ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 639 หลี่หลิงซู่ในถิ่นอสุรา (2)
ไฉซิ่งเอ๋อร์สวมชุดประโปรงผ้าธรรมดาๆ แต่กลับยากจะปกปิดความงามตามธรรมชาติของนางได้ นางมีใบหน้ารูปผลแตงที่สวยไม่หยอก
สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยตามแบบคนป่วยไข้ทำให้บุคลิกบอบบางของนางยิ่งดูน่าเอ็นดูมากขึ้น
นางเป็นสตรีประเภทที่ชวนให้บุรุษออกตัวปกป้องได้ แต่ในสายตาของหลี่หลิงซู่ ณ เวลานี้ นางเหมือนกับเป็นเส้นชนวนของปืนใหญ่เสียมากกว่า
หลี่หลิงซู่ยิ้มขืนๆ
“ซิ่งเอ๋อร์ออกมาได้อย่างไรกัน?”
สวี่ชีอันจงใจทำท่าทางทอดถอนใจออกมา
“พอรู้ว่าครั้งนี้จะต้องต่อสู้กับศัตรูแกร่ง ข้าก็เลยปล่อยไฉซิ่งเอ๋อร์ออกมาก่อน แต่ลืมบอกเจ้าไป ถึงแม้นางจะมีความผิดใหญ่หลวง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหญิงงามของเจ้า ดังนั้นข้าก็ย่อมต้องรับผิดชอบชีวิตของนางให้ดี”
“ข้าขอบใจท่านจริงๆ!” หลี่หลิงซู่ตอบกลับด้วยท่าทางขบเขี้ยว
ไฉซิ่งเอ๋อร์มองพินิจไปยังตงฟางหว่านชิง ตงฟางหว่านชิงก็มองดูไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่เช่นกัน
“คุณชายหลี่ นางเป็นใคร?”
พวกนางเอ่ยขึ้นเสียงเดียวกัน
คุณชายหลี่…ดีเลย ทีนี้ไม่ต้องถามกันแล้ว แค่คำเรียกก็บอกทุกอย่างหมดแล้ว
ไฉซิ่งเอ๋อร์และตงฟางหว่านชิงจ้องหน้ากัน ประกายไฟปะทุไปทั่วทุกด้าน
‘ฟู่ ฟู่…’ หลี่เมี่ยวเจินเกือบจะยื่นมือมาปิดปากไม่ให้ตัวเองหัวเราะอยู่รอมร่อ
นางคิดในใจ ‘หลี่หลิงซู่หนอหลี่หลิงซู่ ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้’
ตงฟางหว่านชิงเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดชัง
“คุณชายหลี่ นี่เป็นนางจิ้งจอกที่ท่านเลี้ยงไว้ที่ไหนอีกเล่า? มีแค่ข้ากับท่านพี่ยังไม่พอ ไปคบค้าสมาคมกับนางแพศยาจากสมาคมการค้าเหลยโจวก็ยังไม่พอ นี่ท่านมีผู้หญิงอยู่ข้างนอกอีกเท่าไหร่กัน”
‘เยอะเลยล่ะ ท่านเทพบุตร (ศิษย์พี่) มีสาวงามอยู่ทั่วทั้งภาคกลางเลย ไม่แน่นะ บางทีในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็อาจจะมีเหมือนกัน…’ หลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอันเกิดความเข้าใจตรงกันขึ้นมาในเวลานี้เอง
“นางจิ้งจอก?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกคิ้วแล้วหัวเราะเย็น “ใครเป็นนางจิ้งจอกตัวจริงก็ยังไม่แน่หรอก ตอนที่ข้ากับคุณชายหลี่เอ่ยคำสาบานต่อกัน แม่หนูอย่างเจ้ายังไม่หย่านมเลยกระมัง”
ตงฟางหว่านชิงก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทางเย็นชาหยิ่งยโส
“นางแพศยา ตอนนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ยิ้มเยาะ “เดิมทีข้าก็เป็นนักโทษที่ถูกขังอยู่แล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก”
หลี่หลิงซู่เจ็บปวดใจ เขาเอ่ยเสียงขรึมแทรกคำพูดของทั้งสอง
“ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าจะไม่เป็นอันใด พี่สวี่รับปากข้าแล้วว่าจะมอบปราณชีวิตหนึ่งสายให้เจ้า”
สวี่ชีอันเหลือบมองไฉซิ่งเอ๋อร์ ในใจกล่าวว่า สุดยอดแท้ รู้สึกเปลี่ยนข้อเสียให้เป็นข้อได้เปรียบ ทำให้ได้ความเห็นอกเห็นใจของหลี่หลิงซู่มา ศิลปะการชงเช่นนี้ ด้อยกว่าน้องสาวที่บ้านข้านิดเดียวเอง
ไฉซิ่งเอ๋อร์หลั่งน้ำตาเงียบๆ
“ข้ารู้มานานแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเจ้าชู้ประตูดิน แต่ข้าก็แค่ตัดใจจากท่านไม่ได้ และลืมท่านไม่ลง ตอนอยู่ที่เซียงโจว ท่านเคยเอ่ยคำสาบานว่าชีวิตนี้จะรักเพียงแต่ข้าคนเดียว”
“ซิ่งเอ๋อร์ ทุกคำที่ข้าเอ่ยนั้นเป็นความจริง…”
หลี่หลิงซู่ยังไม่ทันเอ่ยจบ ตงฟางหว่านชิงก็คิ้วตั้งขึ้นมา
“หลี่หลิงซู่! คำพูดเช่นนี้เจ้าเคยเอ่ยกับสตรีกี่คนแล้ว!?”
