ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 644 หมากล้อม
มอบหมายยอดฝีมือที่วางใจรวบรวมไพร่พลคนจร ปล้นสะดมเสนาบดีเล็กและพ่อค้า ยึดเอาทรัพยากรของพวกเขามาควบคุมเหล่าคนจร…
ในความคิดของจักรพรรดิหย่งซิ่งมีเสียงดัง ‘วิ้งๆ’ พระองค์รู้สึกว่าความรู้ที่ถูกปลูกฝังมาตลอดสามสิบปีถูกสาส์นลับฉบับนี้ล้มล้างหมดสิ้น ความรู้สึกสับสน เหลือเชื่อทวีความรุนแรงขึ้น
หลังจากอ่านสาส์นจนจบแล้ว คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ ‘เหลวไหล!’
ในความเข้าใจของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เสนาบดีเล็ก ชนชั้นนักปราชญ์ รวมไปถึงตระกูลใหญ่เรืองอำนาจเป็นองค์ประกอบสำคัญของราชสำนัก เป็นผู้ปกปักรักษาการปกครองของราชวงศ์
หากตั้งตัวเป็นศัตรูกับชนชั้นเหล่านี้ พระราชกฤษฎีกาของราชสำนักก็ยากที่จะบรรลุผล ในประวัติศาสตร์มีราชวงศ์และจักรพรรดิหลายพระองค์ที่ถูกโค่นล้มเนื่องจากไปล่วงเกินชนชั้นสูงเหล่านี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งเองก็ศึกษาประวัติศาสตร์เช่นกัน พระองค์สามารถสรุปความเข้าใจทางการปกครองได้เป็นสองประโยค
‘ประนีประนอมตลอดเวลา ดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่ง!’
ที่บอกว่าดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่ง ในบริบทของท้องพระโรง ก็คือหาคนสนับสนุนให้มากขึ้นนั่นเอง
ในบริบทของการปกครองดินแดน คนที่ผูกมิตรดึงมาเป็นพวกก็คือพวกตระกูลเรืองอำนาจ เสนาบดีเล็ก ชนชั้นสูง นักปราชญ์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย คนที่ถูกกำราบก็คือประชาชนตาดำๆ นับหมื่นนับพันใต้หล้า
ทว่าข้อความประโยคหนึ่งในสาส์นลับของสวี่เอ้อร์หลางกลับสะเทือนความรู้สึกของจักรพรรดิหย่งซิ่งอย่างล้ำลึก
“บรรดาเหล่าผู้ครองแผ่นดิน ยามสงบเป็นพันธมิตร ยามวิกฤตตีตนจากจร”
เน้นไปที่ประโยคนี้ สวี่เอ้อร์หลางร่ายบทสาธยายยาวเหยียด เมื่อเทียบกับชนชั้นรากหญ้าที่ต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชนชั้นที่ถือครองแผ่นดิน ทรัพยากร และความมั่งคั่งของราชวงศ์นั้นเป็นเพียงกลุ่มคนส่วนน้อยเท่านั้น
ในยามยาก การเสียสละเศษเสี้ยวเล็กๆ นี้ไป จะได้มาซึ่งการสนับสนุนจากประชาชนส่วนมาก อำนาจของจักรพรรดิจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
เมื่อชนชั้นเก่าแก่ถูกทำลายสิ้น ย่อมมีคนใหม่ๆ เข้ามาแทนที่พวกเขาในชนชั้นเหล่านี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่งเช่นกัน
สอดคล้องกับหลักการปกครองของพระองค์
ประเด็นที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากราชสำนัก แต่เป็นฝีมือกองโจรพเนจรชั่วช้า ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักหรือราชวงศ์
“สวี่ซินเหนียนมากความสามารถ สมควรแก่การให้ค่า!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงทอดถอนใจ
พระองค์อ่านสาส์นลับซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวก็ตื่นเต้น เดี๋ยวก็วิตก อีกเดี๋ยวกัดพระทนต์กรอด อีกเดี๋ยวก็ส่ายพระพักตร์ ลังเลสับสนอยู่นาน
เฮ้อ…ในที่สุดพระองค์ก็ทรงถอนพระทัยและตัดสินพระทัยได้
“เอากระถางเพลิงมา!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งสั่งการ
จ้าวเสวียนเจิ้นรีบนำกระถางเพลิงมาถวายทันที
