้อยนาย นอกจากนี้ ฝ่าบาทควรใช้เวลาสามวันในวิหาร อธิษฐานขอขมาเหล่าบรรพบุรุษ”
สีหน้าจักรพรรดิหย่งซิ่งดูน่ากลัว “เสด็จอา เราเพิ่งขึ้นสู่บัลลังก์ สมควรต้องโทษประณามตนงั้นหรือ…”
ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์ ภัยพิบัติอันหนาวเย็นก็พัดผ่านมายังศูนย์กลาง ทำให้ประชาชนอดอยากล้มตาย ผู้คนพลัดถิ่นก็กระจายไปทั่วสารทิศ
ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะกู้กอบกู้พระเกียรติยศบางส่วน เพราะการบริจาคบรรเทาทุกข์
ในเวลานี้การออกกฤษฎีกาประณามตน สำหรับจักรพรรดิองค์ใหม่ ไม่ใช่เพียงเพื่อหักหน้าตน
นี่เหมือนหมายความว่า ‘ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิ!’
หรือนี่เป็นการวัดใจเขา?
“ในฐานะข้าราชบริพาร เราไม่ควรพูดว่าฝ่าบาทไม่ใช่” แต่ในฐานะลุง ในฐานะลูกหลานของตระกูลจี เราพูดไม่ได้หรือ แม้ว่าจักรพรรดิองค์ก่อนจะครองราชย์ เราก็ต้องการให้เขาก้มหัวให้บรรพบุรุษเพื่อยอมรับความผิดเช่นกัน”
ลี่หวางกระแทกไม้เท้าอย่างแรง “หย่งซิ่งในเมื่อเจ้าอยู่ในบัลลังก์ ก็สมควรเป็นความรับผิดชอบของเจ้าที่จะแบกรับมัน”
เสียคนจนถึงตอนชรา! ตอนเสด็จพ่อบำเพ็ญตบะ เจ้าไม่ยักกล้าว่ากล่าวตักเตือน? ไม่ใช่การกลั่นแกล้งข้าทั้งที่รากฐานไม่มั่นคงหรอกหรือ ซ้ำยังบังคับให้ข้าแบบรับความผิดโทษฐาน ’ทำให้บรรพบุรุษโกรธ’ …เส้นเลือดบนขมับจักรพรรดิหย่งซิ่งกระตุก
หนึ่งในชินอ๋องก้าวออกมา กล่าวเสียงสูง
“ฝ่าบาท ท่าทีของเหล่าบรรพบุรุษเกี่ยวข้องกับชะตาบ้านเมือง ท่านต้องอย่าดูหมิ่นดูแคลน อย่าปล่อยให้สายชีพจรอวิ๋นโจวใช้ประโยชน์จากมัน”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งลง
“เราเข้าใจแล้ว ถ้าทำให้เหล่าบรรพบุรุษพอใจ การต้องโทษเราจะเป็นเช่นไร คอยรำลึกสามวันสามคืนงั้นหรือ”
…
ณ ป่าทึบ
จิ้งซินกวาดมองรอบๆ มองผ่านหลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนทั้งสามคน ก่อนมองหลี่หลิงซู่อีกครั้ง เอ่ยว่า
“กระจกในมือเขามีความพิลึกกึกกือ”
คล้อยเสียงนั้นสิ้นสุด ลมกระโชกแรงจึงโหมกระหน่ำ ไป๋หู่มาพร้อมกับสายลมมุ่งไปทางหลี่หลิงซู่ ด้วยความเร็วที่แม้แต่จอมยุทธระดับสี่ในที่แห่งนี้ก็ตอบสนองไม่ทัน
“ละเว้นการเอาชีวิต!”
จิ้งซินประนมสองมือ ท่องคำสวดภาวนา
ละเว้นการเอาชีวิต เจตนาฆ่าของหลี่หลิงซู่ถูกกักขัง กีดกันความคิดที่จะตอบโต้กลับและให้แน่ใจว่าสามารถสังหารไป๋หู่ได้ในคราวเดียว เพื่อแก้ปัญหาภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด
ฉีฮวนตานเซียงเป็นปรมาจารย์ซินกู่ขั้นสี่ หมดสติไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง วิธีการแบบนี้ก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้เช่นกัน
หลี่หลิงซู่หัวเราะ “หึ” แสงสีทองผลิบานในตันเถียน ปัดเป่าพลังแห่งศีลที่มองไม่เห็น
ทองอุไรทะลวงนับหมื่นวรยุทธ!
