ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’
“เป็นสหายของพี่หญ่ายนั่นเอง…สวัสดีท่านลุง ท่านลุงแซ่อะไรหรือ”
เมื่อเสี่ยวโต้วติงได้ยินว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ รอยยิ้มไร้เดียงสาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทึมทื่อนั่น
“เจ้าเรียกข้าว่าลุงเฉินก็ได้”
เฉินเซียวก็เผยรอยยิ้มซื่อๆ ออกมาเช่นกัน “ได้ยินมานานแล้วว่าฆ้องเงินสวี่มีน้องสาวสองคน”
เขาคลำหากระเป๋าโดยไม่รู้ตัว และพบว่าตนสวมชุดเครื่องแบบอยู่ จึงไม่มีของอะไรที่พอจะมอบให้เด็กได้เลย
“มีเรื่องอะไรหรือ”
ลี่น่าใช้มือเดียวจับศีรษะของลูกศิษย์แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เด็กก็คือเด็ก ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย
บุรุษที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนเช่นนี้นี่แหละที่อันตรายที่สุด และส่วนใหญ่มักไม่มีเจตนาดีอะไร
เรื่องนี้ นางเคยมีประสบการณ์สมัยเดินทางจากซินเจียงตอนใต้มายังต้าฟ่งแล้ว
แต่ตอนนี้นางยังคิดไม่ออกว่าคนที่ชื่อเฉินเซียวผู้นี้เข้าหานางด้วยเป้าหมายอะไร
“ทั้งสองท่านเดินทางมาในครั้งนี้ จะไปที่ใดกันหรือ”
เฉินเซียวเอ่ยถาม
ลี่น่าเอ่ยเสียงดัง “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ระดับเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฉินเซียวตกใจ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายเอาได้น่ะสิ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว เขาก็เอ่ยอย่างจนใจว่า
“หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้ แต่แน่นอนว่าใต้เท้าสวี่สามารถจัดการปัญหาส่วนใหญ่ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว”
เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงท่าทางระแวดระวังและไม่รับแขกของสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ผู้นี้ จึงหันไปยิ้มให้กับเสี่ยวโต้วติงแล้วหันกายเดินกลับไปในห้องโดยสาร
…
“อะไรนะ?”
น้ำเสียงของหงอิงเปลี่ยนไป แทบจะกลายเป็นการตะโกนร้อง “ฆ้องเงินสวี่สังหารระดับเพชรสองคนจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
พูดตามตรง เมื่อครู่ที่ได้ฟังจากเหมียวโหย่วฟางว่าสังหารระดับเพชรสองคน เขายังคิดว่าอีกฝ่ายพูดโม้ขึ้นมาอย่างนั้นเสียอีก
แต่การเปิดโปงอีกฝ่ายตรงๆ นั้นเป็นวิธีการของพวกคนโง่เง่าหรือพวกปีศาจที่จะกระทำกัน ไม่สอดคล้องกับวิธีการจัดการผู้คนของเขา ดังนั้นจึงแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นและชื่นชมเลื่อมใสออกมาเป็นฉากหน้า
แต่เขาไม่คิดเลยสักนิดว่า เรื่องนี้ฟังแล้วกับคล้ายจะเป็นความจริง
ถ้าพูดโกหก ก็ไม่มีทางจะเล่าได้ละเอียดลออเช่นนี้ การต่อสู้ที่เหนือสามัญอย่างนั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจคิดจินตนาการได้เลย หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่มีทางบรรยายออกมาได้แน่นอน
ปีศาจสาวทั้งสองต่างพากันยกมือปิดปาก
“ใช่แล้ว แต่ถึงจะเป็นฆ้องเงินสวี่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากระดับเพชรและเจ้าแห่งวัสสานของสำนักพ่อมด เขาก็สะบักสะบอมมากเหมือนกัน แต่โชคดีที่ข้างกายเขายังมีข้า”
