ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 641 โหมโรง (2)
ราตรีเย็นเยียบดุจวารี
หรงหรงที่นอนหลับอย่างตื้นเขินกระดิกหูในฉับพลัน ได้ยินเสียงสะบัดแขนเสื้อดังขึ้นเบาๆ
มีคนแสดงวิชาตัวเบาร่อนลงบนลานที่อยู่ด้านนอก
นางจับกระบี่สั้นบนหัวเตียงไว้โดยจิตสำนึก จากนั้นก็ตัดสินจากเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาได้ว่าเป็นอาจารย์ของตนเอง
“อาจารย์ ท่านกลับมาจากการฝึกยุทธ์แล้วหรือ”
ตอนที่ถามนั้น นางเห็นอาจารย์ผลักประตูเข้ามา ท่ามกลางแสงจันทร์หรุบหรู่ มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจน แต่ดูจากเค้าโครงร่างกายแล้วดูเหมือนกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย
หรงหรงลุกขึ้นเพื่อจุดตะเกียง แต่หญิงงามรีบห้ามไว้
“อย่าจุดตะเกียง!”
หญิงงามเดินนวยนาดอ้อมสิ่งกีดขวางในห้องไปหยิบถังไม้จากด้านหลังฉากบังลมแล้วหมุนตัวเดินออกประตู
ชั่วเวลาครึ่งเค่อ หรงหรงได้ยินเสียงถอดเสื้อดัง ‘ฟึบฟับ’ และยังมีเสียงน้ำหยดเบาๆ รู้ได้ทันทีว่าเริ่มอาบน้ำแล้ว
‘จริงๆ เลย มีอะไรน่าอายกัน…’ หรงหรงกระซิบกระซาบในใจ
อาจารย์เลี้ยงนางมาจนโต จนถึงช่วงสาวแรกรุ่นยังเคยแช่ถังไม้ใบเดียวกับอาจารย์อยู่เลย
ทันใดนั้นนางก็สูดจมูกและพูดเสียงต่ำ
“กลิ่นอะไร”
ชาวยุทธจักรมีประสาทรับรู้ที่ไวมาก
เสียงน้ำหยุดลง น้ำเสียงของหญิงงามดูผวาเล็กน้อย
“กลิ่นอะไร อืม อาจเป็นเพราะอาจารย์ฝึกยุทธ์อยู่ในป่าเลยแปดเปื้อนสิ่งสกปรกเข้า…”
หญิงสามพรหมจารีไม่รู้จักรสชาติของน้ำตาล ไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย ได้แต่พูดว่า “อ๋อ”
“อาจารย์ ท่านว่าเมื่อใดข้าถึงทำให้ฆ้องเงินสวี่รักข้าได้” หรงหรงหน้านิ่วคิ้วขมวด
หญิงงามกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าได้คิดเลย บำเพ็ญตบะอย่างว่านอนสอนง่าย มองดูคนหนุ่มด้านข้างให้มากหน่อย ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถอาจเอื้อมได้”
หรงหรงทำเสียงฮึดฮัดกล่าว “ข้าชอบเขา ชอบก็ไปช่วงชิง ได้เห็นเขาทุกวัน ได้เป็นอนุข้าก็ยินยอม”
‘ชอบก็ไปช่วงชิง…’ หญิงงามเอาหลังพิงถังไม้และพูดพึมพำ
…
หลี่หลิงซู่กลับมาท่ามกลางความมืด หน้าแดงเปล่งปลั่งมีรอยยิ้มเล็กน้อย สภาพทั่วทั้งร่างกายอธิบายคำกล่าวที่ว่า ‘พอมนุษย์เจอเรื่องที่เป็นสิริมงคลจิตใจก็เบิกบาน’ ได้อย่างสมบูรณ์
แม้เขายังไม่อาจเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์นี้ได้โดยตรง กลัวผลลัพธ์หลังจากถูกเปิดเผย แต่ก็ไม่มีเจตจำนงแน่วแน่ว่าจะวาดเส้นแบ่งเขตให้ตัวเองอย่างชัดเจน
หลี่หลิงซู่เข้าใจความกังวลของจี้จิ่นเหมย เพราะเขาเองก็มีความรู้สึกหวาดกลัวแบบเดียวกัน
คนสองคนที่อายุห่างกันเกือบยี่สิบปีกลายเป็นคู่บำเพ็ญ อยู่ภายใต้ระดับเหนือมนุษย์แล้ว ไม่ว่าจะในนิกายสวรรค์หรือทางโลก การรวมตัวเช่นนี้จะดึงดูดมาซึ่งสายตาแปลกๆ