พระองค์โยนสาส์นลับใส่ในกระถางเพลิง เปลวไฟลุกโชนเผาไหม้สาส์นที่หากรั่วไหลออกไปสู่ภายนอกจะต้องสั่นสะเทือนขุนนางและประชาชนทั่วหล้าอย่างแน่นอน
พระองค์ไม่คิดจะนำแผนการนี้มาใช้
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ กลยุทธ์ที่สามจะไม่ถูกนำมาใช้
เหตุผลนั้นง่ายดาย มันมีความเสี่ยงมากเกินไป
หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป บัลลังก์ของพระองค์จะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน
พระองค์ไม่ใช่พระบิดา ที่มีรากฐานหยั่งลึก สามารถควบคุมท้องพระโรงและขุนนางชั้นสูงให้อยู่ในกำมือได้ พระองค์เป็นเพียงจักรพรรดิองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงสองเดือน
ไม่สิ ต่อให้เป็นจักรพรรดิที่มีพระราชอำนาจล้นเหลือก็ไม่กล้าทำเช่นนี้แน่
การมอบหมายคนสนิทให้ไปทำเรื่องเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการเผยจุดอ่อนออกไป
จุดอ่อนที่สามารถทำให้พระองค์ป่นปี้ไปตลอดกาลได้ตลอดเวลา
อย่าว่าแต่คนสนิทเลย แม้แต่พระมารดาและพระขนิษฐาร่วมพระครรภ์ พระองค์ยังไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนนี้ให้แก่พวกนาง
ใครจะรับประกันได้ว่าคนสนิทจะภักดีเสมอ
…
ด้านในเจดีย์พุทธะ
สวี่ชีอันที่เพิ่งมาถึงอวี่โจวก็ขี่เจดีย์พุทธะไปยังซินเจียงตอนใต้ทันที จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น จึงหันไปพูดกับเหมียวโหย่วฟางว่า
“มาช่วยข้าสักเดี๋ยวซิ”
เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะ กำลังเล่นหมากกับมู่หนานจือ หมากดำขาวสูสีกินกันไม่ลง สถานการณ์พลิกผันได้ตลอดเวลา ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใคร
ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงเองก็ยังตกตะลึง ไม่คิดว่าคนสองคนนี้จะมีฝีมือในการวางหมากระดับเหนือมนุษย์เช่นนี้
เหมียวโหย่วฟางหยุดฝึกฝนการชกต่อย เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดเหงื่อที่ห้อยคอ และเอ่ยอย่างอึดอัดใจ
“ข้าวางหมากไม่เป็น!”
สวี่ชีอันยังคงยืนกรานความคิดของตน
“หนานจือจะสอนเจ้าเอง การวางหมากไม่มีอะไรยาก จงเชื่อในสติปัญญาของตนเถิด”
เหมียวโหย่วฟางเดินเข้าไปอย่างไม่ขัดขืน นั่งลงตรงที่นั่งของสวี่ชีอัน เมื่อเห็นหมากวางอัดแน่นอยู่เต็มกระดาน เขาก็สะดุ้งตกใจ
ตัวหมากวางอยู่เต็มหน้ากระดาน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังตัดสินผู้ชนะกันไม่ได้
ทักษะการวางหมากของสวี่ชีอันและภรรยาเหนือกว่าจินตนาการ
มู่หนานจือมองเขาแวบหนึ่งและเอ่ย
“เจ้าเล่นตัวดำ ข้าเล่นตัวขาว”
เหมียวโหย่วฟางเกาหัวแกรกๆ “ข้าเล่นไม่เป็น”
“ง่ายมาก แค่ว่าหมากห้าตัวเรียงกันเป็นเส้นตรงได้ก็ถือว่าชนะแล้ว” มู่หนานจือกล่าว
“หมากแบบไหนกัน”
“นี่เขาเรียกว่าหมากล้อม” มู่หนานจือกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันเดินไปยังริมหน้าต่าง ควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เห็นฮว๋ายชิ่งส่งข้อความมา
หมายเลขหนึ่ง ‘จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่ยอมรับกลยุทธ์ของสวี่เอ้อร์หลาง วันนี้ก็ให้คนไปส่งข้อความถึงเขาว่า ‘แผนการของท่านนับว่ายอดเยี่ยม แต่เราคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ขอให้ยุติแต่เพียงเท่านี้อย่าพูดถึงมันอีก!’
