ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 643 ฎีกาลับ (2)
รุ่งเช้า
สวี่ชีอันตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็กางแผนที่บนโต๊ะ จุดหมายในการเดินทางของเรือพาณิชย์ครั้งนี้คืออวี่โจว
เมื่อมาถึงอวี่โจว พวกเขากำลังจะเปลี่ยนเป็นพาหนะอื่น
“หลังจากมาถึงอวี่โจวก็เหาะไปด้วยเจดีย์พุทธะเถอะ ในฐานะป้อมปราการบนฟ้า เจดีย์พุทธะจึงไม่มีปัญหาด้านการป้องกัน เพียงแต่ความสามารถในการเหาะเหินจะแย่ลงเล็กน้อย”
พลังงานของของวิเศษมาจากเจ้าของ ไม่ก็สะสมเอาเอง
ของวิเศษที่ไม่มีเจ้าของควบคุม ความสามารถในการเหาะเหินจะใช้ไม่ได้เป็นปกติ
เฉกเช่นดาบไท่ผิง ตนเองสะสมปราณดาบตามปกติ ทว่าเพียงใช้ไปได้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อใช้หมดก็ต้องสะสมใหม่
นี่เป็นเหตุผลเดียวกันกับจอมยุทธ์ที่ใช้พลังปราณหมดสิ้นไร้แรงต่อสู้อีก
ดังนั้นตามปกติสวี่ชีอันจึงไม่เอาเจดีย์พุทธะออกมาเดินทางก่อน จะนำออกมาป้องกันและหนีเอาตัวรอดยามตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น
ทันใดนั้นความรู้สึกหวั่นใจก็ผุดขึ้น
เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาตามปกติ แล้วตรวจสอบข้อความ
หมายเลขหนึ่ง ‘มีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากท่านทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องโจรกรรมแต่ละพื้นที่’
หมายเลขสอง ‘การปราบโจรงั้นหรือ ข้าก็รู้เรื่องนี้ จัดกองกำลัง บุกโจมตีทีละน้อย แล้วขุดรากถอนโคนก็จบ ช่างเป็นเรื่องง่ายดาย’
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนราชสำนักก็สนใจภัยพิบัตินี้เช่นกัน ช่วงสุดท้ายของทุกราชวงศ์ต่างเกิดศึกจากภายนอกและภายใน บางครั้งศึกจากภายในก็น่ากลัวว่าศึกจากภายนอกเสียอีก...สวี่ชีอันที่กำลังปวดหัวกับการโจรกรรม จึงตอบกลับเทพธิดานิกายสวรรค์
หมายเลขสาม ‘เมี่ยวเจิน เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายดายเช่นนั้น แม้กองกำลังจะแก้ไขทุกอย่างได้ ทว่ากองกำลังก็ต้องการเงินหนุนหลังที่มากพอเช่นกัน หากราชสำนักมีความสามารถนี้กวาดล้างการโจรกรรมทั้งหมดได้ ผู้ลี้ภัยก็คงไม่ล้นหลามจนเป็นภัย’
หมายเลขสอง ‘เช่นนั้นเจ้าควรจะจัดการอย่างไร เจ้าพูดมาสิ’
ข้อความทางอารมณ์ของเทพธิดาปรากฏอยู่บนหนังสือปฐพีของสมาชิกพรรคฟ้าดิน
หมายเลขหนึ่ง ‘ทุกท่าน ข้ามีกลยุทธ์สามประการ ขอข้าพูดให้จบ’
ผ่านไปพักหนึ่งข้อความของฮว๋ายชิ่งก็ปรากฏทีละข้อความ กลยุทธ์ทั้งหมดสามประการ ประมาณสองร้อยกว่าตัวอักษรได้
หมายเลขสาม ‘นี่เป็นกลยุทธ์ของพระองค์หรือ ยอดเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ’
สวี่ชีอันไม่รีรอ รีบประจบสอพลอก่อน
หมายเลขหนึ่ง ‘นี่เป็นกลยุทธ์สามประการของสวี่เอ้อร์หลาง เขามาเข้าเฝ้าข้าที่วังในเช้านี้ ขอคำปรึกษาจากข้าเพื่อตรวจสอบช่องโหว่และเติมเต็มรอยรั่ว’
