ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 65 อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทาน
หลี่อวี้ชุนนั่งบนเก้าอี้ข้างถังอาบน้ำอย่างองอาจ และพยักหน้า “ความรู้เหล่านี้เจ้ามีเวลาก็ไปอ่านที่หอเก็บตำราด้วยตัวเองได้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องคอยมองเจ้าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า ในความเข้าใจของเจ้า ระดับหนึ่งคือขีดจำกัดของระบบใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ระดับของระบบฝึกตนแต่ละระบบเดิมทีคลุมเครือ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขนาดนั้น จนกระทั่งปีต่อๆ มาปราชญ์แบ่งระบบฝึกตนในใต้หล้าเป็นเก้าระดับ จากนั้นก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ปราชญ์ไม่ได้กำหนดตัวเขาเองเข้าไปในระดับ”
“เพราะเหตุใดกันขอรับ” สวี่ชีอันถาม
“เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน” หลี่อวี้ชุนพูดต่อ “นอกจากปราชญ์แล้ว ยังมีอีกสี่คนที่อยู่นอกระดับ แบ่งเป็นเทพเจ้ากู่ โหร ปรมาจารย์เต๋าและพระพุทธเจ้า พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอมตะ”
คราวนี้สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว “เทพกับพระพุทธเจ้าไม่อยู่ในระดับ…ไม่สิ บนโลกใบนี้มีเทพเซียนจริงๆ หรือขอรับ!”
หลี่อวี้ชุนส่ายหน้า “ไม่รู้แน่ชัด”
สวี่ชีอันครุ่นคิด และคาดเดาว่า “ข้าได้ยินมาว่าปราชญ์มีชีวิตอยู่ได้เพียงแปดสิบสองปีเท่านั้น จากคำพูดของหัวหน้า เขาควรจะเป็นอมตะจึงจะถูก ดังนั้น ในนั้นมีส่วนที่เกินจริงอยู่”
คำถามนี้หลี่อวี้ชุนไม่อาจตอบได้ เพราะไม่มีคำตอบ
ตั้งแต่สมัยโบราณ ต้นกำเนิดตำนานของเทพเซียนก็แพร่กระจายออกไป ความเป็นอมตะจึงเป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของจักรพรรดิทุกองค์
แต่ใครจะกล้าพูดว่าตัวเองเคยเจอเทพเซียน
“ระบบอื่นล้วนมีระดับที่เหนือกว่า แต่ทหารไม่มี ทหารระดับหนึ่งจึงเป็นที่สุดในโลก” หลี่อวี้ชุนกลับมาหัวข้อเดิม
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่าทหารเป็นระบบที่หยาบกระด้าง…สวี่ชีอันสังเกตเห็นปัญหาทันที “ไม่ขอรับ โหรของสำนักโหราจารย์ก็ไม่มีเช่นกัน”
หลี่อวี้ชุนพยักหน้า “แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า โหรเป็นผู้ที่อุทิศตนมากที่สุดในทุกระบบ”
เกร็ดความรู้นี้สวี่ชีอันรู้ ระดับเก้าของโหรคือหมอ ซึ่งมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาผู้บาดเจ็บ
ระดับเจ็ดของโหรคือปรมาจารย์ฮวงจุ้ย ซึ่งศึกษาภูมิประเทศ เลือกสุสานให้คนธรรมดากับราชวงศ์และขุนนาง และมีส่วนช่วยอย่างโดดเด่นในการจัดแต่งบ้าน
ระดับหกของโหรคือนักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาทางสังคมอย่างมาก ตอบสนองความต้องการด้านวัตถุของประชาชน มีส่วนช่วยอย่างมากต่ออุตสาหกรรมและงานหัตถกรรมในยุคนี้
ซ่งชิงเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถโดดเด่น เขาทุ่มเททั้งกายและใจทำงานเพื่อ ‘มนุษย์และสัตว์’ สวี่ชีอันรู้สึกว่าตัวเองข้ามเวลามาเร็วเกินไป หลังจากนี้อีกไม่กี่สิบปี ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขียน ‘คู่มือการประเมินประเพณีต่างโลก’ ได้
