ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 640 ต้องรอถึงเมื่อไร
“ตามปกติศิษย์ทรยศของหอจะถูกผู้ดูแลหอกับบรรดาผู้อาวุโสเป็นคนสอบสวน ดูจากสถานการณ์หนักเบาในการตัดสินวิธีการลงโทษ แต่เรื่องที่หลิ่วหงเหมียนร่วมโจมตีกองบัญชาการ ต้องให้กองบัญชาการกับหอหมื่นบุปผาหารือร่วมกัน”
เสียงของเซียวเยว่หนูอ่อนโยนและนุ่มนวล ชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีสำเนียงของเจี้ยนโจว
ในยุคนั้น ผู้ที่สามารถพูดภาษากลางได้อย่างชัดถ้อยชัดคำนั้น ถ้าไม่ใช่บัณฑิตที่เรียนเก่งก็เป็นผู้ที่พยายามฝึกฝนอย่างหนัก
สวี่ชีอันฟังจบก็ชี้ไปที่ประเด็นหลัก “เจ้าอยากรักษาชีวิตนางไว้”
ไม่รอให้เซียวเยว่หนูตอบกลับ หลิ่วหงเหมียนก็หัวเราะเป็นการใหญ่ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยการยั่วเย้าและเหน็บแนม
“เซียวเยว่หนู เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย”
“สิบกว่าปีแล้ว ท่าทีเสแสร้งและตีหน้าเป็นคนดีของเจ้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เมื่อก่อนทำให้อาจารย์ดู ตอนนี้ทำให้คนนอกและศิษย์ดู มีแต่ข้าที่รู้ว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน สวี่ชีอันอยากฆ่าก็ฆ่า ต่อให้ข้าตายก็ไม่รับบุญคุณจากนาง”
มีเรื่องราวนี่…สวี่ชีอันชอบดูสาวงามทะเลาะกันที่สุด ยกเว้นบ่อปลาของตัวเอง เขากล่าวขึ้นมา
“ไม่ยอมรับความหวังดีจากผู้ดูแลหอเซียวเช่นนี้เลยหรือ”
หลี่หลิงซู่มีความคิดเหมือนกับสวี่ชีอัน จึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กล่าว
“ตุ่นมดยังดำรงชีวิตแบบซังกะตายเลย แม่นางหลิ่วไตร่ตรองหน่อยเถิด”
ที่จริงก็แค่คำพูดหลอกล่อเท่านั้น เขาอยากสอดรู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างสาวงามทั้งสองของหอหมื่นบุปผาสักหน่อย
หลิ่วหงเหมียน “ถุย” ไปทีหนึ่ง และกล่าวยิ้มเยาะ
“นางรู้อย่างชัดแจ้งว่าข้าเกลียดนางเข้ากระดูก ยังจะออกมาทำตัวเป็นคนดีในเวลานี้อีก ช่วยชีวิตข้าหรือ คิดอุบายอะไรกัน พวกเจ้าดูไม่ออกหรือ นางกำลังทำร้ายจิตใจข้าอยู่”
เซียวเยว่หนูส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวเรียบๆ
“หลิ่วหงเหมียนอย่าได้ทำผิดต่อไปอีกเลย หากเจ้าสำนึกผิดแก้ตัวใหม่ด้วยใจจริง ข้าสามารถข้าตัดสินใจแทนอาจารย์ให้เจ้ากลับหอหมื่นบุปผาได้”
“กลับหอหมื่นบุปผาหรือ”
หลิ่วหงเหมียนได้ยินคำพูดที่น่าขันที่สุด นางจึงหัวเราะ “หึๆ”
“ได้นะ เจ้าคืนตำแหน่งผู้ดูแลหอให้ข้า ข้าจะกลับไปหอหมื่นบุปผา สลายความขุ่นแค้นกับเจ้าในก่อนหน้า”
เซียวเยว่หนูเงียบกริบไม่พูดอะไร
หลิ่วหงเหมียนจ้องนางไม่วางตาเป็นเวลานานสิบกว่าวินาที และกล่าวเสียดสี
