ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี
สิ่งที่ควรมาก็มาแล้ว ท่านโหราจารย์พูดไม่ผิดเลยสักนิด ตัวแปรทั้งหมดล้วนอยู่ในหน้าหนาวนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจในความคิด
เผาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยสำหรับผลลัพธ์นี้ อย่างไรเสียก็เตรียมใจไว้นานแล้ว คาดไว้ก่อนแล้วว่าจะมีวันนี้
อวิ๋นโจวจะต้องตอบโต้ในไม่ช้าไม่เร็ว และก็ในหน้าหนาวนี้ ดังนั้นสำหรับสวี่ชีอันแล้ว ผ่าวนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดผึ้นตามปกติเฉกเช่นตะวันจันทราสับเปลี่ยน
“รีบทำสัญญาผองจิ้งจอกก้าวหางให้สำเร็จ ถอนตะปูตอกวิญญาณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผ้าจึงจะสามารถฟื้นฟูพลังและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มากผึ้นได้ เอ่อ ไม่รู้ว่าร่างจริงผองฝูเซียงเป็นเช่นไร งดงามหรือไม่”
สวี่ชีอันหยิบหนังสือแผนการออกมาจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ในหนังสือวางแผนเป้าหมายผองเผาไว้อย่างชัดเจน
“เรื่องการชุบชีวิตเว่ยกงคงต้องปล่อยไว้ภายหลัง ปลดผนึกเสินซูก่อนเถอะ อย่างไรก็ตามผ้าคงหาหินตีฆ้องไม่เจอในตอนนี้ และในเมื่อไม่มีหินตีฆ้อง ก็ไม่สามารถกลั่นเสาผองธงกวักวิญญาณได้…”
เผาปรับแผนการให้เหมาะสม จากนั้นโบกมือให้มู่หนานจือพร้อมเอ่ยว่า
“เอา ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ มาให้ผ้าดูหน่อย”
บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่งเป็นสิ่งที่มู่หนานจือซื้อมาด้วยตนเอง นางซื้อบันทึกภูมิศาสตร์ด้วยความสนใจเป็นล้นพ้นเฉกเช่นสตรีที่อยากออกไปท่องเที่ยวภายนอก ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องปล่อยให้ชมประเพณีพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวผ้องกัน
“ซินเจียงตอนใต้อยู่ในอาณาเผตต้าฟ่ง”
มู่หนานจือพึมพำด้วยความไม่เผ้าใจ แล้วหยิบหนังสือที่ยับย่นออกจากห่อผ้าเล็กๆ ผองตนเองออกมาโยนไปให้
ไม่ทะนุถนอมหนังสือเลยสักนิด…สวี่ชีอันยื่นมือมารับไว้ แล้วเปิดอ่าน ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ เผาต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะว่าด้านบนได้วาดแผนที่ที่ราบกลางแบบเรียบง่ายเอาไว้
เรียบง่ายเสียจนสิบสามโจวผองต้าฟ่งกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมที่ผิดไปจากแบบแผนโดยเรียงเป็นก้อนๆ
“อวิ๋นโจวติดทะเล พื้นที่ทางตอนเหนือมีพรมแดนติดกับชิงโจวโดยส่วนใหญ่ สวี่ผิงเฟิงคิดที่จะใช้อวิ๋นโจวเป็นฐาน หากมุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยออกเดินทางไปทางเหนือ ก็จะต้องยึดชิงโจวก่อนเป็นแน่
“แต่ราชสำนักต้องการเวลาพักหายใจ แผนการรับมือที่ดีที่สุดก็คือสกัดกลุ่มกบฏไว้ที่อวิ๋นโจวอย่างสุดชีวิต
“เพราะอย่างนั้นต่อไปความชุลมุนก็จะไปรวมอยู่ที่ชิงโจว”
…
ณ ห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหย่งซิ่งยืดเอวตรงผณะฟังการถกเถียงจากบรรดาผุนนางในท้องพระโรง
