ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน
สตรีทรงเสน่ห์ทางด้านขวาตอบกลับว่า
“เมื่อคืนผู้อาวุโสเย่จีไปสอดแนมที่วัดหนานฝ่าเพื่อทำการยืนยันครั้งสุดท้าย หารู้ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสกลับมา หลังจากหมดสติไปก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย”
หญิงงามด้านซ้ายเอ่ยเสริมว่า
“อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสเย่จีพิกลนัก พลังในร่างกายทำลายพลังชีวิตลงเรื่อยๆ โดยไร้หนทางกำจัดออกได้ พวกเราก็ไม่รู้ว่านางจะยืนหยัดได้ถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ได้แต่รอให้ผู้พิทักษ์ชิงมู่มาแล้ว”
ปีศาจนกนามว่า ‘หงอิง’ ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของวานรสะเทือนทั่วสารทิศ เมื่อมองไปตามเสียงก็พบกับวานรขาวตัวหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาทางทิศใต้ พร้อมกับแหงนหน้ามองดวงจันทร์
“เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญนี่ก็มาด้วย…”
หงอิงส่งเสียง ‘ชิชะ’ ด้วยความระอา ก่อนเติมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยความรวดเร็ว พลางเฝ้ามองวานรกระโดดไปมาบนยอดไม้ ปิดท้ายด้วยเสียง ‘ตูม’ ขึ้นในหุบเขา
“ผู้พิทักษ์หยวน ข้าตั้งหน้าตั้งตารอท่านอยู่เลย”
หงอิงเผยรอยยิ้มอบอุ่น ในฐานะสามผู้พิทักษ์หลักภายใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสเย่จี เขาให้ความสำคัญกับความสมานฉันท์ระหว่าง ‘เพื่อนร่วมงาน’ มากเสมอ
หลังจากที่วานรขาวตกสู่พื้นก็พลันกลายเป็นชายร่างผอมสูง หน้าผากโหนกนูนกว้าง ริมฝีปากหนา มองปราดแรกรูปลักษณ์ภายนอกจะอยู่ระหว่างมนุษย์กับลิง
เมื่อเทียบกับความอัปลักษณ์ภายนอกแล้ว วานรขาวมีดวงตาสีฟ้าครามคู่หนึ่งซึ่งใสกระจ่างราวกับจะสะท้อนทุกสิ่งบนโลกได้
วานรขาวเหลือบมองหงอิงซึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาสีฟ้าครามประหนึ่งมองทะลุถึงหัวใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า
“หัวใจของเจ้าบอกข้าว่า โชคร้ายเสียจริง เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญตัวนี้ถึงยังไม่ตายนะ”
หงอิงชะงัก ก่อนส่งเสียง ‘ฮ่าๆ’ ด้วยความประดักประเดิด ขณะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ต้นไม้ในหุบเขาก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง
แมกไม้ในป่าเขียวชอุ่มสั่นไหวราวกับยักษ์ที่ฟื้นคืนชีพและแยกเขี้ยวพร้อมกับกางกรงเล็บ
ท่ามกลางต้นไม้ที่สั่นไหว จุดแสงสีเขียวใสทยอยกันลอยออกมา แล้วพวกมันก็ไปรวมตัวกันกลางท้องฟ้า ประหนึ่งหิ่งห้อยก่อตัวเป็นทางช้างเผือก
แล้วรวมตัวกันเป็นภาพมายาของต้นไม้สูงตระหง่านในท้ายที่สุด
กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่นี้แผ่ขยายซ้อนทับกันเป็นชั้น ราวกับเมฆาปกคลุม
หุบเขาทั้งลูกถูกปกคลุมด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน
ภาพมายาต้นไม้ยักษ์ทอดลำแสงสีเขียวลงมา แล้วควบรวมเป็นชายชราผู้มีผม เครา และคิ้วสีเขียว ในมือค้ำยันไว้ด้วยไม้เท้าที่ทำจากเถาวัลย์
“ผู้พิทักษ์ชิงมู่!”