แม้กระทั่งยั่วเย้าให้ผู้คนทอดทิ้ง
เขากดกระบี่บินลง ตอนที่เข้าใกล้ที่พักนั้นก็ร่อนลงมาล่วงหน้า จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีพิรุธแล้ว ถึงกลับไปเรือนสี่ประสาน
‘แกร๊ก’
ประตูเรือนไม่ได้ลงกลอน คนที่พักอยู่ด้านในไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะลงกลอนประตูหรือไม่
พริบตาที่ผลักประตู สภาพภายในห้องทำให้หลี่หลิงซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง
ริมโต๊ะหินมีสวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน เหมียวโหย่วฟาง ฉู่หยวนเจิ่น และไต้ซือเหิงหย่วนนั่งอยู่
ทุกคนกำลังดื่มสุราอยู่ ในมือถือจอกสุรา และมองดูเขาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
‘มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้เชียวหรือ…’
หลี่หลิงซู่สีหน้าสงบ ไม่ลุกลี้ลุกลน
หลี่เมี่ยวเจินถาม “ไปไหนมา”
“เดินเล่นเรื่อยเปื่อย”
หลี่หลิงซู่ตอบเช่นนี้
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นชาดทาแก้มและกลิ่นแป้งของหญิงสาว”
เทพบุตรไม่ลนลานแม้แต่น้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เสน่ห์ที่น่าสมควรตายของข้า…สิ่งที่กลัดกลุ้มใจที่สุดของหนุ่มรูปงามก็คือได้รับความนิยมจากหญิงสาวมากเกินไป”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าช้าๆ ทันใดนั้นก็ทำท่าทางแสดงออกมาด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
“เหมยเอ๋อร์ อายุไม่ควรเป็นสิ่งกีดขวางความรักระหว่างเรา”
สวี่ชีอันลุกขึ้นเงียบๆ และจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินอย่างลึกซึ้ง
“หากเจ้ากลัวข่าวลือ กลัววิธีการมองของศิษย์และสหายร่วมสำนัก เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไป”
…รูม่านตาของหลี่หลิงซู่ค่อยๆ เบิกกว้าง เขาดูโง่ไปเลยทีเดียว
หลี่หยวนเจิ่นส่ายหน้าและจิบสุราทีหนึ่ง
“หลี่เต้าฉาง เจ้าอาจไม่รู้ ข้าก็ไม่มีบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกแม่โอ๋เป็นอย่างไร”
เหมียวโหย่วฟางกล่าว
“จอมยุทธ์ฉู่อย่าได้เศร้าเสียใจไป ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าเป็นพี่น้องกับเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะเป็นลูกของเจ้า”
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดลง จิ้งจอกขาวน้อยตัวหนึ่งก็กระโจนออกจากห้อง น้ำเสียงดังกังวานราวกับกระดิ่งเงิน และกล่าวด้วยเสียงอ่อนช้อย
“รับรู้ได้หรือยัง เลือดในทรวงอกเดือดพล่านเพราะเจ้า”
ขณะนี้หลี่หลิงซู่รู้สึกเหมือนตนเองถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
“พวก…พวกเจ้า…”
เทพบุตรใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกแค่ว่ามีเปลวไฟลุกไหม้ภายในร่าง ควันดำลวงตาพ่นออกจากศีรษะ
