ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 641 โหมโรง (1)
คืนนั้น กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จัดงานเลี้ยงขึ้น
หัวข้อหลักมีสองประเด็นคือเฉลิมฉลองที่บรรพชนออกจากด่าน และขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ยึดมั่นในสัจจะช่วยเหลือ
ขณะนี้ภายในห้องโถง สวี่ชีอัน ฉู่หยวนเจิ่น หงส์อ่อนมังกรหลับจากนิกายสวรรค์ ไต้ซือเหิงหย่วน มู่หนานจือ และเหมียวโหย่วฟ่างนั่งแถวเดียวกัน
เฉาชิงหยางและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของพันธมิตรจอมยุทธ์ ตลอดจนเจ้าลัทธิและหัวหน้าเก้าคนที่อยู่ภายใต้สังกัดก็นั่งแถวเดียวกัน
ที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลางคือชายชราโค่วหยางโจวที่มีผมหงอกขาวราวหิมะ
เพราะยอดเขาหลักพังทลายลง สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมรอการฟื้นฟู ดังนั้นงานเลี้ยงจึงไม่ได้จัดยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ และไม่ได้เชิญนางรำและนักดนตรีมาเพิ่มบรรยากาศสนุกสนาน สุราอาหารก็ค่อนข้างเรียบง่าย
แต่ไม่ได้หมายความว่างานเลี้ยงนี้จะจืดชืดไร้สีสัน ตรงกันข้ามบรรยากาศคึกคักมาก
สิ่งที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ขาดแคลนก็คือคนของสำนักศาสนาและสำนักนักคิดต่างๆ คนที่เกลือกกลั้วอยู่ในยุทธภพล้วนเป็นผู้มีฝีมือติดตัว
พูดคุย เลียนแบบ หยอกล้อ ร้องเพลง ‘ถุย’ เล่านิทานเล่นละครเพลงต่างหาก มีบรรดาหญิงสาวจากหอหมื่นบุปผาแสดงความสามารถร้องรำทำเพลง มีรายการดำเนินไม่ขนาดสาย
แม้แต่เซียวเยว่หนูที่เป็นผู้นำสูงส่งก็ประคองพิณขึ้นเวทีร้องเพลงท่อนหนึ่ง ‘คำสัญญาของลูกผู้ชายที่มีค่าดั่งทองพันชั่ง’ ซึ่งเป็นเพลงท่อนหนึ่งของสวี่ชีอัน
เสียงดูเป็นธรรมชาติ
ผู้คนที่นั่งอยู่ทั้งสี่ด้านชมว่าไพเราะอยู่ไม่หยุด
เก่งมาก ศิลปะการดีดพิณไม่ด้อยไปกว่าฝูเซียงเลย…สวี่ชีอันยิ้มปรบมือบำรุงขวัญ และกล่าวคำชมเชยพร้อมกับฝูงชนว่าดี
ฟู่จิงเหมินดื่มแต่สุราไม่กินกับข้าว ตอนนี้เบลอเล็กน้อยแล้ว และตบโต๊ะกล่าว
“นี่คือเพลงของฆ้องเงินสวี่นี่ ผู้ดูแลหอเซียวเคารพเลื่อมใสฆ้องเงินสวี่เช่นนี้ไม่สู้ให้บรรพชนออกหน้าเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เจ้าหมั้นกับฆ้องเงินสวี่”
ทั้งสี่ด้านเงียบลงทันที
เซียวเยว่หนูเป็นมุกเม็ดงามของเจี้ยนโจว มีผู้เลื่อมใสนับไม่ถ้วน ขณะนี้กลับไม่มีใครออกมายืนคัดค้านฟู่จิงเหมิน
หากเปลี่ยนเป็นชายคนอื่นๆ ไม่อาจทำให้ผู้คนยินยอมได้
มีแค่สวี่ชีอันเท่านั้น ที่ทุกคนคิดว่าเซียวเยว่หนูใฝ่สูงเกินไป
โค่วหยางโจวนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก พอเห็นเซียวเยว่หนูที่งดงามด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติโดยธรรมชาติก็พยักหน้ากล่าว