ทางด้านนี้กำลังปะทะคารมกันอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน เหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น และมู่หนานจือนั่งเรียงกัน ทั้งไม่ได้ซ้ำเติมและไม่ได้ประนีประนอมให้
ต่างพากันชมดูเทพบุตรแก้ปัญหาความรักอยู่เงียบๆ
ข้าต้องเรียนรู้สักหลายๆ วิธีการ ต่อไปจะได้เอาไปเกลี้ยกล่อมเหล่าปลาตัวน้อยได้…สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงทางจิตมาให้
“ศิษย์พี่ผู้นี้ของข้า ความสามารถไม่มี แต่วิธีการยั่วยวนสตรีมีมากนัก ตอนนั้นเป็นเพราะเขาทิ้งขว้างสองพี่น้องตงฟางจึงได้ถูกล่าสังหารนับพันลี้ แล้วถูกจับขังมาตั้งครึ่งปี”
ฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงทางจิตเอ่ยขึ้น
“คนเจ้าชู้ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะความรักเช่นนี้ล่ะ แต่เมื่อเทียบกับความลำบากที่หนิงเยี่ยนเจอในสำนักโหราจารย์แล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นแค่การทะเลาะกันเล็กน้อย”
จะดูเรื่องสนุกก็ดูไปสิ เจ้าจะมาพูดถึงข้าทำอะไร…สวี่ชีอันที่เดิมกำลังเป็นสุขในความทุกข์ของผู้อื่นพลันสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมา
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองมู่หนานจือ แล้วจงใจกระแอมไอออกมาสองคำก่อนเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่ของข้ากับนิสัยเจ้าคนแซ่สวี่นั้น ล้วนแต่เป็นพวกเจ้าชู้บ้าตัณหาเหมือนกัน พระชายา ท่านว่าถูกหรือไม่”
‘ที่แท้ก็เป็นพระชายา…’ ฉู่หยวนเจิ่นรับรู้อยู่ในใจ
“เกี่ยวอันใดกับข้า!”
มู่หนานจือขมวดคิ้ว “ข้ากับสวี่ชีอันเป็นแค่เพื่อนร่วมทางท่องยุทธภพเท่านั้น เขาจะเจ้าชู้หรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักนิด เจ้าเอ่ยลองใจเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเป็นคนรักของเขาด้วยหรือ?”
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินเปลี่ยนไป นางอุทาน ‘หา’ ยกใหญ่
“ความสัมพันธ์ของข้ากับสวี่ชีอันก็เป็นแค่สหายเต๋าเท่านั้น พระชายาอย่าได้กล่าวโดยไม่คำนึงถึงความจริงสิ”
สวี่ชีอันรีบขัดขวางการประชันของพวกนางแล้วเอ่ยว่า
“เมี่ยวเจิน พี่ฉู่ ไต้ซือเหิงหย่วน พวกท่านไม่สงสัยหรือว่าไฉซิ่งเอ๋อร์ผู้นี้คือใคร เรื่องนี้พูดแล้วยาว ข้าจะอธิบายคร่าวๆ ให้ฟัง…”
“ไม่สนใจ!”