สมาชิกพรรคฟ้าดินเข้าห้องไปนอนด้วยความพึงพอใจ ทิ้งให้หลี่หลิงซู่ยืนอึ้งอยู่ในลานบ้านคนเดียว
“อ้อ! ใช่สิ พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะพูดคุยกับผู้อาวุโสสองท่านสักหน่อย” หลี่เมี่ยวเจินพูดทิ่มแทงไปอีกประโยคด้วยรอยยิ้มกริ่ม
หลี่หลิงซู่มีพ่อมีแม่และก็เป็นคนนิกายสวรรค์ด้วย
‘ข้ามีชีวิตอยู่ ยังจะมีความหมายอะไรอีก…’ เทพบุตรถามสำรวจตรวจสอบจิตใจตนเอง
…
เมืองชิงโจว ที่ทำการสมุหเทศาภิบาล
ภายในห้องโถง หยางกงฆราวาสจื่อหยางที่ไว้หนวดเคราแพะ หน้าตาผ่ายผอม กำลังอ่านและตรวจสอบข่าวกรองอวิ๋นโจวที่หน่วยจารกรรมส่งกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้เข้าใจสาเหตุที่ผู้ลี้ภัยกรูกันไปที่อวิ๋นโจวแล้ว”
หยางกงที่ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลในชิงโจวมองดูเจ้าหน้าที่รอบๆ ห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และกล่าวว่า
“ในข่าวกรองบอกว่า ขุนนางในอวิ๋นโจวประกาศเปิดคลังเสบียงดึงดูดให้ผู้ลี้ภัยสมัครเป็นทหาร”
‘อวิ๋นโจวจะกบฏหรือ…’ บรรดาข้าราชการมีสีหน้าอึมครึมไม่ได้ตกตะลึงและประหลาดใจเลย และก็ไม่ได้คุมแค้นด้วย บางคนแค่นิ่งเฉยและเคร่งขรึม
เมื่อสองเดือนก่อน อดีตจักรพรรดิถูกสวี่ชีอันโค่นในเมืองหลวงไม่นาน ราชสำนักส่งคำสั่งไปที่ชิงโจวติดต่อกันหลายฉบับ สั่งให้ชิงโจวเข้าสู่สถานะเตรียมรบ ตุนอาหาร ตุนอาวุธเหล็ก บูรณะกำแพงเมือง
อวิ๋นโจวอยู่ติดทะเล ทิศใต้คือทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา พื้นที่ทางทิศเหนือส่วนมากมีพรมแดนติดต่อกับชิงโจว
กากเดนราชวงศ์ก่อนต้องการใช้อวิ๋นโจวเป็นรากฐาน ยกกำลังพลขึ้นเหนือปราบปรามเมืองหลวง จำเป็นต้องยึดชิงโจวให้ได้ เพื่อให้ได้ยุทธศาสตร์เชิงลึกที่เพียงพอ
หากไม่สามารถเอาชนะชิงโจวได้ ทหารกบฏก็จะถูกขังตายอยู่ในมุมหนึ่งของอวิ๋นโจว
ตุลาการความมั่นคงกล่าวด้วยความลังเล
“พวกเราต้องเพิ่มระดับกำลังในการบรรเทาทุกข์ประชาชนผู้ประสบภัยให้มาก หยุดยั้งแนวโน้มของผู้ลี้ภัยที่หลบหนีไปทางใต้
เทียบกับภูมิภาคอื่นๆ แล้ว ทางใต้อบอุ่นกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย อาหารก็มีอย่างเพียงพอ ด้วยเหตุนี้จำนวนผู้ลี้ภัยในชิงโจวจึงน่ากลัวอย่างยิ่ง
หากผู้ลี้ภัยเหล่านี้สุมหัวกันไปอวิ๋นโจว ผลที่ตามมานั้นอันตรายยิ่งนัก
ข้าหลวงชิงโจวพยักหน้าติดต่อกัน
“แม้ราชสำนักจะให้เสบียงและหญ้าแก่พวกเราเพียงพอ แต่มันเก็บไว้ใช้กับสงครามที่ยืดเยื้อ เวลานี้ภัยหนาวโหมกระหน่ำไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ราชสำนักขาดแคลนเสบียง หมดไปกับผู้ลี้ภัย ต่อไปพอเสบียงและหญ้าไม่พอ ไม่ต้องรอให้ศัตรูโจมตี พวกเราก็จะพังทลายกันเอง”
ในภาวะสงคราม สิ่งแรกที่ต้องคำนึงมากที่สุดคือข้อเรียกร้องของกองทัพ
ข้าราชการอีกคนกล่าวออกมา
