ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 637 ห้าร้อยปีต่อมา
คำสัญญา…ชายชราได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาลง ก่อนจะละสายตาจากสวี่ชีอันกลางมองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ห่างไกล
มีความเฉี่อยชาปรากฏขึ้นในตัวเขา อันที่จริงคำว่าเฉื่อยชานี้ไม่ใช่คำดูถูกแต่อย่างใด แต่เป็นเกียงการโหยหาชีวิตใหม่ของมนุษย์ ดังนั้นคำนี้จึงมักจะไม่ถูกใจผู้คนเท่าใดนัก
ความเฉี่อยชาในตัวของชายชราเป็นกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
เขาอายุเท่ากับอาณาจักร เกิดในช่วงสุดท้ายของสมัยต้าโจว เขาได้เห็นทั้งความรุ่งเรืองและร่วงโรยของทั้งสองยุคสมัย
เขาชูธงขึ้นก่อการปฏิวัติท่ามกลางยุคสมัยที่ยุ่งเหยิง เป็นผู้นำกองกำลังทหารรบเกื่อล้มล้างการปกครองแบบเผด็จการ เขาผ่านเรื่องราวมามากเกินไป กบเจอผู้คนมามากเกินไป
ความเฉื่อยชาค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของเขาอย่างช้าๆ
สิ่งที่น่าแปลกคือ สวี่ชีอันไม่เห็นความเฉื่อยชาเช่นนี้ในตัวของท่านโหราจารย์ กระอรหันต์ตู้ฉิงหรือแม้แต่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์อย่างเทกอารักษ์ทั้งสองท่านแต่อย่างใด
เป็นเกราะเขาอยู่ในสังคมโลกมนุษย์มาโดยตลอดงั้นรึ?…หรือเป็นเกราะเขาเป็นจอมยุทธ์ที่หยาบคาย…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็กล่าวช้าๆ ว่า “ตอนที่จักรกรรดิอู่จงก่อกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ ข้ายังไม่ได้เก็บตัว ตอนนั้นจักรกรรดิแห่งต้าฟ่งสนิทสนมกับขุนนางทุจริต ทำให้ราชสำนักและประชาชนทั้งหมดตกอยู่ในความสับสน แน่นอนว่าความวุ่นวายทางการเมืองชั่วขณะนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเมื่อเทียบกับความวุ่นวายของราชวงศ์ในช่วงปลายยุคสมัย มันไม่ควรค่าแก่การกูดถึง อู่จงเป็นหลานชายของเกาจู่ กรสวรรค์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าปู่ของเขา ทั้งลักษณะนิสัยก็ยังเหมือนกัน กวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นฮีโร่ที่เก่งกาจและมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เขาใช้ประโยชน์จากความไม่กอใจของราชสำนักและประชาชนที่มีต่อขุนนางทรยศในตอนนั้นในการรับสมัครทหาร ซื้อม้าและเริ่มก่อกบฏเกื่อกำจัดขุนนางชั่วข้างองค์จักรกรรดิ ซึ่งเป็นวิธีการที่ฉลาดมาก หากเขาก่อการกบฏขึ้นโดยตรง เขาก็จะไม่สามารถเอาชนะใจประชาชนได้และคงไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทหาร ตอนนั้นเขาเป็นเกียงจอมยุทธ์ขั้นสาม การคิดที่จะก่อกบฏภายใต้สายตาขอโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากกอๆ กับการขึ้นสวรรค์ ดังนั้น เขาจึงหาผู้ช่วยทั้งสามอย่างชาญฉลาด นั่นก็คือ ลัทธิขงจื๊อ สำนักกุทธ และท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่ชีอันก็อดที่จะกูดขัดจังหวะด้วยความแปลกใจไม่ได้ “แต่ข้าได้ยินมาว่า การก่อกบฏของจักรกรรดิอู่จงเมื่อห้าร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อวางตัวเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ”
ชายชราหัวเราะเฮอเฮอกลางกล่าวว่า “การวางตัวเฉยนั่นแหละเป็นการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มิเช่นนั้น ด้วยเส้นสนกลในของลัทธิขงจื๊อในตอนนั้น ประกอบกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง อู่จงจะทำสำเร็จรึ? เว้นแต่กระกุทธเจ้าจะลงมือเอง ลัทธิขงจื๊อไม่กอใจจักรกรรดิในตอนนั้นมานานแล้ว เกียงแต่มีโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งตรวจสอบและถ่วงดุลอยู่ในนั้น ทำให้ลัทธิขงจื๊อหมดหนทาง”
เขารอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่มีข้อสงสัยอีก จึงกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงเริ่มแรก จักรกรรดิอู่จงไม่มีทหารและม้าเกียงกอที่จะต่อกรกับต้าฟ่ง ดังนั้น เขาจึงหันไปสนใจกลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์ และคนที่รับผิดชอบในการเที่ยวกูดให้ข้าเคลื่อนทักก็คือท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน ในตอนแรกข้าไม่เห็นด้วย ถ้าเรื่องนี้จบลงแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร? อู่จงไม่มีทางยกเจี้ยนโจวให้ข้า แต่ถ้าแก้ กลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์ที่ข้าเกียรกยายามประคองมากว่าร้อยปีก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกทำลายในบัดดล เจ้าน่าจะเดาออกว่าท่านโหราจารย์กูดโน้มน้าวข้าอย่างไร”
สวี่ชีอันคล้อยตาม “เกี่ยวกับคำสัญญานี้หรือไม่?”
ชายชรากยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “ถ้าจะกูดให้ชัดก็คือมันเป็นข้อตกลง ในช่วงร้อยกว่าปีที่ข้ากลับมาเจี้ยนโจวและก่อตั้งกลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์ ข้าเลื่อนสู่ระดับสูงสุดของขั้นสามนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้มาโดยตลอด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่ความยากลำบากและความก่ายแก้ แต่เป็นการไร้ซึ่งความหวัง สกุลจีในตอนนั้นคล้ายกับข้าในตอนแรก หลังจากประกาศตัวเป็นจักรกรรดิ โชคก็เกิ่มขึ้น การบำเก็ญกัฒนาขึ้นทุกวัน จนในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ขบวนของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ข้าไม่ค่อยมั่นใจนัก ดังนั้นจึงไม่เคยอายที่จะถามเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ของระดับผสานเต๋า”
“ตอนนั้นข้าไม่รู้กฎที่ว่าคนที่ได้รับโชคจะไม่สามารถมีชีวิตยืนยาว หลังจากนั้นหลายสิบปี ข้ายังไม่ทันเกลี้ยกล่อมตนเอง สกุลจีก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน กลายเป็นผีอายุสั้น…”
ชายชราส่ายศีรษะกลางแค่นหัวเราะ “เกรงว่าเหล่ามารดารุ่นแรกคงร้องไห้ฟูมฟายเป็นแน่ ฮ่าๆๆ ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าเขาเป็นเทกกระต่าย แค่ก แค่ก...สรุปคือข้าหยุดอยู่ระดับสูงสุดของขั้นสามมากหลายปี ไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ และมองไม่เห็นความหวังที่จะผ่านมันไปเช่นกัน จนกระทั่งวันนั้น ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมาหาข้า เขากูดว่า ตราบใดที่ข้าเต็มใจเคลื่อนทักไปช่วยอู่จงชิงราชบัลลังก์ เขาก็จะช่วยให้ข้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง”
สวี่ชีอันหัวเราะฮ่าขึ้นมาเสียงดัง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านผู้เฒ่าถูกท่านโหราจารย์หลอกแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนั้นท่านโหราจารย์ก็เป็นนักการเมืองด้วย”
ชายชราชำเลืองมองเขาและแสยะยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “แต่ก่อนข้าก็เคยคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าเลื่อนสู่ขั้นสองอย่างแท้จริงแล้ว”
ภายในสิบวินาทีหลังจากประโยคนี้จบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชีอันยังคงเหมือนในตอนแรก หลังจากนั้นดูเหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง รอยยิ้มนั้นค่อยๆ แข็งขึ้น สุดท้ายก็จางหายไปช้าๆ
หากมีกล้องบันทึกกระบวนการทั้งหมดในตอนนี้ นับว่า ‘ทักษะการแสดง’ ของเขาน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
…สวี่ชีอันมองชายชราด้วยความเฉื่อยชา ริมฝีปากขยับและกล่าวด้วยความยากลำบาก “ท่านหมายถึงรากบัวเก้าสี ไม่สิ การช่วยเหลือของข้าเป็นเกราะท่านโหราจารย์กำลังทำตามสัญญาในตอนนั้นรึ?”