“สาวน้อยหน้าตาผิวพรรณไม่เลว”
หากสวี่ชีอันสนใจเซียวเยว่หนู ก็จะช่วยผลักเรือตามน้ำให้บรรลุผลสมปรารถนา
ทันใดนั้น ฝูงชนก็เพ่งความสนใจไปที่สวี่ชีอันทันที
เซียวเยว่หนูยิ้มอย่างสำรวมและมองดูเขาทีหนึ่งด้วยแววตาอ่อนโยน
หากปฏิเสธ สีหน้าของนางคงดูไม่ได้ หากไม่ปฏิเสธ มู่หนานจือก็จะอารมณ์เสียใส่ข้า…ขณะที่สวี่ชีอันลังเลอยู่นั้น ก็ฟังมู่หนานจือที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างราบเรียบ
“ผู้ดูแลหอเซียวงดงามด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติโดยธรรมชาติ ทำให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดู นับว่าเหมาะสมกับสวี่หนิงเยี่ยน หากไม่รังเกียจรับเป็นอนุก็ได้”
น้ำเสียงและท่าทีคล้ายกับภรรยาเอกในตระกูลร่ำรวยที่รับอนุให้ผู้ชายของตนเอง
เซียวเยว่หนูเลิกคิ้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘ท่านอาผู้นี้คือ…”
‘ท่านอาหรือ’
คิ้วงดงามของมู่หนานจือตั้งตรง มือซ้ายบีบกำไลลูกประคำบนข้อมือขวาโดยไม่รู้ตัว
นางกำลังคิดจะกล่าวคำปฏิญาณอธิปไตยเพื่อโจมตีและกดดันความเหิมเกริมของหญิงสาวในยุทธภพผู้นี้สักหน่อย แต่หางตาเหลือบไปเห็นว่าหลี่เมี่ยวเจินกำลังจ้องมองตนเองอยู่
ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่าเมื่อตอนกลางวัน ตนเองเอ่ยคำสาบานที่เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงและน่าเชื่อถือ ขาดก็แค่สาบานกับฟ้าว่าจะขีดเส้นแบ่งเขตกับสวี่ชีอันอย่างชัดเจนเท่านั้น
‘หญิงสารเลวนิกายสวรรค์ผู้นี้รอหัวเราะเยาะข้าอยู่…’ หลังจากหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที มู่หนานจือก็กล่าวด้วยรอยยิ้มงดงาม
“ข้าคือแม่ของหนิงเยี่ยน”
นางมองสวี่ชีอันด้วยความรักและเมตตา “ลูกรัก เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่ผู้ดูแลหอเซียวเข้ามาเป็นอนุบ้านตระกูลสวี่เรา แม่พูดถูกหรือไม่”
ฝูงชนที่อยู่ที่นั่นตกใจมาก
คิดไม่ถึงว่าฆ้องเงินสวี่ออกนอกบ้านดันพามารดามาด้วย
พวกเขาไม่ได้สงสัยในทันที เพราะอายุของหญิงตรงหน้าสอดคล้องกันจริงๆ
…มุมปากสวี่ชีอันกระตุกอย่างรุนแรง
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่หลิงซู่พยายามกลั้นขำไว้
เซียวเยว่หนูไม่ไม่ชำเลืองตามอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเมินเฉย
“ฆ้องเงินสวี่โตขึ้นมากับอาชายและอาหญิง”
ฝูงชนได้ยินก็นึกถึงข่าวกรองของสวี่ชีอันในฉับพลัน บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก อาชายและอาหญิงเลี้ยงดูจนเติบโต!
เช่นนั้นหญิงที่เรียกตนเองว่า ‘แม่’ นี้คือ…
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ มองมู่หนานจือแล้วมองสวี่ชีอันอีกทีด้วยความงงงวยเล็กน้อย
“แม่นม!”
