ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 650 ยังมีคนอื่น
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็รู้สึกงุนงงเหมือนว่าความรู้ที่ตนมั่นใจมาตลอดกลับพลิกตาลปัตร
สถานะของเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจคือครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ในความเข้าใจของเขา สถานะนี้ไม่ใช่เรื่องที่หยั่งลึกฝังรากในความคิด แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่นอนเลยทีเดียว
สำนักพุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อนมีพระพุทธเจ้าที่อยู่เหนือระดับขั้นหนึ่งองค์ มีพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งสี่องค์ และยังมีอรหันต์กับระดับเพชรอีกมากมาย
การที่สามารถรวมกำลังต้านทานวงล้อมของกองกำลังยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ และเกือบจะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องจบสิ้นไปด้วยกันได้เช่นนี้ เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจก็ควรจะเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์สิ มีเพียงแบบนี้เท่านั้นจึงจะสมเหตุสมผล
ถ้าหากเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจไม่ใช่ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ถ้าอย่างนั้นประวัติศาสตร์ทั้งหมดของ ‘การกวาดล้างปีศาจหกสิบปี’ ก็คงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และต้องมีการชำระประวัติศาสตร์ทั้งหมดเสียแล้ว
ส่วนที่บอกว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นเทพยุทธ์ที่อยู่เหนือระดับขั้นนั้น สวี่ชีอันคิดว่าความเป็นไปได้นี้เท่ากับศูนย์
เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อดูจากพลังการโจมตีและความอึดของจอมยุทธ์ ถ้าหากเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นเทพยุทธ์เหนือระดับขั้นจริงๆ เช่นนั้นต่อให้พระพุทธเจ้าร่วมมือกับเทพพ่อมดและเทพเจ้ากู่มาล้อมโจมตี สิ่งที่ได้มาก็อาจจะเป็นการที่เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเลียริมฝีปากท่าทางยังไม่หนำใจ แล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า
‘แค่นี้น่ะหรือ?’
แน่นอนว่าการคาดเดานี้เป็นแค่จินตนาการของสวี่ชีอันคนเดียว ความต่างระหว่างผู้อยู่เหนือระดับขั้นแต่ละคน น่าจะไม่ได้มากอะไรขนาดนั้น
แต่มีเรื่องหนึ่งที่แน่นอนคือ พระพุทธเจ้าไม่สามารถสังหารเทพยุทธ์ได้
อย่างไรก็ไม่อาจทำได้!
ถ้าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจไม่ใช่ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ อย่างนั้นก็เป็นได้เพียงขั้นหนึ่ง…สวี่ชีอันกำลังจะเอ่ยถาม ก็ได้ยินเสียงผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยขึ้นตรงๆ
“ความในใจของฆ้องเงินสวี่บอกข้าว่า หากเจ้าอาณาจักรคนก่อนเป็นเทพยุทธ์เหนือระดับขั้น นางก็จะเลียริมฝีปาก...”