“ภัยพิบัติโหมซัดสาด จำนวนผู้ลี้ภัยมากกว่าที่คิดไว้มาก อวิ๋นโจวกล้าเปิดคลังเสบียงใหญ่ ใช่ว่าเสบียงและหญ้าของพวกเขาจะไม่มีวันหมด ไม่กลัวจะลากตัวเองให้พังทลายไปด้วยหรือ”
หยางกงกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก
“ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทหารกบฏอวิ๋นโจวกักตุนเงินอาหารและยุทธปัจจัยก็เพื่อเวลานี้ การสะสมและภูมิหลังของพวกเขาจะต้องอยู่เหนือจินตนาการของพวกเราอย่างแน่นอน”
“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
บรรดาข้าราชการใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
สำหรับผู้ลี้ภัยในตอนนี้ มีนมก็คือมารดา ใครให้อาหาร พวกเขา พวกเขาก็ทุ่มเทชีวิตเพื่อคนนั้น
หยางกงคิดลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“ปิดถนนที่มุ่งสู่ชายแดนอวิ๋นโจว ขัดขวางการลงใต้ของผู้ลี้ภัย ส่งคนไปแพร่ข่าวว่า ที่อวิ๋นโจวเปิดคลังบรรเทาทุกข์ประชาชนผู้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นแค่ข่าวลือ อีกอย่างใครกล้ากระจายข่าวว่าอวิ๋นโจวเปิดคลังเสบียง ให้สังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น”
ข้าหลวงชิงโจวขมวดคิ้วมุ่น
“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล สิ่งนี้จะให้ผู้ลี้ภัยก่อการกบฏอย่างฉับพลันได้”
หยางกงยิ้มกล่าว “ข้าพูดแค่ว่าปิดถนนที่มุ่งสู่อวิ๋นโจว หากผู้ลี้ภัยจะข้ามน้ำข้ามภูเขาหรืออ้อมไปยังมณฑลใกล้เคียงเพื่อลงใต้นั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”
คนที่อยู่บนที่นั่งล้วนเป็นคนเจนโลก จึงเข้าใจความยอดเยี่ยมของแผนนี้ในทันที
อากาศเย็นจนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง ทางเดินบนภูเขาเดินยาก อยากจะข้ามน้ำข้ามภูเขาลงใต้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็สามารถทำได้
เช่นนี้ก็ลดจำนวนผู้ลี้ภัยลงใต้ได้จำนวนมาก
อ้อมไปยังมณฑลใกล้เคียงเพื่อลงใต้ ก็มีผลสรุปเช่นเดียวกัน
เพราะดีเลวอย่างไรก็ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย ผู้ลี้ภัยไม่ยอมเป็นปลาตายแหขาดแน่นอน
ผู้บัญชาการชิงโจวทอดถอนใจกล่าว
“โชคดีที่ชิงโจวเรายังนับว่าอุดมสมบูรณ์และมีประชากรมาก คลังเสบียงสะสมไว้เพียงพอ หากเป็นเมื่อสองปีก่อนเกรงว่าคงวุ่นวายเป็นการใหญ่แล้ว”
หลังจากหยางกงบริหารมาปีกว่าๆ การเมืองในชิงโจวก็มีกฎเกณฑ์ แต่ละบ้านล้วนมีอาการเหลือ เสบียงและหญ้าในคลังเสบียงของขุนนางก็สะสมไว้เพียงพอเช่นกัน
ตอนนี้มานึกดูแล้ว ราชสำนักมีญาณพิเศษที่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า ได้ทำการรับมือไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
…
หลังจากเร่งเดินทางมาสองวันสองคืน จีเสวียนควบคุมเรืออวี่โจวไปถึงชิงโจวก่อน
