ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 635 ความรู้สึกปลอดภัย
ชั่วพริบตา ยอดฝีมือขั้นสี่ทั้งสองท่านกลายเป็นลูกแกะที่ถูกสังหาร
สิ่งนี้คือพลานุภาพจากของวิเศษ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ ‘มนุษย์ธรรมดา’ ก็ไม่อาจต้านทานได้
ภายใต้ระดับบรรลุธรรม ไม่มีพลังใดที่จะต่อกรกับของวิเศษได้
หลิ่วหงเหมียน จิ้งซิน และจิ้งหยวนไม่รู้จักกระจกเทพฮุ่นเทียน แต่เมื่อพานพบกับอาการสลบไสลพิลึกพิลั่นของไป๋หู่และฉีฮวนตานเซียง รวมถึงยอดฝีมืออีกสี่คน และยังมีตงฟางหว่านชิงที่แสดงออกชัดเจนว่า ‘คิดคดทรยศ’ เช่นนี้ ควรเลือกอย่างไร ไม่ต้องบอกก็เป็นที่เข้าใจ
ปราศจากการร้องเตือนใดๆ หลิ่วหงเหมียนฟันกระบี่เป็นกากบาทแสร้งเข้าจู่โจม โดยไม่หันกลับมา นางวิ่งหนีออกไปราวกับเสือดาวที่ปราดเปรียว
นางฉลาดพอที่จะเลือกวิ่งหนี แทนที่จะบินหนี
จอมยุทธ์ผู้หยาบช้าขอแค่ปลายเท้าอยู่บนพื้นดิน ก็สามารถเพิ่มขีดจำกัดได้เร็วสุดเท่าที่ทำได้ หากเลือกใช้วิชาตัวเบาหรือทะยานขึ้นท้องฟ้า ในสายตาของปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่สามารถควบคุมกระบี่บินได้ จึงเหมือนโยนตนใส่กับดักตรงๆ
จิ้งซินและจิ้งหยวนหนีเตลิดไปพร้อมกัน อาวุธวิเศษเพียงชิ้นเดียว ต้องวิ่งแยกกันเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด
ฉู่หยวนเจิ่นมองสถานการณ์ ตะโกนออกคำสั่งทันที
“หลี่หลิงซู่ เจ้าตามจิ้งหยวนไป เมี่ยวเจินตามจิ้งซิน ส่วนข้ากับเหิงหย่วนจะตามหลิ่วหงเหมียนเอง”
แม้ว่าจะเขาเพิ่งปะทะคนเหล่านี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับข้อมูลของหลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ มาจากหลี่หลิงซู่คร่าวๆ บ้างแล้ว
การจัดเรียงกำลังคนของฉู่หยวนเจิ่นมีความพิถีพิถัน ในบรรดาสามคน จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนครอบครองพลังเทพวชิระอยู่ จึงเป็นสิ่งรับมือยากที่สุด ดังนั้นให้หลี่หลิงซู่ไล่ล่าด้วยอาวุธวิเศษ และเมื่อเขาไป ตงฟางหว่านชิงต้องเข้ามาสมทบอย่างแน่นอน
ฝ่ายหลังซึ่งอยู่ในฐานะชาวยุทธจักร ย่อมสามารถหยุดยั้งจอมยุทธ์ภิกษุได้
มีเพียงหลี่เมี่ยวเจินเท่านั้นที่ไม่มั่นคงในด้านนี้นัก แต่พระภิกษุนิกายฉานที่ไร้ฝีมือการต่อสู้ไม่สามารถทำอะไรนางได้
ส่วนหลิ่วหงเหมียนในฐานะชาวยุทธจักร ปล่อยให้เขาและเหิงหย่วน เพราะลงมือง่ายนิดเดียว
เหิงหย่วนกระโดดขึ้นไปบนหลังฉู่หยวนเจิ่น ทั้งสองขี่กระบี่พุ่งจากไป พร้อมส่งเสียงคำรามราวกับสายลม
หลิ่วหงเหมียนทะลุผ่านซอกเขา ชุดกระโปรงของนางเกี่ยวกิ่งไม้และต้นไม้จนขาดลุ่ย นางไม่อาจหยุดฝีเท้า มีเพียงความคิดจะหนีอยู่ในหัวนางเท่านั้น
พวกเขาเพิ่งดีใจที่ตนกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นสี่ เป็นเพียง ‘คนตัวเล็ก’ ที่มองข้ามได้ง่าย ฉีฮวนตานเซียงกับไป๋หู่สาบานว่าจะต้องลอบแก้แค้นให้จงได้