เหมียวโหย่วฟางย่างนกในมืออย่างเป็นสุข เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ การโม้ยังคงสำคัญกว่า
“พูดไปแล้วก็เร็วอย่างเหลือเชื่อ ข้าขี่กระบี่บินขึ้นมาแล้วหยิบกระจกเทพฮุ่นเทียนส่องไป ทำให้ศัตรูสั่นสะเทือนจนชะงัก ฆ้องเงินสวี่จึงได้โอกาสแสดงพลังโจมตีอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามออกมา แล้วจัดการพวกศัตรูจนพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า…”
ปีศาจสาวที่อยู่ด้านซ้ายพลันเอ่ยขึ้นมา
“แต่เจ้าเป็นจอมยุทธ์นะ เหตุใดถึงขี่กระบี่บินได้เล่า”
‘เอ่อ เรื่องนี้’…เหมียวโหย่วฟางพลันกระอักกระอ่วนทันใด และคิดหาคำอธิบายในเวลากระชั้นเช่นนี้ไม่ได้ แต่หงอิงออกตัวตำหนิปีศาจสาวอย่างไม่พอใจได้ทันเวลา
“เจ้าจะไปรู้อะไร ด้วยความสามารถของพี่เหมียว เขาย่อมต้องมีอาวุธเวทมนตร์กระบี่บินดีๆ อยู่แล้ว ปีศาจตัวเล็กๆ แบบเจ้าอย่าได้มาขัดจังหวะ”
ปีศาจสาวรีบก้มหน้าลง รู้สึกละอายที่ไปเอ่ยถามใต้เท้าเหมียวเพราะความรู้อันตื้นเขินของตน
‘รู้จักพูดจริงๆ’…เหมียวโหย่วฟางรีบเอ่ยเสริม “ใช่ๆๆ แบบนี้นี่แหละ พี่หงอิง ท่านมาอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้อันทุรกันดารเช่นนี้ออกจะเสียพรสวรรค์ไปเปล่าๆ นะ ไม่สู้ตามพวกเราไปท่องยุทธภพภาคกลางมิดีกว่าหรือ”
ผู้พิทักษ์หงอิงได้โอกาสตอบรับ “เช่นนั้นก็ขอร่วมมือกับจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลางอย่างพี่เหมียวแล้ว”
‘จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่…จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลาง’…เหมียวโหย่วฟางรู้สึกเหมือนกระแทกโดนใจ กำลังใจจึงพลันท่วมท้นไปทั้งตัว “พี่หงอิง เราพบกันช้าเกินไปแล้ว “
ทั้งสองคนหัวเราะร่า บรรยากาศสมัครสมานกลมเกลียวยิ่ง
…
ในถ้ำ
เย่จีหยิบกระถางเครื่องหอมสำริดที่หล่อเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกออกมา ก่อนปักธูปหอมสีดำลงไปแล้วจุดไฟ จากนั้นกลิ่นไม้จันทน์ก็ลอยขึ้น
ต่อมาเย่จีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นไม้จันทน์ลอยเข้าไปในรูจมูก ต่อมา ดวงตาข้างซ้ายของนางก็บังเกิดแสงเจิดจรัสดั่งหมอกควันที่เอ่อล้นลงมาจากดวงตา
เจตจำนงอันแข็งแกร่งมาเยือนแล้ว
“จิ๊ๆ คนรักเก่าพบหน้า แต่กลับไม่คว้าโอกาสนี้พลอดรักกัน ดันมาเรียกหาข้าเนี่ยนะ?”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะเยาะอย่างไม่จริงจังนัก ‘เย่จี’ ก็พลันกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มไปด้วย
“คงมิใช่อยากให้ข้ามารับชมอยู่ข้างๆ หรอกนะ แบบนี้ไม่ได้ๆ ข้าเป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ออกเรือนนะจะบอกให้”
คำพูดคำจาของเจ้าไม่ได้เหมือนกับหญิงสาวในห้องหอเลยสักนิด อย่าแก่แดดแก่ลมมากเกินไปสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจอย่างไร้เสียง
เย่จีเอ่ยอย่างเคารพ
“องค์หญิง ข้าน้อยรู้ความลับใหญ่หลวงมาจากฆ้องเงินสวี่ เรื่องนี้ใหญ่นัก ไม่รู้ว่าท่านทราบหรือยัง จึงได้ติดต่อท่านมากะทันหันเช่นนี้ ขออภัยด้วย”