เพื่อป้องกันไม่ให้เจอกับท่านโหราจารย์ที่นอกอวิ๋นโจว พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางบก เดินข้ามน้ำข้ามทะเลด้วยความยากลำบากไปตามเส้นทางที่ไกลแสนไกล ห้อตะบึงอย่างถึงขีดสุดจนเข้าสู่อวิ๋นโจวอย่างราบรื่น
หลังจากนั้นค่อยควบคุมเรืออวี่เฟิงอีกครั้งจนไปถึงเมืองเฉียนหลง
เหนือทะเลเมฆา จีเสวียนยืนอยู่ริมกราบเรือ เขาก้มลงมองเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างอิงตามภูเขาด้วยแววตาที่ดูล่องลอยเล็กน้อย
จากบ้านไปสองเดือน นานราวกับผ่านไปสองปี ตอนไปจากเมืองเฉียนหลงนั้น ข้างกายเขามียอดฝีมือหกคนคอยช่วยเหลือ ทว่ากลับมาวันนี้ข้างกายเขาเหลือแค่สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหว
พวกหลิ่วหงเหมียนทั้งสามไม่ทราบร่องรอย นักบวชเต๋าเจียวเยี่ยเสียชีวิตในเมืองยงโจว
การท่องยุทธภพในครานี้ ทิ้งรอยหมึกเข้มไว้ในชีวิตของเขาอย่างไม่อาจลบเลือนได้
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”
เรืออวี่เฟิงหยุดค้างอยู่บนอากาศเหนือเมืองเฉียนหลง สวี่หยวนไหวแบกพี่สาวกระโดดลงไป
จีเสวียนถือโอกาสกระโดดขึ้นฟ้านำภาชนะสามขาเล็กๆ ออกมา และเก็บเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายกับเรืออวี่เฟิงเข้าไปในภาชนะสำริด
ทั้งสามเดินตามเนินที่ปูด้วยหินไข่ห่านไปบนยอดเขา ประชาชนและทหารหาญที่พบเจอระหว่างทางล้วนหยุดฝีเท้าลง และทักทายปราศรัยกับจีเสวียนอย่างอบอุ่นใจ
จีเสวียนตอบรับแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ยิ่งเดินขึ้นไปด้านบน ประชาชนธรรมดาก็ยิ่งน้อยลง จนกระทั่งไร้ซึ่งร่องรอย
พวกเขาเดินผ่านกำแพงเมืองเตี้ยๆ และเข้าไปในบริเวณที่เชื้อพระวงศ์อาศัยอยู่
จีเสวียนเดินไปทางใต้ ไปทางจวนเจ้าเมือง
พี่น้องตระกูลสวี่เดินไปทางตะวันตก นั่นคือทิศทางไปหอความลับสวรรค์
หลังเดินผ่านยามรักษาการณ์ไปหลายคน จีเสวียนก็เข้าไปในจวนเจ้าเมือง และพบกับบิดาที่ห้องหนังสือ
ชายวัยกลางคนที่มีลักษณะน่าเกรงขาม สวมเสื้อคลุมสีม่วงหรูหรา องคาพยพได้สัดส่วนงดงาม เขายืนอยู่หน้าโต๊ะขนาดใหญ่ มือทั้งสองจับโต๊ะไว้และดูแผนที่ที่ราบกลางที่กางอยู่อย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ข้าหารือกับท่านราชครูและแม่ทัพทั้งหลายแล้ว อยากจะบัญชาทหารออกรบบุกไปทางเหนือ จักต้องยึดชิงโจวมาให้ได้”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่มองดูแผนที่แล้วพูดต่อ
“แต่ตอนนี้ชิงโจวเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกหยางกงปกครองจนเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องพูดเลยว่าบัณฑิตลัทธิขงจื๊อล้วนมีวิธีการปกครองบ้านเมืองและทหารจริงๆ หากจะยึดชิงโจวมาให้ได้นั้น มันไม่ยาก แต่จะให้บาดเจ็บน้อยที่สุดและยึดได้ไวที่สุดนั้นมันยาก! เจ้าคิดว่าอย่างไร”
จีเสวียนเดินมาถึงขอบโต๊ะและก้มหน้ากวาดดูทีหนึ่ง