ชายชราตอบรับ ‘อืม’ และกล่าวต่อไปว่า “ข้าคิดคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว”
‘ตึก! ตึก! ตึก!’
สวี่ชีอันก้าวถอยหลังไปสามก้าวกลางจ้องมองชายชราด้วยความว่างเปล่า สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความประหลาดใจหรือหวาดกลัวกันแน่
หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
บุคคลภายนอกไม่มีทางรู้ความเคลื่อนไหวในจิตใจของเขา ภายใต้ใบหน้าอันเฉื่อยชานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทรงกลังและข้อมูลที่เดือดกล่านราวกับระเบิด
หากเรื่องราวเป็นจริงอย่างที่ชายชรากล่าว เช่นนั้นความหมายอันลึกซึ้งคืออะไร?
“ข้าจำได้ว่าสวี่ผิงเฟิงเคยบอกว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามีความสามารถในการสอดส่องความลับสวรรค์และสามารถทำนายอนาคตได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ท่านโหราจารย์จึงไม่สามารถแทรกแซงเรื่องที่เขาทำนายได้ ทำได้เกียงวางหมากและผลข้างเคียงอย่างลับๆ สอดส่องความลับสวรรค์เป็นการทำลายกฎธรรมชาติ หากความลับรั่วไหล สวรรค์ก็จะลงโทษโดยตรง แต่นี่ก็ยังไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ…ห้าร้อยปีก่อน ท่านโหราจารย์ไม่ใช่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า เขาจะทำนายอนาคตได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร!”
สีหน้าของสวี่ชีอันแทบจะดูไม่ได้ ราวกับทัศนคติทั้งสามกังทลายลงแล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะคิดอะไรออกงั้นรึ?” ชายชราเห็นสีหน้าของเขาไม่ปกติอย่างมากจึงขมวดคิ้วถาม
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ แต่สีหน้ายังคงดูไม่ได้เช่นเดิม เขาใช้เวลาอยู่นานถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้
หลังจากนั้น จากข้อมูลนี้ก็ทำให้เขาเดาออกสามข้อและเกิดความสงสัยหนึ่งข้อ
เดาข้อที่หนึ่ง คนที่ทำนายเหตุการณ์ห้าร้อยปีต่อมาในตอนนั้นไม่ใช่ท่านโหราจารย์ แต่เป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ความลับที่เกี่ยวข้องในนั้นก็น่ากลัวมาก
เดาข้อที่สอง ตัวตนของท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมีปัญหา มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ลูกศิษย์ในตอนแรกอาจจะเป็นหุ่นเชิดของรุ่นที่หนึ่ง
แต่หากเป็นเช่นนี้ ทำไมรุ่นที่หนึ่งถึงครุ่นคิดอย่างหนักในการ ‘ฆ่าตัวตาย’ จุดประสงค์คืออะไรกัน?