ทั้งวานร วิหคแดง รวมถึงหญิงงามทั้งสองต่างทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
ชายชราซึ่งปกคลุมด้วยแสงสีเขียวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและผ่านร้อนผ่านหนาวมามากว่า
“ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ด้านในหรือ”
หงอิงรีบเอ่ยว่า
“กำลังรอท่านอยู่ทีเดียว ตอนที่ผู้อาวุโสเย่จีสอดแนมวัดหนานฝ่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง สถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤต”
ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดคำพูดของปีศาจหญิงทั้งสองทันที
พลังที่ไร้หนทางกำจัด…หัวใจของผู้พิทักษ์ชิงมู่จมดิ่ง เขาเอ่ยว่า
“พาข้าเข้าไปดูที”
ปีศาจหญิงทางด้านซ้ายคำนับอย่างอ่อนช้อยพลางว่า “ท่านผู้พิทักษ์ทั้งหลาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ!”
ผู้พิทักษ์ทั้งสามตามนางเข้าไปในถ้ำ ทางเดินกว้างขวาง คบไฟเสียบอยู่บนกำแพงหินทุกยี่สิบก้าว และมีสตรีรูปงามนางหนึ่งยืนรออยู่
สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว…หงอิงชื่นชมรูปลักษณ์อันงดงามของเหล่าปีศาจหญิง
“สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว” ผู้พิทักษ์วานรขาวเอ่ยเสียงเข้ม
หงอิงสีหน้าแข็งค้างก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ผู้พิทักษ์หยวนช่างเถรตรงเสียจริง”
วานรขาวเหลือบมองเขาแวบหนึ่งพลางว่า “ข้าแค่เอ่ยความในใจของเจ้า”
“…”
หลังผ่านทางเดินลึกกว่าสิบจั้ง ด้านหน้าเป็นถ้ำขนาดมหึมา พื้นปูด้วยหนังสัตว์ มีโต๊ะกลมพร้อมเก้าอี้ไร้พนัก ฉากกั้นบังลม กระถางต้นไม้และสิ่งของอื่นๆ วางอยู่ ไม่ต่างจากห้องส่วนตัวของสตรีที่เป็นมนุษย์
ที่สะดุดตาที่สุดคือเตียงหลังใหญ่พร้อมม่านแขวน แกะสลักเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกเสมือนจริง ฝีมือประณีตงดงาม
ปีศาจหญิงที่ยืนรออยู่ข้างเตียงเลิกม่านเตียงออกทันทีแล้วเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า
“ผู้พิทักษ์ชิงมู่ ท่านรีบมาดูเถอะเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุและการปลูกสมุนไพร เมื่อครั้งที่เขาอุทิศตนเพื่อศึกษาวิจัยด้านการแพทย์นั้น ระบบโหรยังไม่เป็นที่ปรากฏ
สตรีรูปร่างหน้าตางดงามผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง กำลังหลับลึกไม่ได้สติ
ใบหน้าของนางเฉียบคม คิ้วยาวตรง เครื่องหน้ามีเสน่ห์ชวนหลงใหล หากในยามนี้ ใบหน้าคมทรงเสน่ห์นี้กลับซีดเผือดจากการเสียเลือด คิ้วขมวดเล็กน้อยระหว่างที่ไม่ได้สติ ราวกับได้รับความทรมานแสนสาหัส
ผู้พิทักษ์ชิงมู่เดินไปยังข้างเตียง แล้วคว้าข้อมือขาวผ่องราวหิมะของหญิงผู้นั้นออกจากผ้าขนสัตว์อ่อนนุ่มมาจับไว้ เพื่อส่งผ่านพลังสีเขียวใส
‘ครืน…’
ลำแสงสีทองดีดตัวออกจากร่างของเย่จี กระแทกผู้พิทักษ์ชิงมู่ลอยขึ้นกลางอากาศ ร่างของเขาสลายไปอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นจุดแสงสีเขียว
ฉับพลันนั้นเอง จุดแสงสีเขียวก็รวมตัวกันเป็นชายชราอีกครั้ง
“ระดับเต๋าแยกขันธ์!”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่สีหน้าหนักอึ้ง
“อะไรนะ”
ปีศาจนกหงอิงหน้าถอดสีพร้อมกับส่งเสียงอุทาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุของการ ‘กำจัดออกไม่ได้’ และ ‘พลังชีวิตที่ถดถอยลงเรื่อยๆ’
ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจรุ่นใหม่ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในศึกใหญ่ระหว่างพระอรหันต์และปีศาจในครั้งนั้น ทว่าเขาเคยเข้าร่วมยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน
ในบรรดาสามระดับเต๋าอรหันต์ ระดับเต๋าแยกขันธ์นับเป็นระดับเต๋าที่มีอานุภาพสูงสุด เรียกว่าเป็นวิธีการสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้พระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธ
จุดเด่นสำคัญที่สุดของระดับเต๋าแยกขันธ์ก็คือ ไม่ตายไม่เลิกรา!