ขณะที่พูด ‘เย่จี’ ก็หันไปมองหน้าสวี่ชีอันแล้วแย้มยิ้มทรงเสน่ห์
“ข้อมูลลับหรือ? เจ้าฝึกตนได้แค่ปีกว่าๆ เอง แล้วจะมีข้อมูลลับอะไรเยอะแยะ”
สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองตาขวาของเย่จี
เย่จีรีบเอ่ยบอก “พระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
แสงสว่างในตาซ้ายของเย่จีพลันสั่นไหวรุนแรง ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ดังออกมาจากปากนาง เป็นน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ลงมือ ข้าเห็นสงครามนั้นมากับตา ไม่ผิดแน่”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่เป็นคนบอกกับข้าเอง ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนที่อยู่ในสมัยนั้น เว้นก็แต่ปรมาจารย์เต๋าที่หายตัวไปนานแล้ว”
‘ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนนอกจากองค์เทพ’…หัวใจของเย่จีเต้นรัวดุจกลองรบ รู้สึกว่านี่เป็นความลับที่ยากจะขบให้แตกนัก
ข้อมูลสองอย่างขัดแย้งกัน
สวี่ชีอันเล่าการคาดการณ์สามอย่างของตนก่อนหน้านี้ออกมา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร”
น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำพูดจาที่เรื่อยเปื่อยเขินอายแบบก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว
สวี่ชีอันส่ายหน้า
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“รวมร่างธรรมทั้งเก้าให้เป็นหนึ่ง ก็คือตำแหน่งแห่งพระพุทธเจ้า ปีนั้นข้าได้เห็นกับตาว่าร่างธรรมทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนโลก นั่นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย บนโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าตนที่สองแล้ว เสินซูเดินอยู่บนสายฉานซือ ระดับเพชร และจอมยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เชี่ยวชาญเพียงร่างธรรมระดับเพชร”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ลงมือในปีนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้อยู่เหนือระดับคนอื่นแล้ว ทั้งยังมิใช่เสินซู ดังนั้นก็สามารถล้มล้างการคาดเดาทั้งสองอย่างหลังของข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ลงมือก็คือพระพุทธเจ้า…สวี่ชีอันสูดปากอย่างหนักใจ
“ห้าร้อยปีก่อน พระพุทธเจ้าหลุดออกจากผนึกได้อย่างสมบูรณ์แล้วหรือ”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยดีกว่า หากต้องการรู้เรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน ก็ต้องปลดผนึกทั้งหมดของเสินซูออกก่อน อืม ร่างกายแต่ละส่วนของเสินซูล้วนแฝงไปด้วยวิญญาณร้ายของเขา เสินซูที่อยู่ในเจดีย์พุทธะมีความทรงจำมากน้อยเพียงใดหรือ?” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว
“เจ้าเตือนสติข้าได้พอดี…”
สวี่ชีอันลูบคาง “มันเคยหลุดพูดออกมาประโยคนึงอย่างลืมตัวว่า ‘พระพุทธเจ้า เจ้ามันคนไร้สัจจะ’”
‘นี่มัน…’ เย่จีใจตกไปที่ตาตุ่ม และคล้ายคว้าอะไรบางอย่างได้รางๆ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางในร่างของนางก็ไม่พูดอะไรอยู่นานเช่นกัน