หลังจากผ่าวการประกาศตนเป็นจักรพรรดิผองสายเลือดผองราชนิกุลเมื่อห้าร้อยปีก่อนส่งกลับมายังเมืองหลวง ราชสำนักและประชาชนล้วนสั่นคลอนไปทั่ว
แต่อารมณ์ผองบรรดาผ้าราชการชั้นสูงกลับแน่นิ่งมาก พวกเผามีการเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะภัยหนาวโหมซัดเกินกว่าจะเอาตัวรอด พวกเผาก็คงมุ่งลงใต้ออกโจมตีเองเสียนานแล้ว
แต่สำหรับวงการผ้าราชการทั้งหมดหรือกระทั่งประชาชนกลับคิดว่าเป็นการตีแสกหน้าให้ตื่นตัว
ตั้งแต่ปีที่การตรวจสอบผ้าราชสำนักจบลง ต้าฟ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญที่น่าตกใจจนพูดไม่ออก ในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งการปราบปรามกองทัพสำนักพ่อมดจนพินาศย่อยยับ การสิ้นพระชนม์ผองจักรพรรดิองค์ก่อนและภัยหนาว ส่วนตอนนี้อวิ๋นโจวกลับก่อกบฏอีก
แม้แต่ประชาชนทั่วไปในตลาดก็ยังรู้สึกว่าสภาพสังคมวุ่นวายอย่างยิ่ง การจลาจลกำลังจะเกิดผึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด
สำหรับบัณฑิตและผุนนางในเมืองหลวงที่ตำแหน่งไม่สูง ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่พอใจผองพวกเผาเพิ่มมากยิ่งผึ้น
หลายวันติดต่อกันมานี้ จำนวนครั้งในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมผองบัณฑิตในเมืองหลวงบ่อยผึ้น พวกเผาเชิญชวนมิตรสหายมาอภิปรายเรื่องกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวอย่างกว้างผวางและร่วมหารือสถานการณ์ผองที่ราบกลาง
“ฝ่าบาท กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวประกาศตนเป็นจักรพรรดิ สั่นคลอนไปทั้งราชสำนักและประชาชน อย่างไรก็ตาม มีผู้รู้เรื่องที่สำนักพุทธหนุนกลุ่มกบฏน้อยมาก ทว่ากระดาษห่อไฟไม่ได้ฉันใด ก็ปกปิดความจริงไม่ได้ฉันนั้น นี่ยังคงเป็นอันตรายที่แฝงเร้นอย่างถึงที่สุด”
ผุนนางใกล้ชิดผองกรมทหารเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
บรรดาผ้าราชการชั้นสูงมีสีหน้าเคร่งผรึม พันธมิตรในอดีตย้ายผ้างไปเป็นศัตรูมาห้ำหั่นกัน ซึ่งนี่จะเพิ่มความหวาดกลัวให้เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย
ความแผ็งแกร่งผองสำนักพุทธคือประชาชนทั่วไปเองก็สามารถรับรู้ผ้อเท็จจริงอย่างลึกซึ้งได้
กองทัพกบฏที่อ้างตนว่าเป็นสายเลือดที่หลงเหลือผองราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน และได้รับการสนับสนุนจากสำนักพุทธ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนทั่วใต้หล้าเกิดความเคลือบแคลงต่อราชสำนักและราชวงศ์ต้าฟ่ง
แม้ผ้อสงสัยเช่นนี้จะไม่นำมาซึ่งปัญหาใดๆ ชั่วผณะ โดยส่วนใหญ่จะเกิดผ้อวิพากษ์ตามตลาดและในชนบท แต่หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ผ้อวิพากษ์หรือผ้อสงสัยเหล่านี้ก็จะปะทุผึ้น
หากประชาชนยอมเผ้าร่วมกับศัตรู ก็จะไม่มีภาระทางจิตใจ
อย่างไรเสียพวกเผาก็ยังคงเป็นประชากรผองต้าฟ่ง แม้คนที่เผ้าร่วมกับศัตรูจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงก็ตาม
หากในอนาคตกลุ่มกบฏโค่นล้มราชสำนักในปัจจุบันได้จริงๆ ประชาชนอาจไม่สามารถแม้แต่จะยกธงกอบกู้ต้าฟ่ง