“ไม่อยากรู้”
“ใต้เท้าสวี่ อาตมาก็ไม่อยากรู้เช่นกัน”
“…”
อีกด้านหนึ่ง หลี่หลิงซู่ปลอบโยนไฉซิ่งเอ๋อร์และตงฟางหว่านชิงได้อย่างยากเย็น ในที่สุดก็รู้สึกราวกับยกหินออกจากอก ความจริงแล้วเขามีวิธีประนีประนอมความขัดแย้งระหว่างคนงามในแบบที่ดีกว่านี้อยู่
แต่จนใจที่เจ้าพวกสุนัขจากพรรคฟ้าดินกลุ่มหนึ่งกำลังดูละครกันสนุกอยู่ข้างๆ ทำให้เขาลำบากใจจะใช้วิธีนั้น
“วิธีการเกลี้ยกล่อมสตรีของศิษย์พี่ของข้าร้ายกาจอย่างยิ่ง ผู้หญิงทุกคนต่างตำหนิด่าว่าเขา แต่ก็รักเขาแทบเป็นแทบตายกันทั้งนั้น”
เมื่อเห็นดังนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งเสียงทางจิตเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
สตรีของหลี่หลิงซู่ พลังการต่อสู้ช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว แบบนี้เขาเรียกว่าแค่ลดธงก็เงียบเสียงกลอง[1] อืม อาจเป็นเพราะมีข้าอยู่ข้างๆ พวกนางจึงไม่กล้าเร้าหรือสินะ…สวี่ชีอันคิดในใจ
เมื่อละครจบลง เขาก็ปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระ เช่นนั้นขอให้ทั้งสองเข้าไปหลบภัยอยู่ในเจดีย์ชั่วคราวก่อนเถิด”
เขาหยิบเจดีย์พุทธะออกมาแล้วนำไฉซิ่งเอ๋อร์กับตงฟางหว่านชิงเข้าไปไว้ในชั้นที่หนึ่ง
ฉู่หยวนเจิ่นหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วเอียงหน้ากระจก จากนั้นก็มีเงาคนหลายคนกลิ้งออกมา นั่นก็คือพวกหลิ่วหงเหมียนนั่นเอง
สวี่ชีอันกวาดตามอง “จิ้งซินล่ะ”
หลี่เมี่ยวเจินพองแก้ม “ปล่อยให้เขาหนีไปได้น่ะสิ ข้ารั้งเขาไม่อยู่”
สวี่ชีอัน ‘อ้อ’ เป็นการตอบรับ “ก็แค่ตัวละครตัวเล็กๆ ช่างมัน”
หลี่เมี่ยวเจินพอใจกับท่าทีของเขาเป็นอย่างยิ่ง จึงตบเข้าที่ถุงหนังใบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“วิญญาณของพวกเขา ข้าผนึกเอาไว้ในถุงแล้ว เจ้าจะจัดการอย่างไร”
ส่วนหลี่หลิงซู่ก็ถือโอกาสนี้มอบกระจกเทพฮุ่นเทียนคืนให้สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเก็บกระจกเทพฮุ่นเทียนไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางได้ยินเสียงครวญครางของกระจกดังขึ้นในหู
“สบายจัง สบายจริงๆ ปราณมังกรเข้มข้นกว่าเดิมเยอะเลย…”
“อย่าได้ล่อลวงข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางยอมกลับไปอยู่ข้างกายนายท่านหรอก...”
แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หลังได้รับปราณมังกรสองสายจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มังกรทองในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ยิ่งเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
สวี่ชีอันรับถุงหนังไปแล้วเปิดออก จิตเดิมอันทรงพลังทั้งสี่สายก็ลอยออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคน
ฉีฮวนตานเซียง ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียน และจิ้งหยวนทั้งสี่คนเริ่มฟื้นแล้วลืมตาขึ้นมา
‘ผ่าง!’
