ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 645 ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ
“ใต้เท้าเซี่ย ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”
หยางชวนหนานกุมดาบด้วยมือขวา ยืนหลังตรงอยู่นอกรั้วและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฤดูหนาวปีนี้ลำบากยากเข็ญเป็นพิเศษ เดิมข้าคิดว่าใต้เท้าเซี่ยคงตายอยู่ในคุก ไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
เซี่ยหลูขยับศีรษะมองหยางชวนหนานที่ยืนอยู่นอกรั้วผ่านผมกระเซอะกระเซิง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
“เจ้ามาทำอะไร มาเกลี้ยกล่อมให้ข้าสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มกบฏงั้นหรือ”
หยางชวนหนานพยักหน้า “นี่เป็นทางออกเดียวของเจ้า อย่าหวังว่าราชสำนักจะช่วยเจ้าได้ สมุหเทศาภิบาลผู้ยิ่งใหญ่ถูกจำคุกเป็นเวลาครึ่งปี ไร้ซึ่งคนถามไถ่ ใต้เท้าเซี่ยเป็นคนฉลาด คงรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรนะ”
เซี่ยหลูเอ่ยขึ้นช้าๆ
“อวิ๋นโจวหลุดจากการควบคุมของราชสำนักแล้ว หากเดาไม่ผิด ก่อนที่ข้าจะเข้ารับตำแหน่ง ข้าราชการของอวิ๋นโจวก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าแล้ว”
หยางชวนหนานยิ้ม
“ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า แต่เป็นภายใต้การควบคุมของเจ้าเมือง ตั้งแต่ข้าเป็นสมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจวก็เลี้ยงดูและสนับสนุนพรรคพวกอย่างลับๆ มาตลอด จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อน กองกำลังของสำนักพ่อมดที่นำโดยซ่งฉางฝู่ถูกกำจัด ข้าถึงควบคุมข้าราชการของอวิ๋นโจวได้ในที่สุด ตอนนี้ทั้งอวิ๋นโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกข้าแล้ว รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วย”
เสนาบดีเล็ก ตระกูลขุนนางท้องถิ่นและชนชั้นทหารของอวิ๋นโจวต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเมืองเฉียนหลงหมดแล้ว
พวกเขาบางคนยอมสวามิภักดิ์ด้วยความสมัครใจ เพราะไม่มีทางเลือก บางคนก็ได้รับการสนับสนุนจากเมืองเฉียนหลงอย่างลับๆ
อวิ๋นโจวมีเนื้อที่หลายหมื่นลี้ สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนักต้าฟ่งได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังของเมืองเฉียนหลงที่ดำเนินมาหลายร้อยปี
“ใต้เท้าเซี่ยเป็นบัณฑิตขั้นสูงอันดับสอง มีชื่อเสียงในแวดวงข้าราชการ เมืองเฉียนหลงต้องการคนมีความสามารถเช่นเจ้า ใต้เท้าเซี่ย นกดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ขุนนางดีย่อมเลือกเจ้านาย”
หยางชวนหนานพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด “เมืองเฉียนหลงคือที่พำนักพักพิงที่ท่านสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่”
เซี่ยหลูยิ้ม “น่าเสียดายนัก”
“น่าเสียดายหรือ”
“น่าเสียดายที่ร่างกายสูงเจ็ดฟุตนี้อ่านแต่หนังสือปราชญ์ จึงทำได้เพียงยกพู่กันเท่านั้น ไม่อาจฆ่าใครได้ กล่าวกันว่าคนไร้ประโยชน์คือบัณฑิต ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้มันเป็นความจริง” เซี่ยหลูรู้สึกเสียใจ
สีหน้าของหยางชวนหนานเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“การเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่คนเดียวคงไม่ง่าย ใต้เท้าเซี่ยผู้มาจากครอบครัวยากจนสามารถมาถึงจุดนี้ในวันนี้ได้ ต้องอดทนทำงานหนักครึ่งค่อนชีวิต เจ้าจะทิ้งไปเช่นนี้หรือ”
“ข้าก็ทนไม่ได้” เซี่ยหลูพิงกำแพงอันหนาวเหน็บพลางเงยหน้ามองแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางช่องอากาศ ก่อนพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่ข้ากลัวถูกคนรุ่นหลังดูหมิ่นยิ่งกว่าหลังจากผ่านไปหลายพันปี คนสกุลหยาง เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ข้าเลื่อมใสมากที่สุดเป็นใคร”
หยางชวนหนานมองเขาอย่างเย็นชา
“สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหว เขาทำให้ปัญญาชนในโลกเข้าใจความหมายของ ‘การสละชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณธรรม’”
เซี่ยหลูยิ้มหยัน “ช่างเถอะ ข้าจะบอกคนเช่นเจ้าไปทำไม”
หยางชวนหนานพยักหน้า
“เช่นนั้น ข้าก็คงไม่พูดให้เสียเวลา ใต้เท้าเซี่ยผู้แสวงหาซึ่งคุณธรรม”
เขาชักดาบยาวออกมาแล้วฟันโซ่เหล็ก
‘เคร้ง!’