ผู้พิทักษ์หยวนไม่สามารถเอ่ยประโยคนี้จบได้ เพราะเขาถูกสวี่ชีอันใช้ฝ่ามือตีจนพลิกตลบไปอยู่ที่พื้น แขนขากระตุกสั่นไปทีหนึ่ง
“ขออภัย เมื่อกี้มียุงมาเกาะบนหัวเจ้า ข้าตบมันให้แล้ว”
สวี่ชีอันพยักหน้าให้กับผู้พิทักษ์หยวน แสดงท่าทีว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ
การจู่โจมที่ได้รับเมื่อครู่ค่อนข้างจะแรง จึงเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจห้ามได้
ฝึกวิชาอ่านใจแต่ไม่ฝึกวิชารู้จักปิดปาก เจ้ารอดมาถึงตอนนี้ได้ยังไงกันน่ะพี่ลิง? สวี่ชีอันพึมพำไร้เสียงไปหนึ่งประโยค
“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่เป็นอย่างยิ่งที่ช่วยไล่ยุงให้”
ผู้พิทักษ์หยวนลุกขึ้นมาแล้วจดจ้องด้วยดวงตาสีฟ้าสดใส เขาเอ่ยขอบคุณด้วยความจริงใจและพยายามฟังเสียงในใจของสวี่ชีอันต่อ
ผู้พิทักษ์ชิงมู่หวนนึกถึงอดีตแล้วเอ่ยว่า
“อาณาจักรหมื่นปีศาจไม่เคยบอกว่าเจ้าอาณาจักรเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ไม่ทราบว่าท่านได้ยินผู้ใดกล่าวมาหรือ”
คำถามนี้ยากสำหรับสวี่ชีอัน เหมือนกับมีคนมาถามว่า
‘ใครบอกเจ้าว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง’
ดีที่เมื่อเขามายังโลกใบนี้ นับๆ ดูแล้วก็เพิ่งจะหนึ่งปีครึ่ง ระยะเวลาเพิ่งจะเท่านี้เอง ไม่นานเขาก็นึกได้ว่าครั้งแรกที่ตนได้ยินชื่อ ‘อาณาจักรหมื่นปีศาจ’ นั้น ก็เป็นช่วงที่เพิ่งทำงานในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และมีคดีปีศาจกินคนที่อำเภอฟู่กัวและอำเภอไท่กังของเมืองหลวง
ปีศาจตนนั้นขับไล่ตระกูลฮุยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงออกไป แล้วขุดดินประสิวร่วมกันกับสหายของตนเพื่อสร้างดินปืนขึ้นอย่างลับๆ
เขากับจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงสืบรู้ความจริงได้ ตอนที่รายงานต่อหลี่อวี้ชุน พี่ชุนก็ยังคาดเดาว่ามีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นพวกอาณาจักรหมื่นปีศาจที่หลงเหลืออยู่
สวี่ชีอันที่มีจิตใจแห่งการสืบสวนจึงจดจำเรื่องนี้เอาไว้ จากนั้นไม่นานนัก ไต้ซือเหิงหย่วนผู้ขุ่นเคืองก็บุกเข้าไปในจวนผิงหย่วนป๋อในยามวิกาลแล้วสังหารผิงหย่วนป๋อจนสิ้น ขณะที่กำลังเข้าตาจน เขาก็ได้ขอความช่วยเหลือจากในกลุ่มพูดคุยของหนังสือปฐพี
พอดีกับที่สวี่ชีอันมาลาดตระเวนยามวิกาล จึงช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ได้
จากนั้นเขาก็เอ่ยเสนอหลักการ ‘แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม’ และเริ่มสืบหาข่าวของอาณาจักรหมื่นปีศาจจากสมาชิกของพรรคฟ้าดิน
ใช่แล้ว เรื่องนี้ลี่น่าเป็นคนบอก
ลี่น่าบอกว่าในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี พระพุทธเจ้าได้ลงมือเองเพราะเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจผู้นั้นเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์
“ข้านี่โง่จริง จริงๆ เลยเชียว ตอนนั้นไม่รู้ว่าลี่น่าเป็นคนเช่นไร จึงถูกนางแว้งกัดเสียได้…”
สวี่ชีอันก่นด่าออกมา
ขณะเดียวกันเขาก็นึกได้ถึงข้อมูลอีกมากมาย อย่างเช่น ตอนนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนได้เอ่ยแก้เป็นนัยๆ ว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นขั้นหนึ่ง ไม่ใช่ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์
แต่ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่รู้สึกว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นหนึ่งสุนัขขี้แพ้ของนิกายปฐพี แล้วจะมารู้ดีเรื่องอาณาจักรหมื่นปีศาจได้อย่างไร