“ข้าเองก็จนปัญญา”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ส่ายหัวพลางว่า “ทำได้แต่เชิญให้ท่านจอมมารออกโรงแล้ว”
พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์นั้นไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา จำเป็นต้องรับมือด้วยพลังในระดับเดียวกัน
“แต่ท่านจอมมารได้ออกทะเลไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในจิ่วโจวแผ่นดินใหญ่…ตอนนี้สำนักพุทธมีเพียงตู้เอ้อร์คนเดียวเท่านั้นที่มีอรหันต์ระดับเต๋าแยกขันธ์ เขา เขามาซินเจียงตอนใต้เพราะเหตุใดกัน ข้อพิพาทระหว่างสำนักพุทธกับมหายานหินยานเสร็จสิ้นแล้วหรือ”
หงอิงเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “หากท่านจอมมารกลับมาไม่ทัน ผู้อาวุโสเย่จีจะทำเช่นไร”
ทุกคนเงียบงันไปชั่วขณะ ผู้พิทักษ์วานรขาวและผู้พิทักษ์ชิงมู่มีท่าทีเคร่งขรึม
ผู้พิทักษ์ชิงมู่เอ่ยเสียงต่ำ
“นางเหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หลังจากนั้น ระดับเต๋าแยกขันธ์จะทำลายธาตุและวิญญาณของนาง”
ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงพึมพำดังขึ้น หญิงงามบนเตียงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่และค่อยๆ ลืมตา
นัยน์ตาจิ้งจอกคู่นั้นงดงามน่าหลงใหล
“ผู้อาวุโสเย่จี”
หงอิงและคนอื่นๆ เข้าไปรายล้อม
สายตาของเย่จีเคลื่อนตัวกวาดมองฝูงชน น้ำเสียงราบเรียบเผยความอิดโรย
“พวกท่านมาแล้ว…”
ผู้อาวุโสชิงมู่พยักหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “ผู้อาวุโสเย่จี ผู้ที่ทำร้ายท่านคือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ใช่ไหม”
เย่จีส่ายหน้าเบาๆ “เป็นอาซูหลัว”
‘อาซูหลัวรึ’ ผู้พิทักษ์รุ่นใหม่ทั้งสอง วานรขาวและหงอิงสบตากัน จึงพบกับความฉงนในดวงตาของกันและกัน
ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
ผู้อาวุโสชิงมู่ซึ่งมีชีวิตมาเนิ่นนานจนยากจะนับพลันเปลี่ยนสีหน้าอย่างหนัก
“อาซูหลัว บุตรคนสุดท้องของราชันอสูรหรือ เขาไม่ได้วายชนม์ไปนานแล้วรึ”
เย่จีเองก็ฉงนสนเท่ห์ จนปัญญาที่จะตอบได้
หงอิงเอ่ยถาม “ผู้พิทักษ์ชิงมู่ อาซูหลัวคือใครหรือ”
สีหน้าของผู้อาวุโสชิงมู่เปลี่ยนแปลงอย่างยากคาดเดา หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยช้าๆ ว่า
“อาซูหลัวคืออีกชื่อหนึ่งของอาซิวหลัว เป็นชื่อเรียกซึ่งมีเพียงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอสูรเท่านั้นที่จะมีได้
“อาซูหลัวรุ่นก่อนก็คือราชันอสูร นับตั้งแต่ราชันอสูรถูกพระพุทธเจ้าสะกดไว้ที่ตีนเขาอรัญตาด้วยตะปูตอกวิญญาณ หลังจากที่วายชนม์แล้ว บุตรคนสุดท้องของราชันอสูรจึงได้กลายเป็นอาซูหลัวรุ่นใหม่
“เขาเห็นการตายอย่างน่าเวทนาของบิดาและพี่ชายต่อหน้าต่อตา เพื่อที่จะดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป เขาจึงเป็นผู้นำในการถวายตัวเป็นศิษย์สำนักพุทธ และได้บำเพ็ญถึงระดับเต๋าอรหันต์ในที่สุด
“เขาแข็งแกร่งมาก ตอนที่ได้ชื่อเป็นพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้น เขาเป็นคนที่มีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งของสำนักพุทธ