สวี่ชีอันยกเท้าขึ้นกระทืบ พลังปราณแผ่กระจายราวกับระลอกคลื่น ทั้งสี่คนราวกับถูกฟ้าผ่าและเหมือนกับถูกสะกดควบคุมเอาไว้ การตอบโต้รุนแรงที่อยากจะปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวก็ถูกสยบลงไปด้วย
“พวกเจ้าทั้งหลาย มาคุยกันหน่อยเถอะ”
สวี่ชีอันย้ายเก้าอี้มาพร้อมยิ้มหยี ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าพวกเขา
สีหน้าของฉีฮวนตานเซียงที่มีนิสัยสุดโต่งเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ไป๋หู่และจิ้งหยวนมีสีหน้าตึงเครียด
หลิ่วหงเหมียนกลับมีท่าทางน่าเวทนาสงสาร
“แน่นอนว่าพวกเจ้าจะไม่ยอมให้ความร่วมมือก็ได้ อย่างมากข้าก็แค่ลำบากนิดหน่อยโดยการสังหารพวกเจ้าเสีย จากนั้นค่อยเรียกวิญญาณมาถาม”
คำพูดของสวี่ชีอันราวกับมีดที่เสียดแทงใจของทั้งสี่คนและทำลายความคิดยอมตายไม่ยอมจำนนของพวกเขาทิ้งไป
หลิ่วหงเหมียนเอ่ยอย่างอ่อนแรง
“ข้าน้อยรู้อะไรก็จะบอกโดยไม่มีปกปิดแน่นอนเจ้าค่ะ ขอเพียงฆ้องเงินสวี่ไว้ชีวิตสตรีตัวเล็กๆ คนนี้ก็พอ”
หลี่หลิงซู่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเติมฟืนลงไป “หากเจ้ายอมเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้ฆ้องเงินสวี่ของเรา เขาก็อาจจะไว้ชีวิตให้ก็ได้”
ทำไมจะต้องทำร้ายกันด้วยเล่า…สวี่ชีอันแอบจำเอาไว้ในใจ ต่อไปจะต้องหาโอกาสเอาคืนเทพบุตรคนนี้ให้ได้
“จริงหรือ?”
หลิ่วหงเหมียนดวงตาสว่างวาบ
“ฆ่าทิ้งเถอะ” มู่หนานจือตัดสินโทษประหารให้นาง
“ข้าจะช่วยเจ้าจัดการนางเอง” จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินชอบช่วยเหลือผู้คน ทั้งยังกล้าหาญและใจเด็ด
สวี่ชีอันใช้สายตาหยุดยั้งเรื่องไร้สาระของพวกนางแล้วหันไปจ้องเขม็งพวกจิ้งหยวนที่เหลืออีกสามคน
“บอกข้ามา ทั้งเรื่องผัง ที่ตั้ง กองทัพ และข้อมูลต่างๆ ของเมืองเฉียนหลง ใช้ความจริงมาแลก จากนั้นข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
ไป๋หู่นิ่งคิดไป “คำพูดนี้คือความจริงหรือ?”
สวี่ชีอันยิ้มพร่า “คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”
ไป๋หู่พยักหน้าทันที “เช่นนั้นเจ้าถามมา”
ผู้ที่รู้สถานการณ์คือวีรบุรุษ การฝึกตนมาถึงขั้นสี่นั้นไม่ง่ายเลย การรักษาชีวิตไว้ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อจากนี้ก็สามารถกลับมาแก้แค้นสวี่ชีอันได้ ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีโอกาส
ฉีฮวนตานเซียงก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ในใจจึงหวั่นไหว แต่ก็ยังมีสีหน้าเย่อหยิ่งดังเดิม เขาให้ความร่วมมือโดยการแสดงเจตจำนงและฝังความคิดในใจไว้ใต้ก้นบึ้ง
การประนีประนอมเป็นกลยุทธ์ที่ดีเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ พวกเขาประสบความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสวี่ชีอันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่การแข่งขันระหว่างราชครูและเจ้าคนแซ่สวี่ยังไม่จบ
และสักวันหนึ่ง พวกเขาจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะสังหารญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าคนแซ่สวี่ทั้งหมด