จักรพรรดิหย่งซิ่งใจไม่กล้าพอสินะ…สวี่ชีอันส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
หมายเลขสอง ‘ว่าอย่างไรนะ พวกเราอุตส่าห์ทุ่มเทกายใจคิดแผนการสุดล้ำเลิศให้กับพระองค์ แต่พระองค์ไม่คิดจะใช้มันเลยเนี่ยนะ? เหอะ จักรพรรดิหย่งซิ่งช่างมีคุณธรรมสูงส่งไม่ต่างจะบิดาของตน เป็นจักรพรรดิที่ไร้ประโยชน์พอกัน’
หญิงสาวโมโหอย่างยิ่ง
หมายเลขสี่ ‘อันที่จริงที่พระองค์ไม่เลือกก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญ เมื่อใดที่เจ้าได้เปลี่ยนตำแหน่ง เจ้าก็จะเข้าใจความทุกข์ของพระองค์เอง ในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ พระองค์จำต้องแสวงหาความมั่นคงเสียก่อน
‘การนำกลยุทธ์ของเอ้อร์หลางมาใช้ มีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงมากเกินไป อีกทั้งยังอาจไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาคนเร่ร่อนได้จริงๆ แต่เมื่อใดที่ถูกเปิดโปง พระองค์จะถูกขุนนางและนักปราชญ์ตอบโต้เป็นแน่’
หมายเลขเจ็ด ‘พระองค์ไม่รับข้อเสนอ ไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเรา เพียงแต่ผลลัพธ์จะถูกลดทอน เพราะพรรคฟ้าดินมีกำลังคนจำกัด’
เทพบุตรแสดงความเห็นของตน
นี่ ไอ้น้องชาย เจ้านี่ช่างกระตือรือร้นเสียจริงนะ ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าตกตายทางสังคมอย่างไร มุมของปากของสวี่ชีอันขยับ
หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอัน ไม่มีกลยุทธ์อื่นที่จะใช้จัดการกับคนเร่ร่อนบ้างหรือ’
ใจจริงหลี่เมี่ยวเจินอยากจะถามฮว๋ายชิ่ง แต่นางไม่สนิทสนมกับฮว๋ายชิ่ง จึงใช้สวี่ชีอันเป็นเครื่องมือ
มีทางอื่นอีกหรือไม่งั้นหรือ?
กลยุทธ์ก่อนหน้านี้คือการกระตุ้นความขัดแย้งทางชนชั้น ละทิ้งชนชั้นหนึ่ง เพื่อรักษาภาพรวมและอำนาจของจักรพรรดิ หากจะบอกว่ามีกลยุทธ์อื่น ก็เห็นจะมีแต่ถ่ายโอนความขัดแย้ง การทำสงครามต่างแดนเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่…
การใช้สงครามต่างแดนในการถ่ายโอนความขัดแย้ง ใช้ได้ในตอนที่ความขัดแย้งในสังคมยังไม่รุนแรงจนถึงขั้นสุดเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์ของต้าฟ่งในปัจจุบัน การไปยั่วยุและก่อสงครามกับดินแดนอื่น ไม่เป็นเร่งเวลาให้ดินแดนตนล่มสลายเร็วขึ้นหรือ?