หลี่หลิงซู่ทนไม่ไหวจึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและกล่าวออกมา
“ฮูหยินท่านนี้คือแม่นมของฆ้องเงินสวี่ ตั้งแต่เล็กฆ้องเงินสวี่ก็อยู่ห่างจากนางไม่ได้เลย ออกจากเมืองหลวงมาท่องยุทธภพในครานี้ จึงต้องพาแม่นมมาด้วย”
ฉู่หยวนเจิ่นรีบก้มหน้าดื่มสุรา
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะก๊าก
ใบหน้ารูปไข่ของมู่หนานจือกลายเป็นสีแดง นางจ้องมองหลี่หลิงซู่ตาเขียวปัด
การถูกขัดจังหวะเป็นชุดๆ นี้ จึงไม่มีคนพูดเรื่องงานแต่งอีก
ทว่าสายตาของฟู่จิงเหมิน เฉียวเวิงและทหารหยาบกร้านคนอื่นๆ ที่มองไปในแววตาของทางมู่หนานจือกับสวี่ชีอันเป็นครั้งคราวนั้น มีความหมายลึกซึ้งอย่างไม่อาจบรรยายออกมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกว่าแม้แม่นมผู้นี้จะมีรูปโฉมโนมพรรณสวยงามแบบพื้นๆ แต่ชั่วเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนขาแล้ว นางค่อนข้างมีเสน่ห์มาก เป็นสตรีที่มีเสน่ห์อันน่าดื่มด่ำ
‘ฆ้องเงินสวี่เสียมารดาตั้งแต่เด็ก ขาดแคลนความรักจากมารดา…’
ฟู่จิงเหมินขับไล่ความคิดอาจหาญในสมองออกไป และยกจอกสุราขึ้นสูงก่อนกล่าว
“ตอนนี้ในกลุ่มพันธมิตรล้วนพูดกันว่าฆ้องเงินสวี่คือจักรพรรดิเกาจู่กลับชาติมาเกิด พวกเราคารวะจักรพรรดิเกาจู่กลับชาติมาเกิดหนึ่งจอก”
วีรบุรุษไม่ไต่ถามศีลธรรมส่วนตัว แม้ฆ้องเงินสวี่จะพาแม่นมติดตัวมาด้วย แต่เขายังเป็นฆ้องเงินที่ดีของทุกคน
…
หลังจากร่ำสุราจนหนำใจและกินข้าวจนอิ่ม สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ก็จากไป
ระหว่างทางที่กลับไปยังที่พักชั่วคราว หลี่หลิงซู่ก็พูดขึ้นมา
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการสักหน่อย เชิญทุกท่านไปก่อนเลย”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วกล่าว “ไปทำอะไรล่ะ”
มีสถานะเป็นศิษย์น้อง ก้าวก่ายและให้ความสนใจกับเรื่องส่วนตัวของศิษย์พี่ก็เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
“ไว้ค่อยพูดทีหลัง”
หลี่หลิงซู่พูดแบบขอไปทีไปหนึ่งประโยค กระบี่บินพุ่งออกจากแขนเสื้อ เขาขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่และพุ่งออกไปทันที
ขณะที่มองดูเงาหลังของหลี่หลิงซู่ที่หายลับไป หลี่เมี่ยวเจินก็ทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว
“ทำตัวลับๆ ล่อๆ เขาช่างพิลึกกึกกือเสียจริง ในงานเลี้ยงเงียบจนผิดปกติ ไม่ยั่วเย้าเซียวเยว่หนูและบรรดาแม่นางหอหมื่นบุปผาเลย”
สวี่ชีอันเอามือลูบคางกล่าว
“จะว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าใครคือคนรักเก่าของหลี่หลิงซู่ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เมี่ยวเจินเจ้ารู้หรือไม่ ข้าจำได้หลี่หลิงซู่เคยบอกว่า ภูเขาเฉวี่ยนหลงอยู่ห่างจากนิกายสวรรค์ไม่ไกล หลังจากลงเขาแล้ว สถานที่แรกที่พวกเจ้าไปก็คือเจี้ยนโจว”
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพยักหน้าตอบรับก่อน จากนั้นถึงกล่าวออกมา
“ดูเหมือนหลี่หลิงซู่จะไม่มีคู่คิดรู้ใจในเจี้ยนโจว ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รู้อยู่ดี แต่ตราบใดที่ข้าเดินทางไปกับเขา คู่คิดรู้ใจที่เขาคบค้าสมาคมในระหว่างทาง โดยพื้นฐานแล้วข้าล้วนรู้จักหมด เพราะเขาจะไม่ปิดบังต่อหน้าข้า”
สวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินสบตากันทีหนึ่ง และกล่าวพร้อมกัน “มีปัญหาใหญ่แล้ว!”