“เมืองเฉียนหลงตั้งอยู่ในภูเขาลึกทางตอนใต้ของอวิ๋นโจว มีฐานที่มั่นบนภูเขากระจายอยู่เจ็ดสิบสองแห่งโดยมีเมืองเป็นจุดศูนย์กลาง ฐานที่มั่นบนภูเขานี้คือสถานที่ฝึกอบรมทหารและเป็นที่ประจำการของกองทัพ มีหน้าที่ปล้นสะดมผู้คนและคาราวานพ่อค้า จำนวนประชากรโดยละเอียดนั้นไม่รู้แน่ชัด แต่ในหนึ่งฐานที่มั่นบนภูเขา อย่างน้อยมีถึงร้อยคน อย่างมากมีถึงพันคน เมื่อคำนวณรวมกันแล้ว คงไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นคน”
ไป๋หู่พูดจบ ฉีฮวนตานเซียงก็เอ่ยเสริมต่อ
“ประชากรในเมืองเฉียนหลงมีสองแสนคน มีคนในชุดเกราะสองหมื่นคนที่ล้วนแต่ปล้นสะดมอยู่ในที่ต่างๆ ของอวิ๋นโจวเพื่อเติมจำนวนคน ในนั้นยังมีบุคคลจากยุทธภพมากมายที่หลบหนีมายังอวิ๋นโจวด้วย”
หลี่เมี่ยวเจินคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้
“ไม่ใช่สำนักพ่อมดที่สนับสนุนโจรภูเขา แต่เป็นเมืองเฉียนหลงของพวกเจ้างั้นหรือ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ผิดแล้ว สำนักพ่อมดก็มีการสนับสนุนโจรภูเขา ทั้งยังสั่งสมกำลังทหารในที่ลับด้วย เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่สวี่ผิงเฟิงช่วยข้าในตอนนั้น เพราะการขยายตัวของสำนักพ่อมดส่งผลถึงตัวเขา”
ส่วนที่ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้จึงเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของสำนักพ่อมด สวี่ชีอันเดาไว้ว่าสวี่ผิงเฟิงอาจจะกำลังใช้สำนักพ่อมดปิดหูปิดตาคนอื่นแล้วลอบกอบโกยผลประโยชน์ลับๆ
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ว “พอนับรวมทั้งหมดแล้ว กำลังทหารไม่ถึงแสนแต่กลับอยากจะก่อกบฏ ช่างเป็นเรื่องยาก”
กองทัพยอดเยี่ยมที่มีทหารเกือบหนึ่งแสน ว่าตามตรงแล้วก็น่ากลัวไม่น้อย
ในตอนนั้นเว่ยเยวียนก็ได้นำกองทหารที่มีจำนวนไม่มากสู้รบไปจนถึงเมืองจิ้งซานได้เลย
แต่ประชากรของต้าฟ่งมีมากนัก ทั้งรากฐานของอิทธิพลต่างๆ ก็ยังพัวพันกัน โครงสร้างเช่นนี้ซับซ้อนยิ่งกว่าสำนักพ่อมดนัก
ทหารกบฏเจ็ดแปดหมื่นคนนี้ ในสายตาของฉู่หยวนเจิ่นแล้ว การจะก่อกบฏได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
ไป๋หู่เอ่ยขึ้น
“นี่เป็นกองทัพสายตรงของเมืองเฉียนหลง แต่อย่าลืมว่าทั่วทั้งอวิ๋นโจวยังมีกองทัพอีกเกือบหกหมื่น หยางชวนหนาน ผู้บัญชาการเมืองอวิ๋นโจวคนนั้นก็คือคนของพวกเรา”
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินดังนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ตอนนั้นนางได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นในอวิ๋นโจวเพื่อปราบโจร หยางชวนหนานผู้เป็นผู้บัญชาการเมืองก็ยังอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือนางเป็นอย่างมาก
ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นสหายกันเพราะเหตุนี้
จนกระทั่งหลังจากเหตุการณ์ที่เมืองหลวง สวี่ชีอันก็ได้เปิดเผยข้อมูล นางจึงได้รู้เรื่องวงในของอวิ๋นโจว จึงรู้ว่าหยางชวนหนานผู้นั้นใช้ประโยชน์จากนางเพื่อกำจัดโจรภูเขาที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักพ่อมด
ทั้งไม่ต้องเปิดเผยตัวเอง และยังทำให้นางพุ่งเข้าสู่สนามรบเองราวกับปืนใหญ่
นางปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ มองว่าหยางชวนหนานเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินเช่นนางมีน้ำใสใจจริง แต่สุดท้ายก็เป็นการทุ่มเทที่ผิดพลาด
“สวี่ผิงเฟิงมีแผนการโดยละเอียดสำหรับเรื่องนี้หรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