“ดูสิ นี่ก็คือท่าทีเสแสร้งและตีหน้าเป็นคนดีของเจ้า ตอนนั้นเพื่อตำแหน่งผู้ดูแลหอ ร่วมมือกับผู้ชายข้างนอกบอกว่าข้าลักลอบคบชู้อย่างไม่รู้จักอาย อาจารย์เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและถอนสิทธิ์ชิงตำผู้ดูแลหอของข้าไป ข้าจึงทรยศและออกไปจากหอหมื่นบุปผาด้วยความโกรธ เซียวเยว่หนู เจ้ามันหญิงสารเลวที่ทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย เจ้าจะมาเสแสร้งอะไรอีก คนอื่นไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ เจ้าเสแสร้งให้ใครดูกัน”
ดวงตางดงามของนางกลอกไปมา และตกลงบนตัวสวี่ชีอัน นางกระจ่างในทันที
“อ๋อ เข้าใจแล้ว คุณค่าของข้าก็คือให้เจ้าสร้างความประทับใจต่อหน้าฆ้องเงินสวี่สินะ เจ้าควบคุมหอหมื่นบุปผามาหลายปี ไม่เคยแต่งงานเลย ดูท่าทัศนะคงจะสูงมาก คงมีแต่ฆ้องเงินสวี่ที่เข้าตาเจ้า จุ๊ๆ จับเขยที่ร่ำรวยเช่นนี้ได้ ตำแหน่งคงเลื่อนพรวดพราดในเวลาไม่ช้านี้ เจี้ยนโจวเล็กๆ ยังบรรจุพระโพธิสัตว์อย่างเจ้าไม่ได้เลย”
นี่มัน รู้สึกเฝ้าปรารถนาอยู่บ้างนะ…สวี่ชีอันหยอกล้อตนเอง
มู่หนานจือกับหลี่เมี่ยวเจินชำเลืองมองเซียวเยว่หนูทีหนึ่ง
หลี่หลิงซู่เอ่ยแทรกด้วยอารมณ์ฮึกเหิม
“เจ้าได้ลักลอบคบชู้หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะผู้ดูแลหอเซียวพูดแล้วจะเป็นไปตามนั้น หรือว่าอาจารย์ของเจ้าไม่ได้ตรวจสอบร่างกายหรือ”
หลิ่วหงเหมียนกล่าวยิ้มหยัน
“นี่ก็คือความปราดเปรื่องของนาง ใครบอกว่าลักลอบคบชู้จะต้องเสียตัวด้วย นางเลียนแบบลายมือข้า ปลอมแปลงจดหมายรัก และใช้เนื้อหาในจดหมายพรรณนาว่าข้าไม่รักษาพรหมจารี อีกทั้งยังเป็นหญิงสำมะเลเทเมาที่โง่เขลาเบาปัญญา และชายชู้ที่พูดถึงก็ไม่ใช่คนที่มีความประพฤติเที่ยงตรงอย่างใด หากจำไม่ผิดล่ะก็ เป็นชายสำมะเลเทเมาที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มาก พอเรื่องนี้เลื่องลือออกไปศิษย์ในหอล้วนเป็นสตรี พวกนางจะมองข้าอย่างไร จะสนับสนุนข้าต่อหรือ คนนอกจะมองข้าว่าอย่างไร ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาในอนาคตเป็นหญิงสำมะเลเทเมาที่มอบกายมอบใจให้กับชายสำมะเลเทเมา ภาพลักษณ์ของทั่วทั้งหอจะเป็นอย่างไร ช่างน่าขันที่ตอนนั้นข้ายังอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ดันคิดจะช่วงชิงกับเจ้าอย่างเป็นธรรม อาศัยความสามารถในการเอาชนะเจ้า”
สายตาของฝูงชนมองไปทางเซียวเยว่หนู ดูว่านางจะอธิบายอย่างไร
ใครจะคิดว่าคำตอบของเซียวเยว่หนูจะผิดไปจากที่ผู้คนทั้งหมดคาดการณ์ไว้
“ไม่ผิด เรื่องราวในปีนั้นเป็นข้าเรียกคนมาทำจริงๆ เจ้าไม่ได้ลักลอบคบชู้กับชายที่อยู่ข้างนอก เป็นข้าที่ใส่ร้ายเจ้า ปรักปรำเจ้า ทำให้อาจารย์พะวงเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของหอ ถอนสิทธิ์ในช่วงชิงตำแหน่งผู้ดูแลหอของเจ้า”