ใครจะรู้ว่า ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ใช่ว่าจะปล่อยพวกเขาไป คมดาบสี่เล่มของพวกเขาแอบแฝงอยู่นอกฝักมาแต่ไหนแต่ไร
‘ฟิ้ว…’
เสียงตัดผ่านอากาศเหนือหัว ทำให้หลิ่วหงเหมียนตกใจ รับรู้ได้ว่าปรมาจารย์ลัทธิเต๋าไล่กวดทันเสียแล้ว
บนภูเขามีความลาดชันทั้งสูงและต่ำ มีต้นไม้ขวางกั้นไม่น้อย คงยากที่จะวิ่งหนีกระบี่บินของผู้ฝึกตน หลิ่วหงเหมียนเร่งความเร็วของฝีเท้า ขณะหักกิ่งไม้ไปด้วย
นางถีบตัวกระโดดขึ้นสูง พลิกตัวกลางอากาศ ขว้างกิ่งไม้ใส่ศัตรูที่อยู่บนฟากฟ้าด้านหลัง
‘ฟิ้ว!’
กิ่งไม้พุ่งทะยานออกไป ห้อมล้อมด้วยลมปราณที่ทรงพลัง เร็วกว่าลูกธนูหลายเท่าตัว
ฉู่หยวนเจิ่นเอื้อมมือออกไป คว้ากิ่งไม้ไว้ในมือ
‘รับมือข้าด้วยมือเปล่ารึ? เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญตนหรอกหรือ…’ หัวใจของหลิ่วหงเหมียนสั่นคลอน
มีความคิดแวบหนึ่งผุดขึ้นมา นางได้ยินเสียง ‘กรอบแกรบ’ กระทบเข้าโสตประสาทหู กิ่งก้านใบไม้โดยรอบ บิดพลิ้วลอยขึ้นจากพื้น จากนั้น พวกมันก็ถูกปราณกระบี่ช้อนตัวขึ้น ก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนงดงาม
ฉู่หยวนเจิ่นชี้นิ้วดั่งกระบี่ เคลื่อนวงแหวนลงมา
‘ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ…’
กิ่งไม้ใบหญ้าที่แห้งกรอบปลิวระเนระนาดกลายเป็นฝนกระบี่ หน้าพื้นดินยุบตัวเป็นบ่อเล็กๆ ทั่วกัน ก่อนต้นไม้ในป่าเกิดเสียง ‘แกร่ก’ ยามฝนกระบี่โปรยลงมา
หลิ่วหงเหมียนวิ่งพล่านอยู่ท่ามกลางฝนกระบี่โปรยปราย อาศัยลางสังหรณ์อันตรายล่วงหน้าของชาวยุทธหลบหลีก อันที่จริงแล้วนางไม่สามารถหลีกหนีได้ จึงจำต้องใช้เนื้อหนังตัวเองกำบัง
ระหว่างข้ามผ่านฝนกระบี่ ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้า ด้านหน้าคือภิกษุรูปทองวัยกลางคน ยืนประนมสองมือ รอคอยนางอยู่
ส่วนด้านหลังคือ นักดาบเสื้อดำที่ยืนอยู่บนด้ามกระบี่อย่างภาคภูมิและเป็นอิสระ
…
หนึ่งเค่อต่อมา ทั้งสามฝ่ายก็แยกตัวจากกัน
หลี่หลิงซู่แบกจิ้งหยวนที่สลบไสลไว้บนบ่า พลางขี่กระบี่พากลับมาพร้อมกับตงฟางหว่านชิง
ส่วนเหิงหย่วนแบกหลิ่วหงเหมียนไว้บนบ่าเช่นกัน และกลับมาพร้อมฉู่หยวนเจิ่นด้วยกระบี่บิน
มีเพียงหลี่เมี่ยวเจินที่ใบหน้าคล้ำดำและว่างเปล่า
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่หลิงซู่ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เท้าเอว วางท่าเป็นพี่ใหญ่ พร้อมหัวเราะ
“ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าแล้วรึ ศิษย์น้อง นี่จะทำลายชื่อเสียงของข้าให้เสื่อมเสีย ซ้ำยังทำลายตัวตนเทพธิดานิกายสวรรค์ จิ้งซินอยู่ในอาณาเขตเจ้าแล้วแท้ๆ เจ้ายังปล่อยให้เขาหนีไปได้รึ?”