ประตูห้องขังเปิดออก หยางชวนหนานก้าวเข้าไป ดาบเหล็กในมือยื่นไปข้างหน้า ปลายดาบแทงทะลุหน้าอกของเซี่ยหลู ตรึงเขากับกำแพงที่อยู่ข้างหลัง
เซี่ยหลูจับคมดาบด้วยสองมือและดิ้นทุรนทุรายสองสามครั้งอย่างเจ็บปวด
มือของเขาโชกไปด้วยเลือดอุ่นๆ ชีวิตสูญไปตามเลือดที่ไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
หยางชวนหนานยิ้มเยาะ
“ลืมให้เวลาใต้เท้าเซี่ยเขียนจดหมายลาตาย ก่อนตายถ้ายังมีอะไรอยากพูดก็พูดเสีย มิเช่นนั้นจะไม่มีโอกาสไปตลอดกาล”
เซี่ยหลูไม่มีอะไรอยากพูด เขาเพียงแค่นึกถึงตอนที่จุดตะเกียงอ่านหนังสืออย่างหนักสมัยหนุ่มๆ
ในเวลานั้น สงครามด่านซานไห่ยังไม่เริ่มขึ้น จักรพรรดิองค์ก่อนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรม ต้าฟ่งมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากสงครามด่านซานไห่ พลังอำนาจของต้าฟ่งค่อยๆ อ่อนแอลง เกิดภัยพิบัติขึ้นทุกปีและยังหนักขึ้นทุกปีๆ อีก
เซี่ยหลูเป็นผู้ที่ผ่านความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมา เขาได้เห็นอาณาจักรแห่งนี้ค่อยๆ อ่อนแอลงจนเสื่อมโทรมด้วยตาของตัวเอง
เขาก็เหมือนกับปัญญาชนจำนวนมาก ทุ่มเททั้งกายและใจ หวังว่าจะกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้ไว้ได้และทำให้มันกลับไปอยู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเขากำลังจะตาย
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เซี่ยหลูเอ่ยเสียงขรึม
“จะมีคนมาล้างแค้นแทนข้า คนมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นพวกเจ้าจะต้องตายโดยไร้ศพไว้ฝังดิน”
เขาจ้องหยางชวนหนานเขม็งและหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเสียงหัวเราะดังถึงขีดสุด มันก็หยุดลง
…
เมืองอวิ๋นโจว จวนผู้บัญชาการ
หยางชวนหนานกลับไปที่ตำหนัก เขาเดินไปยังห้องหนังสือและผลักประตูเปิด เห็นจีเสวียนกำลังพลิกสมุดพับอ่าน
“นายน้อย! พิธีขึ้นครองบัลลังก์กำลังจะเริ่มแล้ว เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่”
หยางชวนหนานขมวดคิ้ว
“ผู้ลี้ภัยที่มารวมตัวกันมีไม่ถึงหมื่นคน จำนวนยังห่างไกลจากที่คาดหวังไว้” จีเสวียนวางสมุดพับลงและถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น”
หยางชวนหนานยยิ้มขื่น “หยางกงปิดล้อมชายแดนชิงโจวไว้แล้ว ผู้ลึ้ภัยจึงไม่อาจผ่านเข้ามาได้ เว้นแต่จะทอดข้ามสันเขามาหรือไปยังรัฐใกล้เคียง ถึงจะเข้ามายังอวิ๋นโจวของเราได้ หยางกงผู้นี้ต่อกรด้วยยากยิ่ง”
จีเสวียนพยักหน้า
หยางชวนหนานเร่งรัดอีกครั้ง “อีกครึ่งชั่วยามก็เป็นพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของฝ่าบาทแล้ว ในฐานะองค์รัชทายาท ท่านจะไม่ไปไม่ได้”
ทว่าจีเสวียนกลับส่ายหน้า “ข้าจะไม่ไปเข้าร่วมพิธีขึ้นครองบัลลังก์ ข้ามีที่อื่นต้องไป”