“ตัวอาซูหลัวก็เป็นนักรบที่ทรงพลังอย่างยิ่ง หลังจากถวายตัวเข้าสำนักพุทธก็ฝึกฝนพลังเทพวชิระด้วยความบากบั่นและควบแน่นร่างกายวชิระ ต่อมาเนื่องจากล้มเหลวในการบำเพ็ญวิถีวชิระ จึงหันมาบำเพ็ญแนวทางฉานซือ และได้รับระดับเต๋าแยกขันธ์”
ระดับเต๋าอรหันต์ผนวกกับร่างกายวชิระ…ได้ฟังเพียงการบรรยาย ผู้พิทักษ์หงอิงก็จินตนาการถึงความทรงพลังและความน่ากลัวของอาซูหลัวผู้นั้นได้แล้ว
ผู้พิทักษ์วานรเอ่ยว่า “แล้วต่อมาเขาก็ตายหรือ”
ผู้อาวุโสชิงมู่พยักหน้าพลางว่า
“ระหว่างการต่อสู้ของพระอรหันต์และปีศาจในครานั้น เขาถูกท่านจอมมารของพวกเราสังหารเองกับมือ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ชายชราผู้มีสีเขียวอาบร่างก็เหลือบมองเย่จีพลางว่า
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ตาย นี่ตึงมือกว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์มากทีเดียว เกรงว่าจะยากต่อการดำเนินการตามแผนของจอมมาร”
จอมมารคนก่อนคือราชันแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจในครานั้น
จอมมารคนต่อมาคือจอมมารในปัจจุบัน ซึ่งก็คือองค์หญิงในตอนนั้น
เย่จีมองหงอิงแล้วเอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์หงอิง ได้พบกับราชาหมีหรือยัง ได้เชิญเขาออกจากภูเขาหรือไม่”
เมื่อเห็นทุกคนมองมา หงอิงจึงยิ้มขื่นและส่ายหัวพลางว่า
“ราชาหมีอยากนอน ไม่ยินดีจะเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขา ข้าเชิญเขามาไม่ได้ ไม่สิ ข้าไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้เขา…”
เป็นการรายงานที่ผีซ้ำด้ำพลอยขึ้นไปอีก
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แผนการตอนนี้คือคิดหาวิธีถอดถอนพลังภายในร่างกายของผู้อาวุโสเย่จี รักษาชีวิตไว้สำคัญที่สุด”
เย่จีพยุงตัวขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พวกท่านออกไปก่อน ข้าต้องการติดต่อกับองค์หญิง”
ผู้พิทักษ์หงอิงและคนอื่นๆ ถอยออกจากถ้ำราวยกภูเขาออกจากอก
เย่จีเลิกผ้าขนสัตว์อ่อนนุ่ม นางดึงกล่องไม้ใบหนึ่งจากใต้เตียง แล้วหยิบกระถางธูปหัวจิ้งจอกทองเหลืองขนาดประมาณฝ่ามือและธูปสีดำหนึ่งดอกออกมา
นางจุดธูปสีดำแล้วปักลงในกระถางธูป
ควันสีดำลอยอวล เย่จีสูดลมหายใจลึกและสูดควันดำเข้าทางจมูก
ทันใดนั้น ดวงจิตอันทรงพลังก็ตื่นขึ้นในร่างของนาง แสงสว่างวาบออกจากดวงตาข้างซ้าย ดวงตาข้างขวาเป็นปกติ
“ระดับเต๋าแยกขันธ์…”
เสียงทรงเสน่ห์เย้ายวนลอยออกจากริมฝีปากแดงของนาง “เจ้าได้พบกับผู้ใด”
เย่จีกระซิบว่า
“องค์หญิง ข้าพบกับอาซูหลัวที่วัดหนานฝ่า เขายังไม่ตายเจ้าค่ะ
“เมื่อคืนข้าแอบเข้าไปในวัดหนานฝ่าเพื่อสืบตำแหน่งของค่ายกลและทำการยืนยันขั้นสุดท้าย จึงได้พบกับอาซูหลัวที่เฝ้าอยู่นอกค่ายกล
“เวลานั้นข้าอยู่ห่างจากเขามาก เขาเพียงแค่นเสียงเย็นทีเดียวก็โจมตีข้าจนบาดเจ็บ หากไม่ได้ทักษะการหลบหนีขั้นสูงของข้า เกรงว่าคงกลับมาไม่ได้แล้ว”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนส่งเสียงจุปาก
“ตอนนั้นข้าฆ่าเขาไม่ตายรึ ข้าเข้าใจแล้ว เป็นพระโพธิสัตว์กว่างเสียนผู้ควบคุม ‘ร่างธรรมสังสารวัฏ’ ที่ช่วยเขาและส่งเขาไปบำเพ็ญตนใหม่ มีเพียงวิธีนี้ เขาจึงจะมีโอกาสรอดได้ในครานั้น”