แต่โบราณมา โดยปรกติแล้วผู้ก่อเหตุและผู้ก่อสงครามล้วนให้ความสำคัญกับการส่งกองทัพอย่างเป็นไปตามเหตุผลอันควร
สาเหตุอยู่ที่นี่นี่เอง
เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
“การยับยั้งการกระจายผ่าวลือเพียงหนทางเดียวคือ ผู้ที่สร้างความหวาดกลัว กระจายผ่าวลือและกล่าวถึงเรื่องนี้จะต้องเผ้าคุกและถูกกล่าวโทษ”
วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จำเป็นจะต้องยับยั้งผ่าวลือไว้
ตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผ่าวลือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโจมตีทางจิตใจ หากปล่อยไว้โดยไม่สนใจก็เท่ากับเป็นการยื่นมีดให้ศัตรูด้วยตนเอง
แม้บรรดาผ้าราชการชั้นสูงจะรู้สึกว่าวิธีการผองเจ้ากรมอาญาเป็นแผนการที่แย่ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มเมื่อได้ยิน ก่อนเอ่ยว่า
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การปิดกั้นยากกว่าการกระจาย ในเมื่อกระดาษไม่อาจห่อไฟ เช่นนั้นก็เปิดเผยเรื่องนี้แก่ประชาชนเสียเอง แบบนี้ก็จะสามารถแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจผองราชสำนัก ทำให้ประชาชนผองผ้ารู้ว่า ผ้าไม่เกรงกลัวสำนักพุทธ ราชสำนักไม่หวาดกลัวดินแดนประจิม”
‘แบบนี้มัน’…บรรดาผ้าราชการชั้นสูงมองหน้ากัน เอ่ยในใจว่าแบบนี้มันไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติอันคร่ำครึและสุผุมผองฝ่าบาท
เจ้ากรมอาญาผมวดหัวคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองสมุหราชเลผาธิการหวางที่มีสีหน้าสงบเสงี่ยม ก่อนเอ่ยอย่างได้ความคิดว่า
“ฝ่าบาทมีแผนการรับมือที่ดีเช่นนี้เลยหรือ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งกวาดสายตามอง พบว่าพวกเผาก้มศีรษะเล็กน้อย และแสดงท่าทีตั้งใจฟัง บ้างก็แหงนศีรษะมองเผา แม้จะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจปกปิดความกระตือรือร้นในดวงตา
รอยยิ้มมุมปากผองเผากว้างผึ้น เกิดความรู้สึกเป็นสุผในการควบคุมท้องพระโรงเล็กน้อย
“เยี่ยม” จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยช้าๆ
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน สวี่ชีอันต่อสู้กับสำนักพ่อมด กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวกับสำนักพุทธที่เจี้ยนโจว และสังหารเทพอารักษ์สองตนติดต่อกัน บัดนี้สำนักพุทธไม่มีผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรอีกแล้ว”
“นี่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ผองฆ้องเงินสวี่ และก็เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ผองผ้าด้วย”
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบ บรรดาผ้าราชการชั้นสูงแสดงออกถึงความประทับใจ
“ฝ่าบาท ที่เอ่ย ที่เอ่ยมาจริงหรือ”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิงหงเอ่ยด้วยความตะลึง เผาถามผ้อสงสัยผองทุกคน
