ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 649 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (2)
นัยน์ตาสีครามกระจ่างของผู้พิทักษ์วานรขาวจ้องสวี่ชีอันสักพัก ไม่อาจ ‘ได้ยิน’ ความในใจเขา รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“ฮือ…”
ยามนี้ เย่จีส่งเสียงครวญคราง คิ้วขมวดเล็กน้อย ขนตาขยับเขยื้อน จากนั้นลืมตาขึ้น
สิ่งที่นางเห็นเป็นลำดับแรกคือเงาคนเลือนราง เมื่อพินิจอีกครั้ง เหมือนจะเป็นชาย
นึกถึงสิ่งที่พระนางพูดเมื่อวาน ใจสั่นสะท้าน บังเกิดความรู้สึกกังวล หวาดระแวง และต่อต้าน
“ตื่นแล้ว?”
เงานั้นยิ้มพูด
ชั่วพริบตา เย่จีราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทั่วร่างชะงักงัน นางเหม่อมองชายผู้นั่งข้างเตียง นัยน์ตาอันดุจแฝงด้วยสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงนั้นท่วมท้นด้วยละอองธาร
“สวี่หลาง…”
นางพึมพำ
น้ำเสียงราวกับละเมอ นึกไม่ถึงว่าคนที่คิดถึงทุกเมื่อเชื่อวันจะปรากฏตัวตรงหน้าง่ายดายเช่นนี้
นี่ทำให้นางสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองพบเจอยามนี้เป็นเพียงความฝัน
“เป็นเจ้าจริงหรือ”
เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน เย่จีลุกจากเตียงขึ้นนั่ง คว้ามือสวี่ชีอันไว้อย่างตื่นเต้น
เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พูดไม่ขาดปาก “สวี่หลาง สวี่หลาง…”
“แน่นอนว่าเป็นข้า ขนาดตัวเท่าเดิม เจ้าจะลองวัดดูหรือไม่”
สวี่ชีอันตอบด้วยคำพูดที่ยิ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์เมื่อก่อน
เมื่อก่อนที่ทั้งสองหยอกเย้ากันในห้องนอนหออิ่งเหมย มักพูดคำหยาบโลน หยอกล้อซึ่งกันและกัน
แก้มขาวนวลของเย่จีขึ้นสีแดงเรื่อ จิปากใส่เขา
นางค้ำยันร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่บ้าง กึ่งคลอเคลียในอ้อมแขนสวี่ชีอัน น้ำเสียงแฝงด้วยความดีใจที่พบกันหลังจากไม่ได้เจอกันนาน รวมทั้งความงงงวยเต็มอก
“สวี่หลางมาได้อย่างไร หาที่นี่เจอได้อย่างไร”
ในความเข้าใจของเย่จี สวี่ชีอันยังเป็นชาวยุทธ์ระดับสลายแรงขั้นห้าผู้นั้น ตกอยู่ในแผนร้ายยิ่งใหญ่ อนาคตเลือนราง
นาง ‘ตายแล้ว’ กลับสู่ใต้บัญชาพระนาง ระหว่างสองคนขวางกั้นด้วยพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ โอกาสได้พบกันไกลห่างจนมองไม่เห็น
ผู้พิทักษ์หยวนอ้าปาก สมองสับสนเล็กน้อย
‘ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งท่านนี้เป็นสามีของผู้อาวุโสเย่จีจริงหรือ!’
‘ผู้อาวุโสเย่จีที่มีตำแหน่งสำคัญในอาณาจักรหมื่นปีศาจหาสามีเผ่ามนุษย์?’
เรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าปีศาจผู้กล้ามากเท่าใดจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขารู้ว่านี่คือเรื่องจริง เพราะใจของผู้อาวุโสเย่จีบอกเขาว่า ‘นางเกิดอารมณ์กระสันแล้ว!’
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ส่ายหน้าเผลอยิ้ม
ข้าพอจะเข้าใจแล้ว ทางชายแดนใต้นี้ของพวกเจ้าไม่รู้ข่าวสารด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันพูด
“เจ้าไม่รู้เรื่องในต้าฟ่งแม้แต่น้อย?”