หลิ่วหงเหมียนชะงักไปเล็กน้อย ราวกับคิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เซียวเยว่หนูกล่าวราบเรียบ
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ ปีนั้นอาจารย์พูดกับพวกเราว่าอย่างไร ตำแหน่งผู้ดูแลหอเกี่ยวพันกับการสืบทอดและความเจริญรุ่งเรืองของหอ พวกเจ้าต้องอาศัยความสามารถของตนเอง”
หลิ่วหงเหมียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ขับไล่ความตะลึงงันบนใบหน้า และกล่าวอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน
“นี่คือสาเหตุที่เจ้าใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้หรือ
เซียวเยว่หนูค่อยๆ กล่าวด้วยแววตาที่สงบ
“ที่ข้าทำไปทั้งหมดล้วนอยู่ในขอบเขตของกฎที่ทำได้ ตำแหน่งผู้ดูแลหอเกี่ยวพันกับการสืบทอดและความเจริญรุ่งเรืองของหอ นี่คือสิ่งที่อาจารย์กำลังเตือนพวกเราอยู่ ผู้ที่มีวิธีการไม่พอ ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ดูแลหอ พวกเราต่างก็มีความสามารถ ความหมายก็คือไม่มีกฎ ไม่มีเส้นเขต ขอแค่สามารถชนะได้”
การประกอบการธุรกิจและความเข้าใจ…สวี่ชีอันตื่นตระหนกตกใจ
หลิ่วหงเหมียนโมโหมาก นางตะโกนเสียงแหลม
“เป็นไปไม่ได้ อาจารย์สั่งสอนพวกเราเสมอว่า หอหมื่นบุปผาคือหอที่ก่อตัวขึ้นจากสตรี หากไม่อยากถูกรังแก กับคนภายนอกต้องโหดเหี้ยมและเด็ดขาด กับคนในหอต้องรักใคร่สามัคคีกัน เจ้าอย่าคิดจะพลิกขาวเป็นดำ เพื่อหาข้อแก้ตัวให้กับใจที่มืดดำของเจ้า”
เซียวเยว่หนูมีท่าทีสงบมาโดยตลอด และจ้องมองนาง
“เจ้าคิดว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องที่ข้าใส่ร้ายป้ายสีหรือ ท่านเคยให้โอกาสเจ้าแต่เจ้าทำอย่างไรนะ หนึ่งร้อง สองโวยวาย สามผูกคอตาย น้ำเสียงแก้ต่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เจ้าสามารถโจมตีกลับได้ทั้งหมด สามารถใช้วิธีการที่สกปรกกว่าโจมตีข้ากลับ แต่นอกจากเจ้าจะโวยวายแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรอื่นอีกเลย อาจารย์ถึงผิดหวังในตัวเจ้าอย่างถึงขีดสุด คิดว่าเจ้าไม่เหมาะจะควบคุมหอหมื่นบุปผา ความโง่เขลาไม่ใช่ความผิดเจ้า แต่อย่าได้ทำลายรากฐานร้อยปีของบรรพบุรุษ อย่าทำให้บรรดาศิษย์ในหอต้องเดือดร้อน เดิมทีข้าวางแผนว่าหลังจากสืบทอดตำแหน่งผู้ดูแลหอแล้ว ค่อยสารภาพเรื่องทั้งหมดนี้กับเจ้า ใครจะรู้ว่าเจ้าช่างเย่อหยิ่งอย่างสุดโต่ง ทรยศและออกไปจากหอหมื่นบุปผาเพราะความโมโห จนกระทั่งมาถึงวันนี้ พวกเราสองพี่น้องถึงได้มาพบกัน”
หลิ่วหงเหมียนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ถูกพูดทิ่มแทงจนดูโง่ไปเลย
ประจักษ์ชัดแจ้งว่า แท้จริงแล้วในใจนางยอมรับคำพูดของเซียวเยว่หนู พูดให้ชัดเจนก็คือนางถูกพูดจนยอมแล้ว