หากอุบายนี้ได้ผล มีหวังฉงเจินได้หัวเราะงองาย…เขาแอบบ่นในใจ
หมายเลขสาม ‘อันที่จริงก็ยังมีอยู่ ราชสำนักสามารถเกณฑ์ทหาร ให้เหล่าคนเร่ร่อนไปเป็นเป้าโจมตีในการปราบปรามกบฏอวิ๋นโจว แน่นอนว่าอวิ๋นโจวเองก็ต้องใช้อุบายนี้ด้วยเช่นกัน’
นี่ก็เป็นวิธีถ่ายโอนความขัดแย้งอีกวิธีหนึ่ง
สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างนิ่งเงียบ
ในเวลานี้ คำว่า ‘ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า’ เป็นคำที่สามารถสรุปเหตุการณ์โศกนาฏกรรมได้ทั้งหมด
หมายเลขสาม ‘ทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อนเถิด นอกจากเมี่ยวเจิน พี่ฉู่ และหลี่หลิงซู่ ทางข้าสามารถส่งคนไปรวบรวมคนเร่ร่อน และตั้งตัวเป็นราชาแห่งขุนเขาได้’
ขณะที่ส่งข้อความ สวี่ชีอันก็หันไปมองเหมียวโหย่วฟางที่นั่งอยู่หน้ากระดานหมากรุก
หมายเลขเจ็ด ‘เหมียวโหย่วฟางใช่หรือไม่’
หลี่หลิงซู่พูดถูกเผง
หมายเลขสาม ‘อืม ระดับของเขาตอนนี้ยังบกพร่องอยู่บ้าง แต่อย่างมากไม่เกินสามเดือนเขาก็น่าจะเข้าสู่ขั้นสลายแรงได้แล้ว จริงสิ ข้าค้นพบวิธีที่จะก้าวสู่ขั้นสลายแรงได้เร็วขึ้นแล้ว นั่นก็คือหลังจากถึงขั้นหลอมวิญญาณแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนจิตเดิมไม่ย่อท้อ พัฒนาสมอง’
หมายเลขหนึ่ง ‘แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง’
ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความตอบกลับมาทันใด ดูเหมือนว่านางจะสนใจเคล็ดลับนี้มาก
สำหรับคนอื่นๆ มีเพียงฉู่หยวนเจิ่นที่ให้ความสนใจเพียงเล็กน้อย มังกรหมอบหงส์ละอ่อนของนิกายสวรรค์ก็เป็นผู้บำเพ็ญตนลัทธิเต๋า ไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ในขั้นสี่มาตั้งแต่แรกแล้ว
ลี่น่าดำน้ำเหมือนปกติ เพราะเรื่องที่สมาชิกพรรคฟ้าดินพูดคุยนั้น นางไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง ทั้งยังน่าปวดหัว
หมายเลขสาม ‘การฝึกฝนจิตเดิมสามารถพัฒนาสมองได้ และการฝึกฝนร่างกายก็ช่วยปรับปรุงการควบคุมร่างกายได้เช่นกัน ทำให้ก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ได้ง่ายขึ้น เคล็ดวิชาลับนี้ข้าได้ทดลองกับเหมียวโหย่วฟางแล้ว’
หมายเลขสี่ ‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นได้’
ฉู่หยวนเจิ่นนับว่าเป็นจอมยุทธ์ครึ่งตัว
หมายเลขสาม ‘เพราะร่างกายถูกควบคุมโดยจิตเดิม จิตเดิมยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งส่งผลให้พลังควบคุมร่างกายแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย’
เขาแทนที่คำว่าสมองด้วยคำว่าจิตเดิม เพื่อให้สมาชิกพรรคฟ้าดินเข้าใจง่ายขึ้น
ในความเป็นจริงจิตเดิมและสมองนั้นไม่เหมือนกัน สมองเป็นภาชนะของจิตเดิม ยิ่งจิตเดิมเติบโต สมองก็จะยิ่งพัฒนาต่อไป คนที่จิตเดิมแข็งแกร่ง มักจะควบคุมร่างกายได้อย่างมั่นคง
หมายเลขสอง ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มันทำให้ข้านึกถึงหลังจากฝึกฝนการรวมปราณแล้ว ร่างกายมันเบาหวิวราวกับนกนางแอ่น รู้สึกว่าร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย ที่แท้พลังควบคุมกล้ามเนื้อของข้ามันสูงขึ้นนั่นเอง’