จะต้องเป็นหมายเลขห้าที่กำเนิดในซินเจียงตอนใต้นี่แหละ ที่คู่ควรให้เชื่อถือมากกว่า
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าสุนัขขี้แพ้คนนั้น ความจริงแล้วเป็นลูกพี่ของนิกายปฐพี ส่วนหมายเลขห้าที่น่าเชื่อถือ ความจริงแล้วเป็นจอมกินจุที่ไม่ค่อยจะฉลาดนัก
“เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นขั้นหนึ่ง?” สวี่ชีอันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ถูกต้อง!” ผู้พิทักษ์ชิงมู่พยักหน้า
“เช่นนั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์คือ…”
สวี่ชีอันถามจบเขาก็กลั้นหายใจ
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ค่อยๆ เอ่ยอธิบาย “ไต้ซือเสินซู ก็คือบุคคลที่พวกเราต้องช่วยเหลือในครั้งนี้”
ว่าแล้ว…สีหน้าของสวี่ชีอันเผยความรู้สึกซับซ้อนออกมา มีทั้งความงุนงงสับสนแบบที่ว่า ‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ’ และยังมีความตื่นตะลึงแบบที่ว่า ‘เป็นเขาอย่างนั้นหรือ’
หลังจากล้มล้างข้อสรุปที่ว่า ‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์’ คือเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจไปแล้ว ความจริงก็ปรากฏขึ้นในใจของสวี่ชีอันทันที
เบาะแสสามอย่างก็ชัดเจนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หนึ่ง เสินซูคือผู้ที่ถูกผนึกในเมืองหลวงเมื่อห้าร้อยปีก่อน และอาณาจักรหมื่นปีศาจก็ล่มสลายเมื่อห้าร้อยปีก่อน
จุดเวลาสอดคล้องกันเช่นนี้ แต่ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันไม่อาจแน่ใจได้ว่าเสินซู ‘ตาย’ เมื่อห้าร้อยปีก่อน เพราะบางทีเขาอาจจะถูกแยกชิ้นส่วนมานานแล้วก็ได้
สอง อาณาจักรหมื่นปีศาจให้ความสำคัญกับร่างของเสินซูมาก จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ใช่แค่ส่งท่อนแขนมาให้เขาเท่านั้น แต่ยังช่วยเขาไว้หลายครั้งด้วย
แต่การให้ความสำคัญกับเสินซู ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับเสินซู ถึงอย่างไรศัตรูของศัตรูก็คือมิตร บางทีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอาจจะต้องการศัตรูสักคนหนึ่งมาช่วยต่อกรกับสำนักพุทธก็ได้
สาม ความเป็นอมตะไม่ตายของเสินซู
ท่อนแขนถูกผนึกในทะเลสาบซังผอ หมดสิ้นพลังไปห้าร้อยปีและไม่มีพลังภายนอกมาเสริม แต่เขากลับยังไม่ตาย
แม้แต่พระพุทธเจ้าเหนือระดับขั้นก็ยังไม่อาจสังหารเขาให้สิ้นได้ พลังชีวิตที่น่าสะพรึงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจะมีได้แน่นอน
ถึงแม้สวี่ชีอันจะไม่เคยเห็นพลังของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นขั้นหนึ่ง วิถีของเผ่าพันธุ์ปีศาจและจอมยุทธ์นั้นเหมือนกัน จะแตกต่างกันตรงที่ เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ขั้นสี่ พวกเขาจะฝึกความสามารถในการอ่านใจ ส่วนจอมยุทธ์นั้นฝึก ‘จิต’
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจดับสิ้นแล้ว นั่นหมายความว่าพระพุทธเจ้าสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้
ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แบ่งระบบการฝึกตนออกเป็นเก้าขั้น มีเพียงพระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดเท่านั้นที่หลุดพ้นจากระดับขั้นทั้งหลาย เรื่องนี้ทำให้มองออกว่าเมื่อผู้อยู่เหนือระดับขั้นต่อกรกับขั้นหนึ่ง จะมีข้อได้เปรียบในชัยชนะอย่างแน่นอน