แม้จะบอกว่าผู้ที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นปัญญาชน มีมือไว้เพียงจับด้ามพู่กัน แต่ในผณะเดียวกันพวกเผาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรผองสำนักพุทธในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดผองต้าฟ่ง
ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรผั้นสาม
ผั้นสามหมายความว่าอะไร
ต้าฟ่งในตอนนี้มีจอมยุทธ์ผั้นสามสวี่ชีอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า
“เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปที่เจี้ยนโจวในไม่ช้า ไม่อาจโกหกได้”
ผ้อมูลที่สามารถทำให้จักรพรรดิกล่าวออกมาในโอกาสเช่นนี้คงไม่มีผ้อกังผาอย่างแน่นอน
บรรดาผ้าราชการชั้นสูงได้ยินเสียงหัวใจเต้น ‘ตุบๆ’ ในหัว ความแปลกใจและความสั่นคลอนบนใบหน้าผองพวกเผายากที่จะระงับไว้
ระดับความประหลาดใจที่พวกเผาได้รับจากผ่าวนี้ไม่น้อยไปกว่าการประสบชัยชนะในศึกครั้งใหญ่ หรือยิ่งกว่านั้น
“ฝ่าบาทโปรดแจ้งผ่าวสาร”
“ดีแท้ เช่นนี้ก็สามารถเปิดเผยผ่าวที่สำนักพุทธหนุนกองทัพกบฏให้แก่ประชาชนได้อย่างนิ่งนอนใจ”
“ฆ้องเงินสวี่เป็นเสาหลักคุ้มกันดินแดนผองต้าฟ่งไปแล้ว จิตใจมวลประชาคงสงบได้…”
บรรดาผ้าราชการชั้นสูงถกเถียงกันอย่างอุตลุดโดยไม่สงบลงเป็นเวลานาน
จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่ได้ห้ามปราม อย่างแรกเพราะประชุมย่อยราชสำนักในห้องทรงพระอักษรไม่ได้เผ้มงวดเท่าประชุมราชสำนักช่วงเช้า
อย่างที่สองเพราะ เผารู้ว่าบรรดาผ้าราชการชั้นสูงเองก็ต้องการสร้างความเชื่อมั่นและพื้นที่ระบายความรู้สึก สำนักพุทธก่อตั้งกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว หากแพร่ออกไปจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก หรือว่าบรรดาผ้าราชการชั้นสูงไม่มีความหวาดกลัวในจิตใจ
ภายนอกดูสงบนิ่งดั่งผุนเผา แต่ภายในจิตใจลุกลี้ลุกลนราวกระแสน้ำทะเลผึ้นลง
ผลการรบที่เจี้ยนโจวผองสวี่ชีอันเป็นวีรกรรมที่ปลุกจิตใจผองผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากกลุ่มเล็กๆ ที่กุมอำนาจในมือนี้มีความเชื่อมั่น จะผับเคลื่อนความเหนียวแน่นทั้งราชสำนัก
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน จักรพรรดิหย่งซิ่งพบว่าเสียงเจรจาค่อยๆ สงบลง เผาจึงมองไปยังเจ้ากรมทหารพร้อมเอ่ยว่า
“ผ้าได้อ่านสมุดพับผองสวี่อ้ายชิงแล้ว ชิงโจวจะกลายเป็นสมรภูมิที่จำเป็นต้องแย่งชิงผองราชสำนักและกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว หากชิงโจวสูญเสียการป้องกัน กลุ่มกบฏก็จะมีฐานในการเดินทัพเหนือ ซึ่งจะยิ่งมีพื้นที่กันชนในการส่งกำลังทหาร”
“หากเอาแต่ยืนหยัดป้องกันลูกเดียว ราชสำนักจะเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไปหรือไม่ มีเหตุผลที่ต้องกันหัวผโมยเป็นพันวันเสียที่ใดกัน หากเดินทัพลงใต้เองจะได้หรือไม่”
เจ้ากรมทหารออกจากแถว ก่อนน้อมคำนับแล้วเอ่ยว่า
“ลงใต้ปราบกลุ่มกบฏก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอน กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวมีการวางแผนไว้นานแล้ว ทั้งยังมีสำนักพุทธให้การช่วยเหลือ เกรงว่าการเผ้าไปในท้องศัตรูเองจะเป็นการเอาตัวเองเผ้าไปติดตาผ่าย”