หลี่เมี่ยวเจินตระหนักได้ทันทีว่า หลายครั้งความสามารถของร่างกายทุกด้านก็จะเพิ่มขึ้นตามระดับขั้นที่สูงขึ้น ทุกคนคุ้นชินกับมันไปแล้ว จึงไม่สนใจจะขุดคุ้ยถึงต้นสายปลายเหตุของมัน
ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะใฝ่เรียนใฝ่รู้
หมายเลขหนึ่ง ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้านี่มันอัจฉริยะตัวจริง’
การประชุมภายในพรรคฟ้าดินสิ้นสุดลง
สวี่ชีอันเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อย และกลับไปที่กระดานหมากล้อม สีหน้าของเหมียวโหย่วฟางตื่นเต้น เดินหมากรวดเร็วดังติดปีก
เขาวางหมากขาวดำสูสีกับมู่หนานจือ ตัดสินแพ้ชนะกันได้ยากยิ่ง แม้แต่ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงยังตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าทักษะการวางหมากของทั้งสู่คนจะสูงถึงปานนี้
“นี่น่ะหรือหมากล้อม เหอะ ก็ไม่ได้ยากสักเท่าไรนี่หว่า ข้าก็หลงคิดว่าวางหมากเป็นสิ่งที่มีแต่พวกปัญญาชนเท่านั้นที่ทำได้ เป็นการละเล่นที่ต้องใช้ความรู้ขั้นสูงในการเล่น”
เหมียวโหย่วฟางทำสีหน้าราวกับได้เห็นแก่นแท้ของโลกใบนี้
“ที่แท้ก็แค่นี้เอง!”
สวี่ชีอันได้ยินดังนั้น ก็หันไปมองพระชายาที่กำลังจิตใจห่อเหี่ยว
ลูกศิษย์ของข้าไม่ได้ฉลาดหลักแหลมเลยสักนิด เจ้ายังคิดหลอกลวงเขาจนถึงที่สุดอีกหรือ…เขาบ่นในใจ
…
สวนเต๋อซิน พระราชวัง
ฮว๋ายชิ่งถือม้วนหนังสือในมือ นั่งลงข้างหน้าต่างเหม่อมองทิวทิศน์ในสวน
“หมั่นฝึกฝนจิตเดิมไม่ย่อท้อ ทำให้เข้าสู่ขั้นสลายแรงได้เร็วขึ้น…”
นางทบทวนถ้อยคำนี้
อันที่จริง ชาวยุทธนอกจากที่หมั่นฝึกภาพตระหนักรู้วันแล้ววันเล่าในตอนที่เข้าสู่ขั้นหลอมปราณเต็มขั้น ทันทีที่เข้าสู่ขั้นหลอมวิญญาณแล้ว ความสามารถในการฝึกภาพตระหนักรู้ก็จะลดลง
และเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้ในการหลอมปราณและแช่น้ำสมุนไพร เพื่อปูทางไปสู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง
เมื่อมาถึงขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง ก็จะเริ่มฝึกฝนกายเนื้อ เพื่อบรรลุขั้นสลายแรง
แต่ละขั้นมีสิ่งสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นแตกต่างกัน นี่เป็นความเข้าใจร่วมของทุกคน
รวมถึงฮว๋ายชิ่งเองด้วย หลังจากเลื่อนขั้นเข้าสู่กระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว นางก็ฝึกภาพตระหนักรู้บ้างเป็นครั้งคราว และละเลยการฝึกฝนจิตเดิมไป
ถูกต้อง นางเลื่อนขั้นเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว
การดื่มชาร้อนๆ ที่นอกห้องทรงพระอักษรในวันนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด
ครั้งนั้นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฮว๋ายชิ่งที่เผยตบะของตนออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฮว๋ายชิ่งกลับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง และเขียนชื่อลงไป
เริ่มต้นด้วยชื่อ
เฉินอิง!