เมื่อคิดดูอีกที เขาสังหารจักรพรรดิหยวนจิ่ง รวมแล้วประมาณสองเดือน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อมาระหว่างท่องยุทธภพ เช่น ยึดเจดีย์พุทธะ สังหารเทพอารักษ์ตู้ฝานและตู้หนาน
เรื่องพวกนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน ไม่มีเครือข่ายข่าวสารขนาดใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้
เย่จีส่ายหน้า
“ฝูงปีศาจในอาณาจักรหมื่นปีศาจมีขอบเขตหน้าที่ของตน หลังจากที่ข้ากลับสู่ข้างกายพระนาง ก็ถูกส่งมาปกครองเผ่าพันธุ์ปีศาจชายแดนใต้ เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของอาณาจักรตอนใต้แทนนาง ตรวจสอบตำแหน่งผนึกมือเท้าทั้งสี่ของเสินซู
“ที่ราบกลางไม่ใช่เขตปกครองของข้า ข่าวไม่ทั่วถึง ข้าอยากสืบข่าวสวี่หลาง ก็ไม่มีกำลังคนกับช่องทางที่ใช้ได้”
แบ่งงานชัดเจนนักเชียว นี่ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งเป็นวิธีควบคุมฝูงปีศาจทุกแห่งของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง…สวี่ชีอันพยักหน้า ตอบคำถามของนาง
“บัดนี้ข้าได้ระดับบรรลุธรรมขั้นสาม ร่างอมตะ”
เย่จีตกตะลึง มองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอย
สวี่ชีอันยิ้มแย้มนิ่งเงียบ
ผ่านไปนาน เย่จีพ่นลมหายใจราวกับถอนใจ “ข้ารู้แต่แรกว่าสวี่หลางไม่ใช่คนไร้ความสามารถ เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่า ตบะจะก้าวหน้าจนน่าตกใจเช่นนี้ ข้านึกภาพออกว่ายามนี้จะมีหน้ามีตาเพียงใด”
ไป๋จีใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ปีนขึ้นไปตามตัวเย่จี “พี่หญิงเย่จี อุ้มข้าหน่อยๆ”
เย่จีฟังแล้ว ยิ้มแย้มอุ้มจิ้งจอกขาวน้อยขึ้นมา โอบไว้ตรงหน้าอก พูดว่า
“ไป๋จีอยู่กับเจ้า?”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ตามข้าท่องยุทธภพสักระยะแล้ว”
ไป๋จีหนุนหน้าอกเย่จี ขยุกขยิกเล็กน้อย เหมือนไม่เคยชินอยู่บ้าง หันหน้ามองหน้าอกเย่จีแวบหนึ่ง สีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าเป็นอะไรไป” เย่จีถาม
“ไม่สบาย…” ไป๋จีพูดเสียงเบา
เย่จีมีสีหน้างงงวย “เมื่อก่อนเจ้าชอบให้พี่หญิงอุ้มเจ้าเช่นนี้ที่สุด”
มันเจอหมอนอิงที่ดีกว่า…สวี่ชีอันคิดในใจ
เย่จีลูบหัวจิ้งจอกขาวน้อย พูดต่อ
“สวี่หลางคือผู้ช่วยที่พระนางเชิญมา? และเจ้าเป็นคนรักษาข้า?”