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะเสียงเย็น
“สบายมาก แค่เอาสาวๆ รอบกายเจ้ามาเพิ่มกำลังก็คงพอแล้ว”
…หลี่หลิงซู่กลับคำทันใด “จิ้งซินไม่อ่อนแอ ยอดฝีมือขั้นสี่สูงสุด อันที่จริงก็คงฝืนใจนิดหน่อย ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้าเจองานยากจริงๆ”
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงหึ
แก่นปราณแห่งลัทธิเต๋าแม้ว่าจะยับยั้งคาถาได้ แต่การดูดวิญญาณของหลี่เมี่ยวเจิน รวมถึงโจมตีขอบเขตจิตเดิมของเขา ไม่สามารถสกัดกั้นพระภิกษุนิกายฉานได้เช่นกัน
เคล็ดลับอันเป็นหนึ่งเดียวของชาวนิกายสวรรค์ พระภิกษุนิกายฉานก็สามารถมองเห็นคาถาและใช้วิชาฉานแก้ไขได้
อย่างไรก็ตาม ทักษะการต่อสู้ของหลี่เมี่ยวเจินยังคงต้องแข็งแกร่งให้เท่าจิ้งซินในระดับหนึ่ง มิเช่นนั้น จิ้งซินผู้อยู่ในขั้นสี่สูงสุดจะหันกลับมาเป็นฝ่ายไล่ล่าบุตรธิดานิกายสวรรค์แทน
ฉู่หยวนเจิ่นไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้จะคาดไว้อยู่แล้ว จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ปลาลอดช่องแหไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก พวกเราเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยแล้ว นักบวชเต๋าหลี่ รบกวนเจ้าถ่ายเทจิตเดิมหลิ่วหงเหมียนด้วย”
จิตเดิมของหลิ่วหงเหมียนถูกโจมตีโดยกระบี่ใจจากนิกายมนุษย์ กายหยาบได้รับความทรมานจากพลังเทพวชิระของเหิงหย่วน ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในอาการสาหัส
แต่ไม่นานก็คงฟื้น
ระหว่างหลี่หลิงซู่ดูดวิญญาณของหลิ่วหงเหมียนออกไป ฉู่หยวนเจิ่นก็กวาดมองรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีคนนอก จึงหยิบเศษหนังสือปฐพีขึ้นมา
เหิงหย่วน หลี่เมี่ยวเจิน และหลี่หลิงซู่ต่างคนต่างหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา
ระหว่างที่ต่อสู้กันเมื่อครู่ พวกเขาใจสั่นไม่หยุด รับรู้ว่ามีคนกำลังใช้หนังสือปฐพี แต่ยังไม่มีเวลาสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉย
“โอ้ หมายเลขหนึ่งบอกว่ากระบี่สยบดินแดนหายไป…”
หลี่หลิงซู่อ่านข้อความในหนังสือ ตะลึงงันครู่หนึ่ง “หมายเลขหนึ่งคือใคร?”