“ชิงโจวจำเป็นต้องยึดมาให้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องฝ่าโจมตีซึ่งๆ หน้า สามารถยืมเส้นทางจากซินเจียงตอนใต้ผ่านอวี่โจวและเข้าสู่เขตใจกลางชิงโจวโดยตรง หรือใช้เส้นทางทะเล และผ่านดินแดนของสำนักพ่อมดไป”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงพยักหน้าด้วยความพอใจ ขณะนี้ถึงถามขึ้นมาว่า
“ท่องยุทธภพในครานี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
จีเสวียนสีหน้าหม่นหมอง “ลูกละอายใจนัก สวี่ชีอันน่ากลัวและแข็งแกร่งเกินไป จนกระทั่งบัดนี้ ลูกค้นหาและรวบรวมได้แค่เศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายจำนวนหนึ่งเท่านั้น”
“ปราณมังกรแตกกระเจิง ที่ราบกลางตกอยู่ในภาวะผีซ้ำด้ำพลอย เป็นผลลัพธ์ที่ดีสำหรับพวกเรา ส่วนปราณมังกรนั้น สามารถรวบรวมได้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด รวบรวมไม่ได้ก็ไม่ต้องดึงดัน”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงยิ้มออกมา
จีเสวียนมีสีหน้าผ่อนคลายลง “ระหว่างทางที่เดินทางกลับมา พบผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้าสู่อวิ๋นโจว ท่านพ่อวางแผนก่อการแล้วหรือ”
“อีกสามวันให้หลัง ข้าจะประกาศตนเป็นจักรพรรดิในอวิ๋นโจว เจ้าเตรียมพร้อมสักหน่อย…”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วงกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
มือของจีเสวียนสั่นสะท้านเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้นไว้ และโค้งตัวกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ!”
…
ทางด้านตะวันตก เข้าไปในคฤหาสน์ที่สังกัดหอความลับสวรรค์ สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ ก็มุ่งตรงไปยังเรือนเล็กที่มารดาอาศัยอยู่
เงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว นอกจากคนรับใช้ไม่กี่คนที่ปรนนิบัติอยู่ที่นี่แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีคนมาเยือนเลย
ภายในห้องรับแขกเล็กๆ ที่จุดไม้จันทน์หอมอยู่ สตรีที่กำลังหวีมวยผมที่ดูภูมิฐาน สวมเสื้อกันหนาวสีครามเข้ม กระโปรงยาวร้อยกลีบ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม
นางหลับตาครุ่นคิดอย่างหนัก
สวี่หยวนซวงผลักประตูห้องรับแขกเล็กๆ ก่อนกล่าวเบาๆ
“ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้ว”
สวี่หยวนไหวไม่ได้พูดอะไร แต่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
สตรีงดงามที่ดูสง่าผ่าเผยลืมตาขึ้นราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก และยิ้มกล่าว
“กลับมาก็ดีแล้ว พวกเจ้าทั้งสองผอมลงไปมาก มีอะไรเพิ่มขึ้นในแววตาเล็กน้อย ดูท่าคงผ่านเรื่องราวมาไม่น้อยล่ะสิ”
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนถาม
“ไม่ได้เจอกับเขาหรือ”
………………………………………..