เซียวเยว่หนูไม่มองนางอีก แต่มองไปทางสวี่ชีอันและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าจะคุมขังนางไว้ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ฆ้องเงินสวี่ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า”
“ช่างเถอะ เจ้าพานางไปเถอะ”
สวี่ชีอันพยักหน้า
สตรีบางคนดูเหมือนปีศาจที่สวยหยาดเยิ้มยั่วยวนผู้คน ความจริงแล้วในใจเป็นคนที่น่ารักและใสซื่อ
สตรีบางคนดูเหมือนสงบเสงี่ยมสง่าผ่าเผย ความจริงแล้วศิลปะการชงชาอยู่ในระดับราชาเลยทีเดียว
ยอดเยี่ยม! เขาพึมพำในใจ
หลังจากใช้สายตาส่งเซียวเยว่หนูผนึกจุดตันเถียนของหลิ่วหงเหมียนและพานางจากไปแล้ว หลี่หลิงซู่ถึงละสายตากลับมาและกล่าวทอดถอนใจ
“ข้ายังคงชอบสตรีที่ไร้เดียงสามากกว่าจริงๆ”
ครั้งนี้สวี่ชีอันไม่ได้พูดเหน็บแนม เขารู้สึกเหมือนกัน
พวกที่ไร้เดียงสาหน่อย…ที่ผุดขึ้นในสมองของฉู่หยวนเจิ่น เหิงหย่วน และหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามคนเป็นลี่น่ากับฉู่ไฉ่เวย
ทว่าอารมณ์รักของแม่นางทั้งสองยังไม่เปิด แม้แต่สวี่หนิงเยี่ยนยังจัดการไม่ได้ นับประสากับอะไรกับเทพบุตร
สวี่ชีอันลุกขึ้นกล่าวทันที
“ข้าจะออกไปสักหน่อย”
…
เขาไปจากฐานที่มั่นทหาร เหาะผ่านอากาศไปทางใต้นานครึ่งเค่อ มองเห็นจิ้งจอกขาวน้อยขนปุกปุยที่มีขนาดเท่าสองฝ่ามือตัวหนึ่งยืนองอาจผึ่งผายอยู่บนหินผาสีดำ
ท่าทางเช่นนั้นเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารักกำลังเลียนแบบสิงโตที่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร
แต่สวี่ชีอันรับรู้ถึงความสุขุมภายในร่างของมัน และจิตใจที่ดื้อรั้น
“องค์หญิงหรือ”
เขาหยุดอยู่ไม่ไกล เว้นระยะห่างอย่างมีมารยาท
ไป๋จีส่งเสียงไพเราะน่าดึงดูดออกมา
“ข้าได้ยินไป๋จีพูดว่าศึกที่เจี้ยนโจวสังหารเทพอารักษ์ไปสององค์ จุ๊ๆ ครั้งนี้สำนักพุทธต้องกระทืบเท้าด้วยความโมโหเป็นแน่”
ท่ามกลางน้ำเสียงเฉื่อยชาของนางแฝงไปด้วยความพอใจและเบิกบานใจ ดูท่าคงอารมณ์ดีไม่น้อย
“องค์หญิงหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
สวี่ชีอันถาม
ความตั้งใจของนางไม่ได้หายไป ที่รอคอยอยู่ที่นี่เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอยากคุยกับเขา
“มีอยู่เรื่องหนึ่งจริงๆ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวเราะเบาๆ
“ยังจำฝูเซียงคนรักเก่าของเจ้าได้หรือไม่ อืม ชื่อจริงของนางคือเย่จี”
…สวีชีอันคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะพูดถึงฝูเซียงขึ้นมา จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “องค์หญิงจะวาดขนมเปี๊ยะให้ข้าอีกแล้วหรือ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวด้วยรอยยิ้มสวยงาม