นอกเหนือจากนี้ สวี่ชีอันยังรู้อีกว่าโหรของสำนักโหราจารย์มีหน้าที่ปรับปรุงและกำหนดปฏิทินโหราศาสตร์
สำหรับอารยธรรมการเกษตร ปฏิทินโหราศาสตร์มีความสำคัญมาก มันเกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวในทุ่งนาโดยตรง
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น โหรเป็นตัวอย่างของการทำเพื่อประเทศและประชาชน ซึ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อความก้าวหน้าทางอารยธรรม
“หัวหน้า จู่ๆ ข้าก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวด” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ยาน้ำซึมเข้าไปในรูขุมขน เหมือนกับเข็มเล่มเล็กๆ หลายเล่ม ทำให้เขาเจ็บปวดไปทั้งร่าง
“เจ็บปวดก็ถูกแล้ว กำจัดสิ่งเจือปนและของเสียภายในร่างกายและจิตใจ” หลี่อวี้ชุนพูด “อีกหนึ่งก้านธูป เจ้าจะรู้สึกว่าตัวเองถูกสับเป็นชิ้นๆ ตอนนั้นก็คือตอนที่ข้าเปิดประตูสวรรค์ให้เจ้า เจ้าพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจได้”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ดังนั้น จักรพรรดิของพวกเราจึงมุ่งมั่นกับการฝึกมานานกว่ายี่สิบกว่าปี เพื่อจะเป็นอมตะหรือ”
เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันจักรพรรดิพระราชทานตำแหน่งราชครูให้นักพรตหญิงผู้งดงาม และอุทิศตนเพื่อลัทธิเต๋ามากว่ายี่สิบปี
ถึงขั้นมีนักเขียนตกอับเขียนนิยายรักเรื่องการบำเพ็ญตนของจักรพรรดิกับนักพรตหญิงผู้งดงามขึ้นมา…แน่นอนว่าตอนจบก็คือถูกสัตว์ร้ายในตำนานลงโทษ
“แต่ถึงแม้ว่าทหารจะไม่มีระดับที่เหนือกว่านั้น แต่ก็น่าจะทำให้อายุยืนยาวได้ใช่หรือไม่ การทุ่มเทให้กับการฝึกฝนก็ดี เหตุใดจึงไล่ตามชีวิตยืนยาวที่ไม่มีอยู่จริง”
สำหรับมุมมองของสวี่ชีอัน หลี่อวี้ชุนถามกลับว่า “เจ้าอยู่ระดับหลอมจิตมานานแค่ไหนแล้ว”
“สิบเจ็ดปีขอรับ” สวี่ชีอันตอบ เขาติดอยู่ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดสองปีเต็ม
“ช้าไปสักหน่อย ลูกหลานตระกูลขุนนางที่มีทรัพยากรเพียงพอสามารถอยู่ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดได้เมื่ออายุสิบหกปี หากพิจารณาถึงปัญหาเรื่องพัฒนาการทางร่างกาย อายุสิบห้าปีคือขีดจำกัด” หลี่อวี้ชุนพูด
“ทว่าแม้แต่ลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านั้น ก็ไม่อาจก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณได้อย่างราบรื่น เพราะนอกจากความพากเพียรในการฝึกฝนร่างกายทุกวันแล้ว ยังมีด่านความงามวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาอีก ยิ่งมีชีวิตหรูหรา ยิ่งจมอยู่ในความงามได้ง่ายขึ้น ระดับหลอมจิตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของระบบทหาร เจ้าจินตนาการดูว่าการต้องไปถึงระดับที่สูงขึ้น เพื่อทำให้อายุยืนยาวนั้นยากเพียงใด”
ข้าเข้าใจๆ…แม่นางฝูเซียงคนนั้นต้องด่าข้าว่าโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่าสัตว์แน่นอน! คืนนี้ข้าจะบอกให้นางรู้ว่าอะไรคือ ทบต้นทบดอก!
สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนกันอยู่ลึกๆ
เจ้าของร่างเดิมมีวิทยายุทธ นิสัยดื้อรั้น ชอบดันทุรัง คนที่มีบุคลิกเช่นนี้สามารถขัดเกลาร่างกายวันแล้ววันเล่าและวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อเส้นทางทหารได้
แม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าของร่างเดิมก็ยังต้องยืนหยัดต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองทุกวัน ไม่ให้โอกาสตัวเองได้ออกนอกลู่นอกทาง
หากเปลี่ยนเป็นสวี่ชีอัน เขาไม่รับประกันว่าตัวเองจะยืนหยัดหลายปีขนาดนี้ได้ และไม่รับประกันว่าจะสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจตนต่อหน้าความงามได้
แม้ว่าปกติสิ่งที่ผู้ชายใช้ตอนครุ่นคิดจะเป็นสมอง แต่บางครั้งสิ่งที่ควบคุมร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสมอง
ความสนใจในการพูดคุยของสวี่ชีอันค่อยๆ เลือนรางลง แม้ว่าสิ่งที่พูดจะเป็นความรู้ด้านการฝึกที่เขาสนใจก็ตาม
คิ้วของเขาขมวดขึ้นเรื่อยๆ และความเจ็บปวดก็เกินขีดจำกัดความอดทนของเขาอย่างรวดเร็ว
“เกือบจะได้แล้ว ผลของการอาบน้ำยาคือกระตุ้นร่างกายของเจ้า ให้พลังปราณที่หลับใหลตื่นขึ้น” หลี่อวี้ชุนลุกขึ้น กดมือข้างหนึ่งบนหัวของสวี่ชีอัน และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“การเปิดประตูสวรรค์เป็นเรื่องที่ยากมาก หากคุณสมบัติดี ข้าเพียงแค่ต้องทำให้พลังปราณไหลเวียนและเคลื่อนภายในร่างกายของเจ้าสามรอบ เจ้าก็จะค้นพบความรู้สึกของพลังปราณได้ด้วยตัวเอง และเหนี่ยวนำจากทั้งภายในและภายนอก”
“เช่นนั้นหากคุณสมบัติแย่ล่ะ” สวี่ชีอันถามอย่างกังวล
“หากคุณสมบัติยิ่งแย่ ความถี่ที่พลังปราณไหลเวียนก็ยิ่งมาก และขีดจำกัดของคนทั่วไปก็คือเก้ารอบ หรือก็คือหากรอบที่แปดเจ้ายังไม่อาจค้นพบความรู้สึกของพลังปราณได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะกับเส้นทางทหาร”
หลี่อวี้ชุนจ้องมองเขา “ข้าคาดหวังคุณสมบัติของเจ้ามาก”
เมื่อพูดจบ เขาก็หลับตาลง และไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามีกระแสน้ำอุ่นไหลเข้ามาจากจุดไป่ฮุ่ย[1] บนศีรษะ จมลงสู่จุดตันเถียน ไหลผ่านแขนขาและกระดูกทั้งหมด
ร่างกายราวกับจดจำเส้นทางการไหลเวียนได้ในทันที หลังจากเดินจบหนึ่งรอบ พลังปราณก็พุ่งขึ้นมาเอง กำจัดจุดสะกัดและเคลื่อนออกไปเอง
…หลี่อวี้ชุนลืมตาขึ้น และมองน้องชายที่อยู่ในถังอาบน้ำด้วยสายตาที่งุนงงเล็กน้อย
สวี่ชีอันกลับมามีสายตาที่ฉงน “ดูเหมือนจะค่อนข้างง่ายขอรับ…”
หลี่อวี้ชุน “…”
“เจ้าลองไหลเวียนด้วยตัวเองสักสองสามรอบ ข้าจะคอยดูสถานการณ์” หลี่อวี้ชุนทำได้เพียงพูดเช่นนี้
การไหลเวียนสิ้นสุดในสามรอบ สวี่ชีอันลืมตาขึ้น เขาไม่มีกระจก ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดที่เกิดจากการก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณได้
ประการแรก ดวงตาสว่างไสวมากยิ่งขึ้น กระจ่างราวกับดวงดาว
เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในดวงตา ก็เพียงพอที่จะทำให้เสน่ห์ของเขายกขึ้นไปอีกระดับ
ต่อมากิริยาท่าทางเปลี่ยนไป สง่างามและสงบเสงี่ยมมากยิ่งขึ้น เหมือนภูเขาธารา
สุดท้ายคือผิว น้ำยาซึมเข้าไปในผิว กระตุ้นรูขุมขน และกำจัดสิ่งเจือปนที่ซ่อนอยู่ในรูขุมขน ตัวอย่างเช่นสิวเสี้ยน