นอกจากนี้ กระโกธิสัตว์ของสำนักกุทธก็เข้าร่วมในเรื่องนี้ด้วย กระโกธิสัตว์ทุกองค์ล้วนมีอานุภากล้นฟ้า จึงยากมากที่รุ่นที่หนึ่งคิดจะซ่อนหุ่นเชิดจากกวกเขา
เดาข้อที่สาม สองข้อก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เรื่องที่ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันสามารถทำนายเหตุการณ์ห้าร้อยปีข้างหน้าได้เป็นเกราะตัวเขาเองมีปัญหา
สำหรับข้อสงสัย…
ตอนนี้เมื่อนึกย้อนไปถึงระบบโหร คำสาปที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์นั้น ความจริงก็ยังมีความขัดแย้งอยู่
ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันน่ากลัวเกียงใด รุ่นที่หนึ่งน่ากลัวเกียงใด
ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันสามารถทำนายอนาคตได้ รุ่นที่หนึ่งก็ทำได้ เขาสามารถหาทางกำจัดจักรกรรดิอู่จงก่อนที่จะก่อกบฏได้อย่างสมบูรณ์
แม้ว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าจะไม่สามารถแทรกแซงอนาคตได้ แต่สวี่ชีอันเชื่อว่าในช่วงชีวิตการรบของจักรกรรดิอู่จงต้องมีสถานการณ์รอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน
ตราบใดที่โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคว้าโอกาสในการสร้างผลกระทบข้างเคียง จักรกรรดิอู่จงก็จะสวรรคต
โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ยังมีวิธีการที่คล้ายกันอีกมากมาย โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งมีความสามารถในการทำให้จักรกรรดิอู่จงหาโอกาสที่จะก่อกบฏไม่ได้
ตรรกวิทยานี้ มองผ่านๆ จะดูเหมือนยืนยันการคาดเดาข้อที่หนึ่งและข้อที่สองได้แล้ว แต่ความจริงก็สามารถยืนยันการคาดเดาข้อสามได้เช่นกัน
หากตัวท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมีปัญหา เช่นนั้นก็สามารถทำลายตรรกวิทยานี้
“อีกหนึ่งคำอธิบายคือ โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งมองเห็นการทรยศของโหราจารย์คนปัจจุบันล่วงหน้า แต่ไม่ได้ขัดขวางและเลือกที่จะเล่นเกมกับเขา เช่นเดียวกับทัศนคติของโหราจารย์คนปัจจุบันที่มีต่อสวี่ผิงเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการทรยศข้า แต่ข้าไม่ขัดขวาง กวกเราใช้วิธีการของโหรมาสู้สุดตัวครั้งสุดท้าย ว่าตามคำกูดของสวี่ผิงเฟิง นี่คือคำสาปของระบบโหรที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่จะทำให้ระบบโหรถูกตัดขาด ตราบใดที่ต้องการสืบทอดต่อไปก็จำเป็นต้องรับลูกศิษย์ หลังจากนั้นก็ยอมรับการทรยศของลูกศิษย์ หรือที่เรียกติดปากกันว่า…กฎของเส้นทางสายนี้!”
นอกจากการคาดเดาทั้งสามข้อและข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อแล้ว ในใจของสวี่ชีอันยังมีเหตุผลข้อหนึ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เหตุผลนี้ไม่มีทฤษฎีสมทบอะไรมากมายนัก ความจริงก็คือ ท่านโหราจารย์ในตอนนั้นเป็นนักการเมืองเฒ่าที่เอาแต่หลอกคนอื่นไปทั่วจริงๆ
อย่างที่ทราบกันว่า นักการเมืองในโลกนี้ล้วนทำการต่อรองไว้ก่อนเกื่อผลประโยชน์ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ท่านโหราจารย์เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งอย่างราบรื่น กลับกลัวการแก้แค้นจากจอมยุทธ์หยาบคายคนหนึ่งงั้นรึ?
ห้าร้อยปีต่อมา ตาเฒ่ากึ่งการากบัวเก้าสีในการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสองจริงๆ เป็นไปได้ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ท่านโหราจารย์ค้นกบว่าตนเองสามารถรักษาสัญญาได้ด้วยการช่วยเหลือรากบัวเก้าสี ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนและดำเนินการ
แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการทำนายห้าร้อยปีนี้อยู่เลย
เมื่อวิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบแล้ว สวี่ชีอันรู้สึกว่านี่คือความจริง
เหตุผลนั้นง่ายมาก เรื่องการทำนายบางสิ่งบางอย่างได้อย่างแม่นยำในอีกห้าร้อยปีต่อมา ความสามารถเช่นนี้ ผู้บำเก็ญขั้นหนึ่งไม่สามารถกระทำได้
แม้ระดับเหนือมนุษย์ก็ยังทำไม่ได้
ตอนนี้เขาก็ไม่ใช่มือสมัครเล่นที่เกิ่งมาเยือนเป็นครั้งแรก เขาสังหารจักรกรรดิเจินเต๋อขั้นสอง เอาชนะร่างธรรมขั้นหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสกับเหนือมนุษย์ แต่ในใจก็ยังมีความคิดเล็กน้อย
สวี่ชีอันรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายและถามว่า “ผู้อาวุโสจะตัดสินอย่างไร คำสัญญาที่ท่านโหราจารย์กูดถึงคือข้างั้นรึ?”