“เจ้าไม่อยากรู้สถานการณ์ของเย่จีหรือ ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยาหนึ่งวันผูกพันลึกซึ้ง คิดๆ ดูแล้วความรักแข็งแกร่งกว่าทองคำ”
เจ้ายังกล้าพูดอีก ข้าเป็นเคาะยามบอกเวลาของต้าฟ่ง ไม่ใช่คนส่งศพกลับของต้าฟ่ง…สวี่ชีอันก่นด่าในใจเป็นการใหญ่ แต่กล่าวออกมาเรียบๆ
“องค์หญิงมีเรื่องอันใดพูดมาตามตรง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้หยอกล้อต่อ และกล่าวว่า
“หลังจากนางมารายการปฏิบัติภารกิจข้างกายข้าแล้ว ข้าก็ส่งนางไปดินแดนเก่าของอาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้เพื่อวางแผนเรื่องหนึ่ง ตอนนี้งอนิ้วนับดูแล้วทุกอย่างตระเตรียมพร้อมสรรพ ขาดเพียงแค่ลมตะวันออกพัดโกรกมาเท่านั้น จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”
ไม่รอให้สวี่ชีอันถาม นางก็ไม่พูดอ้อมค้อม
“คลายผนึกมือเจ้าทั้งสี่ของเสินซู”
มือเท้าทั้งสี่ของเสินซู…สวี่ชีอันลูบคางอยู่ครู่หนึ่ง “มือเท้าทั้งสี่ของเสินซูส่วนหนึ่งผนึกอยู่ในดินแดนเก่าของอาณาจักรหมื่นปีศาจหรือ องค์หญิงอยากให้ข้าไปเป็นมืออันธพาลหรือ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้ตอบโดยตรง นางกล่าวออกมาช้าๆ
“ที่เสินซูถูกแยกร่างผนึกนั้น เพราะว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกินไป บนโลกไม่มีผนึกที่สามารถผนึกได้ ดังนั้นจึงได้แต่แยกร่างของเขา แต่ถึงกระนั้นอยากจะผนึกกายเนื้อของเขาก็จำเป็นต้องใช้วิชาผนึกที่พิเศษ วิธีการรูปแบบหนึ่งคือใช้ของวิเศษ ‘รูปแบบตราประทับ’ เป็นฐานหลักประกอบกับค่ายกลที่แข็งแกร่ง อีกรูปแบบหนึ่งคือใช้โชคชะตาเสริมผนึก รูปแบบแรกคือเจดีย์พุทธะ รูปแบบหลังคือทะเลสาบซังผอ”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
ห้าร้อยปีก่อนสำนักพุทธช่วยจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏ นอกจากจะเผยแผ่ศาสนามายังที่ราบกลางแล้ว ยังมีเงื่อนไขอีกข้อก็คือช่วยผนึกแขนที่ขาดของเสินซู
โดยธาตุแท้แล้วสำนักพุทธอาศัยดวงชะตาของต้าฟ่งผนึกเสินซู
“ภูเขาใหญ่นับหมื่นในซินเจียงตอนใต้มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน เป็นจุดกำเนิดของเผ่าปีศาจของพวกเรา ตัวมันเองก็รวบรวมดวงชะตาแล้ว ชิ้นส่วนร่างกายของเสินซูก็ถูกผนึกอยู่ที่นั่น เดิมทีซินเจียงทางตอนใต้ก็เป็นเขตอิทธิพลของพระโพธิสัตว์หลิวหลี หลังจากนางถูกท่านโหราจารย์โจมตีพ่ายแพ้ พลังเหลือเหนือมนุษย์ทางด้านนั้นก็ว่างเปล่าชั่วคราว และตอนนี้ตู้หนานกับตู้ฝานก็แตกดับที่เจี้ยนโจวอีก ข้าอยากอาศัยโอกาสที่พบเจอได้ยากในรอบพันปีนี้ ช่วงชิงมือเท้าทั้งสี่ของเสินซูกลับมา ด้วยเหตุนี้จึงไหว้วานให้เจ้าลงมือช่วย ประการแรกคือร่างของข้าอยู่โพ้นทะเล ร่างอวตารที่เยื้องกรายมาถึงสามารถแสดงพลังได้จำกัด ประการที่สองนอกจากข้าแล้ว ในอาณาจักรหมื่นปีศาจมีระดับเหนือมนุษย์แค่หนึ่งท่าน แต่ช่วงนี้เขาอารมณ์เสียไม่ฟังคำสั่งข้า”
นอกจากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแล้ว อาณาจักรหมื่นปีศาจยังมียอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์อยู่จริงๆ ด้วย ข้าว่าแล้วเชียว อาศัยจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแค่คนเดียวจะล้มสำนักพุทธและฟื้นฟูอาณาจักรหมื่นปีศาจได้อย่างไร…สวี่ชีอันไม่รู้สึกแปลกใจเลย
“อารมณ์เสียหรือ”
“ประการที่สาม ข้าอยากหยั่งเชิงดูว่าสำนักพุทธยังมียอดฝีมือที่ซ่อนไว้อยู่อีกหรือไม่”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่สนใจคำถามของเขา นางพูดของนางต่อ
“ระดับเต๋าของพระอรหันต์สำนักพุทธไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต อยากจะทะลวงเป็นพระโพธิสัตว์จำเป็นต้องกลับชาติบำเพ็ญใหม่ ในประวัติศาสตร์พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วบำเพ็ญใหม่มีไม่น้อย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจมีพระอรหันต์ที่กลับสู่ตำแหน่งแล้ว เหอะๆ ตอนนี้แผ่นดินจิ่วโจวเกิดกระแสคลื่นพัดกระพือฮือโหม มีความเป็นไปได้มากที่มีพระอรหันต์กลับมาจุติ”
สวี่ชีอันถาม “ข้าจะได้ประโยชน์อันใด”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แขนขาทั้งสี่ของเสินซูมีความหมายที่แสดงถึงวิธีการผนึกของตะปูตอกวิญญาณ ประกอบกับอีกสองตัวที่ข้ารับปากเจ้าไว้…หากขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่หวั่นไหว เช่นนั้นเย่จียังรอบุญคุณของเจ้าอยู่นะ”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เรื่องนี้ข้าจะช่วยเอง บุญคุณอะไรพวกนั้นไม่ต้องพูดถึง ประเด็นสำคัญคืออยากรู้ว่าฝูเซียงมีชีวิตที่ดีหรือไม่”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่งเขาก็ถามหยั่งเชิง
“องค์หญิงหาคนร่วมเผ่าที่โพ้นทะเลเจอแล้วหรือ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่ายหน้า “งมเข็มในมหาสมุทร ไหนเลยจะง่าย ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งข้าจะกลับแผ่นดินใหญ่”
อย่าลืมทำการตรวจหาเชื้อล่ะ…สวี่ชีอันแอบแขวะในใจ
…
อวิ๋นโจว
ภายในหอดูดาวที่อยู่บนยอดเขา สวี่ผิงเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมา
“เสร็จเรื่องที่เจี้ยนโจว ตู้หนานกับตู้ฝานแตกดับ” เขากล่าว
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เจียหลัวซู่ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ไม่ก่อการในเวลานี้ ต้องรอถึงเมื่อไร”
………………………………………