ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 638 หลี่หลิงซู่ในถิ่นอสุรา (1)
ไป๋จีขดตัวอยู่บนหินในท่านอนหลับ ไม่กี่วินาทีต่อมา จิตใจที่น่ากลัวและเผด็จการก็ตื่นขึ้นในร่างของนาง
ชั่วขณะนี้ สิงสาราสัตว์และนกในป่าก็เงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพรียงกัน บ้างก็หมอบลงบนพื้น บ้างก็กางปีกออกมาคลุมศีรษะของตนเอง
แรงกดขี่ของสิ่งมีชีวิตระดับสูงกว่าทำให้สิ่งที่มีชีวิตทั้งมวลที่อยู่ใกล้เคียงตัวสั่นงันงกราวกับวันโลกาวินาศกำลังใกล้เข้ามา
ที่ยอดสูงสุดของเทือกเขาเฉวี่ยนหรงที่ทรุดตัวลงครึ่งหนึ่ง ตาเฒ่าโค่วหยางโจวมีความรู้สึกบางอย่าง เขาขมวดคิ้วและหันไปมองในระยะไกล
ไอปีศาจแข็งแกร่งมาก สุนัขจิ้งจอกขาวที่อยู่ข้างสวี่หนิงเยี่ยนตัวนั้น…เขาจ้องมองอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับและไม่สนใจอีก
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากจิตใจที่เผด็จการมาถึง ไป๋จีก็ลืมตาขึ้น ดวงตาข้างหนึ่งของมันประกายแสงแวววาว ดวงตาอีกข้างสีดำแป๋วไร้เดียงสา
“องค์หญิง!”
ไป๋จีตะโกนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จากนั้นมันก็เปิดปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิงวัยสุกงอมที่มีเสน่ห์ดึงดูด
“คนสกุลสวี่ไม่อยู่ที่นี่ สาวน้อย เจ้ามีเรื่องอะไรจะรายงานรึ”
น้ำเสียงของไป๋จีสลับไปมาอย่างไร้รอยต่อ และเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง
“องค์หญิง ตอนนี้ข้าอยู่ที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในเจี้ยนโจว เพิ่งมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงปราณมังกรที่นี่ มันเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมด และยังมีโหรจากเมืองอวิ๋นโจวด้วย”
จิ้งจอกเก้าหางเงียบลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนการต่อสู้นี้จะรุนแรงมาก มิเช่นนั้น เจ้าคงไม่คิดที่จะตามหาข้า”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฆ้องเงินสวี่ชนะแล้ว ครั้งนี้สำนักพุทธได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
น้ำเสียงของจิ้งจอกเก้าหางเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “แล้วบทสรุปเป็นอย่างไร”
ไป๋จีกล่าวว่า “เทพอารักษ์ทั้งสองท่านอย่างตู้ฝานและตู้หนานถูกโค่นลงแล้ว”
หลังจากกล่าวจบแล้ว จิ้งจอกเก้าหางก็เงียบลงและไม่พูดอะไรอยู่นาน ไป๋จีจึงอดที่จะพูดไม่ได้
“องค์หญิง?”