“เช่นนั้น เช่นนั้นไต้ซือเสินซูกับอาณาจักรหมื่นปีศาจมีความสัมพันธ์อันใดกัน”
สวี่ชีอันสูดลมหายใจลึก
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ส่ายหน้า “ระดับชั้นของข้าต่ำเกินไป จะรู้ได้อย่างไรเล่า แต่ว่าเจ้าอาณาจักรและไต้ซือเสินซูรู้จักกันอย่างแน่นอน เป็นสหายเต๋าที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวทีเดียว”
อืม ในสงครามล่มเผ่าพันธุ์ปีศาจของสำนักพุทธ เสินซูก็คงไม่ได้ยืนอยู่ข้างอาณาจักรหมื่นปีศาจ…สวี่ชีอันพยักหน้า ขณะที่เขาใคร่ครวญถึงรายละเอียดต่างๆ ก็ได้ยินผู้พิทักษ์วานรขาวเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา
“ในใจของผู้พิทักษ์ชิงมู่บอกข้าว่า เขาสงสัยว่าเจ้าอาณาจักรกับเสินซูจะเป็นชู้รักกัน”
เกิดความเงียบงันอย่างฉับพลันขึ้นในถ้ำ
ผู้พิทักษ์วานรขาวตกตะลึง เขาถึงกับสั่นสะเทือนเพราะข้อมูลนี้ จึงรีบเอ่ยปากว่า
“นี่เป็นความคิดของผู้พิทักษ์ชิงมู่ ไม่เกี่ยวกับข้านะ!”
สีหน้าของผู้พิทักษ์ชิงมู่แดงก่ำ ผมสีเขียวดำลุกขึ้นตั้งเป็นเส้นๆ ผมแต่ละเส้นต่างก็มีพลังงานสีเขียวชอุ่ม ส่วนมือที่จับเถาวัลย์เอาไว้นั้น เดี๋ยวก็กำเดี๋ยวก็คลาย…
หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง ผู้พิทักษ์ชิงมู่ก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าไม่ได้เห็นอะไรมามากมายอย่างเจ้า เฮอะ ใช่ ตอนนั้นปีศาจน้อยอย่างพวกเราได้ตำหนิความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าอาณาจักรกับไต้ซือเสินซูจริง เพียงแต่เจ้าอาณาจักรน้อยเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด เจ้าอาณาจักรน้อยคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์”
ดวงตาสีฟ้าสว่างของผู้พิทักษ์วานรขาวมองจ้องไปยังผู้พิทักษ์ชิงมู่ด้วยความใสสะอาดไร้ไรฝุ่น แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เสียงในใจของเจ้าบอกว่า ดังนั้นจึงสงสัยว่าพวกเขาเป็นชู้รักกันอย่างไรเล่า”
ชู้รักนั้นไม่มีสถานะ ทั้งยังสู้หน้าคนไม่ได้
…ในถ้ำหินตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ผู้พิทักษ์ชิงมู่กำเถาวัลย์ไว้เงียบๆ แล้วเริ่มช่วงเวลาการล่าสังหาร
สีขาวและสีเขียวสองสายไล่ล่ากันจนออกไปนอกถ้ำหิน แล้วหายลับขอบฟ้าไป
“พรสวรรค์การอ่านใจของผู้พิทักษ์หยวนนั้นสามารถมองเห็นจิตใจของผู้คนได้ หลังจากที่เขาแอบเรียนรู้วิชาการอ่านใจของสำนักพุทธลับๆ เขาก็อยู่เหนือขอบเขตของขั้นสี่ เรื่องนี้ทำให้ยิ่งควบคุมเขาได้ยาก ดังนั้นบางครั้งก็ชอบพูดไร้สาระออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ”
ฝูเซียง ไม่สิ เย่จีเอ่ยอธิบายเสียงเบา
แบบนี้เขาเรียกพูดไร้สาระออกมาบางครั้งหรือ แบบนี้เขาเรียกว่าตามแต่อิสระของตัวเองมากกว่า…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วไม่ได้วิจารณ์อะไรเพิ่มเติม
เย่จีเอ่ยกำชับปีศาจสาวในถ้ำหินไปว่า
“พวกเจ้าออกไปคุ้มกันเสีย หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด”
เมื่อปีศาจสาวออกไปแล้ว นางก็เห็นท่าทางเคร่งเครียดระมัดระวังของคนรัก จึงเอ่ยถามเสียงโอนอ่อนไปว่า
“ทำไมหรือ”
สวี่ชีอันโอบแขนรอบเอวเล็กของเย่จี แต่กลับไม่มีอารมณ์จะดื่มด่ำความอ่อนช้อยงดงามของนาง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าอาจจะไม่รู้ พระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกเอาไว้นานแล้ว”
“อะไรนะ?!”