ผ่านไปพักหนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ค่อยๆ เอ่ยพูด “เห็นได้ชัดว่าเสินซูเคยทำข้อตกลงกับพระพุทธเจ้ามาก่อน และเป็นข้อตกลงที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้”
“เบาะแสน้อยเกินไป พวกเราไม่อาจคาดเดาความจริงได้เลย”
สวี่ชีอันสรุปปิดท้าย จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่มีเงื่อนขำ ปรึกษาแล้วไม่ได้อะไร ข้าบอกความลับนี้กับท่าน ก็มิใช่ว่าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบกลับด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบทันที นางควบคุมเย่จีให้เลียริมฝีปากด้วยสีหน้าเย้ายวน
“สวี่หลาง เช่นนั้นคืนนี้เจ้าอยากได้กี่ครั้งล่ะ”
คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้ว…สวี่ชีอันยังคงไว้ซึ่งท่าทางจริงจัง
“องค์หญิง ฆ้องเงินเช่นข้านั้นเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางลุ่มหลงไปกับความงามของท่านหรอก ส่วนค่าตอบแทนจะคิดรวมกันทีหลัง ข้าขอพูดเรื่องจริงจังก่อน บุตรของราชันอสูร อาซูหลัว ได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ตอนนี้อยู่ที่วัดหนานฝ่า ด้วยพลังต่อสู้ของข้ามิอาจเอาชนะเขาได้เลย”
สองบวกหนึ่ง เทียบเท่ากับอรหันต์หนึ่งคนร่วมมือกับระดับเพชรหนึ่งคน สวี่ชีอันยังพอคิดคำนวณอยู่ในใจได้
“ดังนั้น ข้าต้องการให้ท่านทำตามสัญญาล่วงหน้า โดยการถอดตะปูตอกวิญญาณสองดอกออก เช่นนี้ข้าจึงพอจะชนะได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่งคิดไป “ถอดตะปูตอกวิญญาณ ก็จะชนะได้หรือ?”
สวี่ชีอันยิ้ม “ข้าย่อมหาคนช่วยอยู่แล้ว”
“ได้ ข้าจะให้เย่จีพาเจ้าไปพบชิ้นส่วนอื่นๆ ของเสินซู”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยถามอย่างแจ่มใส “ยังมีเรื่องใดอีก”
สวี่ชีอันเหลือบมองตาขวาของเย่จี
“ฝูเซียง…ไม่สิ ต่อไปเย่จีก็จะเป็นคนของข้า ข้าไม่มีทางบังคับเอาตัวนางไป แต่หลังจากวันนี้ ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจเรื่องนี้ด้วย นางไม่ใช่บ่าวของท่าน ท่านสามารถสั่งการนางได้ แต่ไม่อาจควบคุมนาง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวเราะ “ความจริงแล้วถึงเจ้าพาตัวนางไปข้าก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ข้ายังสามารถมอบไป๋จีให้เจ้าได้ด้วยนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋จีก็ร้องลั่น “ข้าไม่เอา ข้าไม่เอา!”
…สวี่ชีอันเหลือบมองเจ้าลูกสุนัขจิ้งจอกแล้วคิดว่า ข้าเป็นคนน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ
“คำขอสุดท้าย กระจกเทพฮุ่นเทียนมีประโยชน์กับข้าเป็นอย่างมาก ข้าหวังว่าจะสามารถควบคุมมันได้พักหนึ่ง มากสุดไม่เกินสามเดือนแน่นอน ถ้าหากยืดเยื้อ ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มให้ท่าน หรือไม่ก็ช่วยท่านทำบางอย่างได้”
กระจกเทพฮุ่นเทียนเกี่ยวข้องกับแผนการต่อจากนี้ของเขา จึงไม่อาจส่งกลับคืนให้จิ้งจอกเก้าหางได้ชั่วคราว
“จะเกินไปแล้ว!”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “มันคือของตกทอดของมารดาข้า และเป็นของเล่นตั้งแต่เด็กของข้า มันมีความทรงจำส่วนหนึ่งของข้าอยู่ในนั้น คำขอนี้ข้าไม่อาจรับปากเจ้าได้”