พวกหลิ่วหงเหมียนทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วพากันส่ายหน้า
“ความคิดของท่านราชครู ไม่มีใครมองออกหรอก”
“นอกจากเมืองเฉียนหลงแล้ว ในภาคกลางจนถึงราชสำนัก เขายังมีสายลับอีกมากแค่ไหน” สวี่ชีอันถามอีก
ไป๋หู่กล่าว “เรื่องเหล่านี้เป็นความลับของตำหนักความลับสวรรค์ พวกเราไม่รู้”
และในตอนนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจนดึงดูดความสนใจของทุกคนไป
สวี่ชีอันผู้เป็นเจ้าของตะโกนตอบเสียงดัง
“เข้ามาได้”
ประตูถูผลักเข้ามา หญิงงามสองคนในชุดสีสันสดใสก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา พวกนางก็คือแม่นางหรงหรงที่ยังอยู่ในวัยสาวอันรุ่งโรจน์ กับสตรีออกเรือนที่ทรงเสน่ห์แบบผู้ใหญ่
ใบหน้าของหรงหรงนั้นราวกับดอกท้อ แม้อยากเอ่ยแต่ก็ลังเล เพราะท่าทางเปี่ยมอารมณ์รักของสาวน้อยนั้น ไม่ว่าใครก็มองออกชัดเจน
ในมือของนางมีสมุนไพรอยู่หนึ่งห่อ นางกล่าวว่า
“ฆ้องเงินสวี่ต่อสู้อย่างหนักและยากลำบาก ต้องเสี่ยงอันตรายก็เพื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของข้า หรงหรงไม่มีสิ่งใดจะขอบคุณ จึงขอมอบสมุนไพรรักษาเหล่านี้แทนความในใจให้เจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันรู้สึกว่าสายตาของแต่ละคนจากทั้งซ้ายและขวาล้วนพุ่งมาหาเขา เขาลุกขึ้นยืนทั้งหน้าไม่เปลี่ยนสี จากนั้นก็รับสมุนไพรมาแล้วเอ่ยยิ้มๆ
“ขอบคุณแม่นางหรงหรงมาก จากกันที่เมืองหลวง แม่นางหรงหรงสง่างามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”
แม่นางหรงหรงในใจเบ่งบานมีความสุข จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าเทพธิดาจากนิกายสวรรค์กับสตรีออกเรือนหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งกำลังจดจ้องมาที่ตนอย่างเย็นชา
คำพูดที่มีอยู่มากมายจึงถูกเก็บกลับไปทันที
นางเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นหลิ่วหงเหมียน จึงอุทานออกมา
“หลิ่วหงเหมียน เจ้า!”
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรและตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหงเหมียนชำเลืองมองสองศิษย์อาจารย์ แล้วก็ไม่ได้สนใจอีก
“พวกเจ้ารู้จักด้วยหรือ”
สายตาของสวี่ชีอันสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสาม
สตรีคนงามพยักหน้าให้แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“หลิ่วหงเหมียนคือศิษย์ของผู้ดูแลหอคนก่อน และเป็นศิษย์น้องของผู้ดูแลหอเซียว หลังจากนางพ่ายแพ้ในการแย่งชิงตำแหน่งผู้ดูแลหอกับผู้ดูแลหอเซียวแล้ว ก็ออกจากหอหมื่นบุปผาไป”
นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องทรยศหอหมื่นบุปผา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าอัปยศในบ้าน
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ มิน่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในค่ายทหารยงโจว พอเห็นหลิ่วหงเหมียน เขาถึงรู้สึกว่าหญิงงามเฉลาผู้นี้มีท่าทางคุ้นหูคุ้นตานัก
ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของหอหมื่นบุปผาแห่งเจี้ยนโจว
ตอนนี้เอง หรงหรงก็ถูกความงามที่เปล่งประกายของหลี่หลิงซู่ดึงดูดไปได้ นางอุทาน ‘เอ๋’ ออกมาแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เจ้าคือหลี่หลิงซู่?”