จิ้งจอกเก้าหางถึงเริ่มกล่าวว่า “จงเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังโดยละเอียด”
ไป๋จีถ่ายทอดข้อมูลที่ได้ยินจากสวี่ชีอันให้องค์หญิงฟังอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่มันพูดค่อนข้างกระชับ เพราะสวี่ชีอันพูดสั้นและกระชับมาก เขาเพียงแค่บอกกระบวนการต่อสู้ทั่วไปเท่านั้น
“ข้าพอจะจินตนาการถึงความตื่นเต้นจนอกสั่นขวัญหายได้ เมื่อตู้หนานและตู้ฝานสิ้นชีพ พลังการต่อสู้ขั้นสูงของสำนักพุทธในตอนนี้ก็จะเหลือเพียงพระโพธิสัตว์สามองค์ ได้แก่ เจียหลัวซู่ กว่างเสียน และหลิวหลี ยังมีพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อีกองค์ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนสั้นๆ สำนักพุทธสูญเสียยอดฝีมือเหนือมนุษย์มากกว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมาเสียอีก สมแล้วที่เป็นบุคคลซึ่งแบกรับโชคชะตาครึ่งหนึ่งของประเทศ”
ไป๋จีฟังออกว่ามีความยินดีแฝงอยู่ในน้ำเสียงขององค์หญิง มันยกอุ้งเท้าขึ้นมาตบหินพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงเวลาที่จะตอบโต้ภูเขาสือว่านและยึดดินแดนอาณาจักรหมื่นปีศาจของพวกเราคืนมาแล้ว”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะพลางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงช่วงเวลาติดสัด ลมปราณแข็งแกร่งเช่นนี้ ลูกสุนัขจิ้งจอกแรกเกิดไม่กลัวเสือ แต่ที่เจ้าพูดก็ถูก โอกาสที่จะยึดภูเขาสือว่านคืนมาอยู่ไม่ไกลแล้ว”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง นางก็ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อและกล่าวด้วยความเศร้าสร้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านโหราจารย์จะเต็มใจรับการสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติเพื่อเขา ตอนนี้ข้ามีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับจุดประสงค์ของท่านโหราจารย์”
จากการตอบสนองของไป๋จี นางไม่เห็นสัญญาณว่าสวี่ชีอันจะถูกแรงสะท้อนกลับแต่อย่างใด
ไป๋จีเอียงศีรษะเล็กน้อย “การสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติ?”
“พลังแห่ง ‘พ่อมดผู้ประสาทพร’ ของสำนักพ่อมดสามารถอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษและวิญญาณที่พัวพันกับเหตุและผลของตนเองได้ โดยทั่วไปแล้ว สามารถอัญเชิญได้เพียงวิญญาณผู้กล้าในขอบเขตเดียวกันเท่านั้น ถ้าเป็นวิญญาณผู้กล้าระดับสูงก็จำเป็นต้องพึ่งพาพลังภายนอก ในสงครามที่เว่ยเยวียนโจมตีเมืองจิ้งซาน เขาอาศัยดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกในการอัญเชิญวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาจึงมีราคาที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับสิ่งนี้ ราคาที่ต้องจ่ายในที่นี้ไม่ใช่เพียงตัวเขาในฐานะพาหะ กายเนื้อก็จะถูกทำลายด้วยพลังที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติ เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ ไม่ว่าเว่ยเยวียนจะปิดผนึกพ่อมดสำเร็จหรือไม่ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน”
ไป๋จีตกตะลึงในฉับพลัน
“เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่…”
จิ้งจอกเกาหางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิเกาจู่ไม่ใช่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ผลการสะท้อนกลับไม่ได้หนักหนาอะไรเช่นนั้น ในฐานะโหราจารย์ที่เป็นโหรขั้นหนึ่งย่อมสามารถแบกรับได้ แต่หากเป็นขั้นสามอย่างสวี่ชีอัน…”
ต่อให้เขาจะโชคดีพอที่รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายอันหนักหนาจนเกินจะทนเช่นกัน
“เช่นนั้นตู้หนานที่แบกรับร่างธรรมระดับเพชรจะประสบผลการสะท้อนกลับของกฎธรรมชาติด้วยหรือไม่” ไป๋จีนึกถึงเทพอารักษ์ตู้หนาน
“สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษแล้วจะไม่ถูกสะท้อนกลับจากกฎธรรมชาติ เพียงแต่เขาในฐานะเทพอารักษ์ขั้นสามที่ต้องทนต่อการปลุกเสกของร่างธรรมขั้นหนึ่ง หลังจากจบเรื่องจึงมีราคาที่ต้องจ่ายที่ไม่อาจจินตนาการได้ จัดการศัตรูได้หนึ่งพัน ฝั่งตนสูญเสียไปแปดร้อยก็ช่างมัน นอกจากนี้ เหตุที่เขาสามารถแบกรับแก่นโลหิตของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ได้ เพราะเขาก็เป็นเทพอารักษ์เช่นกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทางแสดงร่างธรรมเทพอารักษ์ได้”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังจากพูดคุยธุระแล้ว มันก็ถามว่า “องค์หญิงพบเผ่าเดียวกันที่นอกอาณาจักรบ้างหรือไม่”
จิ้งจอกเก้าหางส่ายศีรษะ
“นอกอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล มหาสมุทรไร้ขอบเขต การค้นหาเผ่าเดียวกันก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ข้าได้พบกับทายาทปีศาจตัวหนึ่งและข้าก็ได้เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจจากมัน”
ไป๋จีถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “ทายาทปีศาจรึ?”