แม้ถามเช่นนี้ แต่ในใจนางแน่ใจยิ่งนัก มิน่าล่ะพระนางกำชับให้นางตั้งใจปรนนิบัติอีกฝ่าย ถ้าเป็นสวี่ชีอัน งั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว
สวี่หลางคือบุคคลที่พระนางให้ความสำคัญยิ่งนัก นางจะไม่ล่วงเกินง่ายๆ
“พูดเรื่องมือเท้าทั้งสี่ของเสินซู เรื่องของข้า ภายหลังค่อยเล่าให้เจ้าฟัง” สวี่ชีอันไม่ทักทายอีก เข้าสู่หัวข้อหลัก
“พวกเราใช้ปีศาจทาสจำนวนมากที่ถูกสำนักพุทธควบคุม ติดสินบนพ่อค้าส่วนหนึ่งที่ไปกลับชายแดนใต้และแดนประจิม สิ้นเปลืองเวลามากนัก สืบพบตำแหน่งที่แน่นอนของผนึกมือเท้าทั้งสี่ของเสินซู”
เย่จีขยายหัวข้อสนทนา อธิบายคำว่า ‘ปีศาจทาส’
“สำนักพุทธชอบกำราบเผ่าพันธุ์ปีศาจ ใช้พวกเขาเป็นสัตว์พาหนะหรือแรงงาน ชาวเผ่าที่มีตบะสูง ให้ฟังธรรมล้างสมองเป็นประจำ ชาวเผ่าที่มีตบะต่ำไม่มีผู้ใดยอมเปลืองแรงไปโปรดสัตว์ มักจะกำราบด้วยพละกำลัง
“ฝ่ายหลังคือเป้าหมายที่พวกเราลักลอบติดต่อและปลุกระดมได้”
สวี่ชีอันตั้งใจฟัง ไม่ได้พูดแทรก
“เสินซูถูกผนึกอยู่ที่เจดีย์โบราณลานประจิมวัดหนานฝ่า เจดีย์องค์นั้นไม่มีอะไรมหัศจรรย์ แต่ในเจดีย์มีฉานซือหกสิบแปดรูปนั่งสมาธิสวดมนต์ตลอดปี ใช้วิชาพุทธะกำจัดความเป็นปีศาจของเสินซู เสริมผนึกให้แข็งแกร่ง
“นอกจากนี้ พระโพธิสัตว์หลิวหลีสลักชื่อให้เจดีย์ด้วยตนเองว่า…หย่งเจิ้น!
“เจดีย์นี้จึงเป็นแหล่งรวมโชคชะตาภูเขาสือว่าน”
สวี่ชีอันส่งเสียงจิปาก “ค่ายกลฉานที่เกิดจากฉานซือหกสิบแปดรูป ไม่ใช่ระดับบรรลุธรรมไม่อาจทำลาย”
เย่จีพยักหน้า “ใช่ เดิมทีพวกเราคิดจะเชิญราชาหมีออกจากป่า ฉวยโอกาสที่สำนักพุทธป้องกันหละหลวม ทำลายค่ายกลในคราวเดียว นึกไม่ถึงว่าอาซูหลัวหวนคืนแล้ว”
“อาซูหลัว?”
คำว่าหวนคืนทำให้สวี่ชีอันหนักใจขึ้นมา เพราะคำนี้มักใช้บรรยายพระอรหันต์กลับชาติมาเกิด
“อาซูหลัวคือบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร ทั้งเป็นพระอรหันต์ระดับเต๋าแยกขันธ์แท้จริง ทั้งเป็นชาวยุทธ์ขั้นสามที่มีร่างเนื้อเทพอารักษ์”
เย่จีลอบมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่กล้าพูดว่าความแข็งแกร่งของอาซูหลัวห่างชั้นจากชาวยุทธ์ขั้นสามมากนัก
แม้กลับสู่ร่างจริงแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ยังทำตัวต่ำต้อยโดยไม่รู้ตัว ราวกับอนุภรรยาน่ารังแก
สองบวกสาม…สวี่ชีอันฉีกยิ้ม
ไม่ว่าเป็นระดับเต๋าแยกขันธ์หรือชาวยุทธ์ที่มีร่างเนื้อเทพอารักษ์ ล้วนโด่งดังจากการต่อสู้
“ราชาหมีคือ?”
สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่องถาม
เย่จีบอกทุกอย่างที่รู้ ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “ราชาหมีคือราชาปีศาจบรรลุธรรมเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราเผ่าพันธุ์ปีศาจ นอกเหนือจากพระนางในยามนี้”
นางถือโอกาสอธิบายการแบ่งแยกชนชั้นของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“ผู้นำสูงสุดแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวหน้าเผ่าจิ้งจอก ในขณะเดียวกันนางก็เป็นผู้ปกครองร่วมปีศาจแดนใต้ ข้างกายเจ้าอาณาจักรมีผู้อาวุโสอย่างน้อยเก้าท่าน ช่วงรุ่งเรืองสูงสุด มีผู้อาวุโสสิบสี่ท่าน ในนั้นมีระดับบรรลุธรรมสามท่าน ถัดจากผู้อาวุโส ก็คือผู้พิทักษ์
“เมื่อผู้อาวุโสอยู่ข้างนอก ก็คือผู้ส่งสารความประสงค์ของเจ้าอาณาจักร ผู้อาวุโสมักจะถูกคัดเลือกจากเผ่าจิ้งจอก
“นอกจากเผ่าจิ้งจอก มีราชาปีศาจสิบสองท่าน ช่วงรุ่งเรืองสูงสุดอาณาจักรหมื่นปีศาจมีราชาปีศาจยี่สิบท่าน แน่นอน ไม่ใช่ราชาปีศาจทุกท่านจะเป็นระดับบรรลุธรรม
“ราชาหมีคือราชาปีศาจเพียงหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตจากสงครามพุทธและปีศาจเมื่อห้าร้อยปีก่อน สงครามใหญ่ปะทุขึ้น เขาซ่อนตัวนอนหลับอยู่ใต้ดิน จึงหลีกเลี่ยงภัยพิบัติมาได้”
“นอนหลับ?” สวี่ชีอันสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป
เย่จีพูดอย่างจนปัญญา “ราชาหมีเกียจคร้านเหลือเกิน เขามักจะไม่ขยับตัวนานหลายปี เมื่อนอนหลับก็หลายสิบปี ถึงขนาดร้อยปี”
“เรียกไม่ตื่น?”
“ทุกครั้งที่เขานอนหลับ จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณโดยรอบหลายลี้หลับสนิทด้วย นี่คือพลังพิเศษพรสวรรค์ของเขา”
นี่มันพลังพิเศษพรสวรรค์อะไรกันเนี่ย…สวี่ชีอันแขวะอย่างอ่อนใจ
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงต้องให้ตนเองมาช่วย
ช่วงแผ่นดินสิ้นสลายราชาปีศาจท่านนั้นยังนอนหลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสินซู!
“ฆ้องเงินสวี่คิดจะทำอย่างไร”
ผู้พิทักษ์วานรขาวข้างๆ ถาม
“ไม่รีบร้อน รอข้าสืบข่าวก่อน”
พูดไป เขายื่นมือล้วงในอ้อมแขนไป เคาะด้านหลังเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเบาๆ คว้ากระจกสำริดแกะสลักลวดลายซับซ้อน หน้ากระจกหายไปครึ่งหนึ่ง
“เจ้าคนเลวทราม เอาข้าออกมาทำอะไร รีบปล่อยข้ากลับไป”
กระจกเทพฮุ่นเทียนโวยวาย
“ทำงานได้แล้ว มิฉะนั้นข้าเลี้ยงเจ้าไว้ทำอะไร” สวี่ชีอันพูดอย่างหงุดหงิด
“เหตุใดคนทำงานมักจะเป็นข้า ไม่เคยใช้ดาบหักเล่มนั้นของเจ้า ผู้ใดเป็นอาวุธเวทมนตร์เจ้าชะตาของเจ้ากันแน่”
กระจกเทพฮุ่นเทียนตะคอก
“นี่ นี่…”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่จ้องกระจก พินิจอยู่นาน จู่ๆ ก็น้ำตานองหน้าด้วยความตื่นเต้น “นี่คือกระจกเทพฮุ่นเทียนของเจ้าอาณาจักรในยามนั้น?!”