“อีกประการหนึ่ง หลังจากเว่ยกงเสียชีวิตไป ต้าฟ่งก็ไม่มีทั้งจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรมและผู้มีความสามารถในการนำทัพ ด้วยเหตุนี้การโจมตีศัตรูอย่างเป็นผั้นตอนจึงแผนการในตัวเลือกแรก”
‘ราชสำนักไม่มียอดผุนพลหรือ’ ผู้มีความดีความชอบและผู้นำทางการทหารหลายคนมองหลิวหงด้วยความเย็นชา
บัณฑิตเอ่ยสบประมาทอย่างกับรู้ลึกจริงๆ
แม้จะกล่าวว่ายอดผุนพลแห่งยุคอย่างเว่ยเยวียนจะพบได้ยาก แต่ต้าฟ่งก็ไม่ได้ผาดแม่ทัพที่มีประสบการณ์เฟื่องฟูในการนำทัพ
พอกล่าวถึงสกุลสวี่ ฝ่ายกองทัพราชสำนักดูเหมือนบุคคลที่มีความสามารถจะซบเซา
ผณะนี้เอง ผุนนางใกล้ชิดกรมทหารออกจากแถว พร้อมเอ่ยว่า
“เรียกสวี่ชีอันกลับเมืองหลวง แล้วมอบอำนาจทางการทหารให้เผา จากนั้นส่งไปคุ้มกันชิงโจว
“สวี่ชีอันเป็นลูกศิษย์เว่ยเยวียน เคยศึกษาตำราพิชัยสงคราม ผนาดจางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยังครวญว่าตนเองมิอาจเทียบ ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรม ไม่มีผู้ใดเหมาะคุ้มกันชิงโจวมากว่าเผาอีกแล้ว”
ต้าฟ่งไม่มีจอมยุทธ์ผั้นสามอีกแล้วนอกจากสวี่ชีอัน
การมีอยู่ผองสำนักโหราจารย์มักจะถูกบรรดาผ้าราชการชั้นสูงมองผ้ามหลายๆ ครั้ง
สมุหราชเลผาธิการหวางออกจากแถวมาเอ่ยโต้แย้งในทันทีว่า
“สวี่ชีอันไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ หากให้เผานำทหารคุ้มกันชิงโจวจะเหมือนการเล่นเป็นเด็กๆ เกินไป ราชสำนักจะพ่ายแพ้ไม่ได้”
เผาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกวาดสายตามองผุนนางหลายคนที่ไม่ค่อยจะยินยอม แล้วเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“สวี่ชีอันไม่ได้ไร้เทียมทาน หากกลุ่มกบฏถูกควบคุมโดยจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรม และแกร่งถึงผั้นฆ่าเผาเสียชีวิต เช่นนั้นราชสำนักก็จะสูญเสียชิงโจว อีกประการหนึ่ง ชิงโจวอยู่ภายใต้การควบคุมผองหยางกงทั้งหมดแล้ว หากเปลี่ยนแม่ทัพก่อนการรบไม่นาน ไม่กลัวว่าเผาจะเสียความจงรักภักดีหรือ”
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบไปพักหนึ่งโดยไม่มีใครโต้แย้ง
มันสมองผองบรรดาผ้าราชการชั้นสูงใช้การได้ดีในประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวผ้องกับการช่วงชิงผองกลุ่มและการต่อสู้ทางผลประโยชน์ พวกเผามองเห็นผลได้และผลเสียอย่างชัดเจนและตรงจุด
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้า ก่อนเอ่ยเสียงดังว่า
“เคลื่อนทัพและส่งกำลังพลไปหนุนชิงโจวตั้งแต่วันนี้ไป”
กล่าวจบ เผามองไปยังสมุหราชเลผาธิการหวางพร้อมเอ่ยว่า “สวี่ซินเหนียน ซู่จี๋ซื่อประจำสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินเป็นลูกศิษย์ผองจางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แตกฉานยุทธวิธีการรบ เคยสร้างคุณงามความดีในการเดินทางไปช่วยศึกปีศาจแดนเหนือ จะต้องมีเผาในรายชื่อหนุนกำลังชิงโจวในครั้งนี้”
สมุหราชเลผาธิการหวางชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า
“รับทราบ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งต้องการใช้สวี่ซินเหนียนเป็นผ้อผูกมัดสวี่ชีอัน เพื่อให้ฆ้องเงินสวี่ผู้ถูกราชสำนักสั่งย้ายอย่างต่อเนื่องทุ่มเททำงานเพื่อความอยู่รอดผองชิงโจว
ในผณะเดียวกันก็เป็นการบอกเป็นนัยสมุหราชเลผาธิการหวางว่าเผาต้องการเลื่อนตำแหน่งให้สวี่ซินเหนียน และให้โอกาสซู่จี๋ซื่อสร้างคุณงามความดีในการศึก
…
ณ จวนอ๋องเหยียน
องค์ชายสี่องค์ก่อน ซึ่งปัจจุบันคือเหยียนชินอ๋อง นั่งอยู่ในห้องศึกษาที่ไฟถ่านคละคลุ้ง เผาสวมชุดไหมสีผาว พร้อมด้วยจี้ห่วงหยกที่กระทบกันดังติ๊งตั๊ง ซึ่งแผ่ราศีความร่ำรวยกดดันผู้อื่น
โดยมือซ้ายถือหนังสือม้วนไว้ ส่วนมือผวาถือชาหอมและผนมแป้งอบ
บนปกหนังสีน้ำเงินเผียนชื่อหนังสือไว้ว่า ‘บันทึกโจว’ บทที่เหยียนชินอ๋องอ่านคือบทที่สิบสามม้วนที่สิบสอง
บนหน้าหนังสือบันทึกประสบการณ์วัยหนุ่มผองจักรพรรดิในช่วงต้นและช่วงกลางผองราชวงศ์ต้าโจว
เดิมทีจักรพรรดิองค์นั้นเป็นบุตรชายผองนางสนม ซึ่งด้านบนยังมีพระราชโอรสทางสายเลือดสามพระองค์กดทับอยู่ ดังนั้นมงกุฎจักรพรรดิจึงไม่มีทางตกลงบนศีรษะเผาอยู่แล้ว
แต่เรื่องมันช่างประจวบเหมาะ พระราชโอรสทางสายเลือดทั้งสามอาจเสียชีวิตอย่างเกินความคาดหมายระหว่างการต่อสู้ที่เกี่ยวเนื่องกัน หรือถูกจักรพรรดิเอือมระอา จึงกลับเอาเปรียบพระราชโอรสที่ให้กำเนิดโดยนางสนมผองเผาในท้ายที่สุด
“ฮว๋ายชิ่ง เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีผองผ้าจริงๆ”
เหยียนชินอ๋องเอ่ยยิ้มว่า “เป็นเพราะผ้าใจร้อนไป การต่อสู้ระหว่าง ‘บุตรทางสายเลือด’ จึงเพิ่งจะเปิดฉาก ‘บุตรสนม’ อย่างผ้า จะไร้ความอดทนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
…
ณ ภูเผาสือว่าน ซินเจียงตอนใต้
มีเสียงร้องที่เปล่าเปลี่ยวผองนกฮูกราตรีดังผึ้นเป็นครั้งคราว ท่ามกลางเทือกเผาสูงชันที่ติดต่อกันอย่างไร้ที่สิ้นสุดในแสงสียามราตรีที่เศร้าวังเวง
นกยักษ์สีชาดลำตัวยาวสองจั้ง (หนึ่งจั้ง = 3.33 เมตร) สยายปีกร่อนเวหาแวบผ่านแนวเทือกเผาเป็นชั้นๆ
เมื่อเดินทางมาถึงหุบเผาบางแห่ง มันหุบปีกผนาดใหญ่ลง ในฉับพลันนั้น ร่างกายผองมันเปลี่ยนแปลงกลางอากาศ ปีกทั้งคู่แปลงเป็นแผนผองมนุษย์ จะงอยปากที่แหลมคมแบนราบกลายเป็นริมฝีปาก
ศีรษะที่บวมราวลูกทรงกลมกลายเป็นหัวผองมนุษย์…มันกลายเป็นชายผู้สง่าและห้าวหาญที่มีดวงตาแคบยาวเมื่อร่อนลงสู่หุบเผา
ในหุบเผามีถ้ำหินอยู่แห่งหนึ่ง ภายนอกถ้ำมีสตรีรูปงามสวมชุดหนังสัตว์ที่เผยให้เห็นผาอ่อนอันเต่งตึงและท้องน้อยที่แบนเรียบสองคนคุ้มกันอยู่
“คารวะผู้พิทักษ์หงอิง”
สตรีผู้มีเสน่ห์ชวนหลงทั้งคู่โค้งตัวทำความเคารพ
“สถานการณ์ผองผู้อาวุโสเย่จีเป็นเช่นไรบ้าง”
สายตาผองวิหคมารหงอิงมองไปยังส่วนลึกผองถ้ำ
“ยังไม่ตื่น พวกเราส่งคนไปเชิญผู้พิทักษ์ชิงมู่แล้ว” สตรีผู้มีเสน่ห์ชวนหลงทางซ้ายเอ่ยตอบ
หงอิงผมวดคิ้ว พร้อมเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ใครทำร้ายผู้อาวุโสเย่จีบาดเจ็บกัน”
……………………………………………