สีหน้าของเย่จีนิ่งค้าง ม่านตาค่อยๆ ขยายขึ้น สวี่ชีอันถึงกับได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นในชั่วขณะนี้เอง
เหตุใดปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องผนึกพระพุทธเจ้า?
ถ้าหากพระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้ เช่นนั้นผู้ที่ลงมือในปีนั้นคือใครกัน?
หัวใจของเย่จีเย็นยะเยือก ความเยือกเย็นปริศนานี้ไต่ขึ้นมาตามสันหลังจนทำให้นางตัวสั่นเทา
“นั่นไม่ใช่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์มาผนึกทีหลังหรอกหรือ”
ไป๋จีที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับหมอนอิงยิ้มมุมปากทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
ถึงแม้มันจะยังเป็นเด็กเล็กๆ แต่ดีร้ายอย่างไรสติปัญญาของมันก็ผ่านมาตรฐานแล้ว จึงฟังออกถึงความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในความลับนี้
เย่จีส่ายหน้าช้าๆ
“อายุขัยของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแปดสิบสองปี ตอนนี้เขาได้จากไปแล้วหนึ่งพันกว่าปี แต่สงครามระหว่างพุทธและปีศาจเกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน
“สวี่หลาง เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เมื่ออยู่ข้างกายชายคนรักก็ทำให้นางรู้สึกว่ามีที่พึ่ง จึงเอ่ยขอความช่วยเหลือโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันเอ่ยวิเคราะห์ว่า
“ข้ามีการคาดเดาสามอย่าง แต่ล้วนขัดแย้งกันอยู่และขาดเบาะแสที่เพียงพอ”
ผ่านไปพักหนึ่งก็เห็นแววตาสดใสของเย่จีจ้องมองมาอย่างนุ่มนวล เขาจึงค่อยๆ เอ่ยเล่าว่า
“พระพุทธเจ้าอาจจะหลุดออกจากผนึกแล้ว หรือในปีนั้นผู้ที่ลงมืออาจเป็นคนอื่น หรือไม่ก็เป็นฝีมือของเสินซูผู้เดียวก็ทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ พระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดนั้นถูกผนึกไว้ด้วยกัน แต่เทพพ่อมดกลับค่อยๆ หลุดออกจากผนึก เพราะเป็นผู้อยู่เหนือระดับขั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็น่าจะไม่อาจหลุดออกจากผนึกได้ในช่วงห้าร้อยปีก่อนกระมัง
ถ้าหากเป็นฝีมือของคนอื่นจริง เช่นนั้นก็ออกจะน่ากลัวอยู่สักหน่อย แต่ความเป็นไปได้นี้ไม่มาก เพราะตอนนี้ภูเขาสือว่านถูกรวมอยู่ในแผนที่ของดินแดนประจิมทิศและกลายเป็นอาณาเขตของสำนักพุทธไปแล้ว โชคชะตาคุ้มกันสำนักพุทธอยู่ ถ้าหากผู้ที่ลงมือในปีนั้นเป็นตัวตนอื่น เช่นนั้นเป้าหมายของเขาคืออะไรกัน คงจะไม่ใช่การลงแรงทำประโยชน์ให้สำนักพุทธกระมัง