“เป็นบุคคลที่เคยปรากฏตัวที่เมืองไป๋ตี้ในอวิ๋นโจว เขาบอกความลับบางอย่างเกี่ยวกับยุคปีศาจให้ข้าฟัง และยังบอกเป็นนัยๆ ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดทายาทของปีศาจจึงหนีออกจากแผ่นดินจิ่วโจวในตอนแรก”
นางยิ้มตาหยีและกล่าวต่อไปโดยไม่รอให้ไป๋จีถาม “ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผยได้ ตอนนี้การบำเพ็ญของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะจ่ายราคาสำหรับการรู้คำตอบ เอาล่ะ พาข้าไปพบเขา”
…
เวินเฉิงปี้กลับไปที่ห้องประชุม เมื่อเข้าผลักประตูเข้าไป เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ก็หยุดพูดทันทีและหันมามองเขา
“ท่านบรรพบุรุษบอกว่าอย่างไร?”
เฉาชิงหยางจ้องใบหน้ารองผู้นำพันธมิตรครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนเจ้าจะพอใจกับคำตอบของท่านบรรพบุรุษมาก”
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นมุ่ยปากทันที เวินเฉิงปี้เป็นผู้เสนอให้สร้างอาคารส่วนกลางบนภูเขา ซึ่งการสร้างอาคารส่วนกลางบนพื้นราบปกติแตกต่างกับการสร้างบนภูเขาอย่างสิ้นเชิง
เวินเฉิงปี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านบรรพบุรุษบอกว่าความวุ่นวายกำลังจะมา อาคารส่วนกลางจะต้องสร้างบนภูเขาเพื่อครอบครองภูมิประเทศ”
เฉียวเวิงจากสมาคมการค้าเจี้ยนโจวขมวดคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านบรรพบุรุษมิใช่คนดูแลบ้าน ไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นมีราคาแพง ทุกท่านก็อย่าขออะไรที่มากเกินควร ต่อไปก็จงใช้ชีวิตอย่างประหยัดเถอะ”
หัวหน้าสำนักและผู้นำขั้นสี่ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ
ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจจะจ่าย เพียงแต่ฝ่ายชาวยุทธภพย่อมไม่สามารถเก็บภาษีได้เหมือนราชสำนัก พวกเขามีธุรกิจของตนเอง
แต่เนื่องจากทั้งภัยธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ธุรกิจของนิกายได้รับผลกระทบอย่างหนัก และธุรกิจก็ซบเซามาก แต่กลุ่มคนที่อาศัยพวกพ้องในการดำรงชีวิตควรได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือ ทั้งยังต้องร่วมมือกับราชสำนักในการจัดหาโจ๊กเพื่อบรรเทาสาธารณภัย ทำให้พวกเขาประสบปัญหากดดันทางการเงินอย่างหนัก
ตอนนี้ยังต้องรับภาระค่าก่อสร้างอาคารส่วนกลางขนาดใหญ่ แค่คิดก็รู้ว่าชีวิตลำบากยากแค้นเพียงใด
ในเวลาเช่นนี้ บรรทัดฐานคุณธรรมที่สูงเกินไปจึงกลายเป็นภาระแทน
หากเป็นนิกายชาวยุทธภพธรรมดาที่ห่วงใยชีวิตและความตายของประชาชน นั่นก็เป็นเรื่องที่ราชสำนักต้องกังวล
เมื่อเวินเฉิงปี้เห็นสีหน้าท้อแท้ของทุกคน มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการสร้างอาคารส่วนกลางคือกำลังคนและเงิน ตราบใดที่พวกเราแก้ปัญหาสองข้อนี้ได้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่รึ”
ฟู่จิงเหมินเหล่ตาพลางกล่าวด้วยความเย้ยหยัน “แต่พวกเราแก้ปัญหาเรื่องเงินไม่ได้ เจ้าเปลี่ยนได้รึ?”