กระจกเทพฮุ่นเทียนเลิกด่าไปเรื่อย นิ่งเงียบชั่วครู่ พูดว่า
“โอ้ เป็นเจ้านั่นเองวิญญาณไม้เฒ่า
“ห้าร้อยปีผ่านไป เจ้ายังไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย ยามใดจะก้าวสู่ระดับบรรลุธรรม”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ตัวสั่นเทิ้มคุกเข่า ร้องห่มร้องไห้ “คารวะใต้เท้ากระจกเทพ นึกไม่ถึงว่าบั้นปลายชีวิตของผู้ชรา จะได้เห็นกระจกเทพกลับสู่แสงตะวันอีกครั้ง”
นัยน์ตาสีครามกระจ่างของผู้พิทักษ์วานรขาวจ้องกระจกเทพฮุ่นเทียนเขม็ง แปลกใจกับฐานะของมันยิ่งนัก
ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นกระจกสำริดที่มีฐานะสูงส่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจ เหตุใดถึงอยู่ในมือฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง
เย่จีกะพริบตา ลดเสียงลง
“นี่คือกระจกที่ยามนั้นเจ้าอาณาจักรวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ของวิเศษฮุ่นเทียน?”
“ข้าบังเอิญได้สิ่งนี้มา ทำข้อตกลงกับเจ้าอาณาจักรของพวกเจ้า รอนางออกทะเลกลับมา ข้าคืนกระจกให้อาณาจักรหมื่นปีศาจ นางช่วยข้าถอนตะปูตอกวิญญาณสองตัว”
สวี่ชีอันพูดไปสั่งไป
“ฮุ่นเทียน หาเขาหมื่นปีศาจได้หรือไม่”
‘ตะปูตอกวิญญาณ? หมายความว่าอะไร อะไรเรียกว่าถอนตะปูตอกวิญญาณ’…ข้อสงสัยนี้เกิดขึ้นในใจเย่จี ผู้พิทักษ์ชิงมู่ และผู้พิทักษ์หยวน
หน้ากระจกสำริดราวกับคลื่นน้ำกระเพื่อม ไม่นาน หน้ากระจกแข็งตัว ส่องสะท้อนวัดโบราณแห่งหนึ่ง
สวี่ชีอันหรี่ตา เห็นลานประจิมวัดโบราณมีเจดีย์สูงองค์หนึ่ง ยอดเจดีย์มีเงาคนยืนอยู่รำไร
“ไปทางตะวันตก หาเจดีย์สูงองค์นั้น”
สิ้นเสียง ภาพเคลื่อนไปทางลานประจิม ขยายใหญ่ขึ้น เงาคนที่ยืนอยู่บนยอดเจดีย์ถูกส่องสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
เขาสูงประมาณเก้าฟุต ร่างเนื้อราวกับเหล็กหลอม ห่มจีวรเพียงผืนเดียว เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงขนาดใหญ่ ผิวสีทองเข้ม
เขาพนมมือ ก้มหน้าเล็กน้อย เห็นหน้าไม่ชัด
ด้านหลังศีรษะมีวงแหวนไฟลุกโชน ศูนย์กลางวงแหวนไฟ กลับเป็นรัศมีสีทองส่องประกายราวกับปลายเข็ม
วงแหวนไฟด้านหลังศีรษะคือหนึ่งในเอกลักษณ์ของร่างธรรมเทพอารักษ์ เอกลักษณ์นี้จะปรากฏขึ้นกับเทพอารักษ์ขั้นสามที่บำเพ็ญตบะพลังเทพอารักษ์
ส่วนวงรัศมีด้านหลังศีรษะคือสัญลักษณ์ของพระอรหันต์
บุคคลในภาพมีวงแหวนไฟและวงรัศมี หมายถึงเขาเป็นทั้งเทพอารักษ์และพระอรหันต์
สอดคล้องกับที่เย่จีพูด
ยามนี้ เงาคนที่ส่องสะท้อนในภาพเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาหน้าตาน่าเกลียดน่าชัง แต่แฝงด้วยความองอาจกล้าหาญที่บอกได้ยาก
ตำแหน่งคิ้วโล่งเตียน กระดูกคิ้วนูนสูงขึ้น ทำให้ดวงตาสองข้างที่ซ่อนอยู่ใต้กระดูกคิ้วเฉียบคมเป็นพิเศษ