เทพบุตรที่ซ่อนตัวเองไว้ด้านหลังศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “จะ เจ้า…”
“เจ้าลืมข้าแล้วหรือ เมื่อสองปีก่อน เจ้าเคยมาเป็นแขกที่หอหมื่นบุปผา พวกเรายังร่ำสุราด้วยกันเลย ตอนนั้นท่านอาจารย์ก็อยู่ด้วย ใช่หรือไม่”
แม่นางหรงหรงยิ้มร่าพลางมองหน้าอาจารย์ จากนั้นก็เอ่ยต่อ
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าขี่กระบี่บินช่วยเหลือฆ้องเงินสวี่อยู่บนอากาศ ข้าก็รู้สึกคุ้นๆ อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
…หลี่หลิงซู่พลันตระหนักได้ “อ้อๆ ที่แท้ก็เจ้านั่นเอง แม่นางหรงหรง ไม่เจอกันหลายปี สบายดีใช่หรือไม่”
เขาไม่ได้เอ่ยทักทายสตรีคนงาม
สตรีคนงามคนนั้นมองจ้องหลี่หลิงซู่อย่างล้ำลึก จากนั้นก็ถอนสายตาออกแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ฆ้องเงินสวี่คล้ายจะมีเรื่องที่ต้องจัดการ เช่นนั้นไม่รบกวนแล้ว”
แล้วนางก็ลากหรงหรงที่ท่าทางไม่ยินยอมจากไป
จากนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยถามข้อมูลของเมืองเฉียนหลงต่ออีกเล็กน้อย เช่น สมาชิกในตระกูลจี กองกำลังติดอาวุธของเมืองเฉียนหลง เป็นต้น
สุดท้าย เขาก็ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยพูดว่า
“พวกเจ้าคุ้นเคยกับภรรยาของสวี่ผิงเฟิงหรือไม่”
หลิ่วหงเหมียนและฉีฮวนตานเซียงส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปมองไป๋หู่แล้วเอ่ยตอบว่า
“เขาคือผู้นำกลุ่มดาวเสือขาว เป็นกองกำลังสายตรงของท่านราชครู “
เมื่อเห็นสวี่ชีอันมองมา ไป๋หู่ก็รีบตอบ
“ข้าเพียงแต่เคยพบนายหญิงแค่สองครั้ง นางคือน้องสาวของเจ้าเมืองเฉียนหลง อยู่อย่างสันโดษมาโดยตลอดและไม่เคยออกจากที่พักเลย นางถูกกักบริเวณเอาไว้ และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองเฉียนหลง สมาชิกตระกูลจีในเมืองเฉียนหลงต่างก็รังเกียจนางอย่างยิ่ง และบอกว่านางคือคนบาปของตระกูล ตระกูลมอบความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งให้กับนาง แต่นางกลับไม่ไยดี และละทิ้งตระกูลก็เพื่อ…เพื่อบุตรที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง”
พวกฉู่หยวนเจิ่นรู้เรื่องภายในอยู่แล้ว ต่างก็นิ่งเงียบกันไป
มีเพียงหลี่หลิงซู่เท่านั้นที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของสวี่ชีอัน
ถูกกักบริเวณยี่สิบปี สูญเสียอิสระ…สวี่ชีอันนิ่งเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นเวลานาน
ฉีฮวนตานเซียงเห็นเขาไม่พูดอะไรอีกก็เอ่ยสะกิด
“พวกเราเล่าเรื่องที่รู้ให้เจ้าฟังหมดแล้ว ฆ้องเงินสวี่โปรดทำตามสัญญาด้วย”
สวี่ชีอันเหลือบมองเขาแล้วพยักหน้า
“ได้! เช่นนั้นข้าก็จะมอบอิสระให้เจ้า”
‘พลั่ก!’
เขาใช้ฝ่ามือตบศีรษะของฉีฮวนตานเซียงจนสองตาของปรมาจารย์ซินกู่ขาวโพลน ตบจนจิตเดิมของอีกฝ่ายแตกสลาย
แล้วสิ้นชีพคาที่
“เจ้า…”
สีหน้าของไป๋หู่เปลี่ยนไป เขาเค้นเสียงพูดคำว่า ‘เจ้า’ ออกมาได้คำเดียว นัยน์ตาก็ฉายภาพฝ่ามือของสวี่ชีอัน
ครู่ต่อมา เขาก็ถูกโจมตีกระทบจิตวิญญาณจนสิ้นลมคาที่เช่นกัน
“สัญญาของข้าไม่เคยมอบให้ศัตรู”
สวี่ชีอันดีดลูกกู่สองตัวออกมา ลูกกู่ที่มีลักษณะคล้ายหนอนสีดำเจาะเข้าไปในจมูกของศพทั้งสอง ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉีฮวนตานเซียงและไป๋หู่ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
แล้วยืนเคียงข้างกันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เขาได้หุ่นเชิดศพขั้นสี่มาสองตัวแล้ว
จากการเติบโตของยอดกู่ทั้งเจ็ดในตอนนี้ ซือกู่สามารถรักษาพลังการฝึกตนของผู้ฝึกตนขั้นสี่ได้เกือบเก้าส่วน
“นี่คือซือกู่?”