สวี่ชีอันก็แข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึง “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ต้องการมัน หากเราตกลงกันไม่ได้ในประเด็นนี้ การร่วมมือระหว่างเราก็จะถูกยกเลิก”
ตาซ้ายของเย่จีหม่นแสงลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ยกเลิกก็ยกเลิกไปสิ ข้าไม่ได้เดือดร้อนเสียหน่อย”
ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีใครยอมถอยก่อน
เย่จีผู้อยู่ตรงกลางกลับเป็นฝ่ายลำบากใจ
“ถึงจะไม่ถอดตะปูตอกวิญญาณออก ข้าก็เป็นขั้นสามเหมือนกัน เรื่องที่ทำได้มีเยอะนัก อย่างมากก็แค่ไล่สังหารอรหันต์ต่อไป นานวันเข้าก็จะสามารถปลดผนึกออกได้แล้ว แต่เจ้าจะยอมทิ้งโอกาสที่พันปียากจะมีได้ไปเช่นนี้หรือ”
สวี่ชีอันเชี่ยวชาญทักษะการเจรจาต่อรองจึงไม่มีทางประนีประนอม เขาพยายามช่วงชิงมาอย่างเต็มที่
“ภาคกลางวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้ สำนักพุทธจะต้องส่งกำลังเสริมมาแน่ นี่เป็นช่วงเวลาที่ว่างเปล่าที่สุดของอรัญตา”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ปลดผนึก เจ้าก็ไม่อาจฟื้นคืนพลังที่แท้จริงได้ และยิ่งไม่สามารถโจมตีขั้นสองได้ด้วย ในศึกระดับขั้นเช่นนี้ เรื่องที่เจ้าทำได้นั้นมีจำกัด เมื่อร่วมมือกันก็จะชนะไปด้วยกัน หากไม่ร่วมมือก็เสียทั้งสองฝ่าย เจ้าคิดดูให้ดีก่อนเถอะ”
การทำงานของกระจกเทพฮุ่นเทียนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนาง นางไม่มีทางยอมให้สวี่ชีอันได้ไปง่ายๆ หรอก
สวี่ชีอันหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดทุกคนไม่ถอยกันคนละก้าวเล่า”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยเสียงเรียบ “ถอยอย่างไร”
“กระจกเทพฮุ่นเทียนมีจิตสำนึกของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา เช่นนั้นก็ให้มันเลือกแล้วกัน” สวี่ชีอันกล่าว
“ไม่มีปัญหา!”
จิ้งจอกเก้าหางมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งจอกเก้าหาง เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดสถานะของสมาชิกพรรคฟ้าดิน ไม่ใช่เพราะเชื่อใจนาง แต่เป็นเพราะนางรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว
เขาใช้นิ้วเคาะกระจกเบาๆ จากนั้นกระจกเทพฮุ่นเทียนครึ่งหนึ่งก็หลุดออกมาแล้วตกลงบนโต๊ะ
“ข้าตาบอดแล้ว ตาบอดแล้วๆ บาดแผลของข้ายังไม่หายดี ทำงานต่อไม่ได้แล้ว”
กระจกเทพฮุ่นเทียนตะโกนร้องเสียงดังลั่น
เย่จี ไม่สิ จิ้งจอกเก้าหางชะงักงันไปทันใด ราวกับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับกระจกบานนี้ แต่ไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“เจ้ากระจก ไม่เจอกันมาห้าร้อยปี คิดถึงข้าหรือไม่”
เสียงของนางเปลี่ยนจากความเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ไปเป็นเสียงใสราวกับสาวน้อย
กระจกเทพฮุ่นเทียนสงบลงทันใด หน้ากระจกมีดวงตาที่ไร้ขนตาข้างหนึ่งนูนขึ้นมา ลูกตากลมกลอกวนแล้วมองไปที่เย่จี
มันตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้น กระจกก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงขึ้นมา มันตะโกนร้องเสียงดังลั่น
“องค์หญิง องค์หญิง เป็นท่านจริงๆ หรือ!?”