ผิวที่แดงก่ำให้ความรู้สึกเปราะบาง
เขารู้สึกถึงพลังงานใหม่ในร่างกายที่เคลื่อนไปทั่ว สวี่ชีอันเหยียดแขนขา ยกมือขึ้น และตบหน้าต่างด้วยฝ่ามือ
หน้าต่างลูกกรงแตกออกเสียงดัง ‘ปัง’
พลังปราณปล่อยออกมา นี่คือความอัศจรรย์ของระดับหลอมปราณระยะเริ่มต้น หากเมื่อสักครู่นี้มือถือดาบอยู่ สวี่ชีอันก็อาจทำให้เกิดปราณดาบหรือปราณกระบี่ขึ้นได้
แน่นอนว่าพลังคงไม่มาก ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมปราณ
เหมือนกับระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดของอารอง สามารถผ่ากำแพงได้ในดาบเดียว และคุ้มครองสิ่งต่างๆ กลางอากาศได้
“เยี่ยมมาก!” ใบหน้าของหลี่อวี้ชุนนั้นไร้อารมณ์ เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าไหลเวียนต่อสักหนึ่งรอบ การเคลื่อนย้ายเป็นวิธีการฝึกพลังปราณที่ทรงพลัง ในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจผ่อนคลายการขัดเกลาร่างกายได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็ออกจากห้องลับไป เสี้ยววินาทีที่ออกจากประตูห้อง ศิษย์พี่ชุนก็มีความคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่เต็มสมอง
หลี่อวี้ชุนหันไปมองหน้าต่างที่แตกออก มุมปากกระตุก
‘อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทาน?! ให้ข้าเจอง่ายเช่นนี้เลยหรือ จริงสิ การทดสอบคุณสมบัติของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ข้าจะไปถามเว่ยกงและหารือว่าระดับไหน หากเป็นระดับอี่ อาศัยพรสวรรค์ที่ค้นหาความรู้สึกของพลังปราณเจอด้วยตัวเองในรอบเดียว ก็เพิ่มเป็นระดับเหนืออี่ได้’
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องก็จะเพิ่มขึ้น
“หากเป็นระดับเหนืออี่ ไม่แน่อาจได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับเจี่ย ระดับเจี่ยเป็นคุณสมบัติของฆ้องทองคำ เขาจะกลายเป็นเป้าหมายในการฝึกหลักของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…อืม เขาไม่เคยมีประสบการณ์การทดสอบ ‘พลังต่อสู้’ ระดับเหนืออี่จึงเป็นไปไม่ได้ ข้าคงคิดมากไป”
หลังออกจากลาน เขาก็เดินตรงไปยังลานด้านในที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หอเฮ่าชี่ที่สูงตระหง่านแห่งนั้น
หลังจากเจ้าพนักงานในตึกปล่อยตัว หลี่อวี้ชุนก็มาถึงชั้นที่เจ็ด และเห็นผู้บังคับบัญชาสายตรงของตัวเอง และผู้บังคับบัญชาของหัวหน้าของเขา
หยางเยี่ยนพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีหันไปมองทิวทัศน์นอกตึกอย่างไม่ใส่ใจ
“เว่ยกง!”
เขาโค้งตัวเก้าสิบองศา ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน
“กำลังกล่าวถึงเจ้าเลยว่า โชคดีที่ได้รับคนมีความสามารถ” เว่ยเยวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน
‘หือ? โชคดีที่ได้รับคนมีความสามารถ…นี่น่าจะหมายถึงสวี่ชีอัน เว่ยกงชื่นชมเขาเช่นนี้เชียวหรือ แต่ข้ายังไม่ได้บอกเรื่องลมปราณที่ไหลเวียนภายในรอบเดียวของเขาเลยนะ’ …ความสงสัยผุดขึ้นในใจของหลี่อวี้ชุน และกล่าวด้วยความเคารพ
“ผู้น้อยใคร่รู้ระดับของสวี่ชีอัน และมีเรื่องเล็กน้อยมารายงานให้เว่ยกงทราบขอรับ”
……………………………………………………
[1] จุดไป่ฮุ่ย คือ เส้นลมปราณ ตำแหน่งจุดคือกลางกระหม่อม