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นมีสีหน้าอิจฉา แบบนี้เท่ากับว่าเขาก็มีนักรบเดนตายขั้นสี่สองคนแล้วสิ
ส่วนไต้ซือเหิงหย่วน เขาไม่มีความปรารถนาทางโลกเช่นนี้
“ถึงตาพวกเจ้าสองคนแล้ว”
สวี่ชีอันมองไปยังหลิ่วหงเหมียนที่สีหน้าขาวซีดและจิ้งหยวนที่ใบหน้ายังไร้อารมณ์
คนเหล่านี้ไม่ใช่ตงฟางหว่านชิงที่มีความสัมพันธ์กับหลี่หลิงซู่คอยปกคลุมอยู่ และไม่เหมือนกับตงฟางหว่านชิงที่อยู่ในรอบนอกความขัดแย้ง ไม่ได้มีความแค้นล้ำลึกเกินไป
พวกฉีฮวนตานเซียงนั้นคือกลุ่มของจีเสวียน คือคนของเมืองเฉียนหลง และเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา
จิ้งหยวนก็เช่นกัน
สำหรับศัตรูที่ควรสังหาร สวี่ชีอันไม่เคยอ่อนข้อให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงงามพริ้มเพราก็ตาม
‘ปัง ปัง!’
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ด้านนอกมีเสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของเซียวเยว่หนูดังเข้ามา
“ฆ้องเงินสวี่ เซียวเยว่หนูขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
แค่ได้ยินเสียงนี้ ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่หลิงซู่ก็ดวงตาสว่างไสว
“ผู้ดูแลหอเซียวเข้ามาได้”
สวี่ชีอันตอบ
เซียวเยว่หนูผลักประตูเข้ามา นางสวมชุดกระโปรงสีเหลือง มัดมวยผมสตรีแบบที่กำลังนิยม รูปร่างสูง มีผ้าโปร่งคลุมใบหน้า ดวงตาแคบและมีเสน่ห์ดึงดูด ถึงขั้นยั่วยวนผู้คนได้เลย
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่ชั่วขณะที่พบกับสตรีผู้นี้ สายตาของเขาก็ยากจะปกปิดความประหลาดใจได้
แม้แต่สตรีอย่างพระชายาที่มองว่าตนสูงส่งก็ยังอกประหลาดใจไม่ได้ ประหลาดใจที่กลับมีไข่มุกงดงามเช่นนี้อยู่ในยุทธภพของเจี้ยนโจวด้วย
จากนั้น นางและหลี่เมี่ยวเจินก็จิตใจห่อเหี่ยวไปด้วยกัน
“ผู้ดูแลหอเซียว สบายดีหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เซียวเยว่หนูกวาดตามองแล้วหยุดอยู่บนร่างของหลิ่วหงเหมียนครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำนับทำความเคารพให้กับสวี่ชีอัน
“ได้ยินจากป้าเหมยว่าคนทรยศหลิ่วหงเหมียนแห่งหอหมื่นบุปผาอยู่ที่นี่ และกลายเป็นนักโทษของฆ้องเงินสวี่ ข้าจึงได้เร่งมาดูเจ้าค่ะ”
“แค่มาดูหรือ”
สวี่ชีอันมองหน้านาง
เซียวเยว่หนูก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ยเสียงเบา
“เยว่หนูขอบังอาจถาม ฆ้องเงินสวี่คิดจะจัดการกับนางอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“สังหารให้สิ้น!” สวี่ชีอันตอบตามตรง
เซียวเยว่หนูเม้มปากแล้วคำนับลงอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเอ่ยอย่างจริงใจ
“ขอให้ฆ้องเงินสวี่โปรดไว้ชีวิตนางด้วย แล้วมอบให้หอหมื่นบุปผาเป็นคนจัดการแทนเถิด”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบไป “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร!”
…………………………………………….
[1] 偃旗息鼓 ลดธงเงียบเสียงกลอง เป็นสำนวนจากวรรณกรรม “สามก๊ก” อุปมาว่ายุติการวิพากษ์ ยุติการโจมตี