กลยุทธ์ของเอ้อร์หลางงั้นหรือ สวี่ชีอันชะงัก
เอ้อร์หลางใกล้ชิดกับฮว๋ายชิ่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เขาครุ่นคิดอย่างอิจฉาตาร้อน
หมายเลขสอง ‘ทั้งสามประการนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่กล้าฟันธงว่าจะแก้ไขการโจรกรรมได้ ทว่ายับยั้งแนวโน้มของหายนะที่เกิดจากผู้ลี้ภัยได้มาก’
หลี่เมี่ยวเจินมิอาจเสนอความเห็นได้ ทว่าสายตายังคงใช้ได้
หมายเลขสี่ ‘ประการที่สามใช้ไม่ได้! ’
บัดนี้ฉู่หยวนเจิ่นก็กระโดดออกมาแสดงความเห็น
หมายเลขหนึ่ง ‘พี่ฉู่เชิญกล่าว’
คนอื่นก็เงียบลงไม่ได้พูดแทรก ฉู่หยวนเจิ่นคือจ้วงหยวนหลาง พรสวรรค์เหลือล้น ประสบการณ์ก็ท่วมท้น เป็นหนึ่งในมันสมองของพรรคฟ้าดิน
หมายเลขสี่ ‘รวบรวมผู้ลี้ภัยอาศัยอะไรบ้าง หนึ่งคือกำลัง สองคือเงินและเสบียง ขาดทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้ หากกำลังไม่เพียงพอก็มิอาจเป็นพลังได้ เงินและเสบียงไม่เพียงพอก็ไม่มีผู้ใดยอมติดตามเป็นบริวาร เช่นนั้นเงินและเสบียงจะมาจากไหนล่ะ นอกเสียจาก ‘ปล้นสะดมชาวบ้าน’ ราชสำนักสั่งให้ยอดฝีมือรวบรวมผู้ลี้ภัยย่อมไม่มีทางมอบเงินและเสบียงให้อยู่แล้ว หากมีทุนทรัพย์นี้ นำไปสงเคราะห์ผู้ประสบภัยโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ หากหญิงยอดฝีมือขาดข้าวสารก็มิอาจแสดงเสน่ห์ปลายจวักได้ มีแต่ต้องปล้นสะดมชาวบ้าน นี่รังแต่จะทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง’
หมายเลขหนึ่ง ‘พี่ฉู่มีความเห็นอย่างไร’
สวี่เอ้อร์หลางมาหานางก็เพราะปัญหาข้อนี้
นางให้คำตอบไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากขอคำแนะนำจากสมาชิกพรรคฟ้าดิน ทุกคนต่างเป็นคนปราดเปรื่องเว้นเสียแต่ลี่น่า
ฉู่หยวนเจิ่นก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ มองช่องโหว่ของกลยุทธ์ประการที่สามออกทันที
ประการที่สามเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขการโจรกรรม
หมายเลขสี่ ‘องค์หญิง ข้าลำบากใจนัก’
ภายในชั่วเวลาอันสั้น ฉู่หยวนเจิ่นคิดแผนรับมือไม่ออกจริงๆ
หมายเลขสอง ‘ใช้ศึกเพื่อเลี้ยงศึก[1]เป็นอย่างไร’
หลี่เมี่ยวเจินเสนอแผนการตามประสบการณ์ของตน
หมายเลขเจ็ด ‘หลี่เมี่ยวเจินผู้โง่เขลา สำหรับผู้ลี้ภัย การแย่งชิงเงินและเสบียงของประชาชนสบายและง่ายดายกว่าบุกป่าฝ่าดงไปไกลเพื่อรับมือกับกองกำลังติดอาวุธที่เป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกัน ไม่มีใครโง่ การหาผลประโยชน์เลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ หากบังคับเหล่าผู้ลี้ภัยในกำมือให้ทำเช่นนั้น ไม่เกินสองครั้งก็จะถูกผู้คนตีตัวออกห่าง’
หลี่หลิงซู่กระโดดออกมาแล้ว
แม้ความเป็นจริงเขาจะตายไปแล้ว ทว่าเขายังคงโจมตีอย่างหนักบน ‘อินเทอร์เน็ต’ ได้
หลี่เมี่ยวเจินเดือดดาล หมายเลขสอง ‘เช่นนั้นเจ้ามีวิธีอะไร’
