ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 642 ภัยโจร
บนดาดฟ้าเรือสินค้าที่อยู่บนคลองเว่ยสุ่ยในเจี้ยนโจว
มู่หนานจือคลุมเสื้อตัวใหญ่ต้านลมหนาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่ปูด้วยเบาะนวมขนาดใหญ่ มือข้างหนึ่งอุ้มไป๋จี อีกข้างจับคันเบ็ดตกปลา
ด้านซ้ายมีโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่สองตัว ถ่านไฟคุโชนในเตาเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะกำลังต้มปลาหม้อหนึ่งอยู่
สวี่ชีอันกับเหมียวโหย่วฟางนั่งกินปลาและพูดคุยกันอยู่ริมโต๊ะ
ไป๋จียื่นหัวออกจากอ้อมกอดของมู่หนานจือ ดวงตาดำแป๋วจ้องมองตาปริบๆ
“หลายวันนี้ถ้าไม่ใช่ปลาก็เป็นเนื้ออบ กินจนข้าฉี่ไม่ออกแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางด่าสุ่มสี่สุ่มห้า
สวี่ชีอันพลิกฝ่ามือตบเขาจนร่วงจากเก้าอี้ จากนั้นก็กวักมือเรียกไป๋จี
ไป๋จีสลัดตัวหลุดออกจากอ้อมกอดของพระชายา ก้าวขาสั้นๆ ทั้งสี่ด้วยความเบิกบานใจ มันวิ่งไปที่เท้าของสวี่ชีอันอย่างว่าง่าย และแหงนหน้ามองเขา
สวี่ชีอันอุ้มไป๋จีขึ้นมา เขาคีบเนื้อนุ่มๆ ตรงส่วนท้องปลาใส่ลงในถ้วยชิ้นหนึ่ง ไป๋จีเอาหน้ามุดเข้าไปในถ้วย และค่อยๆ กินคำเล็กๆ
“เจ้ามีพัฒนาการเร็วมาก ข้าคาดการณ์ว่าฝึกฝนอีกหนึ่งเดือนก็ย่างเข้าสู่สลายแรงขั้นห้าแล้ว พอถึงเวลานั้น แค่ตนเองไม่รนหาที่ตาย ยั่วยุบุคคลระดับสุดยอดล่ะก็ ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ เจ้าจะไปที่ไหนก็ได้”
สวี่ชีอันจิบสุราขุ่นไปจิบหนึ่งด้วยความปลื้มปีติยินดีเล็กน้อย
การเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ รุดหน้าไปที่ภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้
ขณะนี้ในกลุ่มเล็กๆ นี้มีแค่คนสามคนกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว
ผู้คนในสมาชิกพรรคฟ้าดิน หลี่เมี่ยวเจินมีจิตใจที่เต็มไปด้วยสัจจะและมีความกล้าหาญที่จะช่วยเหลือคน ชอบผดุงคุณธรรม ประจวบเหมาะกับภัยพิบัติโหมซัดสาด ประชาชนแต่ละแห่งไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ มักคิดว่าต้องทำอะไรสักหน่อย ดังนั้นจึงยากที่จะอยู่ข้างกายสวี่ชีอันได้อย่างสงบเสงี่ยม
ฉู่หยวนเจิ่นคือนักกระบี่ที่เที่ยวเอ้อระเหยลอยชาย ทั่วทุกหนทุกแห่งคือบ้าน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สิ่งที่เฝ้าปรารถนาคืออิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ
ในระหว่างทางที่ท่องยุทธภพ ได้พบเจอกับสหายเก่า ดื่มสุราสักจอก มีบุญคุณก็ตอบแทนมีแค้นก็ชำระ เป็นเรื่องที่เขามีความสุขที่สุด รอดื่มสุราหมดจอก เข้าใจเรื่องราวแล้ว ก็ย่ำเดินทางแสดงหามรรคกระบี่ของเขาอีกครั้ง
ไต้ซือเหิงหย่วนกับเทพบุตรมีสภาพจิตใจเช่นเดียวกัน คนออกบวชถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก ช่วยเหลือมนุษยชาติเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน
ส่วนที่ว่าเหตุใดหลี่หลิงซู่ถึงไม่ลงใต้ด้วยนั้น…
วันนั้นทุกคนตื่นขึ้นมาในรุ่งอรุณ เทพบุตรก็จากไปแล้ว
ทิ้งจดหมายไว้ให้พรรคฟ้าดินหนึ่งฉบับ ความหมายก็คือช่วงนี้สภาพจิตใจของตัวเองปั่นป่วน ต้องการเดินทางคนเดียวเพื่อซาบซึ้งความหมายที่แท้จริงของการตัดอารมณ์ความรู้สึก
ที่จริงตอนที่เขาไปนั้น สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างก็รู้กันหมด ลำพังแค่ตบะของทุกคนก็รับรู้ความคลื่นไหวในระยะรัศมีหลายลี้ได้อย่างชัดเจน
สวี่ชีอันนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ทั้งยังร้องเพลงส่งเทพบุตรอยู่ในใจ
รู้ว่าเจ้าจะไปในคืนนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ…เมื่อเจ้าแบกกระเป๋าเดินทางและปลดเกียรติยศนั้นลง ข้าได้แต่เก็บรอยยิ้มไว้ใต้ก้นบึ้งหัวใจ…
หลังจากเทพบุตรไปแล้ว สวี่ชีอันก็ปล่อยตัวตงฟางหว่านชิง ไฉซิ่งเอ๋อร์ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์พุทธะ กำหนดเวลาป้อนอาหาร กำหนดเวลาเรียกออกมาล้างหน้าแปรงฟัน กำหนดเวลาให้เหมียวโหย่วฟางเป็นกรรมกรกุลีขัดล้างถังอุจจาระ
ขณะนี้ ผู้คุมงานจูที่รับผิดชอบเรือสินค้าก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“จอมยุทธ์เหมียว ด้านหน้าก็คือหาดวารีทองคำ สายน้ำราบเรียบ มีโจรสลัดปิดกั้นแม่น้ำเพื่อปล้นอยู่บ่อยๆ ตามปกติแล้วแค่มอบเงินให้นิดหน่อยก็สามารถข้ามไปได้”
เห็นเหมียวโหย่วฟางพยักหน้าเขาก็กล่าวต่อ
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านก็ไม่ต้องลงมือแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางตอบรับ “อืม” อย่างหยิ่งยโส รักษามาด ‘ผู้สูงส่ง’ ของเขาไว้
ผู้คุมงานจูโค้งตัวถอยออกไป
เรือสินค้าลำนี้เป็นเรือสินค้าของสมาคมการค้าเจี้ยนโจว จะไปทำการค้าที่อวี่โจว และสถานะของเหมียวโหย่วฟางในตอนนี้คือขุนนางต่างถิ่นที่สมาคมการค้าเจี้ยนโจวดึงเข้ามาใหม่ รับผิดชอบความปลอดภัยในการล่องลงใต้ของเรือสินค้า
สถานะของสวี่ชีอันไม่ได้ถูกเปิดเผย เป็นแค่ผู้ติดตามธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
เรือสินค้าล่องไปได้ครึ่งชั่วยาม กระแสน้ำเริ่มลดช้าลง ล่องไปอีกครึ่งเค่อความเร็วของเรือก็ช้าลงมาก
ทำได้แค่อาศัยฝีพายในท้องเรือทำการเดินเรือ
‘ตึง ตึง ตึง…’ ผู้คุมงานจูพาทหารสิบกว่าคนวิ่งออกจากห้องเรือ ถือดาบแบกธนูด้วยท่าทีระมัดระวัง
สวี่ชีอันเบิ่งมองไปยังริมแม่น้ำทางซ้าย เห็นว่ามีเรือเล็กหลายสิบลำฝ่าคลื่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านั้นพวกมันยังทอดเสมออยู่ริมฝั่งแม่น้ำอยู่เลย รอจนเรือสินค้าเข้าสู่ลุ่มน้ำที่ไหลเอื่อย โจรสลัดร้อยกว่าคนบนฝั่งก็รีบกระโดดลงเรือตีฝีพายคู่แหวกคลื่นเข้ามาประชิด
นี่คือเรือเล็กประเภทหนึ่งที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน มันยาวไม่เกินหนึ่งจั้ง กว้างแค่สามฉื่อ มีระแนงไม้ มีกรรเชียงสองอัน ไม้พายหนึ่งอัน เบาและรวดเร็ว
“นี่ ทำไมถึงมีโจรสลัดมากมายขนาดนี้!”