“ย้อนกลับไปห้าร้อยปี”
เย่จีขมวดคิ้วมุ่น
“องค์หญิงโปรดช่วยข้าด้วย
“เกรงว่าแผนการปลดผนึกเสินซูจะดำเนินการได้ยากแล้ว เว้นแต่ท่านจะย้อนกลับไป”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มพลางว่า
“ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ดวงจิตของข้ายับยั้งระดับเต๋าแยกขันธ์ไว้ได้ แต่เจ้ามิอาจทนให้ดวงจิตของข้าอยู่กับตัวได้ตลอด สองวันให้หลังเจ้าต้องตายแน่นอน
“สำหรับแผนการของเรา หึ ฝ่ายต่อต้านในอวิ๋นโจวก็ประกาศตนเป็นจักรพรรดิแล้ว การต่อสู้เพื่อรวบรวมความเป็นหนึ่งในที่ราบตอนกลางกำลังจะเริ่มขึ้น พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ต้องออกจากภูเขาเป็นแน่ ด้านสำนักพุทธก็สูญเสียตู้หนาน ตู้ฝาน รวมถึงอรหันต์ตู้ฉิงแล้ว
“พระโพธิสัตว์หลิวหลีถูกท่านโหราจารย์ทำร้ายบาดเจ็บ กว่างเสียนและตู้ฉิงนั่งบัญชาการอยู่อรัญตา เป็นช่วงเวลาที่ดินแดนพุทธทางซินเจียงตอนใต้กำลังว่างเปล่า หากไม่ปลดผนึกตอนนี้จะต้องรอไปถึงเมื่อไร”
เย่จีเอ่ยด้วยความขมขื่นว่า “บ่าวตายก็ไม่เสียดาย เพียงแต่ เพียงแต่ราชาหมีไม่ได้มาตามที่สัญญาไว้ ด้วยความสามารถอันอ่อนด้อยของพวกเรา แม้ร่างกายและกระดูกจะแหลกเป็นผุยผงก็มิอาจทำงานที่ได้รับมอบหมายจากองค์หญิงให้สำเร็จได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มน้อยๆ พลางว่า
“เจ้าใช่ว่าอยากตาย ตอนนี้เจ้ากำลังเสียดายชีวิตสินะ”
เย่จีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยต่อว่า “เจ้าหมีขี้เกียจนั่นไม่มาก็ช่างปะไร ข้าหาตัวช่วยมาให้เจ้าแล้ว วันนี้ก็จะมาถึง อดใจรอได้เลย ปรนนิบัติเขาให้ดี บางทีเขาอาจช่วยชีวิตเจ้าได้”
เย่จีถามด้วยความระแวดระวัง “ผู้ใดกันเจ้าคะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มหยันพลางว่า “ถึงเวลาก็รู้เอง จุๆ ใบหน้านวลลออเช่นนี้ ข้าเตรียมตั้งราคาไว้นานแล้ว รออย่างสบายใจเถอะ”
แสงสว่างในดวงตาข้างซ้ายของเย่จีวูบหายไป พร้อมกับธูปสีดำที่ดับลง
นางนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะและนิ่งงันไปพักใหญ่ ก่อนเก็บธูปและกระถางธูปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
จากนั้นจึงสั่งให้ปีศาจหญิงที่ยืนรอรับใช้อยู่นอกถ้ำไปเชิญผู้พิทักษ์ทั้งสาม
รอจนพวกหงอิงกลับมา เย่จีซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เตียงจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“นางบอกว่าจะมีคนมาช่วยเร็วๆ นี้ ให้พวกท่านอดทนรอ”
ผู้พิทักษ์ทั้งสามมีสีหน้าดีใจ หงอิงไล่ถามว่า
“เป็นเทพผู้วิเศษจากไหนหรือ”
เย่จีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นไปอีกพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่รู้”
‘เอ๋ ผู้อาวุโสเย่จีดูไม่สบายใจเอาเสียเลย…’ หงอิงสัมผัสท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของนางได้อย่างฉับไว
วานรขาวเหลือบมองเขาพลางว่า
“ผู้อาวุโสเย่จี หงอิงถามท่านว่าเหตุใดจึงไม่สบายใจ”
เย่จีขมวดคิ้วพลางมองหงอิง ก่อนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มากความ!”