หลี่เมี่ยวเจินชำเลืองมองเขา เอ่ยเสียงเรียบ
“หมายเลขหนึ่งคือฮว๋ายชิ่ง องค์หญิงแห่งต้าฟ่ง เป็นหญิงผู้หนึ่งที่น่ารำคาญมาก”
ทุกวันนี้ ตัวตนผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เกินขอบเขตการปิดบังมานานแล้ว
ยกเว้นหมายเลขแปดที่วางสายจนกระทั่งตอนนี้ ซึ่งคนอื่นๆ อยู่ในสายเดียวกัน ล้วนกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว
หมายเลขหนึ่งคือองค์หญิงฮว๋ายชิ่งรึ! ในสมองหลี่หลิงซู่ปรากฏภาพกระโปรงยาวหรูหรา ความงดงามแสนประณีตและสูงส่ง
ทั่วสรรพางค์กายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดทางใจทันที
สวี่ชีอันคนระยำ สมภารกินไก่วัดเอ๊ย!
เหิงหย่วนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ประสกหลี่ได้รับบาดเจ็บหรือ? เหตุใดเจ้าถึงตัวสั่น?”
หลี่หลิงซู่กล่าววาทศิลป์แฝงด้วยสัจธรรม พร้อมกับสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“เพราะว่าในโลกนี้พานพบกับภัยพิบัตินับพันปี เปรียบเหมือนคนดีเช่นข้าที่ถูกข่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม”
หลี่เมี่ยวเจินเบะปาก
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก เขาแค่เสียใจที่สูญเสียชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาแรมปี ทำให้คนสกุลสวี่ก้าวนำหน้าไปก่อน”
เหิงหย่วนเข้าใจในทันที ครุ่นคิดอยู่ครึ่งหนึ่ง พลางเอ่ยว่า
“แม้นไม่มีใต้เท้าสวี่ แต่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็คงไม่เหลียวแลประสกหลี่หรอก”
…หลี่หลิงซู่ไม่แสดงสีหน้า “ไต้ซือ ท่านรู้วิธีหุบปากหรือไม่?”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว
“ประสกเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ ไม่ได้บำเพ็ญฉาน”
หลี่หลิงซู่ประกบมือทั้งสอง
ฉู่หยวนเจิ่นรีบนำหัวข้อสนทนาเดิมกลับเข้ามา เอ่ยว่า “เรื่องนี้จะได้เรื่องหรือไม่?”
เหิงหย่วนกับหลี่เมี่ยวเจินไม่ยอมพูดจา คนหนึ่งเป็นคนสบายๆ อย่างไรก็ได้ ส่วนอีกคนหนึ่งขี้คร้านจนเพิกเฉยคำถามของหมายเลขหนึ่ง
หลี่หลิงซู่ไม่ได้สนิทสนมกับหมายเลขหนึ่ง เลยงดออกความเห็น
ดังนั้นฉู่หยวนเจิ่นเป็นผู้ถือปากกา จึงเขียนตอบ
หมายเลขสี่ “กระบี่สยบดินแดนอยู่ในมือสวี่ชีอัน เขาเพิ่งอัญเชิญร่างธรรมของจักรพรรดิเกาจู่ เพื่อต่อสู้กับร่างธรรมของพระโพธิสัตว์สำนักพุทธ เอาชนะสำนักพ่อมด สำนักพุทธ รวมถึงยอดฝีมือเมืองเฉียนหลง คุ้มครองเขาเฉวี่ยนหรงและปราณมังกร”
หลังจากแจ้งข่าวเสร็จสิ้น ฉู่จ้วงหยวนลากสายตามองเชลยศึก เอ่ยว่า
“ปรมาจารย์ซินกู่และปีศาจพยัคฆ์กำลังจะตาย รีบกำจัดจิตเดิมพวกเขาเถอะ”
ผู้คนเหล่าในฐานะที่เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ ตอนเป็นแกนนำอยู่ในเมืองเฉียนหลง ได้รู้เรื่องราวจากข่าวกรองมาไม่น้อย
หลี่หลิงซู่ก้มหน้าลง สื่อสารกับกระจกเทพฮุ่นเทียน ปลดปล่อยจิตเดิมของฉีฮวนตานเซียงกับไป๋หู่ ผนึกพวกเขาลงในอาวุธพิเศษที่บรรจุจิตเดิม
ลังเลครู่หนึ่ง หลี่หลิงซู่ก็หันไปมองตงฟางหว่านชิง แล้วเอ่ยว่า
“พี่ชิง เจ้าไปเถอะ”