ทุกคนมองไปที่รองผู้นำพันธมิตรด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เวินเฉิงปี้ไม่ได้ตื่นตระหนก แต่กล่าวอย่างฉะฉาน “พวกเราทุกฝ่ายทุกพรรคต่างก็ต้องการบริจาคเงินและเสบียงอาหาร อีกทั้งยังร่วมมือกับราชสำนักในการจัดหาโจ๊กเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเพียงแค่รวบรวมผู้ประสบภัยขึ้นมา ให้พวกเขาสร้างอาคารส่วนกลางสำหรับทุกคนโดยใช้แรงงานมาแลกกับการช่วยเหลือ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาด้านกำลังคนเท่านั้น พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินออก เรียกว่า การสงเคราะห์การทำงาน”
ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบชั่วขณะ หัวหน้าของแต่ละฝ่ายแต่ละพรรคทุกคนต่างก็ตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นเสียงการสนทนาก็ปะทุขึ้นในเสี้ยววินาที
“ดูเหมือนจะเข้าท่า เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินออกเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายเงินและเสบียงเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัยอยู่ดี”
“ใช่ ใช่ ใช่ มีผู้ประสบภัยมากมายถึงเพียงนั้น ไม่จ่ายจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้เงินเพิ่มเติม แค่อิ่มก็พอ”
“การสงเคราะห์การทำงาน...นี่คือความคิดของท่านบรรพชนรึ?”
อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก เพียงนิดเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง
เหตุที่พวกเขาคิดไม่ถึง ไม่ใช่เพราะโง่เขลา แต่เป็นเพราะการคิดถูกจำกัด ในยุคนี้ ราชสำนักต้องมีส่วนร่วมในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ประชาชนก็มีหน้าที่ในการทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน
สิ่งนี้เรียกว่าแรงงานเกณฑ์
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่จริงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เป็นประชาชนเองที่ควรรับผิดชอบ
ในเมื่อสามารถกินฟรีได้ ใครจะเป็นผู้ริเริ่มควักเงินกัน?
ไม่ใช่ว่าคิดแนวคิดในการสงเคราะห์การทำงานไม่ออก แต่มันไม่จำเป็นอย่างแน่นอน
สำหรับช่วงเวลาที่ประสบภัย ทำไมถึงไม่มีใครคิดวิธีที่คล้ายกันนี้ขึ้นมาได้ เพราะถูกจำกัดด้วยเวลาเช่นเดียวกัน
เหตุผลนั้นง่ายมาก ราชสำนักไม่ใช่จอมบ้าคลั่งโครงสร้างพื้นฐาน หลายสิบปีก็ใช่ว่าจะซ่อมแซมกำแพงเมืองหรือสร้างถนนได้
ในเมื่อไม่จำเป็น เช่นนั้นจึงไม่มีบริบทสำหรับการสงเคราะห์การทำงานอยู่
แต่ตอนนี้ แนวคิดนี้สามารถแก้ความลำบากยากแค้นที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผันภายในคราวเดียว
“สมแล้วที่เป็นท่านบรรพชน มีอายุยืนยาวก็เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบมากกว่าเรามาก”
“ท่านบรรพชนคือผู้ที่ผ่านความทุกข์ยากมาอย่างโชกโชน ท่านคือผู้ที่เฉลียวฉลาดมาก”
เฉียวเวิง หยางชุยเสวี่ย และคนอื่นๆ ไม่ตระหนี่กับคำชื่นชมแต่อย่างใด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข ปัญหาแสนยากเข็ญที่ทำให้ปวดหัวถูกท่านบรรพชนแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
เวินเฉิงปี้ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ พลางโบกมือปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง “นี่ไม่ใช่ความคิดของท่านบรรพชน…”
ทุกคนมองเขาด้วยความสงสัย “เจ้ารึ?”