ผู้คุมงานจูอ้าปากค้าง สีหน้าขาวเผือด
เหมียวโหย่วฟางมองเขาทีหนึ่ง “เมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้หรือ”
ผู้คุมงานจูควบคุมจิตใจให้สงบ สีหน้ายังคงดูอัปลักษณ์เช่นเดิม และกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เส้นทางน้ำนี้ข้าเคยผ่านมาหลายครั้ง เมื่อก่อนโจรสลัดทั้งหมดมีแค่ยี่สิบสามสิบคน เกรงว่าจำนวนคนในวันนี้คงมีร้อยกว่าคน นี่ นี่มันจะกระหายเกินไปแล้ว…”
สวี่ชีอันถามในฉับพลัน “เรือเหล่านี้ชื่อว่าอะไร”
“นี่คือเรือหอก ขึ้นชื่อในเรื่องความคล่องแคล่ว เป็นเรือที่โจรสลัดชอบใช้”
ผู้คุมงานจูหน้าเสียอย่างถึงขีดสุด และอธิบายด้วยความอดทน
“ในลุ่มน้ำที่น้ำสงบ เรือสินค้าไม่เร็วเท่าเรือเล็กเหล่านี้ หอกในมือพวกเขาใช้เพื่อแทงทะลุท้องเรือของพวกเรา หอกไม่ใช่วิธีการเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเผาเรือด้วย”
ระหว่างที่พูด ฝูงเรือหอกอยู่ห่างเรือสินค้าไม่ถึงสามจั้ง ผู้คุมงานจูเดินไปริมกราบเรือ หลังจากสูดหายใจไปหนึ่งทีแล้ว ก็โบกมือตะโกนกล่าว
“วีรบุรุษทุกท่าน ข้าน้อยจูเวิ่น ทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน ออกมาขอใช้ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าได้เตรียมห้าสิบตำลึงเงิน หวังขอผ่านทางอย่างราบรื่น”
ห้าสิบตำลึงเงินเป็นเงินผ่านทางจำนวนมากเลยทีเดียว
ในระหว่างที่สวีชีอันดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานในเมืองหลวง ขนาดไม่กินไม่ดื่ม ก็มีเงินตอบแทนแค่ห้าสิบตำลึงต่อปีเท่านั้น
“ห้าสิบตำลึง ไล่ขอทานหรือ”
เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากเรือหอกลำหนึ่ง
ผู้คุมงานจูและคนอื่นๆ มองไปตามเสียงทันที เขาเป็นชายสวมชุดดำและคลุมเสื้อตัวใหญ่ ดาบเล่มหนึ่งห้อยอยู่บนเอว และยืนอยู่ตรงหัวเรืออย่างมั่นคง
เขาอายุราวสามสิบต้นๆ ผิวหนังหยาบกร้านและดำคล้ำ สายตาเฉียบคมและดื้อรั้น
ผู้คุมงานจูไม่รู้จักเขา ในความทรงจำของเขา หัวหน้าโจรกลุ่มนี้คือทหารผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ยวนยางป่า’ มีตบะระดับหลอมปราณ ยังนับว่าฟังกฎเกณฑ์อยู่ ให้เงินก็ผ่านทางไปได้
“ท่านมิใช่ยวนยางป่า เขาอยู่ที่ใด…”
เขากำลังจะเอ่ยปาก ชายที่คลุมเสื้อตัวใหญ่ผู้นั้นก็กระโดดขึ้นไปเหยียบหัวเรืออย่างรุนแรงแล้ว
‘ตูม!’