ตงฟางหว่านชิงเอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายหลี่ เจ้าต้องกลับตำหนักมังกรตงไห่กับข้า”
ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ คิดว่าหลี่หลิงซู่จะตอบกลับว่า “ถ้าเราอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน ก็จงอย่ามาคบคิดกันเลย”อะไรทำนองนี้
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า
“ประสบการณ์ทางโลกของข้ายังไม่จบสิ้น หากกลับตำหนักมังกรตงไห่กับเจ้า อาจารย์ของข้าต้องออกตามหา เขาต้องจับข้ากลับนิกายสวรรค์เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้น บางทีข้าอาจจะไม่ได้ออกจากนิกายสวรรค์อีกชั่วชีวิต”
เขาบอกเจตนารมณ์ของตนและหลี่เมี่ยวเจินให้แก่ตงฟางหว่านชิง
ตงฟางหว่านชิงไม่เชื่อคำพูดของเขา จึงหันมองหลี่เมี่ยวเจิน
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียง “อืม” ขานรับ
ตงฟางหว่านชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาสะท้อนความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับเจ้า”
เอ่อ…แววตาหลี่หลิงซู่แวววาว นึกหาข้อแก้ตัวอย่างชาญฉลาด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้าไม่คิดจากพี่ชิงไปแม้แต่น้อย แต่เจ้าหัวขโมยสวี่ทั้งชั่วช้าสามานย์ ใจคอคับแคบ เขาต้องเห็นเจ้า แล้วเด็ดทำลายดอกไม้แสนงามเป็นแน่ และข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจเท่าไร จึงส่งกระแสจิตหาหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น
“ประสกหลี่หลิงซู่ดูเหมือนจะมีอคติฝังลึกกับใต้เท้าสวี่”
ยังไม่ลึกเท่าไหร่หรอกกระมัง เทียบกับการถูกหลอกลวงอย่างน่าอนาถ แต่นี่คงเป็นเพียงการไม่พอใจส่วนตัวเท่านั้น อย่างไรงานนี้ก็ยังต้องทำอย่างแข็งขัน…ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มมุมปาก
ไม่ใช่อคติฝังลึก หากแต่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันเรื่องผู้หญิงระหว่างคนหื่นกามกับปัญญาชน…หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ต้องห่วง แม่นางตงฟางวางใจเถอะ ชายสกุลสวี่ขี้คร้านเกินกว่าจะใส่ใจเจ้า ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำเรื่องไร้มนุษยธรรม ไม่มีความแค้นกับเขา เจ้าก็สามารถไปยังเขาเฉวี่ยนหรงได้”
‘หลี่เมี่ยวเจิน ยายหญิงอัปยศของนิกายสวรรค์ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังบีบคั้นให้ข้าไปตายหรอกนะ…’ หลี่หลิงซู่เดือดปุด ครั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสอดประสานสายตากัน จึงเกิดประกายไฟที่มองไม่เห็นชนกันเข้า
ฉู่หยวนเจิ่นกระทืบกระบี่บิน ไปแยกการถกเถียงกันระหว่างหงส์อ่อนมังกรหลับแห่งนิกายสวรรค์ เอ่ยว่า
“กลับเขาเฉวี่ยนหรงกันเถอะ”
…
กระบี่สยบดินแดนอยู่ในมือสวี่ชีอัน เขาเพิ่งต่อกรกับสำนักพุทธ สำนักพ่อมดและพวกกบฏเมืองเฉียนหลง เพื่อคุ้มครองปราณมังกรและเขาเฉวี่ยนหรง...
ภายในห้องพระบังคน[1] ฮว๋ายชิ่งจ้องมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือ ตกตะลึงเล็กน้อย
การอัญเชิญร่างธรรมของจักรพรรดิเกาจู่หมายถึงอะไร?