เทพบุตรซุ่มอ่าน เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
หมายเลขเจ็ด ‘อันที่จริงความคิดของหลี่เมี่ยวเจินก็พอเป็นไปได้ ให้คนของราชสำนักใช้ข้ออ้างปล้นเงินและเสบียงเพื่อล้อมปราบกองกำลังของโจรภูเขาอีกกลุ่มหนึ่งได้ ทว่าเรื่องนี้ทำบ่อยไม่ได้ มิอาจใช้สิ่งนี้ดำรงชีพได้ กองกำลังที่ราชสำนักสนับสนุนก่อตั้งขึ้นมาอย่างไร แล้วจะประคองชีวิตดำรงชีพได้อย่างไร ทำได้แต่แย่งชิงประชาชนอยู่ดี ทว่าเช่นนี้ก็ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงอย่างที่พี่ฉู่พูด สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าคิดว่าอย่างไร’
สวี่ชีอันเงียบอยู่นาน บังคับให้ฮว๋ายชิ่งเริ่ม ‘@เขา’ ก่อน
ข้าจะมีวิธีอะไรได้ ข้าบริจาคกำไรของผงปรุงรสไก่สงเคราะห์ผู้ประสบภัยไปหมดแล้ว ข้าเก่งเรื่องทะเลาะและคลี่คลายคดี เรื่องปกครองประเทศอย่าถามหาจากข้าเลย…สวี่ชีอันค่อนแคะในใจพลางใช้สมองอย่างกระตือรือร้น
ข้อได้เปรียบที่สุดของเขาคือประสบการณ์ในชาติก่อน
ตัวอย่างเช่นการสงเคราะห์คนจนด้วยงาน ทว่ากลยุทธ์นี้ไม่เหมาะจะใช้กับต้าฟ่งในเวลานี้
หากใช้ในขอบเขตขนาดเล็กก็ยังพอไหว เว้นเสียแต่ราชสำนักของต้าฟ่งจะสร้างถนนไปถึงชนบท…
ช้าก่อน เหมือนจะยังมีอีกวิธีหนึ่ง…สวี่ชีอันใจเต้นแรง นึกถึงความคิดที่กล้าหาญขึ้นมาได้
ทว่าเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ย สีหน้าสับสนและลังเลเล็กน้อย
หมายเลขหนึ่ง ‘สวี่หนิงเยี่ยน? ’
ฮว๋ายชิ่งเร่งรัดอีกครั้ง
หมายเลขสาม ‘การปล้นเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว ทว่าเป้าหมายการปล้นไม่ใช่สามัญชนทั่วไป แต่เป็นเจ้าของที่ เสนาบดีเล็ก พ่อค้าจอมปอกลอก และระดับขุนนางปัญญาชน’
ภายในพรรคฟ้าดินเงียบโดยพลัน
เขาบ้าไปแล้วหรือ?! ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของทุกคน
แม้แต่หลี่เมี่ยวเจินที่ปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจนก็คิดว่าสวี่ชีอันตั้งใจปล่อยไปตามยถากรรม ออกความเห็นไม่เข้าท่า
หมายเลขสี่ ‘ไม่มีการสนับสนุนจากเสนาบดีเล็ก นี่รังแต่จะทำให้ความวุ่นวายรุนแรงมากขึ้น’
ในยุคสมัยนี้อำนาจของจักรพรรดิไปไม่ถึงชนบท เสนาบดีเล็กและตระกูลผู้ดีเป็นบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชนชั้นล่าง
หมายเลขสาม ‘ไม่ พี่ฉู่คิดผิดแล้ว ผลประโยชน์กลุ่มอยู่เหนือผลประโยชน์รายบุคคล ผลประโยชน์ของคนส่วนมากอยู่เหนือผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย ตราบใดที่เจ้าตอบสนองผลประโยชน์ของคนส่วนมากได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับการสนับสนุน เจ้าจะไม่มีทางพ่ายแพ้ สภาพอับจนที่ต้าฟ่งเผชิญในตอนนี้เกิดจากผู้ลี้ภัย ตราบใดที่เลี้ยงปากท้องของประชาชนได้ ความวุ่นวายก็จะคลี่คลายลง ไม่ทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้สำหรับเสนาบดีเล็กและเจ้าของที่ดิน