หัวเรือทั้งลำจมลงทันที ทำให้ผู้คนบนเรือเอนซ้ายเอนขวาเสี่ยงต่อการหกล้ม
ชายชุดดำกวาดสายตามองผ่านเหมียวโหย่วฟางซึ่งเป็นคนเดียวที่ยืนตระหง่านอย่างสงบ และทหารคุ้มกันเรือหลายคนที่สะพายดาบแบกธนูอยู่ จากนั้นก็ตะคอกออกมา
“ยังมีผู้ฝึกตนอีกหลายคนนี่ ยวนยางป่าหรือ เจ้าหมายถึงเจ้าหมอที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นั้นน่ะหรือ เขาถูกข้าตัดศีรษะถ่วงแม่น้ำไปแล้ว แต่ข้านับว่ายังมีคุณธรรม ยังช่วยเขาดูแลภรรยาเขาเป็นอย่างดี”
ผู้คุมงานจูกล่าวเสียงทุ้ม
“ท่านต้องการเงินเท่าใด พูดมาตามตรงเถิด”
ชายชุดดำยกฝ่ามือขึ้น นิ้วทั้งห้ากางออก “จำนวนเท่านี้”
‘ห้าร้อยตำลึง…’ ผู้คุมงานจูกล่าวเสียงทุ้ม
“ท่านอย่าได้พูดล้อเล่น”
สินค้าบนเรือทั้งลำ มีผลกำไรสุทธิไม่ถึงห้าร้อยตำลึงเลย
ชายชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“พวกเราไม่ได้ต้องการแค่เงิน ต้องการผู้หญิงด้วย ลูกน้องในมือมีมากขนาดนี้ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้หญิง ข้าให้วิธีที่พบกันครึ่งทางกับพวกเจ้า ผู้หญิงหนึ่งคนชดเชยสิบตำลึง ผู้ที่รูปร่างสวยงามชดเชยได้ยี่สิบตำลึง”
ขณะที่พูด เขาก็มองดูมู่หนานจือที่อยู่ข้างสวี่ชีอันและทำเสียง ‘จุ๊’ อย่างน่ารังเกียจ
“สินค้าแบบนี้ห้าตำลึงเงิน ไม่อาจมากไปกว่านี้ได้ เพียงพอที่จะผ่อนคลายอารมณ์ให้บรรดาพี่น้องได้สองสามวัน”
มู่หนานจือยิ้มเยาะ
“ออกมาเกลือกกลั้วยุทธภพ อย่าทำเรื่องที่…”
เดิมทีผู้คุมงานจูคิดจะพูดเกลี้ยกล่อมดีๆ แต่กลับต้องสำลักในทันที เพราะในขณะนี้ ชายชุดดำตั้งใจหันหน้าไปหาแสงอาทิตย์ มีแสงเทพจางๆ ปรากฏบนผิวหนังหนึ่งชั้น
‘ขั้นหก กระดูกเหล็กผิวทองแดง!’
‘เผชิญหน้ากับคนโฉดเข้าแล้ว…’ ผู้คุมงานจูมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาอดมองเหมียวโหย่วฟางไม่ได้
ว่ากันว่าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับนี้ ทำได้แค่ยอมรับความโชคร้ายเท่านั้น
ผู้คุมจูคาดเดาระดับของเหมียวโหย่วฟางไม่ได้ ทำได้แค่มอบอำนาจตัดสินใจให้เขา ผู้คุมงานจูเชื่อว่าเหมียวโหย่วฟางจะใช้ดุลพินิจพิจารณาส่วนดีและส่วนเสียได้
“อืดอาดชักช้าอยู่ได้ ความอดทนข้ามีจำกัดนะ!”
ชายชุดดำเดินไปคว้ากาสุราตรงขอบโต๊ะมากรอกเข้าปากหนึ่งอึก และผิวปากหนึ่งที
หลังจากมีเสียงดังฉึกๆ ตะขอเหล็กสิบกว่าอันก็รัดพันกราบเรือ บรรดาโจรสลัดปีนขึ้นมาตามเชือก
โจรสลัดที่ไม่ปีนเชือกขึ้นมา ก็ใช้หอกยาวชี้ตรงไปที่ท้องเรือ บ้างก็เปิดไหน้ำมันเชื้อเพลิง รอแค่คำสั่งของชายชุดดำให้เจาะเผาเรือเท่านั้น
พวกเขาคือโจรสลัดไม่ใช่คนค้าขาย ใครจะมาต่อรองราคากับเจ้ากัน
หลังจากที่บรรดาโจรสลัดขึ้นเรือแล้ว ชายชุดดำก็ออกคำสั่ง
“ไปค้นและรีดไถทรัพย์สินสิ่งของด้านใน นำผู้หญิงออกมาให้หมด”
ทั้งยังชี้ไปที่มู่หนานจือ “พาผู้หญิงคนนี้ไปด้วยก็แล้วกัน แต่ไม่ถือว่าเป็นเงิน ถือเป็นของแถม”
น้ำเสียงดูสบายใจแต่ไม่ได้ผ่อนคลาย มือขวากุมด้ามดาบตลอดเวลา
โจรสลัดสองคนเดินไปทางมู่หนานจือทันที มือถือดาบทำท่าทางโหดเหี้ยม