แก้มซูบผอม เค้าโครงหน้าตาแข็งกระด้าง สัดส่วนยอดเยี่ยม ทั้งที่หน้าตาอัปลักษณ์ เมื่อรวมกันกลับทำให้รู้สึกแปลกประหลาด
สวี่ชีอันกำลังหดหู่กับพระที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ได้ถึงขนาดนี้ ภาพพังทลายกะทันหัน กระจกเทพฮุ่นเทียนโวยวาย
“ข้าตาบอดแล้วๆๆ…”
ร้องอยู่ครู่เดียว มันก็นิ่งเงียบ รีบพูดว่า
“พอแล้ว รีบให้ข้ากลับไปเถอะ ข้าเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
ระดับการตาบอดเบากว่าครั้งก่อนที่แอบดูน้องสาวภรรยา นี่หมายความว่าตบะของอาซูหลัวห่างชั้นกับนางมากนัก…อืม แต่ก็แข็งแกร่งกว่าขั้นสองทั่วไปมากนัก…สวี่ชีอันทำตามความต้องการของกระจกเทพฮุ่นเทียน
“เวลาห่างกันห้าร้อยปี นิสัยของกระจกเทพเปลี่ยนไป…”
ชั่วขณะหนึ่งผู้พิทักษ์ชิงมู่ยากจะยอมรับกระจกเทพในยามนี้
“หลังจากที่มันถูกพระโพธิสัตว์กว่างเสียนตัดเป็นสองซีก อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ขาดหายไปด้วย จึงไม่ค่อยปกติ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ถึงกลับมาเป็นปกติ แต่นิสัยอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”
สวี่ชีอันอธิบาย
“ข้าเข้าใจๆ…”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่พยักหน้ารัวๆ นัยน์ตาที่แฝงด้วยประสบการณ์โชกโชนเกิดความพร่าเลือนชั่วครู่ ถอนใจพูดว่า
“ห้าร้อยปีผ่านไปเร็วนัก ยุคเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรหมื่นปีศาจในยามนั้น ราวกับยังอยู่ตรงหน้า สงครามครั้งนั้นช่างน่าเวทนา ยอดฝีมือบรรลุธรรมล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
“สำนักพุทธกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเข่นฆ่าดุเดือดเลือดพล่าน โลหิตแดงฉานย้อมภูเขาทั้งลูก ศพชาวเผ่าทับถมทั่วหุบเขา
“พวกเรามีราชาปีศาจยี่สิบท่าน มีผู้อาวุโสสิบสี่ท่าน ยังมีฝูงปีศาจหลายแสนตน ยามนั้นพละกำลังที่จิ่วโจวแผ่นดินใหญ่จะต่อกรกับพวกเราปีศาจแดนใต้ น้อยจนนับนิ้วได้
“แต่พระพุทธเจ้าแข็งแกร่งเกินไป…”
สวี่ชีอันอยากสืบเสาะประวัติศาสตร์ พูดคล้อยตามว่า
“ขั้นสุดยอดน่ากลัวเพียงใด แม้แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่มีเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ก็แพ้ให้กับพระพุทธเจ้า”
เย่จี ผู้พิทักษ์วานรขาว และจิ้งจอกขาวน้อยมองผู้พิทักษ์ชิงมู่
ผู้พิทักษ์ชิงมู่แทบไม่พูดถึงสงครามล่มแคว้นในยามนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ได้พบกระจกเทพฮุ่นเทียน ทุกคนไม่มีโอกาสได้ฟังประวัติศาสตร์เก่าแก่นั้นด้วยซ้ำ
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ชะงัก มองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
นิ่งเงียบไม่กี่วินาที ผู้ชราส่ายหน้าช้าๆ
“เจ้าอาณาจักรไม่ใช่เทพยุทธ์ครึ่งก้าว”
สวี่ชีอันประหวั่นพรั่นพรึง “หมายความว่าอะไร”
…………………………………………….