ตอนนั้นที่อยู่ในวัดเฉิงหวง ตอนที่สวี่ชีอันมอบมันให้กับจิ้งจอกเก้าหาง มันเพิ่งถูกภิกษุชราถ่าหลิงผนึกไว้ จึงไม่รู้เรื่องโลกภายนอก
ต่อมาก็ได้รู้เรื่องการแลกเปลี่ยนนั้นจากปากของสวี่ชีอัน
จิ้งจอกเก้าหางเอื้อมมือไปหยิบกระจกขึ้นมาแล้วแค่นเสียงเอ่ย
“ตอนนั้นข้าถามเจ้าว่า บนโลกนี้ใครคือจิ้งจอกที่งดงามที่สุด เจ้าก็ตอบทุกครั้งว่าเป็นมารดา ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ใครคือจิ้งจอกที่งดงามที่สุดในโลกนี้”
กระจกเทพฮุ่นเทียนตะโกนเสียงดัง “นั่นก็คือท่าน นั่นก็คือท่าน…”
มันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ติดสะอื้นเล็กน้อย “ในที่สุดหม่อมฉันก็ได้พบท่าน พเนจรพลัดพรากอยู่ข้างนอกมาห้าร้อยปี ไม่นึกเลยว่าจะยังได้กลับมาพบกับองค์หญิงอีกครั้ง ตอนนี้ต่อให้ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างไร ก็ยินยอมทุกอย่างเลย”
ช่างเป็นการพบกันระหว่างนายบ่าวที่ชวนให้คนหลั่งน้ำตาเสียจริง…สวี่ชีอันกลอกตามองบน
จิ้งจอกเก้าหางเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยเสียงหวานพราวเสน่ห์
“เจ้าเด็กนี่อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ข้าไม่ยอม ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี ไม่อาจตัดใจได้จริงๆ”
สวี่ชีอันไม่ให้โอกาสนางได้นำ เขาเอ่ยเสริมมาว่า
“ดังนั้นเราจึงตัดสินใจว่าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินเองว่าจะอยู่กับข้าอีกสักพักหรือไม่”
“เอ่อ เรื่องนี้…เรื่องนี้…”
เสียงของกระจกเทพฮุ่นเทียนพลันเปลี่ยนไป เกิดการปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงภายในใจ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา
“ได้เจอองค์หญิงเช่นนี้เป็นโชคดีของบ่าวจริงๆ ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย แต่หม่อมฉันขอเลือกอยู่กับเจ้าคนแซ่สวี่พ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มที่เพิ่งประดับขึ้นมาบนใบหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพลันแข็งค้าง
นางจ้องกระจกเทพฮุ่นเทียนเขม็งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะยืนยัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“เอ่อ เรื่องนี้…ได้เจอองค์หญิงเช่นนี้เป็นโชคดีของบ่าวจริงๆ ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย” กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าว
“แต่มันเลือกอยู่ข้างกายข้า” สวี่ชีอันยิ้มตาหยี
กระจกเทพฮุ่นเทียนเอ่ยเสียงอ่อนแรง “ใช่…”
มุมปากของ ‘เย่จี’ กระตุกขึ้นเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเศร้าเสียใจ
“เจ้ากระจก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงตามหาเจ้า ทั้งยังต้องดั้นด้นเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วทั้งจิ่วโจว การตามหาเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก แต่เจ้ากลับทิ้งข้าไป เพราะผู้ชายที่เพิ่งจะรู้จักอย่างนั้นหรือ?”
“ลำบากองค์หญิงแล้ว ขอบพระทัยองค์หญิงที่คิดถึงบ่าวเฒ่าผู้นี้”
กระจกเทพฮุ่นเทียนตะโกนร้องบอกทันที
“แต่มันเลือกอยู่ข้างกายข้า” สวี่ชีอันเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมยิ้มตาปิก
“ชะ…ใช่แล้ว…” กระจกเทพฮุ่นเทียนเอ่ยเสียงอ่อนแรง
มันรีบแสดงความภักดีออกมาทันที “แต่องค์หญิงไม่ต้องเป็นห่วง จิตใจของบ่าวอยู่ที่พระองค์ หม่อมฉันเพียงแฝงตัวอยู่กับเจ้าคนแซ่สวี่เท่านั้น”
‘พลั่ก!’