เวินเฉิงปี้ยังคงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ข้า”
ดวงตาของเซียวเยว่หนูส่องแสงประกายขึ้นทันที
และก็ได้ยินเวินเฉิงปี้กล่าวตามที่คาด “เป็นความคิดของฆ้องเงินสวี่ เขากำลังคุยกับท่านบรรพชนอยู่พอดี ก็เลยให้แนวความคิดกับข้า จุ๊จุ๊ สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ ผู้ชำนาญด้านยุทธวิธีทางทหาร ผู้นำด้านบทกวี เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังมีความสามารถในการปกครองประเทศ”
ฆ้องเงินสวี่…ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกที่ว่า ‘ที่แท้ก็เป็นเขา เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องประหลาดใจเลย’
“ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็ไม่ต้องเปลืองสมองแล้ว สู้ถามฆ้องเงินสวี่โดยตรงเลยดีกว่า”
ฟู่จิงเหมินตบโต๊ะด้วยความเศร้า
มีบุคคลที่เป็นเหมือนเทพเจ้าอยู่เช่นนี้ พวกเขากลับมองข้ามและโต้เถียงกันอยู่ที่นี่อยู่นาน
หยางชุยเสวี่ยกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “เขามีความสามารถในการปกครองประเทศจริงๆ ฆ้องเงินสวี่เป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน สีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นครามเสียอีก”
บรรยากาศในห้องประชุมผ่อนคลายลงและมีความร่าเริงมากขึ้น
…
หรงหรงพร้อมด้วยสหายในหอหมื่นบุปผารับผิดชอบหน้าที่ในการต้มยา สั่งกำชับให้ทหารเก็บกวาดซากปรักหักพังเพื่อให้ค่ายทหารฟื้นความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว
“ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงดูไม่มีความสุขเลยเล่า?”
หรงหรงหันไปมองหญิงงามที่กำลังเก็บสมุนไพร
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ประสบหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้ ถึงจะทำให้รู้สึกเศร้าใจแต่ศัตรูก็ถูกขับไล่ไปได้สำเร็จ ฆ้องเงินสวี่มีผลงานโดดเด่น ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์โชคดีที่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์นี้กับตา ยกเว้นคนที่สูญเสียญาติและมิตรสหายแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงตื่นเต้นมาก
โดยเฉพาะลูกศิษย์ของกองกำลังเหล่านี้ที่มีจิตใจค่อนข้างผ่อนคลายมากขึ้น
สุดท้ายอาคารส่วนกลางก็ไม่ใช่ประตูใหญ่ของตนเอง
แต่หญิงงามกลับขมวดคิ้วตลอดเวลาตั้งแต่การต่อสู้จบลง เห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ข้าไม่เป็นอะไร อย่าพูดมากที่นี่ ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี”
หญิงงามขมวดคิ้วสั่งสอน
หรงหรงมุ่ยปาก พลางช่วยหยิบสมุนไพรและกล่าวพึมพำว่า “ข้ามองรอบๆ จนทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นฆ้องเงินสวี่ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่นี้แล้วกระมัง”
หญิงงามยิ่งขมวดคิ้วแน่นและชี้แนะด้วยใจจริงว่า “หรงหรง อย่าเพ้อฝันในสิ่งที่ไม่ควร มีผู้หญิงชื่นชอบสวี่ชีอันมากมายราวกับฝูงปลา แต่เจ้าไม่สามารถควบคุมผู้ชายเช่นนี้ได้ หากต้องเป็นทาสเป็นนางบำเรอ เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของหญิงงามก็ดูเศร้าสลดอย่างมาก
หรงหรงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าซีด “ท่านอาจารย์ ข้ามิได้เศร้า แล้วท่านเศร้าอะไร หรือว่า หรือว่า ท่านก็ชื่นชอบฆ้องเงินสวี่รึ? เขาเป็นลูกชายท่านได้เลยนะ”
หญิงงามโกรธจัด ในขณะที่กำลังจะพูด จู่ๆ ก็เห็นกระบี่แสงตวัดผ่านที่เหนือศีรษะ ร่างที่โดยสารอยู่บนดาบหลายร่างลงจอดที่ไหนสักแห่งในค่ายทหาร
หญิงงามมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยอารมณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง
…
ลานบ้านบางแห่งทางใต้ของค่ายทหาร
ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน และหลี่หลิงซู่กดกระบี่บินลงและลงจอดในลานบ้านอย่างแผ่วเบา
ในลานบ้าน มีหญิงนางหนึ่งกำลังนั่งซักผ้าอยู่บนที่นั่งเล็กๆ
นางชำเลืองมองพวกเขาอย่างสบายๆ ก่อนจะหันไปในบ้านและตะโกนว่า “สกุลสวี่ พวกหัวมังกุท้ายมังกรของเจ้ามาหาเจ้าแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้พูดอะไรกัน….ใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
พระมเหสี? ฉู่หยวนเจิ่นมองผู้หญิงธรรมดาคนนี้ซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของนาง
เขารู้ว่าพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือในตำนานนั้นติดตามสวี่ชีอันท่องไปในโลกกว้าง แต่ใบหน้าแสนธรรมดาที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาเชื่อมโยงถึงหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งได้ยาก
สวี่ชีอันที่กำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงก็ยิ้มขึ้นมาเหมือนแต่ก่อน
“จัดการเรียบร้อยแล้วรึ?”
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตงฟางหว่านชิงชั่วขณะ
หลี่หลิงซู่จึงไอกระแอมขึ้นมาและกล่าวว่า “พี่สวี่ พี่ชิงไม่มีเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับท่าน เพียงแต่แต่ละคนก็มีความเป็นตัวของตัวเอง…”
สวี่ชีอันโบกมือ “เห็นแก่ประโยชน์ที่เจ้าช่วยข้า ข้าจะไม่ทำให้นางลำบาก”
ตงฟางหว่านชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ศัตรูหลักของเขาคือสำนักพุทธและสวี่ผิงเฟิง ในการท่องโลกครั้งนี้ ถึงแม้พี่น้องตงฟางจะเป็นศัตรูด้วย แต่ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกันมากนัก
และเมื่อเทียบกับตงฟางหว่านหรงพี่สาวของนาง ความน่าสนใจของตงฟางหว่านชิงค่อนข้างต่ำมาก
สวี่ชีอันไม่ได้เกลียดอะไรนางมากนัก เหตุผลที่แท้จริงคือระดับที่ไม่สูงพอและความไม่โดดเด่นของนาง
หลี่หลิงซู่ยืนมือไขว้หลังและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชิง ข้าบอกแล้ว ท่านต้องเชื่อข้า ข้ายังเป็นคนถ่อมตัวอยู่เล็กน้อย”
สวี่ชีอันชำเลืองมองเขาและหันกลับมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ก่อนจะตะโกนเข้าไปในบ้านว่า “ไฉซิ่งเอ๋อร์ ออกมาหน่อย”
การแสดงออกของหลี่หลิงซู่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อทันที!
………………………………………………