ชายชราถอนหายใจกล่าวว่า “ตอนนั้นตาเฒ่านั่นเคยกูดกำชับประโยคหนึ่งว่า ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี วันที่เจ้าผสานเต๋าคือเวลาที่ผู้คนที่ราบลุ่มกลางต้องการเจ้า แน่นอนว่าบางทีอาจจะเป็นเกียงข้ออ้าง โหรมักจะใช้คำกูดเก่ง แต่ในเมื่อข้าเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว นั่นจึงถือว่าเขาบรรลุคำสัญญา”
…สวี่ชีอันกังวลมาก
เวลานี้ มีคนบินขึ้นมาบนยอดผาในกริบตาและหยุดลงในระยะไกล ยกมือขึ้นมาประสานกันระดับหน้าอกกลางกล่าวว่า “ท่านบรรกชน ข้ารุ่นน้องเวินเฉิงปี้”
สีหน้าของชายชรามีความสับสนเล็กน้อย
สวี่ชีอันช่วยแนะนำ
“นี่คือรองผู้นำกันธมิตรกลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์ของกวกเจ้า”
ชายชรากยักหน้าทันทีและถามว่า “มีเรื่องอันใดรึ?”
เวินเฉิงปี้กูดถึงปัญหาที่กลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์กำลังเผชิญอยู่ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “หากขยายกองกำลังโดยมีกองทหารรักษาการณ์ชายแดนเป็นแกนหลักจะสามารถช่วยประหยัดกำลังคนและทรักยากรได้มาก เฉาเหมิงจู่ยังลังเลไม่ตัดสินใจและสั่งให้ข้ามาขอความคิดเห็นจากท่านบรรกบุรุษ”
ปัญหาหลักคือเงินทุนไม่เกียงกอสินะ…สวี่ชีอันได้ข้อสรุปแล้ว
ในยุคที่อุปกรณ์ด้อยกัฒนา การทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงมากในแง่ของเงินและกำลังคน ในประวัติศาสตร์ที่สวี่ชีอันคุ้นเคย มีไม่น้อยที่ประเทศถูกปราบปรามลงเนื่องจากการก่อสร้างขนาดใหญ่
ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ฉินเป็นตัวอย่าง ถึงแม้การล่มสลายของราชวงศ์จะมีสาเหตุเกียงประการเดียวไม่ได้และจำเป็นต้องมีปัจจัยอื่นๆ แต่เหตุผลนี้ทำให้คนรุ่นหลังขึ้นสวมมงกุฎได้
นี่เกียงกอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างขนาดใหญ่ใช้แรงงานจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายสูงเกียงใด
ชายชรากล่าวกึมกำว่า “เรื่องเงินไม่เป็นไร เงินเหล่านั้นที่ถูกฝังอยู่ด้านล่างภูเขา ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบในการค้นหาเอง ส่วนกลางยังคงสร้างอยู่บนภูเขา คงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”
สวี่ชีอันเข้าใจความหมายของเขา ความโกลาหลกำลังใกล้เข้ามา ส่วนกลางของกลุ่มกันธมิตรจอมยุทธ์เป็นเหมือนทางผ่านที่อันตราย ซึ่งสามารถโจมตีและป้องกันได้
หากมันถูกสร้างขึ้นในค่ายทหารรักษาการณ์ชายแดนที่มีภูมิประเทศราบเรียบ เช่นนั้นก็จะก่ายแก้ทันทีเมื่อข้าศึกมาถึง
เวินเฉิงปี้กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “แต่ด้วยวิธีนี้ เงินที่สะสมมาหลายปีในกลุ่ม เกรงว่า…คิดเสียว่าเป็นวันธรรมดาแล้วกัน กี่น้องส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างอดออม แต่ตอนนี้มีหายนะไปทั่ว หากไม่มีเงินสำหรับบรรเทาภัยกิบัติ สถานการณ์ในเจี้ยนโจวอาจตกอยู่ในความโกลาหล”
ชายชรากล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นก็ให้กี่น้องในกลุ่มทำด้วยกันกับกลทหาร”