ร่างธรรมของพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธล้วนอยู่บนโลกหรือ?
เกิดอะไรขึ้นกับเขาเฉวี่ยนหรงกันแน่?
ความสงสัยก่อตัวขึ้นภายในใจ องค์หญิงใหญ่ผู้สงบนิ่ง อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการต่อสู้บนเขาเฉวี่ยนหรงที่อยู่ห่างออกไปในขณะนี้
เหมือนตอนหนังสือการบัญชีมาอยู่ตรงหน้า ทำให้นางฝักใฝ่อยากอ่านมัน
ฮว๋ายชิ่งรีบสงบสติอารมณ์ เดินออกจากห้องพระบังคนโดยไร้การแสดงออกใดๆ กลับไปยังโถงรับรองด้านข้าง
ขณะนี้ สมาชิกราชวงศ์ภายในห้องทรงอักษรยังคงดำเนินการประชุมอย่างต่อเนื่อง
บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงกำลังจิบน้ำชา อร่อยกับเค้ก ก้มหน้าก้มตาพูดคุยกัน รอการประชุมจบลง
หลังจากเข้ามานั่งแล้ว ฮว๋ายชิ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ พลางเบนหน้าชำเลืองมองสีหน้าเคร่งขรึมของหลินอัน กระซิบว่า
“พวกขุนนางในรู้สาเหตุที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอแผ่นดินไหวแล้ว”
ดวงตาหลินอันแวววาว มองไปทางหน้าอย่างสงสัย
“เจ้ารู้?”
ฮว๋ายชิ่งหันกลับมา เบนสายตามองทางอื่น กดเสียงขรึม
“กระบี่สยบดินแดนอยู่ในมือสวี่ชีอัน เขาต้องสู้กับสำนักพุทธ สำนักพ่อมดและเมืองเฉียนหลงที่เหลืออยู่”
กระบี่สยบดินแดนอยู่กับหมารับใช้คนนั้น…หลินอันหายใจกระชั้นถี่ พูดโพล่งขึ้นมา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะบาดเจ็บหรือไม่?”
ฮว๋ายชิ่งตอบกลับเสียงเรียบ “เขาเจ็บแน่ถ้าแพ้”
คำพูดแสนคลุมเครือ ทำให้หัวใจหลินอันที่เพิ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา ล้มลงอย่างฉับพลัน
สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ความกังวลใจและว้าวุ่นใจทั้งหมดพลันมลายสิ้น
นางไม่รู้รายละเอียดด้วยซ้ำ โดยไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเบื้องหลัง แต่ตราบใดที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเขา มีเขาประคับประคองอยู่ ในใจของหลินอันก็สงบเงียบและเบาใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินอันค่อยๆ ปรับลมหายใจเข้าและออก ระบายความอัดอั้นในใจ
“ข้าต้องไปบอกเสด็จพี่จักรพรรดิ”
คิ้วเรียวเล็กของหลินอันคลายตัวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ฮว๋ายชิ่งเหลือบมองนาง “เจ้ามีช่องทางพิเศษสื่อสารกับสวี่ชีอัน เกี่ยวกับข้าที่ไหนกันเล่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอก!”