ฉู่หยวนเจิ่นถาม
“บางทีอาจจะไม่มีจริงๆ ล่ะ”
สวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินส่งเสียง “เฮอะ!” อย่างเป็นที่รู้กัน คนแรกจ้องมองคนรับใช้ในนามแล้วกล่าวว่า
“เหมียวโหย่วฟาง ยังจำได้ไหม ก่อนมาเจี้ยนโจวเจ้าซักถามเขาว่ามีคนรักอยู่ในหอหมื่นบุปผาหรือไม่ หลี่หลิงซู่ตอบว่าอย่างไร”
เหมียวโหย่วฟางเลียนแบบท่าลูบคางของสวี่ชีอันก่อนกล่าว
“ตอนนั้นเขาอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับลำบากใจที่จะพูดออกมา”
ฟังมาถึงจุดนี้ ฉู่หยวนเจิ่นก็เกิดความสนใจขึ้นมาเช่นกัน และวิเคราะห์ออกมา
“ดูจากลักษณะคู่คิดรู้ใจสองท่านของหลี่เต้าฉางแล้ว หากพบเห็นคู่รักของตนเองปรากฏตัวในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เกรงว่าคงกระโดดออกมานานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะอดทนจนถึงตอนนี้”
เหิงหย่วนก็เอ่ยปากแทรกเช่นกัน “นอกเสียจากว่าเขามีอะไรต้องพะวง?”
“ฝูงชนมองไปทางไต้ซือเหิงหย่วนอย่างเงียบๆ
“อามิตาพุทธ!”
เหิงหย่วนพนมมือ เสียใจต่อความอยากรู้ของตนเอง
ขณะนี้ มู่หนานจือที่อุ้มไป๋จีอยู่กล่าวออกมาฉับพลัน
“หลี่หลิงซู่จะต้องไปพบคนรักอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่ากระจกใบนั้นของเจ้าสามารถเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวได้พันลี้หรอกหรือ ใช้มันดูสิ”
นางกำลังแก้แค้นหลี่หลิงซู่ที่หยอกล้อนางในงานเลี้ยง
ฝูงชนตาเป็นประกาย
สวี่ชีอันกล่าวเสียงต่ำ “กลับไปก่อน กลับไปก่อน…”
คนกลุ่มหนึ่งกลับไปยังเรือนที่พัก และพร้อมใจกันเข้าไปจุดเทียนในห้องให้สว่าง จากนั้นก็นั่งเบียดสวี่ชีอันอยู่ริมขอบโต๊ะ
เทชิ้นส่วนหนังสือปฐพี นำกระจกเทพฮุ่นเทียนออกมา สวี่ชีอันลดเสียงให้ต่ำลง น้ำเสียงดูลึกลับ
“เทพกระจก เทพกระจก บอกข้าเถิด เจ้ารู้ตำแหน่งของหลี่หลิงซู่ได้หรือไม่”
กระจกเทพฮุ่นเทียนพูดประท้วง
“ข้าคือกระจกเทพ นอกจากนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ชอบสอดส่องบุรุษนักนะ เห็นๆ อยู่ว่าข้าทำสัญลักษณ์สาวงามไว้ให้เจ้าตั้งหลายคน เจ้ากลับไม่เคยแอบดูพวกนางอาบน้ำเลย”
เจ้าชมว่าข้าเป็นวิญญูชนที่เที่ยงธรรมหรือ…สวี่ชีอันกล่าวเร่งรัด
“อย่าพูดไร้สาระ รีบบอกมา”
“ย่อมได้แน่นอน จิตเดิมของเขาเคยถูกข้าเก็บไว้ในกระจก ข้าทำสัญลักษณ์ไว้แล้ว”
กระจกเทพฮุ่นเทียนพูดจบก็เปลี่ยนผิวกระจกสำริดให้กลายเป็นสีแก้วใสๆ ตอนแรกมีระลอกคลื่นกระเพื่อมบนผิวกระจกและสงบลงในเวลาต่อมา
ปรากฏภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง
ฝูงชนมองเห็นเงาร่างที่ขี่กระบี่ของหลี่หลิงซู่
ทิศทางของเขาคือเทือกเขาทางด้านตะวันตกของภูเขาเฉวี่ยนหลง
‘ไปพบคนรักเก่าหรือ แต่พบเจอคนรักเก่าไยต้องบินไปไกลเช่นนี้ด้วย’
‘คงไม่ใช่หญิงสาวที่มีสามีหรอกนะ’
การคาดเดาแบบต่างๆ ผุดขึ้นในสมองของฝูงชน ยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น
โดยเฉพาะมู่หนานจือกับหลี่เมี่ยวเจินที่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว
ไม่นาน หลี่หลิงซู่ก็กดกระบี่ร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เขากวาดสายตามองดูรอบด้าน พอเห็นว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีคนก็รีบหยิบหวีออกจากอกออกมาอันหนึ่ง ตั้งใจทำเส้นผมที่เรียบร้อยอยู่แล้วให้ดูยุ่งเหยิง ปล่อยให้ปอยผมสองข้างห้อยลงมา แสดงนิสัยที่ดูสำมะเลเทเมาออกมาอย่างชัดเจน
จากนั้นหลี่หลิงซู่ควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา หยิบชุดคลุมยาวสีดำที่มีดิ้นเงินดิ้นทองปักอยู่
ดังนั้นภายในท่าทีที่ดูสำมะเลเทเมาก็มีมาดของคุณชายสูงส่งอยู่เล็กน้อย
เขาเก็บกระบี่เข้าไปในฝักและกอดไว้ในอก จากนั้นก็ไปพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง ร่างของเขาซ่อนอยู่ในเงามืด ก้มหน้าเล็กน้อย และไม่ขยับเขยื้อน
เจ้าช่างยั่วยวนเสียจริง ทำไมถึงยอดเยี่ยมเช่นนี้…พอสวี่ชีอันเห็นการกระทำของหลี่หลิงซู่กับตา เขาเกือบหลุดคำพูดนี้ออกมา
‘หลี่หลิงซู่ เจ้าคนถ่อยของนิกายสวรรค์…’ หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าอย่างเงียบๆ
ผ่านไปนาน เงาร่างหนึ่งเหยียบยอดไม้เข้ามาอย่างรวดเร็ว วิชาตัวเบาไม่ธรรมดา
เป็นสตรีรูปร่างอวบอัด เส้นผมม้วนขึ้นสูง สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว
แฉลบไปมาบนยอดกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว ว่องไวราวกับห่านหงส์ที่ตื่นตระหนก ราวกับมังกรที่แหวกว่าย
สตรีชุดกระโปรงขาวยืนมั่นอยู่บนยอดเขา กระโปรงที่โบกสะบัดกลับสู่ความสงบ ตาใสแป๋วมองดูรอบด้าน
“เจ้ามาแล้ว!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังมาจากเงามืดใต้ต้นไม้ที่ นางมองไปตามเสียง มองเห็นเพียงชายสำมะเลเทเมาผู้หนึ่งยืนพิงต้นไม้อยู่ เขายืนกอดกระบี่ไว้ในอก และก้มหน้าเล็กน้อย
ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด อีกครึ่งโผล่ออกมา
เค้าโครงใบหน้าด้านข้างของเขายังคงงดงามเช่นนั้น ชุดคลุมสีดำดูสวยล้ำค่า บุคลิกลักษณะยังคงเป็นเช่นเดิม
“เป็นนางหรือ!”