ในเวลาเดียวกัน หลี่เมี่ยวเจินยื่นแขนออกไป พลางเล็งไปที่ไป๋หู่ รูม่านตาของนางแปรเปลี่ยนกลายเป็นโปร่งใส ว่างเปล่า ไร้ความรู้สึก
ชั่วพริบตา เสื้อผ้าของไป๋หู่ก็หดรัด สายคาดเอวพยายามรัดคอเขา รองเท้าฉีกขาดออกจากกันด้วยตนเอง ก่อนพุ่งขึ้นกระแทกแก้มเขา ส่วนเส้นผมก็เริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนพันคอ รวมถึงบดบังดวงตาของเขา
อากาศที่ไหลเวียนในร่างกาย ไม่อาจควบคุมได้
สิ่งนี้ทำให้การโจมตีหลี่หลิงซู่ไร้ประสิทธิผล
อาศัยการช่วยเหลือจากศิษย์น้อง หลี่หลิงซู่ควบคุมกระบี่บินให้ล่าถอยไป ในเวลาเดียวกันชายสารเลวตัวเท่ากระเป๋าเสื้อคนหนึ่งปรากฏกายออกมาจากระหว่างคิ้ว มือเล็กตบเข้าระหว่างคิ้วไป๋หู่
‘ตึง ตึง ตึง’ …หลิ่วหงเหมียนก้าวเหยียบบนลำต้นของต้นไม้ อาศัยพลังระเบิดของชาวยุทธจักรไล่ตามหลี่หลิงซู่
นางบินสูงขึ้นเรื่อยๆ กระบี่อ่อนที่เอวเริ่มมีประกายคม
ล้อมเวยช่วยจ้าว[1]
‘ฟิ้ว!’
แสงกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งตรงมาจากทางลาดชัน
หลิ่วหงเหมียนอาศัยเนื้อหนังวรยุทธขั้นสี่ ไร้ซึ่งความกลัว วางแผนต้านทานปราณกระบี่ เฉือนเอาเนื้อหนังหลี่หลิงซู่
‘ตึง!’
กระบี่เหล็กไม่ได้ทำลายเนื้อหนังของหลิ่วหงเหมียน แต่ดวงตาทั้งสองคู่พร่ามัว ร่างกายเปรียบเหมือนรถม้าที่เสียการควบคุม พุ่งตรงไปยังหลี่หลิงซู่ กระบี่อ่อนในมือไม่สามารถเหวี่ยงไปได้
สิ่งที่กระบี่ใจของนิกายมนุษย์ตัดผ่านคือจิตเดิม
“ตื่นได้แล้ว!”
จิ้งซินตะโกน ดังกังวานราวกับระฆังต้าหลี่ว์ ทำให้หลิ่วหงเหมียนตื่นจากภวังค์ฝัน
เขาใช้ความสามารถในการล้างสมองของปรมาจารย์ระดับเจ็ด ช่วยหลิ่วหงเหมียนให้ขจัดสภาวะเหม่อลอย
เวลานี้หลิ่วหงเหมียนคงอยู่ห่างกายหยาบของหลี่หลิงซู่ ไม่ถึงหนึ่งจั้ง ผนวกกับกระบี่อ่อนคายปราณกระบี่ออกมา ยิ่งสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหงเหมียนเหวี่ยงกระบี่อ่อนโดยไม่ลังเล
‘ตึง!’
ทันใดนั้น มือรัศมีสีทองขนาดใหญ่ยื่นออกมา บดขยี้ปราณดาบจนแตกเป็นเสี่ยง
“อมิตตาพุทธ ท่านอิตถีโพธิสัตว์ อย่าขยับเขยื้อน โปรดยึดเอาความปรองดองเป็นสิ่งสำคัญ”
เหิงหย่วนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ หลังจากฝ่ามือตบหลิ่วหงเหมียนกระเด็น
เขาได้บำเพ็ญพลังเทพวชิระมาแล้ว พลังการต่อสู้จึงเลื่อนเข้าสู่ขั้นสี่อย่างเป็นทางการ
เวลานี้เอง หลี่หลิงซู่รวมปราณ ใช้มือเล็กฟาดระหว่างคิ้วไป๋หู่อย่างคล่องแคล่ว
สงบเงียบปราศจากคลื่นพลังปราณ ศีรษะด้านหลังของไป๋หู่พลันปรากฏร่างลวงตา ซึ่งเป็นจิตเดิมของเขา
แม้นจิตเดิมจะออกจากกายหยาบส่วนบน ทว่าส่วนล่างยังคงดึงดันอยู่ในร่างกาย
จิตเดิมของจอมยุทธ์มีความเหนียวแน่น แม้ปราณก่อนกำเนิดของลัทธิเต๋า ก็ไม่อาจทำให้ตกใจจนออกจากร่างได้
กระจกเทพฮุ่นเทียนสว่างวาบ ฉกฉวยจิตเดิมของไป๋หู่กลับคืนในกายหยาบก่อนจะดึงดูดเข้ามาในกระจก
ร่างกำยำสูงใหญ่ของไป๋หู่หงายหลังล้มลง หมดสติ
จิ้งหยวนผู้กำลังจะเข้ามาสมทบ ถูกกักขังไว้โดยตงฟางหว่านชิง
ต่อหน้าพันธมิตรกับคนรัก นางเลือกฝ่ายหลังโดยไม่ลังเล
……………………………………..
[1] การที่ศัตรูรวบรวมกำลังทหารและไพร่พลไว้เป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดกำลังและความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น