หลินอันตบไหล่นาง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ
ฮว๋ายชิ่งถอนหายใจ หากเปลี่ยนเป็นน้องสาวนางอื่น นางคงไม่มีทางพูดเช่นนี้
นางเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนหลินอัน เริ่มจากการประเมินสถานการณ์โดยรวมของต้าฟ่งในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นราษฎรหรือข้าราชการพลเรือน ความมั่นคงย่อมเป็นสิ่งแรกที่ควรนึกถึง
ประการที่สอง พลเรือนในพระราชวังจำนวนมากรู้เรื่องนี้ดี จึงยากที่จะปกปิด และนำมาสู่เหตุผลที่ทุกฝ่ายต่างต่อต้านการรับบริจาค
จักรพรรดิหย่งซิ่งเป็นผู้ปกครองประเทศชาติ ชื่อเสียงมากมายที่สั่งสมมา ถูกฆ้องสวี่เงินย่ำยีจนป่นปี้
หลินอันสะบัดกระโปรงลุกขึ้น ออกจากโถงด้านข้าง ตรงไปยังห้องทรงอักษร
“องค์หญิง พระองค์เข้าเฝ้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่เฝ้าประตูขัดขวางทันที เอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น
“ฝ่าบาทและบรรดาท่านอ๋องกำลังหารือกันอยู่ ท่านอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจ”
หลินอันชี้นิ้วไปทางประตูทางเข้าห้องทรงอักษร ตรัสด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“รีบไปรายงาน”
ตอนนี้นางโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยับยั้งช่างใจได้หลายสิ่ง เปลี่ยนไปจากเดิม โดยไม่สนใจความรู้สึกของขันทีเลย
ขันทีลังเลครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งโหย่งๆ ไปทางห้องทรงอักษร
สายตาหลินอันลากตามเขา เห็นจ้าวเสวียนเจิ้น ขุนนางฝ่ายเสด็จพี่จักรพรรดิชะโงกหน้าออกมา มองนางหลายครั้งพร้อมรอยยิ้มประจบสอพลอ ก่อนถอยกลับเข้าไป
จ้าวเสวียนเจิ้นวิ่งออกมาด้วยตนเอง ค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม
“องค์หญิง ฝ่าบาทรับสั่งให้พระองค์เข้าไป”
หลินอันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นางรู้ว่าเสด็จพี่จักรพรรดิจะยอมให้ตนเข้าไปแน่นอน
เมื่อต้องการความช่วยเหลือจากนาง จักรพรรดิหย่งซิ่งแทบไม่เคยปฏิเสธ
หลินอันเดินตามจ้าวเสวียนเจิ้นข้ามธรณีประตู เข้าสู่ห้องทรงอักษร ทั้งสองฝั่งของพรมแดง มีบรรดาเสด็จอาและพี่น้องยืนอยู่ กำลังมองหลินอันที่เดินเข้ามา สีหน้าไม่ค่อยมีความสุขนัก
ลี่หวางเอ่ยเสียงเย็น
“ผู้อาวุโสกำลังหารือ เจ้าเข้ามาทำอะไร เสียมารยาท”
เขาตำหนิทั้งหลินอัน และไม่พอใจที่จักรพรรดิหย่งซิ่งคอยให้ท้ายน้องสาว
จักรพรรดิหย่งซิ่งสูดลมหายใจ ตรัสอย่างอดกลั้นว่า
“หลินอัน เรากับเหล่าเสด็จอากำลังหารือกัน เรื่องของเจ้า ไว้ค่อยคุยกันภายหลัง”
หนึ่งในชินอ๋องโบกมือ พร้อมสั่งจ้าวเสวียนเจิ้นว่า “ส่งองค์หญิงหลินอันกลับไปเสีย”
จ้าวเสวียนเจิ้นมองไปทางพระราชวัง แม้จะผ่านมาสองราชวงศ์ นางก็ยังคงเป็นองค์หญิงผู้เป็นที่รักที่สุด
หลินอันไม่สนใจผู้อื่น ตรัสถามว่า
“เสด็จพี่จักรพรรดิทรงรู้สาเหตุที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอแผ่นดินไหวหรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิหย่งซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม กวาดตามองลี่หวางและคนอื่นๆ ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นเยียบ
“เป็นเราที่ประพฤติชั่ว สร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางหลายร้อยคน บรรพชนจึงประณาม”
“เราตกปากรับคำเสด็จอาทุกคนแล้วว่า จะออกกฤษฎีกาสำนึกโทษในทันที และรำลึกความผิดในพระตำหนักสามวัน เพื่อสยบความโกรธแค้นของบรรพบุรุษ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพี่จักรพรรดิของข้า?”
หลินอันเลิกคิ้ว จ้องมองไปที่ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องทั้งสองฝ่าย
…………………………………………………
[1] ห้องพระบังคน เป็นคำราชาศัพท์ของห้องส้วม