เมืองเฉียนหลงเป็น ‘จุดซ่อนตัว’ ในช่วงเก็บตัว ตอนนี้ท่านพ่อต้องการขึ้นครองบัลลังก์และประกาศตนเป็นจักรพรรดิ จึงเป็นปกติที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน พิธีขึ้นครองบัลลังก์จะจัดขึ้นที่วัดไป๋ตี้ พื้นที่ใจกลางเมืองอวิ๋นโจว
จีเสวียนถามว่า “เซี่ยหลูคนนั้นยอมสวามิภักดิ์หรือไม่”
หยางชวนหนานส่ายหน้า “กระหม่อมสังหารเขาแล้ว”
“สังหารก็ดีแล้ว”
จีเสวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ปัญญาชนกลัวล้มเหลวในตอนที่สายไปมากที่สุด แต่นั่นก็เป็นการทำให้เป้าหมายสำเร็จเช่นกัน”
…
วัดไป๋ตี้
วันนี้เหล่าขุนนางของเมืองอวิ๋นโจวมารวมตัวกันที่วัดไป๋ตี้ รวมถึงขุนนางของเมืองเฉียนหลงด้วย เงาคนอันมืดมิดเบียดเสียดกันอยู่ในจัตุรัส โดยขุนนางบุ๋นอยู่ทางซ้าย ขุนนางบู๊อยู่ทางขวา เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
ขณะที่เสียงกลองดังกระหึ่ม ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใสและมงกุฎผิงเทียนก็ก้าวออกมาจากวัดไป๋ตี้อย่างช้าๆ
โดยปกติแล้ว การขึ้นครองบัลลังก์ขององค์รัชทายาทถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของอาณาจักร พิธีการก็มีความซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่มาแทนที่จักรพรรดิองค์เก่าและมักจะตามมาด้วยการจัดงานศพ ซึ่งจะมีเพียงเสียงคร่ำครวญเท่านั้น ไม่มีดนตรีบรรเลง
จักรพรรดิองค์ใหม่ยังต้องสวมเสื้อผ้าไว้ทุกข์ กราบสามครั้งและคำนับเก้าครั้งต่อหน้าดวงวิญญาณของจักรพรรดิองค์ก่อน ทำพิธีบวงสรวงที่วัดบรรพบุรุษและอื่นๆ
ทว่าสิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ในตอนนี้จึงถูกละเว้นไป
หลังจากจักรพรรดิชุดคลุมเหลืองนำพลเรือนและทหารบูชาฟ้าแล้ว เขาก็ยืนบนแท่งสูงด้านหน้าวัดไป๋ตี้ มองขุนนางทุกคน ท่าทางสง่าผ่าเผย
โหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์คนหนึ่งยืนอยู่ด้านล่างข้างๆ แท่น มองไปทางขุนนางทั้งหลาย เปิดพระราชโองการในมือและกล่าวเสียงดัง
“ตั้งแต่อู่จงก่อกบฏ บรรพบุรุษก็มาซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขา กล้ำกลืนฝืนทนกับความอัปยศ จนสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นถึงทุกวันนี้ ข้ามิอาจลืมคำสอนของบรรพบุรุษได้สักวินาที ผู้ทรงอิทธิพลต่างทุ่มเทกำลังเพื่อชิงดินแดนคืนมา ตอนนี้ราชสำนักต้าฟ่งนั้นเน่าเฟะมาก จักรพรรดิองค์ใหม่ไร้ความสามารถ ถึงขั้นราษฎรเดือดร้อน ผู้คนอดอยากทั้งแผ่นดิน ในฐานะลูกหลานตระกูลจี ราชวงศ์สายตรง ข้ารู้สึกความจงเกลียดจงชัง จึงต้องออกมาเรียกร้องเพื่อพลิกกระแส วันนี้ข้าขอประกาศตนเป็นจักรพรรดิแห่งอวิ๋นโจว และตั้งชื่ออาณาจักรว่า ‘กวงฟู่’ หวังว่าพวกเจ้าจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือและร่วมมือกันเพื่อเป็นเจ้าโลก และอาณาจักรยังแต่งตั้งองค์รัชทายาท ผู้เป็นลูกชายคนโตและรากฐานของแผ่นดิน ลูกชายของข้า จีเสวียนเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แถมยังเป็นลิขิตจากสวรรค์ ข้าขอแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทและให้ประทับที่ตำหนักตะวันออก”