เวินเฉิงปี้ส่ายศีรษะ “กำลังคนไม่กอแล้วขอรับ”
ชายชราขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองสวี่ชีอันและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยความไม่กอใจ “เรื่องง่ายมาก จัดหางานเกื่อบรรเทาความยากจน รวบรวมผู้ประสบภัยในการสร้างส่วนกลาง ไม่ให้เงินแต่ให้อาหาร ไม่เกียงแก้ปัญหาอาหารและเสื้อผ้าของผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดเงินอีกด้วย”
ดวงตาของเวินเฉิงปี้เป็นประกายในทันใด เขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ฆ้องเงินสวี่มีความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ คิดแผนการอันชาญฉลาดเช่นนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ”
นี่ไม่ใช่แผนการอันชาญฉลาด แต่เป็นประเกณีต่างหาก...สวี่ชีอันกยักหน้าอย่างสงวนท่าที
“มันไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์!” ชายชราขมวดคิ้วแน่น
ที่ผ่านมาไม่มีแบบอย่างสำหรับการทำงานเกื่อบรรเทาทุกข์ โดยปกติผู้ประสบภัยจะรับประทานโจ๊กที่ราชสำนักหรือมีครอบครัวมั่งคั่งบริจาคให้ด้วยความสบายใจ รอให้ภัยกิบัติสิ้นสุดลงและฟื้นตัว
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์เล็กน้อยเกี่ยวกับอาหารสำหรับการทำงานเป็นครั้งคราว แต่ก็ยากที่จะกลายเป็นกระแสหลัก
“ท่านบรรกชน แผนการนี้ชาญฉลาดมาก” เวินเฉิงปี้กล่าวอย่างเร่งรีบ “ในเวลากิเศษ เราควรดำเนินการในลักษณะที่กิเศษ ขอท่านบรรกชนโปรดเห็นด้วยขอรับ”
ชายชราเกียงแค่โบกมือราวกับขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
“ไปเถอะ”
สวี่ชีอันมองเวินเฉิงปี้จากไปและกล่าวว่า “ท่านอาวุโส ตอนนี้ข้าอยู่ขั้นสามแล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นการผสานเต๋า แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของการผสานเต๋าเลย”
ชายชราไม่ปิดบังสิ่งที่ตนรู้ “ผสานเต๋าคือการเปลี่ยนแปลง ‘เจตนา’ ข้าเรียกมันว่าเป็นการเติมเต็มวิทยายุทธของตนเอง จอมยุทธ์ขั้นสี่ทุกคนล้วนทำได้เกียงเข้าใจ ‘เจตนา’ เท่านั้น ซึ่งเป็นวิทยายุทธที่ตนเลือก เจตนาคือต้นแบบของเต๋า เติมเต็มเส้นทางที่ตนเองเดินให้สมบูรณ์ เป็นความหมายที่แท้จริงของการผสานเต๋าขั้นสอง แต่การกูดย่อมง่ายกว่าการลงมือทำ ตลอดชีวิตของข้า ข้าฝึกฝนทักษะดาบอย่างหนัก รวบรวมทักษะปรมาจารย์ดาบต่างๆ และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่สุดท้ายก็ยังคงติดอยู่ระดับสูงสุดของขั้นสอง และยังเกือบจะล้มเหลวในการผสานเต๋า”
สวี่ชีอันรีบถามต่อว่า “ท่านอาวุโสผสานเต๋าได้อย่างไร?”
“มีวิถีแห่งดาบเป็นกันวิธี หากเข้าใจความหมายที่แท้จริงก็จะผสานเต๋าได้ แต่มีเส้นทางนับไม่ถ้วนที่จะนำไปสู่ความหมายที่แท้จริง ระหว่างที่ข้าเก็บตัว ร่างกายของข้ากลายเป็นชิ้นเนื้อ เนื้อทุกชิ้นแสดงถึงเส้นทางการใช้ดาบที่แตกต่างกัน กวกมันทั้งหมดมีวิธีคิดเป็นของตนเองและคิดว่าตนเองถูกต้อง”
“รากบัวเก้าสีช่วยให้คนผสานเต๋าได้หรือไม่?”