ส่วนการคาดเดาที่บอกว่าเสินซูเป็นผู้นำในการทำลายล้างอาณาจักรหมื่นปีศาจ อืม ถ้าหากเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเสินซูถูกใครแยกชิ้นส่วนกันล่ะ? พระพุทธเจ้าถูกผนึกแล้ว จะยังมีใครที่สามารถแยกชิ้นส่วนของบุคคลผู้เป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ได้อีก”
เย่จีพยักหน้าด้วยความกังวล
“องค์หญิงรู้ว่าพระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกหรือไม่?”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“ก็ยากจะพูด นายของพวกเจ้ายากจะหยั่งถึง ข้าไม่ค่อยเข้าใจนางเท่าไหร่ แต่เรื่องที่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่รู้ทั่วทั้งจิ่วโจวมีน้อยนิดยิ่งนัก ถ้าหากไม่ใช่เพราะลัทธิขงจื๊อเป็นคนบอกข้า ข้าก็ไม่รู้เลยว่ายังมีเรื่องภายในเช่นนี้อยู่ด้วย”
สงคราม ‘การกวาดล้างปีศาจหกสิบปี’ เมื่อห้าร้อยปีก่อนช่างมีหมอกหนาบดบังมากนัก ถึงกับซุกซ่อนความลับล้ำลึกยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
“ไป๋จี ติดต่อนายของเจ้าทีสิ”
สวี่ชีอันเอ่ย
ไป๋จีไม่อยากเคลื่อนไหวเพราะความเกียจคร้าน นางเอ่ยด้วยเสียงเด็กน้อยว่า
“พี่เย่จีก็ติดต่อองค์หญิงได้ ให้นางทำแทนเถอะ”
ในครอบครัวหนึ่ง เรื่องการงานสมควรให้ผู้ที่มีอายุมากกว่ากระทำ นางเป็นน้องสาวคนสุดท้องก็มีหน้าที่แค่เรื่องความน่ารักก็พอ
พวกพี่สาวก็จะร้องบอกว่า ‘ว้าว เจ้าหนูน้อย’ แล้วก็จะวางนางไม่ลง ทั้งยังพากันเลี้ยงดูนางด้วยวิธีต่างๆ
ฝูเซียงก็สามารถติดต่อจิ้งจอกเก้าหางได้สินะ..สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองพิจารณาอดีตคนรัก
…
ยามรุ่งอรุณมาเยือน เหมียวโหย่วฟางนั่งอยู่ในหุบเขา เผชิญหน้ากับกองไฟลุกโชน ในปากกัดก้านต้นหญ้าเอาไว้
ในมือของหงอิงย่างนกตัวใหญ่สองตัว ซึ่งเป็นนกที่ถือโอกาสล่ามาด้วยตอนที่ไปรับเหมียวโหย่วฟาง
“เกรงใจเกินไปแล้ว เกรงใจเกินไปแล้ว…”
เหมียวโหย่วฟางรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยเมื่อได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นแขกผู้มีเกียรติเช่นนี้
“สมควรอยู่แล้วๆ พี่เหมียวเป็นลูกศิษย์ของฆ้องเงินสวี่ เช่นนั้นก็เป็นแขก หลักการรับรองแขกนั้น ต้องให้แขกได้กินดีอยู่ดี เช่นนี้คือหน้าที่ของพวกเรา”
หงอิงไม่มีท่าทีแบบยอดฝีมือขั้นสี่เลยแม้แต่นิด เขาเหมือนเจ้าหน้าที่ทางการที่เชี่ยวชาญการเข้าสังคมมากกว่า
ขณะที่เอ่ยพูด เขาก็เห็นสายตาของเหมียวโหย่วฟางมองพิจารณาปีศาจสาวสองคนที่อยู่ตรงหน้าถ้ำ จึงกวักมือเรียกพวกนางมา
“พวกเจ้าสองคนมานี่”