เมื่อโหรชุดขาวอ่านจนจบก็เก็บพระราชโองการและยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดค่อยๆ คุกเข่าลงและตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
บนท้องฟ้าเหนือเมืองอวิ๋นโจว เรืออวี่เฟิงลอยอยู่เงียบๆ
จีเสวียนยืนอยู่ตรงกาบเรือและฟังเสียงตะโกนดังกระหึ่มเบื้องล่าง แม้ว่าจะอยู่บนท้องฟ้าก็ยังได้ยินชัดเจน
ประชาชนของเมืองอวิ๋นโจวรวมตัวกันอยู่ทุกซอกทุกมุมด้านนอกวัดไป๋ตี้เพื่อชมพิธี
สำหรับพวกเขา ใครเป็นจักรพรรดิก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ประชาชนสนใจมักจะเป็น ‘อาหารกับเสื้อผ้า’ จักรพรรดิลดภาษีลงเพียงแค่สามปีก็ชนะใจประชาชนของอวิ๋นโจวได้อย่างง่ายดายแล้ว
“ถ้าไม่เลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมตอนนี้แล้วจะเลื่อนขั้นเมื่อไหร่”
ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้น แสงใสพวยพุ่งขึ้นมา สวี่ผิงเฟิงในชุดขาวปรากฏขึ้นบนเรืออวี่เฟิง
“ข้ารอราชครูอยู่!”
จีเสวียนยิ้ม
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ยกมือขึ้นและคว้าหมับในอากาศ
ปราณมังกรที่กระจัดกระจายเหล่านั้นส่งเสียงคำรามออกมาอย่างเงียบเชียบและถูกดูดเข้าไปในฝ่ามือของเขาอย่างไม่เต็มใจ
พอสะบัดนิ้วอีกครั้ง ปราณมังกรจำนวนมากก็พุ่งเข้าสู่ร่างของจีเสวียน
ภายในดวงตาของเขาราวกับมีเงามังกรทองแหวกว่ายอยู่ ก่อนจะปล่อยแสงสีทองเจิดจ้าออกมา
จากนั้นสวี่ผิงเฟิงก็ดีดโชคชะตาที่ไร้รูปร่างสองดวงเข้าไปในร่างของจีเสวียน
นี่เป็นโชคชะตาของเทพอารักษ์ตู้หนานและเทพอารักษ์ตู้ฝาน เขาแปลงโชคชะตาสองดวงนี้มาใช้เองด้วยวิธีการของนักหลอมปราณระดับสอง
แน่นอนว่า โชคชะตาส่วนบุคคลไม่อาจเทียบกับชะตาบ้านเมืองได้ จีเสวียนไม่มีทางดูดซับยาโลหิตและเลื่อนขั้นสู่ระดับได้โดยอาศัยเพียงแค่แนวทางสามง่ามเท่านั้น
ดังนั้นจึงมีการแต่งตั้งเช่นเมื่อสักครู่นี้ขึ้น
องค์รัชทายาทแห่งอวิ๋นโจวเป็นผู้มีดวงชะตาติดตัว
แม้ว่าโชคชะตานี้จะเทียบไม่ได้กับสวี่ชีอันผู้แบกรับชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่งไว้ครึ่งหนึ่งก็ตาม
“ข้าทำให้ปราณมังกรอยู่ภายในร่างของเจ้าได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น รีบเลื่อนขั้นเสีย” สวี่ผิงเฟิงบอก
ถึงแม้เขาจะเป็นโหรระดับสองก็ยังยากจะบีบเคล้นปราณมังกร จึงทำได้เพียงเพิ่มประสิทธิภาพและเวลาอันจำกัด
จีเสวียนหยิบกล่องออกมาจากหน้าอก แล้วเปิดเสียงดัง ‘ป๊อก’ แสงสีเลือดบริสุทธิ์ส่องเข้าไปในรูม่านตาของเขา
กลิ่นอายชีวิตอันมหาศาลแผ่ไปทั่วทั้งเรืออวี่เฟิง
มือของจีเสวียนสั่นเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้และได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก
เมื่อยาโลหิตตกสู่กระเพาะจะมีบทสรุปเพียงสองอย่างคือ กลายเป็นทหารระดับบรรลุธรรมและขึ้นสู่อันดับสูงสุดของแผ่นดินจิ่วโจว หรือชีวิตดับสูญกลายเป็นขี้เถ้า
ราชครูเคยกล่าวไว้ว่า แม้จะมีปราณมังกร โชคชะตาของเทพอารักษ์ทั้งสองและโชคชะตาที่ติดตัวองค์รัชทายาท ความเป็นไปได้ที่จะกลั่นยาโลหิตได้สำเร็จก็ยังคงไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์
‘ถึงเวลาเสี่ยงโชคแล้ว’ จีเสวียนถือยาโลหิตไว้และหลับตาลง
สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาคือ ยี่สิบปีแห่งการอดทนกับความอัปยศอดสู หยาดเหงื่อแห่งความอดกลั้นต่อการฝึกตนตามลำพัง และความหวังที่นักบวชเจียวเยี่ยมีต่อเขาก่อนจะเสียชีวิต
‘อึก’
ยาโลหิตกลายเป็นกระแสน้ำร้อนระอุไหลเข้าไปในกระเพาะของเขา
ผิวของจีเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขากุมท้องด้วยความเจ็บปวดและขดตัวอยู่บนดาดฟ้าเรือ
เขารู้สึกเจ็บปวด เจ็บปวดจนแทบขาดใจ…
ความเจ็บปวดที่เกิดขีดจำกัดของมนุษย์กัดกินเขา เพียงแค่พริบตาเดียวสติของเขาก็ขาดหายไป
“แค่กๆ”
เลือดไหลออกมาจากปากของจีเสวียน ตรงเบ้าตา จมูกและหูก็มีเลือดไหลออกมาเช่นกัน
ผิวแตกระแหงเป็นบริเวณกว้าง เนื้อหนังฉีกขาดตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงไม่อาจทนการแตกสลายของกายเนื้อได้
สวี่ผิงเฟิงมองดูอย่างเฉยเมย
“ข้ากำลังจะตายหรือ นี่ข้าจะตายแล้วหรือ กายเนื้อของข้าแตกสลายไปแล้ว อวัยวะภายในก็ถูกทำลาย ปราณชีวิตสลายไปอย่างรวดเร็วอีก เหตุใดราชครูยังไม่ช่วยข้า…”
ในความงุนงง จิตตานุภาพที่หลงเหลืออยู่ของจีเสวียนยังคงครุ่นคิดอยู่ เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้
เพราะเส้นเสียงถูกทำลายไปแล้ว
พลังของยาโลหิตนั้นรุนแรงเกินไป กายเนื้อของคนธรรมดาไม่อาจทนไหว
“ยากจะจินตนาการว่า สวี่ชีอันรอดชีวิตมาได้อย่างไร…ใช่ เขารอดชีวิตมาได้ แล้วเหตุใดข้าถึงจะรอดไปไม่ได้”
ชั่วขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ความลุ่มหลงของจีเสวียนก็ยากจะสงบลง
‘สวี่ชีอันทำได้ แล้วเหตุใดข้าถึงทำไม่ได้’
‘เจ้าจะยอมตายเช่นนี้งั้นหรือ’
‘จะยอมมองดูเขาเปล่งประกายงั้นหรือ’
‘จะยอมสูญเสียการเป็นจักรพรรดิในอนาคตไปงั้นหรือ’
“แค่ก แค่กๆ…”
เขาคำรามออกมาอย่างไร้ความหมาย ราวกับคำรามด้วยความโกรธและไม่ยินยอม
เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากดวงตาของเขา ลูกตาก็ละลายแล้ว
จีเสวียนมองไม่เห็นว่ามีเงามังกรทองพันรอบร่างของเขาอยู่ และมองไม่เห็นว่ากายเนื้อที่แตกสลายของเขามีแนวโน้มว่าจะรักษา
กายเนื้อแตกสลาย รักษา แตกสลาย รักษา…วนลูปไปมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว สติที่เกือบจะแตกสลายของจีเสวียนค่อยๆ ฟื้นกลับมา สติปัญญาก็แจ่มชัดขึ้น
เสียงหัวเราะของราชครูดังขึ้นข้างหู
“ยินดีด้วยกับการก้าวเข้าสู่ระดับบรรลุธรรม”
จีเสวียนลืมตาแล้วเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
รุ่งอรุณแห่งการเกิดใหม่!