นางเป่าหมึกให้แห้ง พับกระดาษ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือ
“เตรียมรถม้า ข้าจะกลับไปที่จวน”
นางสั่งสาวใช้ แล้วเดินออกมาข้างนอกตำหนัก หันไปกล่าวกับทหารรักษาพระองค์
“ให้คนที่อยู่ในรายชื่อมาพบข้าที่จวนด้วย”
นางยื่นกระดาษให้
…
อวิ๋นโจว!
ณ คุกในที่ทำการของผู้บัญชาการ อากาศอับชื้น ปนกับกลิ่นเหม็นหืนจางๆ
เซี่ยหลูเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่ลอดผ่านช่องอากาศบนกำแพงด้วยความเหม่อลอย
เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว
ในฐานะสมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจวที่เพิ่งรับตำแหน่งมาใหม่ และยังเป็นขุนนางชั้นสูงระดับสาม ราชสำนักแลดูจะไม่ใส่ใจต่อสถานการณ์ของเขาเลย
ในระยะเวลาครึ่งปี จากปัญญาชนผู้มีจิตใจฮึกเหิมไฟแรง กลายเป็นนักโทษผมเผ้ากระเซิงหน้าตามอมแมม
คุกเย็นชื้นเหม็นอับ มือเท้าเต็มไปด้วยแผลที่ถูกความเย็นกัด ร่างกายส่งกลิ่นเหม็นเน่า ผิวหนังเริ่มเป็นหนองพุพอง เนื่องจากไม่ได้อาบน้ำมานาน
เดิมทีเซี่ยหลูเป็นข้าหลวงของจางโจว ดูแลคลังธัญญาหารของต้าฟ่ง ประสบความสำเร็จ ได้รับชื่อเสียงอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนและขุนนางด้วยกันเอง
หลังจากที่ซ่งฉางฝู่สมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจวถูกประหารชีวิต เขาก็รับตำแหน่ง และรีบไปยังอวิ๋นโจวเพื่อรับตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลแทน
เซี่ยหลูคาดการณ์ว่าอวิ๋นโจวคงจะยุ่งเหยิงเอาการ จึงเตรียมตัวพร้อมจะทำสงครามยืดเยื้อมาก่อน
ใครเลยจะคิดว่าหลังจากขึ้นรับตำแหน่งแล้วทุกอย่างกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน และไม่ต้องถูกกำราบจากผู้บัญชาการหยางชวนหนาน
ผิดคาด ความชื่นชมในตัวหยางชวนหนาน ผู้บัญชาการตงฉินกลับสูงขึ้นอย่างมาก
หลังจากผ่านไปสามเดือน อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ หยางชวนหนานก็เชื้อเชิญให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงในงานผู้บัญชาการท่านนี้กล่าวประณามความฟอนเฟะของราชสำนัก ขุนนางทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
อีกทั้งยังกล่าวถึงมรดกตกทอดในราชวงศ์ตลอดห้าร้อยปี เชื้อเชิญให้เขาไปยังราชวงศ์ โค่นล้มราชวงศ์ที่เสื่อมถอย เปลี่ยนแปลงความวุ่นวายให้กลับสู่ครรลองของต้าฟ่ง
เซี่ยหลูแสร้งทำเป็นเห็นด้วย แต่หลังจากกลับจวน เขาก็เขียนสาส์นลับส่งไปยังราชสำนักทันที
แต่การเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของเขาถูกจับตามอง สาส์นลับส่งไปไม่ถึง ตัวเขาก็ถูกส่งเข้าคุก
มีเสียงเกราะกระทบกันดังมาตามทางเดินมืดมิด ชายร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดตรงหน้าลูกกรง
เขาสวมเกราะถือดาบในมือ ท่าทางขึงขังน่าเกรงขาม
เขาคือหยางชวนหนาน ผู้บัญชาการอวิ๋นโจว
………………………………………………..