ความเป็นความตายของราชสำนักไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ปีแห่งภัยพิบัติครั้งใหญ่ พวกเขาจะรีดคุณค่าของประชาชนที่แร้นแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาที่ถือครองที่ดินก็เป็นศัตรูของประชาชนเช่นกัน สิ่งสำคัญคือทั้งหมดนี้ผู้ลี้ภัยและพวกโจรต่างเป็นคนทำ แล้วเกี่ยวอะไรกับราชสำนัก ไม่ได้เพิ่มความขัดแย้งระหว่างราชสำนักและระดับขุนนางปัญญาชน ในทางกลับกันจะทำให้ชนชั้นที่ถือครองทรัพยากรมหาศาลในมือเหล่านั้นเข้าร่วมการปราบโจรด้วยเช่นกัน ไม่ก็บริจาคและจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครมาต่อต้าน ไม่ว่าจะแบบใด พวกเขาก็ยอมออกเงินและเสบียงอาหาร นี่ก็จะคลี่คลายภาวะขาดแคลนอาหารในปัจจุบันได้ จะมีคนได้รับประโยชน์ ได้รับเงินและเสบียงอาหารเพราะเหตุผลนี้’
ปลุกระดมชนชั้นแรงงานขึ้นมา!
ภายในพรรคฟ้าดินเงียบลง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความมาหลังจากผ่านไปพักใหญ่
‘เจ้าอย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ในราชสำนักต่างเป็นชนชั้นขุนนางปัญญาชนแบบที่เจ้ากล่าว ขุนนางที่หวนกลับบ้านเกิดหลังเกษียณเหล่านั้นก็เป็นระดับเสนาบดีเล็ก’
หมายเลขสาม ‘ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ แม้แต่ท่านทั้งหลายในท้องพระโรงก็รู้ไม่ได้ ยอดฝีมือที่สั่งให้ออกไปจำต้องเป็นสามัญชนและจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ไม่ก็วีรบุรุษเฉกเช่นหลี่เมี่ยวเจิน นอกจากนี้ยอดฝีมือที่ส่งออกไปจะต้องรับประกันด้านศีลธรรม สังหารผู้บริสุทธิ์ไปทั่วไม่ได้ ปล้นได้แต่ไม่ฆ่าจะดีที่สุด เลือกลงมือกับพวกปอกลอกและมีชื่อเสียงในด้านลบ’
ได้แต่พยายามถึงที่สุด…เขาเสริมประโยคหนึ่งในใจ
สวี่ชีอันรู้ดี ยามที่เขาใช้กลยุทธ์นี้ ต่อให้ใส่ใจแล้วใส่ใจอีก ระวังแล้วระวังอีก ก็ยังคงมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบอยู่ดี
นี่เป็นสาเหตุที่เขาลังเลเมื่อครู่
ทว่าประสบการณ์ในชาติก่อนบอกเขาว่า เมื่อยกสถานการณ์โดยรวมขึ้นไปถึงทั้งประเทศและทั้งสังคม เมื่อจัดการปัญหาก็มิอาจตัดสินด้วยความดีความชั่วได้ง่ายๆ
ภัยพิบัติในปัจจุบันปั่นป่วน ภัยเกิดจากผู้ลี้ภัย ผู้คนล้มตายทุกวัน
จากนี้ยังจะมีคนตายมากขึ้น
ผู้กุมอำนาจต้องทำให้ระเบียบในสังคมอยู่ตัวโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ขี้ขลาดคิดไปว่าอาจจะมีผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิต
ความเห็นใจไม่ได้ควบคุมทหาร เช่นเดียวกัน ความเมตตาไม่ได้กุมอำนาจ
กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แม้จะอยู่ห่างกันพันหุบเขาหมื่นแม่น้ำ สวี่ชีอันก็ราวกับได้ยินเสียงหายใจอันหนักอึ้งของพวกเขา
ไม่ก็มือที่สั่นเทา
หมายเลขสี่ ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ!’