จิ้งจอกเก้าหางกระแทกกระจกเทพฮุ่นเทียนอย่างแรง เส้นเลือดเขียวปรากฏชัดบนหน้าผากของนาง นางเหลือบตาสวี่ชีอันด้วยสายตาเย็นชา ปราณใสในตาซ้ายค่อยๆ สลายหายไป
เย่จีกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง นางเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิงโกรธแล้ว ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่เคยเห็นนางโกรธมาก่อนเลย”
ความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวนั้นไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์…สวี่ชีอันแค่นเสียงออกมา ไม่รู้สึกว่าเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
กระจกเทพฮุ่นเทียนไม่สมบูรณ์ทางจิตและสติปัญญา จึงจำเป็นต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณมังกรเพื่อทำให้ตนกลับมาสมบูรณ์
นี่เป็นความปรารถนาขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิต
“ยังไม่รีบพาข้ากลับไปอีก ชิ ช่างหาเรื่องให้ข้าเสียจริง”
กระจกเทพฮุ่นเทียนโมโหสวี่ชีอัน จึงบินขึ้นมาทำท่าจะตีใบหน้าเขา
สวี่ชีอันยกมือจับมันไว้ก่อนแล้วเอ่ยบอก
“เดี๋ยวข้ามีเรื่องจะให้เจ้าไปทำ เวลาที่ใช้อาจจะนานนิดหน่อย เรื่องวุ่นวายก็จะมากขึ้นไปอีกนิดด้วย”
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
มันเอ่ยปฏิเสธ
“พอจิตวิญญาณของเจ้าสมบูรณ์แล้ว ข้าจะให้ท่านโหราจารย์เสริมร่างกายอีกครึ่งที่ขาดไปของเจ้าให้สมบูรณ์” สวี่ชีอันกล่าว
เสริมร่างกายขึ้นมา ไม่ใช่จิตอาวุธ เรื่องนี้ท่านโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านหลอมอาวุธโดยเฉพาะจะต้องสามารถทำได้แน่นอน
“ฆ้องเงินสวี่มีเรื่องอันใดก็สั่งมาได้เลย”
กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าวด้วยความจริงใจ
เรื่องต่างๆ เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในขั้นต้น สวี่ชีอันเลียริมฝีปากแล้วยิ้มออกมา
“ได้เวลาทำเรื่องจริงจังแล้ว”
ฝูเซียงที่เคยผ่านการ ‘พูดคุยแลกเปลี่ยน’ มานับครั้งไม่ถ้วนเข้าใจความหมายของเขาทันที ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา
…
ที่ชายแดนอวิ๋นโจว กองทัพติดอาวุธแหลมคมหกหมื่นนายมารวมตัวกัน
พวกเขาจัดรูปกระบวนเป็นแบบหกเหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบ หนึ่งหมื่นคนต่อหนึ่งเหลี่ยม และแต่ละเหลี่ยมจะมีทหารม้าหนักหนึ่งพันนาย ทหารปืนไฟหนึ่งพันนาย ทหารม้าเบาสองพันนาย ทหารราบห้าพันนาย กองทหารปืนใหญ่ห้าร้อยนาย กองคันศรหน้าไม้ห้าร้อยนาย
และด้านหลังของกองทัพหกเหลี่ยมยังมีทหารอาสาที่ประกอบด้วยผู้ลี้ภัยอีกสามหมื่นนาย
ตอนที่กำลังเสริมจากต้าฟ่งยังมาไม่ถึง กองทัพกบฏอวิ๋นโจวก็รวมพลเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังเตรียมจะบุกโจมตีชิงโจว
………………………………………………………..