“…”
ปีศาจนกอ้าปากหวอ พูดไม่ออก
…
ภายในเจดีย์พุทธะ
ไป๋จีนอนคว่ำอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสาม อุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองคว้ากรอบหน้าต่างไว้แน่น ร่างกายแขวนห้อยอยู่ครึ่งท่อน
มันหันหน้าด้วยความตื่น “ด้านล่างเป็นพื้นที่โดยรอบของภูเขาสือว่านละ”
ขณะที่พูด ขาหลังสองข้างก็ครูดกับกำแพงสองสามครั้ง จึงเอ่ยวิงวอนว่า
“สวี่ชีอัน เจ้าอุ้มข้าหน่อยสิ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…”
สวี่ชีอันเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจ จึงหนีบหลังคอมันแล้วยกขึ้นกลางอากาศ
“ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ…”
ไป๋จีกวัดแกว่งแขนขาสะเปะสะปะ
สวี่ชีอันไม่สนใจคำทักท้วงของจิ้งจอกน้อย เขามองไปยังภูมิประเทศด้านล่าง
ครั้งหนึ่งเขาเคยแคลงใจที่ตนมาถึงป่าบุพกาล เทือกเขาด้านล่างสลับซับซ้อน ป่าหนาทึบปกคลุมเกือบทั่วพื้นผิว
โครงข่ายสายน้ำที่ครอบคลุมเปรียบเสมือนเส้นลมปราณกระจายไปทั่วภูเขาและผืนป่า
นี่น่าจะเป็นเขตภูเขากระมัง เพียงแต่พื้นที่นั้นใหญ่เกินไป ทุกที่ล้วนเป็นภูเขา ไม่ว่าตรงไหนก็เป็นป่าบุพกาล...
อากาศสบายเสียจริง ไม่ร้อนไม่หนาว หากราษฎรของต้าฟ่งหนีมาถึงที่นี่ได้ก็จะพ้นทรมานจากความหนาวเย็น น่าเสียดายที่ภูเขาสือว่านแห่งซินเจียงตอนใต้อยู่ห่างจากอาณาเขตต้าฟ่งมากเกินไป ในยุคนี้การสัญจรก็ยังไม่พัฒนา ไม่มีทางที่ผู้ประสบภัยจะเดินเท้ามาถึงที่นี่ได้…
สวี่ชีอันคิดไปต่างๆ นานา แล้วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจว่า “นี่คือภูเขาสือว่านที่ปีศาจทักษิณของพวกเจ้าอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุใช่หรือไม่”ช่างเป็นดินแดนแห่งขุมทรัพย์ที่มีทรัพยากรมากมายจนยากจะจินตนาการจริงๆ
หากต้าฟ่งสามารถพิชิตดินแดนผืนนี้ได้ แค่ทรัพยากรป่าไม้ก็เก็บกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
“ลอย…”
สวี่ชีอันหันหลังกลับและเหลือบมองไปยังมู่หนานจือซึ่งกำลังขอคำแนะนำวิชาพุทธะกับภิกษุชราถ่าหลิงอยู่ ก่อนกระซิบว่า
“รีบบอกมา เย่จีพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ใด”
…………………………………………………