หลังจากมองเห็นสตรีผู้นั้นอย่างชัดเจนแล้ว คนที่อยู่เต็มห้องก็พูดออกมาด้วยความตกใจ
สวี่ชีอันตกใจจนอึ้งไปเลย ทำไมถึงคาดไม่ถึงว่าคู่คิดรู้ใจของหลี่หลิงซู่จะเป็นอาจารย์ของหรงหรง
เขาเคยคิดว่าเป็นเซียวเยว่หนูจากหอหมื่นบุปผาเสียอีก…
ไฉซิ่งเอ๋อร์ล่ะก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรสานุศิษย์ของอัครเสนาบดีก็มีนับหมื่นนับพัน ทว่าอายุอาจารย์ของหรงหรงก็เพียงพอที่จะเป็นแม่ของเทพบุตรได้แล้ว จริงๆ เลย จริงๆ เลย…สวี่ชีอันมองดูมู่หนานจือที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง
…อืม เทพบุตรไม่ผิด เทพบุตรชอบแสดงออกอย่างไม่มีข้อผูกมัด เทพบุตรชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นลืมตาอ้าปากค้าง
ไต้ซือเหิงหย่วนก็อึ้งเล็กน้อย งุนงงนิดหน่อย
ในภาพ ทั้งสองดูเหมือนจะโต้เถียงกัน หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างเสียดาย
“น่าเสียดายที่ไม่ได้ยินเสียง”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวในทันที “ข้าเชี่ยวชาญการอ่านริมฝีปาก”
…
“ข้าเคยบอกแล้ว ระหว่างพวกเราคือบุพเพสันนิวาสที่แตกสลายในชั่วค่ำคืน ไม่อาจมีผลลัพธ์ได้ แม้กระทั่งไม่อาจเปิดเผยได้ด้วย เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้า”
สตรีกระโปรงขาวคืออาจารย์ของหรงหรง เป็นหญิงอวบอัดที่งดงาม
นางทำหน้าเย็นชาและหันข้างเล็กน้อย ไม่มองหลี่หลิงซู่
“แต่ข้าให้ภูตน้อยส่งข่าวนัดเจ้ามาพบข้าที่นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าก็มาแล้วหรือ”
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจเบาๆ “เหมยเอ๋อร์ อายุไม่ควรเป็นสิ่งกีดขวางความรักระหว่างเรา หากเจ้ากลัวข่าวลือ กลัววิธีการมองของศิษย์และสหายร่วมสำนัก เช่นนั้นข้าสามารถพาเจ้าไปได้”
หญิงงามประทับใจเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวเรียบๆ อย่างไร้ความปรานี
“หลี่เต้าฉาง อายุของข้าเหลือเฟือที่จะเป็นแม่ของเจ้าได้แล้ว ผ่านไปอีกสิบกว่าปี ยี่สิบปี ข้าแก่ชราสุดจะรับได้ แต่เจ้ายังคงมีท่วงทีสง่างามและฉลาดเงียบแหลม ระหว่างข้ากับเจ้า เป็นแค่คนผ่านทางที่เข้ามาในชีวิตเท่านั้น วันนี้ข้าจะอธิบายอย่างชัดแจ้ง ข้ากับเจ้าตัดขาดกัน ไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีก”
หลี่หลิงซู่ขึ้นไปรัดพันด้วยรอยยิ้มกริ่ม มือข้างหนึ่งกอดเอว อีกข้างกุมมือขาวสะอาด
“ข้าไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ อยากรู้ว่าความรู้สึกที่แม่โอ๋มันเป็นอย่างไร ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเป็นคนรักของข้า ข้าก็จะเป็นลูกของเจ้า”
หญิงงดงามทั้งอายทั้งโมโห คิ้วงามตั้งตรงราวกับจะระเบิดโทสะ
หลี่หลิงซู่พลันคว้ามือของนางมาแนบอก สีหน้าและน้ำเสียงนอบน้อมจริงใจและมีความหมายลึกซึ้ง
“เหมยเอ๋อร์ เจ้ารับรู้ได้หรือไม่ เลือดในทรวงอกเดือดพล่านเพราะเจ้า…”
หญิงงามมองเขาอย่างงงงัน ดูเหมือนจะมีประกายแวววาวในดวงตา
หลี่หลิงซู่ตีเหล็กตอนร้อน ประคองใบหน้าของนางไว้และก้มลงจูบปากสีแดงของนาง
ทั้งสองยืนพิงจูบกันอย่างดูดดื่ม การเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขอบเขตก็เกินเลยไปเรื่อยๆ…
‘ป้าบ!’
“ต่อไปเป็นเนื้อหาที่ต้องจ่ายเงิน แต่ละคนจ่ายให้ข้าคนละห้าร้อยตำลึงเงิน”
“ถุย!” หลี่เมี่ยวเจินถ่มน้ำลายใส่เขาทีหนึ่ง
มู่หนานจือตบหัวน้อยๆ ของไป๋จี ไป๋จีเข้าใจด้วยจิตวิญญาณ “ถุย ถุย ถุย”
…………………………………………………