ทันใดนั้น มีเสียงดังโครมสองที โจรสลัดเพิ่งเข้าใกล้มู่หนานจือก็ถูกพลังมหาศาลบางอย่างสะเทือนใส่จนกระเด็นออกไปกระอักเลือดอยู่บนพื้น
ในขณะที่ชายชุดดำมีสีหน้าเปลี่ยนไปนั้น สวี่ชีอันก็ยื่นมือจับต้นคอของเขาไว้แน่น
“ให้พวกเขาลงไป”
“ลง ลงไป ลงไปให้หมด…”
ชายชุดดำมีสีหน้าหวาดผวา ความรู้สึกเขาตอนนี้เป็นเหมือนกับผู้คุมงานจูในเมื่อครู่ เผชิญหน้ากับคนโฉดที่แข็งกร้าวเข้าแล้ว
บรรดาโจรสลัดวุ่นวายขึ้นมา พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าบุคคลที่สามารถสังหารหัวหน้าคนก่อนได้ในกระบวนท่าเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าชายธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษ จะอ่อนแอราวกับนกกระทาตัวหนึ่ง
‘แค่ผู้ติดตามยังแข็งแกร่งขนาดนี้ พลังแท้จริงของจอมยุทธ์เหมียวคงน่ากลัวกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มาก…’ ผู้คุมงานจูแอบตกใจ
ตลอดทางมานี้ สวี่ชีอันแสดงตัวเป็นผู้ติดตามของเหมียวโหย่วฟาง
โจรสลัดที่เฮโลกันขึ้นมาต้องเฮโลกันกลับไปอีกครั้ง
“ขอท่านได้โปรดกรุณา มีอะไรก็เจรจากันดีๆ ได้ วันนี้ข้ามีตาแต่หามีแววไม่ที่ไม่รู้จักยอดฝีมือ”
น้ำเสียงนอบน้อมของชายชุดดำแฝงไปด้วยการวิงวอน
เขาเชื่อมั่นว่า นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการสินค้าบนเรือทั้งลำ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางสู้กับเขาจนพินาศไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
บางครั้งโจรสลัดอย่างพวกเขาก็ไม่กลัวยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย เพราะยอดฝีมือส่วนมากเลือกที่จะประนีประนอม เพื่อเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย การเสียหายของสินค้า และสาเหตุอื่นๆ
ใช้เงินจัดการเรื่องราวสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิต
สวี่ชีอันไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ ด้วย และถามขึ้นมา
“เป็นคนที่ไหน”
“อวี่โจว!”
หลังจากถามตอบไปรอบหนึ่งแล้ว สวี่ชีอันก็รู้ว่าคนผู้นี้ชื่อซุนไท่ เป็นคนอวี่โจว พเนจรไปมาในยุทธภพ เหตุเพราะก่อกรรมทำชั่วจึงถูกขุนนางอวี่โจวออกหมายจับ
สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียโอกาสในการก่อตั้งพรรคในพื้นที่บางแห่ง เพราะหมายจับของราชสำนักจะแบ่งปันกันระหว่างมณฑล
ซุนไท่เริ่มเที่ยวระเหเร่ร่อนไปสุดขอบฟ้า แม้จะบอกว่ามีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ไม่เคยขาดแคลนเงิน แต่ท้ายที่สุดก็เป็นหมาป่าเดียวดายตัวหนึ่ง
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวปีนี้ ภัยหนาวปกคลุมไปทั่ว ระเบียบระหว่างมณฑลแต่ละแห่งพังทลายอยู่รอมร่อ ไม่มีคนสนใจหมายจับนักโทษอย่างเขาอีก
ซุนไท่เริ่มรวบรวมผู้ลี้ภัยและเหล่าจอมยุทธ์พเนจร ถือตัวเป็นราชายึดครองน่านน้ำแห่งนี้ ตอนนี้มีลูกน้องโจรสลัดร้อยคน นับว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ไม่เลว