…
ซินเจียงตอนใต้ เผ่าเทียนกู่
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เดินออกมาจากบ้านหลังที่มีชานบ้าน ปีนขึ้นไปบนหลังคาแล้วแหงนหน้ามองฟ้า
“จักรพรรดิจื่อเวยกำลังเคลื่อนไหว ความขัดแย้งดั้งเดิมของที่ราบตอนกลางเริ่มขึ้นแล้ว ตาเฒ่า ทุกอย่างที่เจ้าพยากรณ์เป็นจริงหมดเลย เทพเจ้ากู่คงฟื้นคืนชีพในอีกไม่ช้า…”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถอนใจแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพึมพำกับตัวเองว่า
“เมื่อความโกลาหลมาเยือน คนเฝ้าประตูจะเป็นใครกันนะ”
…
เมืองจิ้งซาน
บนสันเขารกร้าง ซ่าหลุนอากู่อุ้มลูกแกะตัวหนึ่งและจ้องมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เทือกเขารอบๆ เมืองจิ้งซานกลายเป็นพื้นที่รกร้าง เพราะถูกเขาสูบปราณวิญญาณไปในการต่อสู้เมื่อตอนนั้น
แม้ว่าเมืองจิ้งซานจะถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยอีกต่อไป
“เว่ยเยวียน ลมหายใจที่เจ้ามีต่อที่ราบตอนกลางกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า”
ซ่าหลุนอากู่หยิบแส้สำหรับต้อนฝูงแกะอันใหม่ที่แขวงไว้ตรงเอวออกมาและฟาดลงข้างเท้าเบาๆ
วินาทีต่อมา ร่างหนึ่งก็ถูกอัญเชิญมา
เป็นอีเอ๋อร์ปู้
“สองเรื่อง ส่งหินทองคำลึกลับไปให้สวี่ชีอัน แล้วก็ไปรวบรวมผู้ลี้ภัยที่ต้าฟ่ง พาพวกเขากลับมาเพื่อเพิ่มประชากรในสามก๊กจิ้ง คัง เหยียน”
ซ่าหลุนอากู่สั่ง
“ขอรับ!”
อีเอ๋อร์ปู้โค้งคำนับรับคำสั่งแล้วเหินฟ้าจากไป
…
หย่งซิ่งปีแรก ปลายเดือนพฤศจิกายน ลูกหลานตระกูลจีได้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิที่อวิ๋นโจว และตั้งชื่ออาณาจักรว่า ‘กวงฟู่’ อวิ๋นโจวจึงหลุดพ้นจากต้าฟ่งอย่างเป็นทางการ
ผลักราชวงศ์เข้าสู่ก้นบึ้งแห่งการล่มสลายไปอีกก้าว
เมื่อสวี่ชีอันได้รับสารจากฮว๋ายชิ่งและรู้เรื่องนี้ เขาก็อยู่ที่ชายแดนระหว่างซินเจียงตอนใต้กับต้าฟ่งแล้ว
…………………………………………