ฉู่หยวนเจิ่นในฐานะปัญญาชนดั้งเดิมรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย
ทุกคนต่างก็เงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ฉู่หยวนเจิ่นจะส่งข้อความมาอีกครั้ง ‘ทว่าก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นวิธีที่เป็นไปได้ แม้มันจะมีภัยขนาดใหญ่แฝงอยู่’
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความในทันที ‘หากต้องเป็นเช่นนี้ ข้าหวังว่าคนที่ปล้นเสนาบดีเล็กจะเป็นข้า’
ด้วยเหตุนี้จึงจะพยายามไม่ให้สังหารไปทั่วได้
หมายเลขสี่ ‘ข้าจะลองรวบรวมผู้ลี้ภัยกลุ่มหนึ่ง ทว่าการปล้นเสนาบดีเล็กก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขามักจะอยู่ในเมือง’
หมายเลขหนึ่ง ‘ทุกท่านมีชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีและขี่กระบี่บินได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา’
จิตใจของฮว๋ายชิ่งโหดร้ายกว่าพวกเขา นางเห็นพ้องและรับข้อเสนอของสวี่ชีอัน
หมายเลขหก ‘อมิตตาพุทธ อาตมาไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไร’
หมายเลขเจ็ด ‘นับข้าด้วย’
หลี่หลิงซู่แสดงความเห็น
หมายเลขสอง ‘เจ้ารึ หลี่หลิงซู่ นี่ไม่เข้ากับเจ้าเลย เจ้าเนี่ยนะคำนึงถึงฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ การหลับนอนกับหญิงสาวถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้ามิใช่หรือ’
หลี่หลิงซู่ส่งข้อความอย่างคุมแค้น ‘ในสายตาเจ้า ข้าแย่เช่นนั้นเลยหรือ หลี่เมี่ยวเจิน อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องร่วมสำนัก เจ้ามองข้าให้ดีหน่อยไม่ได้หรือ’
หมายเลขสอง ‘ไม่ได้ ขอโทษด้วย!’
“…”
หลี่หลิงซู่สูดหายใจลึก แล้วส่งข้อความ
‘นี่เป็นการตัดอารมณ์ความรู้สึก ไม่สับสนกับความรู้สึก ไม่รู้สึกลังเล เป็นประโยชน์กับผู้คนและส่วนรวม ไม่ถูกความสงสารและความลังเลครอบงำชั่วขณะ ควบคุมความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่านอาจารย์อยากให้พวกเราบรรลุระดับนี้ไม่ใช่หรอกหรือ’
ในครั้งนี้หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้โต้เถียง
มาถึงตรงนี้ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยอีก
…
วันนี้จักรพรรดิหย่งซิ่งได้รับฎีกาลับที่สวี่ซินเหนียน ซู่จี๋ซื่อจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินส่งมาที่วัง
ที่เรียกว่าฎีกาลับก็คือฎีกาที่มอบให้จักรพรรดิโดยตรง ไม่ต้องผ่านสำนักราชเลขาธิการ
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ทอดมองฎีกาลับที่กางออกบนโต๊ะอยู่นานโดยไม่ตรัสสิ่งใด
…………………………………………
[1] ศึกเพื่อเลี้ยงศึก หมายถึง ใช้ทรัพยากรที่ได้จากสงครามครั้งก่อนมาเลี้ยงกองกำลังเพื่อนำไปทำสงครามครั้งต่อไป