ดูจากการพัฒนาของสถานการณ์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป โจรท้องถิ่นและโจรสลัดในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน จะกลายเป็นกองกำลังรบที่โค่นล้มราชสำนักได้ หรือยึดครองดินแดน ‘บรรดาเจ้าผู้ครองนครรัฐ’ ฝ่ายหนึ่ง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของหิมะที่พังทลาย…สวี่ชีอันถอนหายใจ
“อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
ซุนไท่พยักหน้าทันที
สวี่ชีอันชี้ไปที่เหมียวโหย่วฟาง “ฆ่าเขา แล้วเจ้าจะมีชีวิตรอด ข้าจะไม่ก้าวก่าย”
จากนั้นก็พูดกับเหมียวโหย่วฟาง
“นี่คือการทดสอบแรกของข้า ชั่วเวลาสองเค่อผ่านไป หิ้วหัวของเขามาพบข้า หากล้มเหลวล่ะก็ ไมตรีจิตมิตรภาพศิษย์อาจารย์ระหว่างข้ากับเจ้าก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้”
เกิดเสียงดัง ‘ตึง ตึง’ สองที สวี่ชีอันเตะซุนไท่กับเหมียวโหย่วฟางออกไปจากเรือสินค้า ทั้งสองร่วงลงบนชายฝั่ง
จากนั้นเขาให้ผู้คุมงานจูทอดเสมอเรือให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ และยืนเคียงบ่าชมการต่อสู้กับมู่หนานจือ
ผู้คุมงานตกใจจนอึ้งไปเลย คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนติดตามนี่ถึงจะเป็นนายที่แท้จริง
มู่หนานจือเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึมจึงถามว่า
“เป็นห่วงเหมียวโหย่วฟางหรือ”
“ข้ากำลังคิดว่า หากข้าเป็นเว่ยกง จะจัดการทหารที่อาศัยพลังยุทธ์ฝ่าฝืนข้อห้ามเหล่านี้อย่างไร” สวี่ชีอันกล่าวเสียงต่ำ
ศัตรูของต้าฟ่งไม่ได้มีแค่กลุ่มกบฏในอวิ๋นโจว ยังมีชาวยุทธภพเหล่านี้ที่อาศัยสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย ยังมีผู้ลี้ภัยที่เพื่อปากท้องแล้ว ไปถึงไหนก็ปล้นไปถึงนั่น
…
จวนอ๋อง ภายในห้องหนังสือ
สมุหราชเลขาธิการหวางที่มีสีหน้าหงอยเหงาเศร้าซึมกำลังถือเตาอุ่นมืออยู่ เขาชี้นิ้วเคาะผิวโต๊ะแล้วถามว่า
“เอ้อร์หลาง นี่คือหนังสือที่ส่งมาจากพื้นที่ต่างๆ ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมา สถานที่ต่างๆ มีภัยอันเกิดจากโจรร้ายคอยรังควานอย่างหนัก เหล่าจอมยุทธ์พเนจรถือโอกาสรวบรวมผู้ลี้ภัยออกปล้นสะดมชาวบ้าน ภายในไม่สงบทั้งยังถูกรุกรานจากภายนอก วันนี้ฝ่าบาทตรัสถามบรรดาขุนนางในท้องพระโรงว่าจะจัดการเช่นไร เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง”
สวี่เอ้อร์หลางรู้ว่าสมุหราชเลขาธิการหวางกำลังทดสอบเขาอยู่
การทดสอบที่คล้ายคลึงกันนี้ ผ่านไปอีกสองสามเดือนก็จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
สมุหราชเลขาธิการหวางจิบชาไปทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าว
“คุณสมบัติและประสบการณ์ของเจ้าน้อยเกินไป ไม่อาจโน้มน้าวผู้คนหมู่มากในพรรคหวางได้ ร่างกายของข้านี้ไม่รู้ว่าจะหายดีเมื่อใด บางทีอาจจะไม่หายแล้วก็ได้ บริหารกลุ่มผู้ทำงานในคณะมาหลายปี ต้องประเคนให้กับผู้อื่น น่าเสียดายจริงๆ”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
“ไม่ต้องรีบร้อน ให้คำตอบข้าภายในสามวันก็ได้” สมุหราชเลขาธิการโบกมืออย่างเหนื่อยล้า
“เจ้าออกไปเถอะ”
………………………………………