ปีศาจสาวทั้งสองลังเลเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้ามา
“ผู้พิทักษ์หงอิงมีสิ่งใดจะกำชับหรือ”
หงอิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตำหนิ
“สมองทึบนัก แน่นอนว่าต้องเรียกมาให้ความบันเทิงกับแขกของเราอยู่แล้ว พี่เหมียวติดตามฆ้องเงินสวี่ขึ้นเหนือล่องใต้ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเจ้าจะต้องรับรองเขาให้ดี หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ข้าจะลงโทษพวกเจ้าให้ดู”
‘ปีศาจนกตัวนี้รู้เรื่องดีนัก’…เหมียวโหย่วฟางรู้สึกกระดากอายในทันใด เขาจึงโบกไม้โบกมือให้
“มากเกินไปๆ แค่ติดตามฆ้องเงินสวี่ไปสังหารพวกระดับเพชรเท่านั้น ข้าเป็นแค่ผู้ช่วยต่อสู้ ฆ้องเงินสวี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีก”
หงอิงแววตาสว่างวาบ “พี่เหมียว เรื่องนี้ต้องเล่าให้เราฟังดีๆ เลยนะ”
ปีศาจสาวทั้งสองที่เดิมทีไม่ค่อยจะพอใจนักก็รีบนั่งลงทางฝั่งซ้ายขวาของเหมียวโหย่วฟางทันที
…
รุ่งอรุณเช่นเดียวกัน
สวี่หลิงอินสะพายกระเป๋าไว้บนหลังแล้วเดินตามพี่รองกับอาจารย์ไปตามแผ่นกระดานที่ยื่นออกมาจากเรือรบเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ
เรือรบสามลำ ทั้งทหารและแม่ทัพรวมสามพันนาย
ระบบทหารของต้าฟ่งจัดตั้งแบบระบบป้องกัน ระบบป้องกันนั้นหลุดมาจากระบบทหารรักษาการณ์ของต้าโจวราชวงศ์ก่อน ซึ่งข้อดีของระบบป้องกันนั้นอยู่ที่การลดค่าใช้จ่ายทางทหารของอาณาจักรได้เป็นอย่างมาก
ทั้งยังรับประกันได้ว่ากำลังทหารจะกระจายไปทั่วทุกมณฑล ไม่เพียงแต่เรียกรวมพลได้รวดเร็วและปราบกบฏได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปราบปรามอำนาจทางทหารในมือของแม่ทัพและการใช้กำลังทหารส่วนตัวได้อีกด้วย
ดังนั้นการที่ราชสำนักส่งกำลังทหารออกไปในครั้งนี้ กองทหารที่เขตของเมืองหลวงจึงส่งไปเพียงสามพันคนเท่านั้น ทหารส่วนที่เหลือจะถูกส่งมาจากมณฑลต่างๆ
“หลิงอิน ระวังตัวด้วย!”
อาสะใภ้ตะโกนร้องบอกอยู่ที่ท่าเรือ
“ถ้าเจอปัญหาก็ ก็…”
เดิมทีอยากจะกล่าวคำพูดที่ว่าให้ฟังท่านอาจารย์มากๆ แต่ก็คิดว่าไม่แน่อาจารย์จะไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์เท่าไหร่
อารองสวี่เอ่ยว่า “ต้องหาทางติดต่อพี่ใหญ่เจ้า”
สวี่หลิงอินสะพายกระเป๋าใบใหญ่กว่าคนอื่น นางพยักหน้าอย่างแรง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไปรบแล้วนะ”
ทหารที่อยู่รอบๆ และคนที่เดินผ่านไปมาบนท่าเรือต่างพากันหันมามองอย่างตกตะลึง
ในเรือรบกลับมีเด็กตัวเล็กๆ เข้าไปด้วยหนึ่งคน เท่านั้นก็ดึงดูดความสนใจได้มากพอแล้ว
ยิ่งได้ยินว่าจะไปรบ...