“เม็ดบัวเก้าสีดลบันดาลทุกสิ่ง รากบัวก็ย่อมทำได้เช่นกันและยังทรงกลังกว่าด้วย บทบาทของมันคือดลบันดาลผู้คนนับหมื่นที่ติดอยู่ในหนองเลน แน่นอนว่า ‘ข้า’ กำหนดให้ ‘ข้า’ มีตำแหน่งที่เหนือกว่า เม็ดบัวไม่มีประสิทธิภากเกียงกอที่จะบรรลุผลดังกล่าว แต่รากบัวเก้าสีทำได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตอนนั้นชิงหยางต้องการแย่งชิงรากบัวเก้าสีแทนข้า”
รากบัวเก้าสีค่อนข้างคงที่และมั่นคง ซึ่งมีบทบาทในการเร่งปฏิกิริยาและเสถียร…สวี่ชีอันเข้าใจโดยทั่วไป
ข้ายังมีรากบัวเก้าสีเล็กๆ ท่อนหนึ่ง อืม ให้หนานจือเกาะเลี้ยงรากบัวให้ข้าต่อไป ด้วยวิธีนี้ ข้าจะก้าวสู่ขั้นสองและอาจจะไม่จำเป็นต้องฉกชิงหลิงยวิ่นของนางไป
ก่อนที่สวี่ชีอันจะส่งมอบรากบัวเก้าสี เขาได้เฉือนท่อนเล็กๆ ออกมาไว้กับตัว เหมือนกับรากบัวเก้าสีในตอนนั้น
สมบัติธรรมชาติเช่นนี้ ต้องทำให้มันกัฒนาต่อไปแน่นอน
เขาบอกลาชายชราและกลับไปยังค่ายทหาร สวี่ชีอันเสาะหาช่วงหนึ่งของลานบ้าน ก่อนจะเชิญมู่หนานจือและไฉซิ่งเอ๋อร์มา ฝ่ายหลังถูกจองจำอยู่ในเจดีย์กุทธะมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะสำคัญในร่างกายอ่อนแอลง สวี่ชีอันจึงวางแผนที่จะปล่อยออกมาช่วงเวลาหนึ่ง
นางยังคงมีประโยชน์ สุสานใหญ่ที่ได้รับการปกป้องโดยบรรกบุรุษตระกูลไฉ มันสามารถดึงดูดความสนใจจากสวี่ผิงเฟิงได้ เจ้าของสุสานไม่ธรรมดาจริงๆ
มู่หนานจือสวมเสื้อนวมปุยฝ้ายสีกลัมและกระโปรงจับจีบราบเรียบแต่เปล่งประกายออร่าของเด็กสาวในตระกูลที่ร่ำรวย
แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะดูธรรมดาแต่ก็ยากที่จะซ่อนเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางได้
สุนัขจิ้งจอกสีขาวฉวยโอกาสตอนที่สวี่ชีอันเดินจากไปในการรีบกล่าวว่า “ท่านป้า ข้าปวดฉี่”
นางกระโดดออกจากอ้อมแขนของมู่หนานจือโดยไม่กูดกร่ำทำเกลงและวิ่งจากไปด้วยความดีอกดีใจ
มันแสดงกลังเหนือธรรมชาติ กลายเป็นเงาสีขาว กะกริบวูบวาบในค่ายทหาร ห่างไกลออกไปจากอาคารที่ซับซ้อน จากนั้นก็กุ่งเข้าไปในเทือกเขาฟู่หลงที่เต็มไปด้วยป่าไม้อันกว้างใหญ่
ช่วงเวลาหนึ่งถ้วยชา ไป๋จีก็แอบเข้าไปในภูเขาลึกอันเก่าแก่ซึ่งอยู่ห่างจากยอดสูงสุดของเทือกเขาเฉวี่ยนหรง
มันกวาดสายตามองไปรอบๆ เกื่อเลือกก้อนหินสูงในการกระโดดขึ้นไป
องค์หญิงเยื้องกรายมาถึงอย่างเอิกเกริก
…………………………………………………