อารองสวี่ตกใจ เอ่ยอย่างโมโหว่า “เจ้าจะไปรบอะไร เจ้าแค่ตามอาจารย์กลับบ้านเกิดนาง อย่าพูดจาซี้ซั้ว”
เสี่ยวโต้วติงคิดมาตลอดว่าตนจะได้ไปรบ
สายตาแสดงความสงสัยหลายคู่จดจ้องพิจารณาสวี่หลิงอินจากที่ไกลๆ
สวี่หลิงเยวี่ยที่คลุมผ้าปิดหน้าเอ่ยเสียงดังว่า “หลิงอิน เจ้าเป็นน้องสาวของฆ้องเงินสวี่ อย่าได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
ในชั่วพริบตา แววตาสงสัยและไม่พอใจก็กลายเป็นความตื่นเต้นและเป็นมิตร
หลังจากอ้อยอิ่งกันอยู่พักหนึ่ง สวี่เอ้อร์หลางก็เดินนำสองศิษย์อาจารย์ไปยังห้องโดยสารในเรือ
เมื่อได้เวลา เรือรบก็แล่นออกไปไกล
สวี่ซินเหนียนจัดให้น้องสาวและลี่น่าพักอยู่ในห้องข้างๆ แล้วเอ่ยกำชับว่า
“อยู่แต่ในห้องให้ดีๆ อย่าได้วิ่งเพ่นพ่าน อย่าได้สร้างปัญหา
“ลี่น่า ห้ามกินของที่คนอื่นให้ และห้ามรับไมตรีจากพวกทหารด้วย”
ถึงแม้ลี่น่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ แต่นิสัยตะกละไร้เดียงสาก็ทำให้ต่อต้านพวกที่ใช้วิธีการต่ำช้าได้ยาก
“อื้มๆ”
ลี่น่าพยักหน้าอย่างแรง
ความจริงนางไม่กลัวพิษ ในฐานะที่เป็นสตรีที่เติบโตมาในซินเจียงตอนใต้ แม้จะไม่ใช่คนในเผ่าตู๋กู่ แต่การตรวจจับพิษและความสามารถในการต้านพิษของนางก็ยังโดดเด่น
อีกอย่าง ยาพิษที่ทำให้ขั้นสี่หมดสติหรือเสียชีวิตนั้นมีราคามากเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้
ลี่น่าคิดว่าสวี่เอ้อร์หลางเป็นบัณฑิตที่ไม่ค่อยได้พบเห็นอะไรนัก จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เขาฟัง
หลังจากกำชับเด็กสาวทั้งสองเรียบร้อย สวี่เอ้อร์หลางก็กลับไปอ่านเอกสารทหารในห้องหนังสือเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์รบที่ชิงโจว
ส่วนอีกด้าน ลี่น่าหันหน้าไปพาสวี่หลิงอินเดินออกจากห้องตรงไปยังดาดฟ้าเรือ
สองศิษย์อาจารย์รับลมหนาวเย็น แววตาเป็นประกายสดใส
นี่คือการออกเดินเรือทางไกลครั้งแรกในชีวิตของพวกนาง
“แม่นางเป็นอะไรกับฆ้องเงินสวี่หรือ”
ด้านหลังมีเสียงดังเข้ามา
ลี่น่าหันกลับไปและเห็นชายวัยกลางคนใบหน้าเหลี่ยมในชุดเกราะสั้น ร่างเล็กเตี้ยกำยำ และกำลังจดจ้องมายังลี่น่าและสวี่หลิงอินด้วยสายตาลุกโชน
“เจ้าเป็นใคร?”
ลี่น่าเอ่ยถามด้วยสำเนียงกลางที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานนัก
“ผู้การทหารราบรักษาวัง เฉินเซียว!”
เจ้าหน้าที่ทหารวัยกลางคนกุมมือคำนับ “ในช่วงฤดูร้อน ข้าเคยติดตามฆ้องเงินสวี่ขึ้นเหนือไปตรวจสอบคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ด้วย เมื่อครู่ได้ยินว่าแม่นางน้อยท่านนี้คือน้องสาวของฆ้องเงินสวี่หรือ”
………………………………………………….